เช้าวันใหม่ที่เซนต์เอมิลี่มาถึงแล้ว ฉันตื่นขึ้นมาในห้องพักเล็กๆ ที่ยังคงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับมันเลยสักนิด แสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อย
ฉันลุกขึ้นจากเตียงและเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการเตรียมตัวไปเรียน ฉันหยิบชุดนักเรียนที่เป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงจีบสีเทาออกมาจากตู้เสื้อผ้า และจัดผมให้เรียบร้อยตามระเบียบของโรงเรียน ความเคร่งครัดที่นี่ทำให้ฉันต้องระมัดระวังทุกการกระทำ ทุกอย่างต้องถูกต้องตามกฎที่ถูกวางไว้ แต่บางอย่างในใจฉันก็ยังรู้สึกว่า มีบางสิ่งที่ฉันกำลังท้าทายมันอยู่
เมื่อฉันเดินออกมาจากห้องพัก ฉันก็เจอกับซาร่าที่กำลังเตรียมตัวไปเรียนเหมือนกัน ซาร่าส่งยิ้มให้ฉันด้วยความเป็นมิตรเช่นเคย
"พร้อมไปเรียนหรือยัง?" ซาร่าถามด้วยน้ำเสียงสดใส
"พร้อมแล้วล่ะ" ฉันตอบกลับพร้อมกับยิ้ม "แต่ยังคงรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง"
"ไม่ต้องกังวลหรอก เดี๋ยวเธอก็ชิน" ซาร่าพูดพร้อมกับพยักหน้าให้ฉัน "วันนี้มีเรียนวรรณคดีเป็นวิชาแรกด้วยนะ ฉันจำได้ว่าเธอสนใจวรรณคดีมากเลยใช่ไหม?"
"ใช่ ฉันชอบอ่านนิยาย มันทำให้ฉันได้หลบหนีจากความจริงบ้าง" ฉันตอบอย่างตรงไปตรงมา "แต่...ครูพีทเป็นครูสอนวรรณคดีใช่ไหม?"
"ใช่แล้ว ครูพีทเป็นครูที่ดีมากเลยล่ะ เขาเข้าใจนักเรียนและสอนในแบบที่ไม่เหมือนใคร" ซาร่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
ฉันพยักหน้ารับ แต่ในใจกลับรู้สึกกระสับกระส่าย ฉันไม่สามารถหยุดคิดถึงครูพีทได้ สายตาของเขาที่มองมาที่ฉันเมื่อวานนี้ทำให้ฉันรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาซะงั้น แต่ฉันพยายามที่จะไม่แสดงความรู้สึกนั้นออกมาให้ซาร่าเห็น
"งั้นเราไปกันเถอะ เดี๋ยวจะสาย" ซาร่าพูดพร้อมกับเดินนำไปทางห้องเรียน
ฉันเดินตามซาร่าไปที่ห้องเรียนวรรณคดีที่อยู่ในอาคารหลักของโรงเรียน ห้องเรียนนี้เป็นห้องที่มีหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับแสงแดดเข้ามาอย่างเต็มที่ โต๊ะเรียนถูกจัดเรียงเป็นแถวๆ อย่างเป็นระเบียบ ที่นั่งของฉันอยู่แถวกลาง ใกล้กับหน้าต่างที่สามารถมองเห็นสวนข้างนอกได้
เมื่อฉันนั่งลงที่โต๊ะของตัวเอง ฉันก็เริ่มรู้สึกถึงความตื่นเต้นที่กำลังจะได้เรียนวิชาที่ฉันชอบ แต่ความตื่นเต้นนั้นกลับถูกแทนที่ด้วยความกังวลเมื่อครูพีทเดินเข้ามาในห้อง เขาเดินเข้ามาอย่างสง่างามและมั่นใจ ในมือของเขาถือหนังสือเล่มใหญ่ที่ดูเหมือนจะเป็นตำราวรรณคดี
"สวัสดีครับนักเรียนทุกคน" ครูพีทเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและเป็นมิตร "วันนี้เราจะเริ่มต้นด้วยการพูดถึงวรรณกรรมคลาสสิกที่มีอิทธิพลต่อวรรณกรรมสมัยใหม่"
ฉันพยายามตั้งใจฟังในสิ่งที่ครูพีทพูด แต่ทุกครั้งที่เขามองมาที่ฉัน ฉันกลับรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่คาดคิด ฉันพยายามไม่สบตากับเขา แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย
"ลิลลี่" ครูพีทเรียกชื่อฉันขึ้นมาท่ามกลางการบรรยาย ทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย
"คะ...คะ?" ฉันตอบกลับด้วยความตกใจเล็กน้อย
"คุณคิดยังไงกับแนวคิดเรื่องความรักในวรรณกรรมคลาสสิก?" เขาถามพลางมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ดูเหมือนต้องการคำตอบที่จริงใจ
ฉันนิ่งคิดสักพักก่อนที่จะตอบ "ฉันคิดว่าความรักในวรรณกรรมคลาสสิกมักถูกนำเสนอในลักษณะที่บริสุทธิ์และทรงพลัง มันเป็นความรักที่อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็สะท้อนถึงความเป็นมนุษย์ในทุกด้าน ทั้งความสุขและความเจ็บปวด"
ครูพีทพยักหน้าเล็กน้อย "เป็นความคิดที่น่าสนใจมากลิลลี่ ความรักในวรรณกรรมคลาสสิกมักเป็นสิ่งที่ยากจะอธิบาย มันเป็นทั้งแรงบันดาลใจและความท้าทายสำหรับนักเขียน และบางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้อ่านต้องตั้งคำถามกับความเชื่อในเรื่องความรักของตัวเอง"
ฉันรู้สึกถึงสายตาของเพื่อนร่วมชั้นที่หันมามองฉัน แต่ฉันพยายามไม่ใส่ใจและตั้งใจฟังครูพีทต่อไป การบรรยายของเขาเต็มไปด้วยความรู้และความหลงใหลในวรรณกรรม แต่ฉันก็ไม่สามารถหยุดความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อเขามองมาที่ฉันได้
หลังจากเลิกเรียนวรรณคดี ฉันรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยที่ไม่ต้องเผชิญกับสายตาของครูพีทอีก ฉันรีบเก็บของและเตรียมตัวไปเรียนวิชาต่อไป แต่ก่อนที่ฉันจะได้ลุกจากที่นั่ง ครูพีทก็เดินเข้ามาใกล้โต๊ะของฉัน
"ลิลลี่" เขาเรียกฉันเบาๆ
"คะ?" ฉันหันไปมองเขาด้วยความสงสัย
"ผมอยากคุยกับคุณเกี่ยวกับบทเรียนวันนี้ ถ้าคุณมีเวลาหลังเลิกเรียน เรานัดเจอกันที่ห้องสมุดได้ไหม?" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังแต่ไม่กดดัน
ฉันรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง แต่ก็พยายามทำใจให้สงบ "ได้ค่ะ ฉันจะไปเจอที่ห้องสมุดหลังเลิกเรียน"
"ขอบคุณครับ แล้วเจอกันนะ" ครูพีทพูดพร้อมกับยิ้มให้ฉันเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
หลังจากนั้นฉันก็เดินออกจากห้องเรียนและไปเรียนวิชาต่อไป แต่ในใจของฉันกลับรู้สึกว้าวุ่นและสับสน ฉันไม่รู้ว่าครูพีทต้องการคุยอะไรกับฉัน แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นและกังวลในเวลาเดียวกัน
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งถึงเวลาหลังเลิกเรียน ฉันรีบเก็บของและเดินไปที่ห้องสมุดตามที่ครูพีทบอกไว้ ห้องสมุดในช่วงบ่ายเงียบสงบมาก นักเรียนส่วนใหญ่กลับบ้านหรือไปทำกิจกรรมอื่นๆ กันแล้ว ฉันเดินเข้าไปในห้องสมุดและมองหาครูพีทที่นัดฉันไว้
เขานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องสมุด โต๊ะที่เขานั่งอยู่เต็มไปด้วยหนังสือที่ถูกเปิดไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ ฉันเดินเข้าไปใกล้เขาและนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามเขา
"ขอโทษที่ทำให้ต้องมาพบกันที่นี่" ครูพีทพูดขึ้นเมื่อเห็นฉันนั่งลง "ผมแค่คิดว่าเราอาจจะได้คุยกันอย่างเงียบๆ และเป็นส่วนตัวที่นี่"
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็อยากคุยเรื่องบทเรียนวันนี้อยู่เหมือนกัน" ฉันตอบกลับพร้อมกับพยายามทำตัวให้สบายๆ แม้ว่าฉันจะรู้สึกกดดันเล็กน้อย
"คุณตอบคำถามในห้องเรียนได้ดีมาก" ครูพีทพูดพลางมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่อบอุ่น "ผมเห็นว่าคุณมีความคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับวรรณกรรม และผมอยากให้คุณรู้ว่า ผมจะช่วยคุณพัฒนาความรู้ความเข้าใจในด้านนี้ได้อย่างเต็มที่"
"ขอบคุณค่ะ ครูพีท ฉันก็สนใจวรรณกรรมมากจริงๆ และอยากเรียนรู้เพิ่มเติม" ฉันตอบพร้อมกับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในหัวใจ
"ดีมาก" ครูพีทพยักหน้า "ถ้าคุณสนใจ เราอาจจะจัดเวลาพิเศษนอกเวลาเรียนเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับวรรณกรรมเพิ่มเติมได้ คุณคิดว่ายังไง?"
ฉันรู้สึกประหลาดใจกับข้อเสนอนี้ แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน "ฉันคิดว่ามันเป็นไอเดียที่ดีค่ะ"
"งั้นก็ตกลง" ครูพีทยิ้ม "เราจะเริ่มกันในสัปดาห์หน้า ผมจะแจ้งเวลาที่แน่นอนให้คุณทราบอีกที"
ฉันพยักหน้า "ขอบคุณค่ะ จะรอนะคะ"
หลังจากที่เราคุยกันเสร็จ ฉันก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก ครูพีทไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดหรือถูกกดดัน เขาทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันมีคุณค่าและสามารถพัฒนาตัวเองได้
แต่เมื่อฉันเดินออกจากห้องสมุดและกลับไปที่ห้องพักของฉัน ความรู้สึกที่ไม่แน่นอนก็กลับมาอีกครั้ง ฉันรู้สึกว่า ฉันอาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับบางสิ่งที่ฉันไม่ควรจะเกี่ยวข้อง สายตาของครูพีทที่มองมาที่ฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกถึงความสัมพันธ์ที่อาจจะเกินกว่าความเป็นครูและนักเรียน
ฉันนอนลงบนเตียงและพยายามข่มตาหลับ แต่ความคิดเกี่ยวกับครูพีทก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของฉัน ฉันรู้ว่าฉันควรจะหยุดคิดถึงเขา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ความรู้สึกนี้มันทั้งตื่นเต้นและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
เช้าวันต่อมา ฉันตื่นขึ้นมาและรู้สึกเหนื่อยล้าจากการนอนไม่พอ ฉันเตรียมตัวไปเรียนเหมือนทุกวัน แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ความคิดเกี่ยวกับครูพีทยังคงตามหลอกหลอนฉันอยู่
เมื่อฉันเดินไปถึงห้องเรียนวรรณคดี ฉันก็เห็นครูพีทยืนอยู่หน้าห้องเหมือนเดิม เขามองมาที่ฉันและยิ้มเล็กน้อย ฉันพยายามตอบกลับด้วยรอยยิ้มแต่รู้สึกได้ว่ามันไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่
"สวัสดีครับนักเรียนทุกคน วันนี้เราจะมาคุยกันต่อเกี่ยวกับวรรณกรรมคลาสสิก" ครูพีทพูดขึ้นเมื่อทุกคนเข้ามานั่งในที่ของตัวเองแล้ว "ใครมีคำถามหรือข้อสงสัยจากบทเรียนเมื่อวานไหม?"
