จะมีช่วงที่ปิยาพัชรทำงานแล้วนี่แหละ กัญญาพัชรถึงได้ปล่อยน้องน้อยไปไหนมาไหนได้บ้าง แต่ก็ยังต้องบอกกล่าวให้เรียบร้อย ถ้าขืนรู้ว่าแอบทำอะไรลับหลังละก็ โหย...ไม่อยากคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมา แค่คิดก็หนาวเข้าไปทั้งแผ่นหลัง...การลงโทษด้วยสายตาที่มองราวกับไม่มีตัวตน ไม่พูดไม่จาทำหูทวนลม แค่นั้นแหละแม่เพื่อนรักที่ต้องการทั้งความรักและความอบอุ่นก็ร้องไห้จนตัวคลอนและรีบเอ่ยปากขอโทษ พร้อมให้สัญญาว่าจะไม่ทำความผิดอีกแล้ว
“บ้าแล้วแก ถ้าพี่มัดหวายจับได้ ฉันจะมายืนสวยเลิศต่อหน้าแกหรือไงยะ ยัยนี่ถามอะไรแปลกๆ ”
“อ้าว...ก็แล้วแกเสือกมาช้าทำไมล่ะ ปกติเห็นเป็นคุณนายผู้ตรงต่อเวลานี่หว่า?” จันฑีราทำเมินหน้าหนี สองมือเล็กเรียวยกขึ้นกอดอก แต่สายตากลับเหล่ลงมองปิยาพัชรพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“โอ๊ะ!! แปลกแฮะ นอกจากวันนี้คุณจันฑีราเพื่อนข้าพเจ้าจะแต่งตัวสวยแล้ว เพื่อนสาวแสนสวยของข้าพเจ้ายังได้ไปหัดเรียนวิชางอนมาด้วยเหรอนี่ โอ๋ๆ แต่ช้าแต่ไม่งอนเค้าน้า...” มือเล็กเรียวยกขึ้นสะบัดไปมาต่อหน้าเพื่อนสาว โดยไม่รู้ว่าอากัปกิริยาและท่าทางการพูดของเธอนั้นได้ตกอยู่ในสายตาของชายหนุ่มอีกคนที่ยืนมองด้วยรอยยิ้มและความสนใจ
เสียดายว่าสาวน้อยเสียงหวานถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางแสงไฟที่ส่องสว่างอยู่ แต่ด้วยเพราะร่างที่หันข้างให้เลยทำให้ได้เห็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของใบหน้า ถึงจะเป็นเพียงแค่นั้นก็ทำให้ใจฟารฮานหวั่นไหวได้ไม่น้อยเหมือนกัน
ความน่ารักและสดใสที่ได้เห็น เสียงยามพูดจาเสียงเหมือนกับนกไนติงเกลที่ร่ำลือนักว่าหวานใสจับใจ ที่จะเสียดายอีกอย่างก็คือว่างานเลี้ยงคืนนี้จัดแบบให้ทุกคนสวมใส่หน้ากาก เดี๋ยวพอเข้าไปในงานแล้วแม่สาวน้อยก็ต้องสวมใส่หน้ากากปกปิดใบหน้าสวยๆ เอาไว้
“คนสวยจ๋าไม่งอนเค้าน้า ความจริงตัวเองน่ะต้องคอยปลอบใจเค้ามากกว่า รู้ไหมว่ากว่าที่เค้าจะมาถึงที่นี่ได้นะ เค้า...” น้ำตาอุ่นร้อนเอ่อล้นคลอเบ้าแล้วไหลลงอาบสองแก้มอย่างรวดเร็วราวกับสั่งได้ แต่ดวงตากลับพราวระยับเมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดของคนที่ให้เธอง้อเมื่อครู่ ดวงตากลมโตของจันฑีราเบิกกว้าง และไม่เพียงแค่นั้นปากอวบอิ่มอ้าออกจนช้างเกือบเข้าไปนอนพักอยู่ได้แล้ว
