ฉันเดินออกจากห้องเรียนด้วยหัวใจที่เต้นระรัว เสียงฝีเท้าของครูพีทยังคงก้องอยู่ในหู ราวกับว่าทุกก้าวที่เขาเดินออกจากห้องนั้นฝากอะไรบางอย่างไว้ในใจฉัน ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน มันทั้งตื่นเต้นและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน ฉันพยายามสลัดความรู้สึกนี้ออกไป แต่ก็พบว่ามันติดแน่นอยู่ในหัวใจฉันเหมือนฝันร้ายที่ฉันไม่อาจหลีกหนีได้
ฉันเดินไปตามทางเดินของโรงเรียนที่เงียบสงบเพราะยังเป็นช่วงพักกลางวัน นักเรียนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่ห้องอาหาร ฉันพยายามทำตัวให้ปกติ แต่ภายในใจกลับว้าวุ่นจนฉันรู้สึกว่าใครๆ ก็คงมองออกว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับฉัน
ในที่สุดฉันก็กลับมาถึงห้องเรียนและนั่งลงที่โต๊ะของฉัน ฉันหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาเปิดอ่าน หวังว่าจะสามารถตั้งสมาธิได้ แต่ความคิดของฉันกลับพุ่งตรงไปยังครูพีทอีกครั้ง ความอบอุ่นจากการสัมผัสมือของเขายังคงติดอยู่ในความทรงจำ และฉันไม่อาจลบมันออกไปได้
‘ทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนี้?’ ฉันถามตัวเองในใจ แต่ไม่มีคำตอบใดที่สามารถตอบสนองความสงสัยของฉันได้ ฉันรู้ดีว่าครูและนักเรียนไม่ควรมีความสัมพันธ์เกินเลย แต่ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงครูพีท ความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ฉันพยายามจะสนใจเนื้อหาที่กำลังเรียนในช่วงบ่าย แต่ก็พบว่ามันยากเหลือเกิน ทุกครั้งที่ครูพีทมองมาที่ฉัน ฉันรู้สึกเหมือนถูกสะกดให้หยุดหายใจ สายตาของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตกอยู่ในกับดักที่ฉันเองเป็นคนสร้างขึ้น
เมื่อเลิกเรียนในวันนั้น ฉันตัดสินใจว่าจะต้องออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง ฉันเดินออกไปที่สวนหลังโรงเรียน ซึ่งเป็นที่ที่ฉันมักจะมานั่งคิดอะไรเงียบๆ ตั้งแต่วันแรกที่ฉันมาถึงที่นี่
ฉันนั่งลงบนม้านั่งไม้ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ลมเย็นพัดผ่านใบไม้ ทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย แต่ความว้าวุ่นใจยังคงอยู่ในใจฉัน ฉันปิดตาลงและพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์
"ลิลลี่" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ฉันสะดุ้ง ฉันหันไปมองและพบว่าครูพีทกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เขามองฉันด้วยสายตาที่ฉันไม่อาจอ่านได้ แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกทั้งหวาดกลัวและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
"คะ...ครูพีท" ฉันตอบกลับด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อย ฉันไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ แต่ฉันก็ไม่อาจละสายตาจากเขาได้
"ฉันเห็นเธอมาที่นี่บ่อยๆ ดูเหมือนเธอจะชอบที่นี่นะ" ครูพีทพูดขณะที่เดินเข้ามาใกล้ ฉันรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายเมื่อเขายืนอยู่ใกล้ๆ
"ค่ะ... ที่นี่เงียบดี หนูชอบมานั่งคิดอะไรเงียบๆ ที่นี่" ฉันตอบกลับพยายามไม่ให้เสียงของฉันสั่นอีกครั้ง
ครูพีทนั่งลงข้างๆ ฉัน บรรยากาศรอบตัวเรากลับรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ราวกับว่าลมเย็นที่พัดผ่านมาตลอดเวลาหายไปหมดสิ้น ฉันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของเขาที่อยู่ใกล้แค่นี้
"เธอดูเป็นเด็กที่มีอะไรในใจเยอะนะ" ครูพีทพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สายตาของเขามองตรงไปที่ฉัน ราวกับว่าเขากำลังพยายามอ่านความคิดของฉัน
"ค่ะ... หนูแค่... หนูแค่คิดถึงเรื่องหลายๆ อย่าง" ฉันพยายามหาคำตอบที่ไม่ทำให้เขาสงสัยในความรู้สึกของฉัน
"บางครั้งการได้พูดออกมาก็ช่วยได้มากนะ ลิลลี่" ครูพีทพูดพลางยิ้มให้ฉัน รอยยิ้มนั้นทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ทำให้หัวใจฉันเต้นเร็วขึ้นด้วย
ฉันลังเลอยู่นานก่อนจะตัดสินใจพูด "หนูแค่รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับที่นี่... ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงต้องมาที่นี่ ทั้งที่รู้ว่ามันยากแค่ไหน"
ครูพีทยังคงมองฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ "ไม่มีใครเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับอะไรหรอก ลิลลี่ มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่เราเผชิญ ถ้าเธอพยายามและไม่ยอมแพ้ เธอก็จะพบว่าตัวเองสามารถทำสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้"
ฉันมองเขา รู้สึกถึงความจริงในคำพูดของเขา แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกว้าวุ่นในใจที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ฉันอยู่ใกล้เขา "ขอบคุณค่ะ... ครู หนูจะพยายาม"
"ฉันเชื่อว่าเธอทำได้" เขาพูดพร้อมกับยิ้มให้ฉันอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เอื้อมมือมาวางบนไหล่ของฉันเบาๆ "ถ้าเธอรู้สึกว่าอะไรยากเกินไป อย่าลังเลที่จะมาคุยกับฉันได้เสมอ"
การสัมผัสนั้นทำให้หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ราวกับว่าการสัมผัสนั้นได้จุดไฟบางอย่างในใจฉัน
ฉันพยักหน้ารับเบาๆ ไม่กล้าพูดอะไรต่อ เพราะกลัวว่าความรู้สึกในใจจะเผยออกมาผ่านน้ำเสียงที่สั่นไหวของฉัน
ครูพีทลุกขึ้นและยิ้มให้ฉันอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป ฉันมองตามหลังเขาไปจนเขาหายลับไปจากสายตา แต่หัวใจของฉันยังคงเต้นแรง และความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นยังคงคุกรุ่นในใจฉัน
เมื่อกลับไปที่ห้องพักของฉัน ฉันนั่งลงบนเตียงและพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ แต่ทุกครั้งที่ฉันหลับตา ภาพของครูพีทก็กลับมาอีกครั้ง การสัมผัสที่ไหล่ของฉันยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ
‘ฉันจะทำยังไงดี?’ ฉันถามตัวเองในใจ ความรู้สึกนี้มันยากที่จะอธิบาย ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรรู้สึกแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่ฉันอยู่ใกล้ครูพีท หัวใจของฉันกลับทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นคนพิเศษ
เวลาผ่านไป ฉันพยายามทำใจและเริ่มทำการบ้านที่ได้รับมา แต่สมาธิของฉันก็หลุดลอยไปทุกครั้งที่นึกถึงครูพีท ฉันไม่สามารถหยุดคิดถึงเขาได้ มันเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันพยายามทำกลายเป็นเรื่องไร้ความหมายไปเมื่อเทียบกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจฉัน
วันต่อมา ฉันกลับมาที่ห้องเรียนตามปกติ แต่วันนี้ความรู้สึกที่ว้าวุ่นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อฉันเดินเข้ามาในห้องและเห็นครูพีทอยู่ที่โต๊ะครู เขากำลังตรวจเอกสารบางอย่าง แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นและสบตากับฉัน ฉันรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน
ฉันพยายามทำตัวให้ปกติและนั่งลงที่โต๊ะของฉัน แต่สายตาของครูพีทยังคงติดอยู่ในหัวของฉัน รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าหาเขาอีกครั้ง
ในช่วงเวลานั้น ฉันรู้สึกว่าฉันไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไป ฉันรู้ว่าฉันควรจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้ฉันรู้สึกแบบนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าฉันไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย
ในชั่วโมงเรียน ครูพีทดูเงียบขรึมกว่าปกติ เขาสอนเนื้อหาวรรณคดีด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง ฉันรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้น ทุกครั้งที่เขาหันมามอง หัวใจของฉันรู้สึกเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อชั่วโมงเรียนจบลงและนักเรียนคนอื่นๆ เริ่มออกจากห้อง ฉันเก็บของช้าๆ หวังว่าจะได้อยู่คนเดียวสักพัก แต่ทันใดนั้น เสียงของครูพีทก็ดังขึ้นข้างหลังฉัน
"ลิลลี่ มาที่หน้าห้องสิ” ครูพีทพูดเสียงเบา แต่กลับมีอำนาจที่ทำให้ฉันไม่อาจปฏิเสธได้ ฉันหันไปมองเขา หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง
“หนูทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ?” ฉันถามเสียงเบา
"เธอไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก แต่ฉันคิดว่าเธอมีบางอย่างที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม" ครูพีทยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือมาแตะที่คางเพื่อยกหน้าของฉันให้สบตากับเขา
สายตาของครูพีทที่มองมาเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ไม่สามารถปิดบังได้ ฉันรู้สึกถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้นในอก และลมหายใจที่เริ่มติดขัดเมื่อเขาเข้ามาใกล้ขึ้น
“บทเรียนอะไรเหรอคะ?” ฉันพึมพำออกมาไม่มั่นใจ
“หลังเลิกเรียนเธอมาหาฉันที่ห้องพักครู ฉันจะได้สอนบทเรียนที่เธอยังไม่เข้าใจ” ครูพีทยิ้มมุมปาก
ฉันพยักหน้าเบาๆ "ได้ค่ะ หนูจะไป"
หลังจากเลิกเรียน ฉันเดินไปที่ห้องพักครูด้วยหัวใจที่เต้นแรง ฉันไม่แน่ใจว่าทำไมครูพีทถึงต้องการพบฉันเป็นการส่วนตัว แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจทำให้ฉันรู้สึกทั้งตื่นเต้นและระแวงในเวลาเดียวกัน
เมื่อฉันมาถึงหน้าห้องพักครู ฉันเคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดเข้าไป ครูพีทนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา และเมื่อเขาเห็นฉัน เขายิ้มอย่างอบอุ่น
"เข้ามาสิ ลิลลี่" เขาพูดขณะที่ชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับเขา
ฉันนั่งลงและพยายามควบคุมความตื่นเต้นในใจ "ครูจะสอนบทเรียนอะไรคะ?"
ครูพีทหยิบเอกสารบางอย่างขึ้นมา "ฉันเห็นว่าเธอมีปัญหากับการทำความเข้าใจบทเรียนนี้ ฉันคิดว่าเราควรจะทบทวนมันด้วยกัน"
ฉันพยักหน้าและเริ่มเปิดหนังสือเรียนของฉัน แต่ทุกครั้งที่ฉันพยายามตั้งสมาธิ สายตาของครูพีทกลับดึงดูดฉันให้หลุดออกจากความคิดที่ควรจะเป็น
การทบทวนเนื้อหาดำเนินไปอย่างช้าๆ ฉันพยายามที่จะสนใจในสิ่งที่ครูพีทกำลังอธิบาย แต่ความใกล้ชิดของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปในความสัมพันธ์ที่ฉันไม่ควรมี
เมื่อการทบทวนจบลง ครูพีทยิ้มให้ฉันอีกครั้ง "เธอเข้าใจมากขึ้นไหม?"
ฉันพยักหน้า "ค่ะ ขอบคุณครูมากค่ะ"
"ยินดีเสมอ ถ้าเธอมีปัญหาอะไรก็มาหาฉันได้เสมอ" เขาพูดขณะที่วางมือบนไหล่ของฉันอีกครั้ง
การสัมผัสนั้นทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ฉันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่ฉันกลับไม่สามารถห้ามตัวเองได้
ฉันมองเข้าไปในดวงตาของครูพีท รู้สึกถึงความดึงดูดที่ทวีความรุนแรงขึ้น "หนูจะจำไว้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ"
"ยังมีบทเรียนที่เธอต้องเรียนรู้เพิ่มนะ" เขาพูดเบาๆ ก่อนที่จะยิ้มให้ฉันอีกครั้ง
“อะไรคะ?” ฉันมองเขาด้วยความสงสัย
“บทเรียนเกี่ยวกับความรู้สึก... และสิ่งที่เธออาจยังไม่เข้าใจดีพอ”
“เอ๋?”