ปิยาพัชรพยายามกลั้นหัวเราะจนท้องแข็งที่จะไม่หลุดอาการเศร้าออกมาให้ได้เห็น แล้วรีบเล่าต่อด้วยน้ำเสียงสั่นแต่พลิ้วไหว “เค้าน่ะเกือบขับรถมาไม่ถึงงานแล้วนะ มัน...มันเกยขึ้นไปหมุนติ้วๆ บนฟุตบาท เหลือแค่นี้” มือเรียวยกขึ้นมาทำระยะระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วก้อยประมาณสองเซ็น ใบหน้าสวยซีดเผือด ถึงแม้เหตุการณ์จะผ่านพ้นมาแล้วและได้รับการช่วยเหลือจนรอดปลอดภัย และเมื่อต้องมาเล่าด้วยต้องการแกล้งเพื่อนก็จริง แต่หัวใจดวงน้อยก็อดที่จะสั่นขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน
ร่างบอบบางขยับเอนเข้าหาเพื่อนรักอย่างต้องการให้ปลอบโยนเอาใจ “เค้างี้กลัวจนตัวสั่นเลยรู้ไหมจันตี นี่ถ้าไม่มีสองหนุ่มนั่นเข้าไปช่วย ป่านนี้เค้ายังไม่ได้มาหาตัวเองเลยนะ”
“โอ๋ๆ ... ไม่เอานะมัดหมี่คนสวย เค้าไม่งอนตัวเองก็ได้ ตัวเองก็อย่างร้องนะ เดี๋ยวเค้าร้องตาม” มือเล็กเรียวยกขึ้นลูบแผ่นหลังเพื่อนรักอย่างปลอบประโลม พร้อมทำเสียงราวกับเป็นแม่ตัวน้อยปลอบลูกน้อย ทำให้ปิยาพัชรกลั้นหัวเราะไม่อยู่เผลอปล่อยเสียงหวานออกมาเสียยกใหญ่ เลยโดยจันฑีราประทุษร้ายด้วยขนมทองหยิกไปหนึ่งที
“โอ๊ย!! เจ็บนะจันตี ตัวเองมาหยิกเค้าทำไม เดี๋ยวเค้าฟ้องพี่มัดหวายให้ทำโทษที่กล้าทำร้ายน้องสาวสุดที่รัก” มือเล็กยกขึ้นลูบแขนตรงที่ถูกหยิกป้อยๆ ริมฝีปากขบเม้ม และแก้มข้างหนึ่งป่องออกมา
“ก็เอาซิยะ หนอยคนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง แต่แกน่ะเล่นเอาเรื่องร้ายมาเล่าเหมือนเป็นเรื่องสนุก แล้วยังตีสีหน้าท่าทางเหมือนลิงหลอกเจ้าอีก ดูซิถ้าฉันเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพี่มัดหวายใคร้...ใครกันแน่ที่จะโดนลงโทษ ฮึ...” สองแขนเล็กเรียวยกขึ้นกอดอก ดวงตามองเข้าไปในดวงตากลมโตของอีกฝ่าย ถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง
“ว้าย!! ไม่นะจันตี ถ้าตัวเองเอาเรื่องไปฟ้อง มีหวังพี่มัดหวายไม่ให้เค้าไปไหนมาไหนคนเดียวอีกล่ะซิ ทีนี้นะแกก็จะหมดเพื่อนเที่ยวด้วย”
แทนที่คนถูกว่าจะสำนึกว่าเพื่อนเป็นห่วง กลับไถหาเอาประโยชน์เข้าหาตัวเองซะงั้น ทำเอาจันฑีราถึงกับยกมือจับท้องกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง
“แก...แกนี่มันจริงๆ เลยยัยมัดหมี่ แถไปได้ทุกทางซิน่า เอาเถอะเรื่องมันแล้วไปแล้ว ทีหลังก็หัดโทรมาบอกซะมั่งนะ ไม่ใช่ปล่อยให้เขาเป็นห่วงอยู่แบบนี้ นังบ้า...”
“คร้าบ...คุณแม่คนที่สอง น้องหนูมัดหมี่จะจำไว้คร้าบ...จะไม่ยอมให้แบตเตอรี่โทรศัพท์หมดอีกแล้วครับป๋ม” ศีรษะทุยได้รูปขยับแนบชิดบ่ากว้างและถูไถเบาๆ อย่างออดอ้อนและประจบประแจง
“งั้นเข้าไปในงานกันเถอะ ป่านนี้งานคงใกล้เริ่มแล้วมั้ง ได้ยินเสียงนังเก้งกวางวี้ดว้ายมาจากในงานว่าเจ้าชายฟารฮานมาถึงแล้วเหมือนกัน รู้สึกว่าจะพร้อมๆ แกมั้ง”
“เหรอ...ช่างเถอะ เขาจะมาเร็วหรือช้าไม่เห็นจะเกี่ยวกับฉันนี่หว่า? ไม่ได้สนใจเจ้าชงเจ้าชายนั่นสักหน่อย แกก็รู้ว่าฉันสนใจอยู่อย่างเดียวคือจะได้รางวัลหรือเปล่าเท่านั้นเอง สร้อยคอทองคำหนักยี่สิบบาทนั่นไง” ปิยาพัชรพูดตรงๆ แต่ก็รู้อยู่หรอกนะว่าไอ้คนดวงไม่ดีอย่างเธอน่ะหรือจะมีสิทธิ์ได้ สงสัยชาติหน้าตอนบ่ายๆ ละมั้งถึงจะได้
“เอาน่า แกจะเดือดร้อนไปทำไม ถึงไม่ได้ของชิ้นใหญ่ แต่ฉันได้ข่าวใหม่มานะว่าใครที่ไม่ได้รางวัลอะไร ให้เก็บหางบัตรเอาไว้ หลังงานเลิกให้ไปรับรางวัลปลอบใจที่แผนกบุคคลละแก” มือเล็กเรียวเกาะเกี่ยวนิ้วเรียวยาวของเพื่อนรักเดินตามกันเข้าไปในห้องบอลลูมที่จัดงาน
“พาหม่อมฉันกลับมาอีกทำไม หม่อมฉันไม่อยากเห็นหน้าคนใจร้าย คนหลอกลวง”“ถ้าไม่ใจร้ายและหลอกลวงอีก จะอยู่ด้วยไหมล่ะ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มและเว้าวอนทำเอาคนที่พยายามจะใจแข็งถึงกับสั่นระรัว ด้วยรู้ชะตาตัวเองดีตั้งแต่ถูกจับได้นั่นแหละว่าอาจหนีไม่พ้นอ้อมแขนใหญ่นี้ไปตลอดชีวิต“จะรู้ได้ไง พระองค์จะไม่หลอกหม่อมฉันอีก ทั้งพี่ทั้งน้องช่างวางแผนและเจ้าเล่ห์เหลือเกินนี่”“ใช้หัวใจแลกหัวใจไง”“เชอะ...คนอย่างองค์นาสเซอร์ ประมุขผู้ครองแคว้นซัลจาร์บาเมีย ชายหนุ่มที่มีผู้หญิงนับสิบอ๋อ...นับร้อยมากกว่าคอยถวายตัวเป็นข้ารองบาทน่ะหรือจะยอมหยุดอยู่ที่ผู้หญิงอย่างหม่อมฉันเพียงคนเดียว เชื่อตายละ” กัญญาพัชรยังคงปากแข็งแม้ใจจะยอมผ่อนตามไปเกือบจะครึ่งแล้ว“อ้าว...ทำไมล่ะ เราแตกต่างกับชายหนุ่มคนอื่นอย่างไร ถึงจะหยุดอยู่ที่ผู้หญิงเพียงคนเดียวไม่ได้น่ะ ผู้หญิงไม่ใช่สิ่งสำคัญเสมอไปในชีวิตนะมัดหวาย สำหรับเราเมื่อเราพบคนที่ใช่ เราก็พร้อมที่จะหยุดทุกอย่างไว้ที่เธอคนนั้นเพียงคนเดียว และตอนนี้เราก็คิดว่าเราพบนางคนนั้นของเราแล้ว”หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักๆ ไม่เป็นจังหวะ นาสเซอร์หมายถึงเธอใช่ไหม ‘ไม่นะมัดหวาย แกอย่าลืมซิว่าเขาหลอกลว
“ไม่ใช่หรอกมัดหมี่ ถ้าเพียงแค่ความต้องการของผู้ชายคนหนึ่ง ฉันว่าเขาไม่ทำถึงขนาดนี้หรอก” ใบหน้าคมคร้ามแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม มือใหญ่จับมือเล็กเรียวมาวางบนแผงอกกว้างตรงที่มีหัวใจกำลังเต้นอยู่“สิ่งที่ฉันทำด้วยความเจ้าเล่ห์และร้ายกาจก็จริง แรกเริ่มมาจากเพียงแค่ความปรารถนาก็จริง แต่สิ่งหนึ่งนับจากวันแรกที่ฉันได้ครอบครองความบริสุทธิ์ของสาวน้อยคนนั้น มันเป็นคำสั่งมาจากหัวใจทั้งสิ้น” สองมือใหญ่จับรั้งใบหน้าขาวสวยให้จ้องเข้าไปในดวงตาคมกริบ“ฉันอยากจะบอกให้มัดหมี่รู้เหมือนกัน ฉัน...รัก...