ฉันเอียงคอมองครูพีทด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะตกใจเมื่อครูพีทดึงฉันเข้าไปใกล้ชิด มือของเขาเคลื่อนมาสัมผัสที่เอวของฉัน ฉันรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย หัวใจของฉันเต้นแรง ความตื่นเต้นและกังวลประดังเข้ามาพร้อมกัน แต่ฉันไม่อาจขยับตัวหนีได้
“ครูคะ..” น้ำเสียงของฉันสั่นเล็กน้อย
“ลิลลี่ บางสิ่งในชีวิตไม่สามารถเรียนรู้ได้จากหนังสือ เธอจะต้องสัมผัสมันด้วยตัวเอง” ครูพีทมองมาที่ฉันด้วยสายตาเจ้าชู้ มุมปากของเขายิ้มขึ้น
ฉันรู้สึกถึงลมหายใจของครูพีทที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกจากตัวของเขา ริมฝีปากของเขาอยู่ใกล้เพียงไม่กี่นิ้ว
ขณะที่ฉันรู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังหยุดนิ่ง ครูพีทก็โน้มตัวเข้ามาใกล้จนริมฝีปากของเขาแตะที่ริมฝีปากของฉันเบาๆ การจูบครั้งแรกนี้อ่อนโยนแต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ฉันรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมา
ฉันไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกนี้ได้ ฉันตอบรับการจูบของครูพีทด้วยความลังเลและความตื่นเต้นที่ปะปนกัน มือของฉันสั่นเล็กน้อยเมื่อครูพีทกอดฉันแน่น ร่างกายฉันรู้สึกอุ่นขึ้นและเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ฉันไม่เคยรู้สึกมาก่อน
หลังจากการจูบที่ยาวนานและลึกซึ้ง ครูพีทถอนริมฝีปากออกจากฉันอย่างช้าๆ สายตาของเขามองมาที่ฉันด้วยความปรารถนา ฉันรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงที่เกินกว่าความเป็นครูกับนักเรียน
“นี่เป็นเพียงบทเรียนแรกเท่านั้น ลิลลี่” ครูพีทกระซิบเบาๆ ข้างหูของฉัน
“เธอพร้อมที่จะเรียนรู้ต่อหรือยัง?”
ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรมหรูใจกลางลอนดอนเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติจากหลากหลายวงการ บรรยากาศอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะและบทสนทนาอันอบอุ่นของผู้คนที่แต่งกายอย่างสง่างาม ผ้าปูโต๊ะสีขาวเรียบหรูตัดกับแสงไฟระยิบระยับ พ่อเฮนรี่และพ่อของครูพีทยืนอยู่ด้านหน้าเวที ทั้งสองทักทายแขกเหรื่อด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจเสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ จากวงออร์เคสตราที่มุมห้อง เพิ่มความหรูหราให้กับบรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ แขกที่มาร่วมงานล้วนแต่งกายงดงามในชุดทางการ ผู้หญิงในชุดราตรียาวสวยหรู ส่วนผู้ชายในสูทตัดเย็บอย่างประณีตฉันยืนอยู่ด้านหลังม่านด้วยความรู้สึกตื่นเต้นระคนประหม่า สวมชุดราตรีสีขาวงาช้างที่ออกแบบมาเพื่อฉันโดยเฉพาะ ผ้าซาตินเนื้อดีจับเดรปอย่างประณีต โอบรับช่วงเอวให้ดูคอด ก่อนชายกระโปรงจะบานออกเล็กน้อยอย่างอ่อนช้อย ผมยาวของฉันถูกเกล้าเป็นมวยต่ำ ประดับด้วยไข่มุกเล็กๆ ที่จัดวางอย่างละเมียดละไม ต่างหูเพชรระยิบระยับที่แม่เลือกให้อย่างพิถีพิถัน ยิ่งช่วยขับความงดงามของลุคนี้ให้สมบูรณ์แบบฉันสูดลมหายใจลึก พยายามสงบจิตใจขณะเสียงพูดคุยจากห้องจัดเลี้ยงดังแว่วเข้ามาเสียงกระซิบและเสียงหัวเราะเบาๆ ของแขก