มัดหมี่”ปิยาพัชรแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้าง หากว่าไม่ถูกจับรั้งไว้ศีรษะทุยคงจะส่ายบอกว่าไม่เชื่อและไม่จริง แต่คำพูดที่หนักแน่น ดวงตาที่มั่นคงดุจดังภูเขาหินที่ไม่อาจพังทลายลงมาได้ ไม่ว่าจะเจอพายุร้ายเพียงใดเป็นคำตอบที่ชัดเจน และที่สำคัญคือหัวใจของเธอมันก็เลือกที่จะเชื่อคำพูดนั้นซะด้วยสองแขนเรียวโอบรอบกายแข็งแกร่ง “จริงๆ นะคะ คุณฟารฮานพูดจริงๆ นะคะ ไม่ได้หลอกให้มัดหมี่ดีใจเล่นนะคะ”“จริงซิ ฉันจะโกหกมัดหมี่ทำไมล่ะ เพราะรัก ฉันเลยต้องวางแผนการร้ายทุกอย่าง เพื่อส่งแม่สาวจอมหว
“แสดงว่าพวกนายรู้แผนการของเราทุกอย่างเลยใช่ไหม แล้วรู้ได้ยังไง รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมถึงไม่ขัดขวางตั้งแต่ต้น”“เอาเป็นว่าฉันจะเล่าให้เธอฟังวันหลังนะ แต่วันนี้ขอฉันลงโทษคนที่ทำให้ใจเสียก่อนละกัน”ใบหน้าขาวสวยแย้มยิ้ม ดวงตาเป็นประกายพราวระยับ สองแขนเรียวยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่ง “เสียใจด้วยนะอินซอฟ เผอิญว่าวันนี้เครื่องซักผ้ามันดันเกิดแอ๊กซิเดนท์ ทำงานไม่ได้อ่ะ”จันฑีราหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจ ยิ่งได้เห็นใบหน้าเสียอารมณ์ของอินซอฟก็ยิ่งอยากแกล้งยั่วเย้าให้หนักขึ้นอีก แต่รู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่เธอหายจากสิ่งที่เป็นอยู่ ย่อมจะต้องถูกเขาเอาคืนจนอาจจะลุกจากเตียงไม่ได้เพราะความเพลียมือเล็กจับแขนใหญ่วางยาวแนบไปกับพื้นเตียง พร้อมกับวางศีรษะลงไปนอนหนุน อีกมือก็จับแขนใหญ่มาพาดรอบเรือนกายเล็ก กายบางขยับจนแนบชิดกับเรือนกายใหญ่ นับจากวันนี้ชีวิตที่เคยมีเคยอยู่คนเดียวได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาเติมเต็มด้วยความรักและความอบอุ่น“ขอบใจนะอินซอฟที่รักฉัน เมื่อก่อนที่ฉันเคยทำร้ายและทำไม่ดีกับนายไว้ ขอให้นายยกโทษและให้อภัยฉันด้วยนะ ฉันสัญญาว่าต่อไปนี้ฉันจะทำตัวดีๆ และรักนายให้มากที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำ
“จะไปไหนล่ะมัดหมี่...” แขนแข็งแกร่งสอดเข้าระหว่างเอวเล็กคอดและดึงเข้าหาตัว ศีรษะทุยโน้มลงกระซิบเบาๆ ข้างใบหูนุ่ม น้ำเสียงกึ่งกระเซ้าและยั่วเย้า“รู้ไหมว่าโทษของคนที่คิดหนีฉันน่ะมันร้ายแรงมากนะ”“ปล่อยน้องสาวฉันนะนายฟารฮาน” แม้จะห้อยต่องแต่งอยู่บนร่างสูงใหญ่ แต่กัญญาพัชรก็ไม่วายส่งเสียงแว้ดๆ ใส่ฟารฮาน สองมือยันแผ่นหลังกว้างเพื่อจะได้นำเอาตัวเองลงไปขัดขวาง“ฉันว่าเธอเอาตัวให้รอดพ้นจากพี่ชายฉันก่อนดีกว่านะมัดหวาย ก่อนที่จะมาช่วยเหลือคนอื่นเขาน่ะ” ฟารฮานตอบกลับด้วยน้ำเสียงยิ้มๆ คิ้วคมเข้มข้างหนึ่งเลิกขึ้นสูงเป็นจังหวะ“ไปกันเถอะมัดหมี่ เรามีเรื่องที่จะต้องคุยเหมือนกัน”“ว้าย!!” สองแขนเรียวโอบรอบลำคอแกร่งอย่างรวดเร็ว เมื่อร่างกายลอยขึ้นจากพื้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว “ทำอะไรก็ไม่รู้คุณฟารฮานน่ะ”“ก็พาคนที่กล้าหนีฉันไปลงโทษไง” ใบหน้าคมโน้มลงจนจมูกโด่งคมประชิดติดแก้มนุ่ม“บ้า...” ปิยาพัชรส่งค้อนให้คนพูดวงโตด้วยความอบอุ่นในหัวใจ เพราะฟังจากน้ำเสียงฟารฮานไม่ได้โกรธเคืองเธอแม้แต่น้อยนิด อาจมีน้อยใจบ้าง แต่ถ้าอธิบายให้ฟังเขาก็พร้อมที่จะเข้าใจ“โว้ย...ปล่อยฉันนะคนบ้า คนเฮ็งซวย ไอ้ผู้ชายเส็งเคร็ง รัง
ยามราตรีที่ท้องฟ้ามีแสงดาวส่องนำทาง สามร่างเดินตามกันไปอย่างรีบเร่ง โดยมีร่างสูงโปร่งเดินนำและร่างบอบบางอีกสองร่างเดินตามไปติดๆ ศีรษะทุยสอดส่ายเหลียวซ้ายแลขวา ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ถึงแม้จะรู้ว่าคืนนี้นาสเซอร์ ฟารฮาน และอินซอฟกำลังอยู่ร่วมการประชุมในการกำหนดนโยบายของแคว้นว่าจะให้เดินไปในทิศทางใดหลังจากนี้ แต่ใครจะรู้เล่าเกิดว่าคนหนึ่งคนใดเกิดสงสัยในพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ และกระซิบกระซาบที่เธอและน้องๆ ทั้งสองคนมีมีหลายครั้งที่ร่างโปร่งบางหยุดยืนและหันไปจะเอ่ยปากถามสองสาวที่ตามมาด้วยว่าตัดสินใจดีแล้วใช่ไหมที่จะตามเธอไปน่ะ แต่พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรักและห่วงใยของสองสาวก็ทำให้พูดไม่ออก ใจจริงกัญญาพัชรไม่ได้อยากชวนปิยาพัชรและจันฑีราหนีไปด้วย แต่เพราะความเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพของสองสาว ที่ไม่รู้ว่าจะต้องโดนหางเลขจากคนที่ไม่หวังดีด้วยเมื่อไหร่ มันก็ทำให้เธอต้องคะยั้นคะยอชักแม่น้ำทั้งห้าให้สองสาวเดินทางหลบหนีกลับบ้านด้วย อีกทั้งเมื่อน้องสาวทั้งสองคนรู้ว่าเธอจะหนีกลับ ทั้งสองก็ไม่ยอมให้เธอต้องเดินทางเพียงลำพังปิยาพัชรและจันฑีราเดินตามกัญญาพัชรไปด้วยใจที่เจ็บปวดและหวาดกลัว
“อ้าว...พี่มัดหวายหลับแล้วละแก” ปิยาพัชรที่เล่าเรื่องของตัวเองจ๋อยๆ ด้วยความดีใจและสุขล้นหยุดอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมโตแปรเปลี่ยนเป็นหมองเศร้าลง เธอเล่าเรื่องทุกอย่างให้พี่สาวฟังแทบทั้งหมด ยกเว้นเรื่องที่เธอตกเป็นของฟารฮานแล้วและเรื่องถูกปองร้ายหมายเอาชีวิต“ใจเย็นๆ นะแก ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานอินซอฟจะต้องหาคนที่คิดร้ายกับแกเจอ” จันฑีรายกมือขึ้นตบบ่ากว้างของเพื่อนรักเบาๆ เธอเองก็เป็นกังวลไม่น้อยไปกว่าปิยาพัชร แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่ากัญญาพัชรมีอาการดีขึ้น ความเหนื่อยจากการเดินทางไกลก็เริ่มประท้วง ริมฝีปากอวบอิ่มอ้าหาวหวอดๆ ดวงตาก็เริ่มที่จะหรี่ลง“ฉันไม่ไหวแล้วแก ขอนอนกอดพี่มัดหวายก่อนนะ” ร่างบอบบางคลานขึ้นไปบนเตียงนอนใหญ่ เอนตัวนอนแนบชิดร่างกัญญาพัชร“เฮ้ย...ไม่เอาซิแก ฉันนอนด้วย” ปิยาพัชรบอก เพราะเธอก็เหนื่อยและเพลียเหมือนกัน ร่างบอบบางรีบเอนตัวลงอิงแอบแนบซบกับร่างพี่สาว แขนเรียวยาวพาดไปโอบร่างโปร่งไว้ แต่ด้วยความไม่ระมัดระวังทำให้ปลายมือไปถูกเอาที่บาดแผล ทำให้คนที่หลับอยู่ถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ และเจ็บปวดเล็กน้อย“ขอมัดหมี่นอนด้วยนะพี่มัดหวาย คิดถึง อยากนอนกอดพี่” ปิยาพัชรบอกเสียงหว