“พี่พีท!!”เสียงอุทานของลิลลี่ดังขึ้น ดวงตาคู่สวยของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นผมยืนอยู่ตรงหน้าผมกลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่ เมื่อเห็นสีหน้าทั้งงุนงงและไม่เชื่อสายตาของเธอ“ว่าไงครับ?คู่หมั้นของผม” ผมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ พลางส่งยิ้มให้เธอ“ทะ...ทำไม?” ลิลลี่ยังคงอึ้งจนแทบพูดไม่ออก คำถามที่เต็มไปด้วยความสงสัยปรากฏชัดในสายตาของเธอ“ยังจะปฏิเสธผมอีกมั้ย?” ผมถามยั่วเย้า รอยยิ้มของผมยิ่งกว้างขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงซ่านของเธอผมยื่นมือขึ้น ลูบแก้มเธอเบาๆ ราวกับต้องการย้ำเตือนให้เธอรู้ว่านี่คือความจริง ปลายนิ้วสัมผัสกับผิวอ่อนนุ่มของเธอ ความคิดถึงที่เก็บสะสมมานานพลุ่งพล่านขึ้นมาจนผมแทบระงับไว้ไม่อยู่“คิดถึงจะแย่แล้ว เธอล่ะ คิดถึงฉันมั้ย?”“คือ...หนู...งงไปหมดแล้ว...” ลิลลี่ยังคงมึนงง เธอพึมพำเหมือนยังไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น“หนูไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยคะ?” ดวงตาคู่สวยจ้องมองผมด้วยความไม่แน่ใจ มือเรียวเล็กเอื้อมมาสัมผัสที่ตัวผมเบาๆ ราวกับต้องการพิสูจน์ผมยิ้มอ่อนให้เธอ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปใกล้ กดจูบลงบนริมฝีปากบางของเธอด้วยความอ่อนโยน ความคิดถึงทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านจูบนั้นริมฝีปากของเราส
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นขึ้นมาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ความคิดถึงคำพูดของแม่เมื่อคืนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ราวกับภาพยนตร์ที่ถูกฉายซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันไม่อยากเชื่อว่าตัวเองกำลังถูกบังคับให้พบกับว่าที่คู่หมั้น และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะปฏิเสธเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ขัดจังหวะความคิดในหัว ก่อนที่แม่บ้านจะเปิดประตูเข้ามา พร้อมสาวใช้ประจำตัวของฉันที่เดินตามหลัง“คุณหนูคะ คุณหญิงสั่งให้เราเตรียมตัวให้คุณดูดีที่สุดค่ะ” แม่บ้านพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่เต็มไปด้วยความนอบน้อม“ดูดีที่สุด?” ฉันทวนคำในใจอย่างขมขื่น ราวกับคำสั่งนี้ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่กำลังต่อต้าน“วันนี้คุณหญิงบอกว่ามีแขกคนสำคัญจะมาเยี่ยมค่ะ”สาวใช้พูดเสริม ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า และหยิบชุดเดรสผ้าซาตินสีขาวออกมาชุดที่พวกเธอเลือกเป็นเดรสที่ดูเรียบหรู ตัดเย็บอย่างประณีต พร้อมกับรองเท้าส้นสูงสีเงินที่เข้ากัน ทุกอย่างดูงดงามและเหมาะสมเกินกว่าจะปฏิเสธพวกเธอช่วยฉันแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน เส้นผมยาวสลวยถูกจัดเป็นลอนคลายอย่างอ่อนหวาน และเกล้าครึ่งศีรษะอย่างประณีต ใบหน้าของฉันได้รับการแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง
ชีวิตฉันในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเหมือนตกอยู่ในฝันที่ทั้งสวยงามและวุ่นวายไปพร้อมกัน หลังจากได้รับรางวัลนักเขียนบทวรรณคดีดีเด่น งานเขียนและโปรเจกต์ใหม่ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ฉันพยายามจัดการทุกอย่างอย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ตัวเองและแสดงให้แม่เห็นว่าฉันสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเองเวลาผ่านไปเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คือการติดต่อกับครูพีท เรายังคงแลกเปลี่ยนข้อความและวิดีโอคอลกันเสมอ ทุกครั้งที่ฉันเหนื่อยล้าหรือรู้สึกท้อแท้ คำพูดที่แสนอบอุ่นของเขาก็เหมือนแรงผลักดันที่ช่วยให้ฉันยืนหยัดต่อไปแต่แล้ววันที่ฉันไม่เคยคาดคิดก็มาถึง...เย็นวันศุกร์ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ฉันเพิ่งกลับมาจากงานสัมมนาวรรณกรรม ใบหน้าฉันยังคงประดับด้วยรอยยิ้มจาง ๆ จากคำชื่นชมที่ได้รับในวันนี้ แต่เมื่อฉันเปิดประตูห้องพักเข้าไป ฉันต้องชะงัก“แม่?” ฉันเรียกด้วยความประหลาดใจ“แม่มาได้ไงคะ?”“ลิลลี่ ไปกับแม่เดี๋ยวนี้” แม่พูดเสียงนิ่ง แต่หนักแน่น ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำออกจากห้องพักไป ทิ้งฉันไว้กับความงุนงง แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเดินตามไปไม่นานนัก แม่ก็พาฉันมาถึงบ้านของพ่อเฮนรี่ บ้านหล
ทันทีที่ฉันเปิดประตู ใบหน้าคุ้นเคยก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของฉัน“พี่พีท!!”เสียงของฉันแทบจะหลุดเป็นเสียงกรี๊ดด้วยความตกใจและดีใจสุดขีด ราวกับว่าเวลาในตอนนั้นหยุดนิ่ง มีเพียงสายตาของเราที่สบกัน และหัวใจของฉันที่เต้นแรงจนแทบหลุดออกมาครูพีทโน้มตัวลงมาจูบฉันอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากร้อนทาบลงอย่างแนบแน่น มือใหญ่ประคองใบหน้าฉันไว้มั่น ก่อนจะดันตัวฉันเข้ามาในห้องพร้อมปิดและล็อคประตูเขาดันฉันไปชิดกับผนัง ริมฝีปากกดจูบอย่างเร่าร้อนและเต็มไปด้วยความปรารถนา ลิ้นของเขาสอดแทรกเข้ามาในโพรงปาก ไล่ต้อนและดูดดุนลิ้นของฉันอย่างลึกซึ้ง จนหัวใจฉันเต้นรัวแทบไม่เป็นจังหวะมือของเขาสอดเข้ามาใต้เสื้อของฉัน ปลดตะขอบราออกด้วยมือเพียงข้างเดียว อีกมือเลื่อนขึ้นมาสัมผัสอกอวบอิ่ม คลึงเบา ๆ จนยอดถันชูชันตอบรับต่อสัมผัสอันร้อนแรง“อื้ม..”ฉันครางเบา ๆ ในลำคอ ความเสียวซ่านพุ่งผ่านทุกอณูเมื่อปลายนิ้วของเขาบีบคลึงยอดถันกระตุ้นอารมณ์ให้พลุ่งพล่านฉันดึงเสื้อของเขาออกจากศีรษะอย่างรวดเร็ว มือบางลูบไล้ไปตามลอนกล้ามเนื้อที่เรียงตัวสวยงามของเขา เราสบตากันชั่วครู่ก่อนริมฝีปากจะประกบกันอีกครั้ง จูบกันอย่างดูดดื่ม ราวกับไม่มีสิ่งใดในโ
เสียงปรบมือดังก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่ของโรงแรมหรูใจกลางลอนดอน ผู้คนในชุดทางการต่างลุกขึ้นยืนปรบมือแสดงความยินดี ฉันยืนอยู่บนเวทีด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ มือข้างหนึ่งถือรางวัล “นักเขียนบทวรรณคดีดีเด่นแห่งปี” ส่วนอีกข้างยกขึ้นโบกมือให้กับผู้คนที่มาร่วมงานฉันไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตในวัยเพียง 19 ปี จะพาฉันมายืนอยู่ตรงจุดนี้ ในฐานะนักเขียนรุ่นใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งผู้อ่านและนักวิจารณ์ นิตยสารชื่อดังต่างพูดถึงฉันในฐานะคนรุ่นใหม่ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในเจเนอเรชันเดียวกันหลังจากการมอบรางวัลสิ้นสุดลง ฉันเดินลงจากเวทีด้วยรอยยิ้ม ทีมงานของผู้จัดงานพาฉันไปยังห้องรับรองเพื่อเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์กับนักข่าวระหว่างเดิน ฉันพยายามหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อรวบรวมสติและเสริมความมั่นใจให้ตัวเอง บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความคึกคัก แต่ในใจของฉันกลับรู้สึกสงบนิ่ง พร้อมที่จะเล่าถึงเส้นทางที่พาฉันมาถึงจุดนี้“คุณลิลลี่ อลิสา วัฒนชัย” มิเชล ผู้สัมภาษณ์คนแรกจาก The London Chronicle สำนักข่าววรรณกรรมชื่อดังแห่งลอนดอนกล่าวขึ้น ขณะนั่งลงตรงข้ามฉันในห้องรับรองที่ตกแต่งอย่างหรูหรา“คุณกลายเป็นบุคค