นักเรียนคนหนึ่งยกมือขึ้นและถามเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องความรักในวรรณกรรมคลาสสิก ครูพีทตอบคำถามอย่างละเอียดและให้ตัวอย่างจากหนังสือหลายเล่ม แต่ทุกครั้งที่เขามองมาที่ฉัน ฉันก็รู้สึกว่าหัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง
ฉันพยายามตั้งใจเรียนและไม่สนใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ แต่เมื่อครูพีทขอให้ฉันตอบคำถามเกี่ยวกับวรรณกรรม ฉันก็รู้สึกว่าเสียงของฉันสั่นเล็กน้อย
หลังจากเลิกเรียน ฉันตัดสินใจเดินไปที่ห้องสมุดอีกครั้ง ฉันรู้สึกว่าที่นี่เป็นที่ที่ทำให้ฉันสงบลงได้บ้าง แต่เมื่อฉันเดินเข้าไปในห้องสมุด ฉันก็เห็นครูพีทนั่งอยู่ที่มุมเดิมของเขาอีกครั้ง ภายในห้องสมุดยามเย็นไม่เหลือใครแล้ว
ฉันลังเลว่าจะเดินเข้าไปหาหรือไม่ แต่สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจเดินเข้าไป "สวัสดีค่ะครู"
"สวัสดีครับ ลิลลี่" เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันแสนหล่อ "วันนี้มาอ่านหนังสืออะไรหรือครับ?"
"ฉันแค่ต้องการหาที่เงียบๆ ค่ะ" ฉันตอบไปตามตรง
"ที่นี่เงียบสงบดีนะ ผมเองก็ชอบมาที่นี่เวลาอยากคิดอะไรเงียบๆ" ครูพีทพูดพลางมองไปที่หนังสือในมือของเขา
ฉันพยักหน้าและนั่งลงที่โต๊ะตรงข้ามเขาอีกครั้ง "ครูคะ... ทำไมถึงเลือกเป็นครูที่นี่?"
ครูพีทนิ่งไปสักพักก่อนที่จะตอบ "เพราะผมเชื่อในความสำคัญของการศึกษา และผมอยากให้ความรู้กับนักเรียนที่นี่ มันไม่ใช่แค่การสอนหนังสือ แต่เป็นการให้แรงบันดาลใจและสร้างสรรค์อนาคตของพวกคุณ"
"คุณพูดเหมือนว่าคุณมีแรงบันดาลใจที่ลึกซึ้งมาก" ฉันพูดออกมาด้วยความรู้สึกชื่นชม
"ผมแค่เชื่อในสิ่งที่ผมทำ และหวังว่านักเรียนของผมจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด" เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ
“เอ่อ...”
ฉันเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปกติในสายตาที่เขามองมา สายตาของเขาเหมือนมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ มันมีความรู้สึกลึกซึ้งที่ทำให้หัวใจของฉันเต้นรัว
“ฉันกลับก่อนนะคะ”
“เดี๋ยว”
ขณะที่ฉันกำลังจะลุกขึ้น ครูพีทก็คว้าข้อมือของฉันไว้ ทำให้ฉันนั่งลงอีกครั้ง
“มีอะไรคะ?” ฉันถามออกไปอย่างแผ่วเบา เมื่อใบหน้าของครูพีทเข้ามาใกล้ ข้อมือของฉันรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
“ลิลลี่...” ครูพีทเรียกชื่อฉันอีกครั้ง แต่คราวนี้น้ำเสียงของเขาเบาลงและเต็มไปด้วยความอ่อนโยน สายตาของเขาที่มองมาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจมอยู่ในบางสิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าคำพูด
“คะ?” ฉันตอบกลับด้วยเสียงที่แทบจะไม่ได้ยิน หัวใจของฉันเต้นแรงจนรู้สึกได้ถึงมันในอก
เขาค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น สายตาของเราสบกันอย่างชัดเจนในช่วงเวลาที่เหมือนจะหยุดนิ่ง
“ถึงฉันจะเป็นครูของเธอ แต่บางครั้งความรู้สึกก็เป็นสิ่งที่ยากจะควบคุม”
ฉันรู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่อยู่ใกล้จนแทบสัมผัสได้ ฉันไม่ควรรู้สึกแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันฉันก็ไม่อยากหยุดมัน ฉันพยายามหาคำพูดที่จะทำให้สถานการณ์นี้จบลง แต่กลับไม่สามารถทำได้
“ครูพีท...”
ฉันพูดออกมาเบาๆ แต่ก่อนที่ฉันจะพูดอะไรต่อ เขาก็เพียงแค่ยิ้มและถอยหลังออกไปเล็กน้อย สายตาที่มองมาที่ฉันยังคงเต็มไปด้วยความลึกซึ้งและอะไรบางอย่างที่ฉันไม่สามารถตีความได้
กลับไปพักผ่อนเถอะลิลลี่” เขาพูดพร้อมกับยิ้มให้ฉันอีกครั้ง
“เรายังมีเวลาอีกมากที่นี่”
ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรมหรูใจกลางลอนดอนเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติจากหลากหลายวงการ บรรยากาศอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะและบทสนทนาอันอบอุ่นของผู้คนที่แต่งกายอย่างสง่างาม ผ้าปูโต๊ะสีขาวเรียบหรูตัดกับแสงไฟระยิบระยับ พ่อเฮนรี่และพ่อของครูพีทยืนอยู่ด้านหน้าเวที ทั้งสองทักทายแขกเหรื่อด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจเสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ จากวงออร์เคสตราที่มุมห้อง เพิ่มความหรูหราให้กับบรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ แขกที่มาร่วมงานล้วนแต่งกายงดงามในชุดทางการ ผู้หญิงในชุดราตรียาวสวยหรู ส่วนผู้ชายในสูทตัดเย็บอย่างประณีตฉันยืนอยู่ด้านหลังม่านด้วยความรู้สึกตื่นเต้นระคนประหม่า สวมชุดราตรีสีขาวงาช้างที่ออกแบบมาเพื่อฉันโดยเฉพาะ ผ้าซาตินเนื้อดีจับเดรปอย่างประณีต โอบรับช่วงเอวให้ดูคอด ก่อนชายกระโปรงจะบานออกเล็กน้อยอย่างอ่อนช้อย ผมยาวของฉันถูกเกล้าเป็นมวยต่ำ ประดับด้วยไข่มุกเล็กๆ ที่จัดวางอย่างละเมียดละไม ต่างหูเพชรระยิบระยับที่แม่เลือกให้อย่างพิถีพิถัน ยิ่งช่วยขับความงดงามของลุคนี้ให้สมบูรณ์แบบฉันสูดลมหายใจลึก พยายามสงบจิตใจขณะเสียงพูดคุยจากห้องจัดเลี้ยงดังแว่วเข้ามาเสียงกระซิบและเสียงหัวเราะเบาๆ ของแขก
“พี่พีท!!”เสียงอุทานของลิลลี่ดังขึ้น ดวงตาคู่สวยของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นผมยืนอยู่ตรงหน้าผมกลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่ เมื่อเห็นสีหน้าทั้งงุนงงและไม่เชื่อสายตาของเธอ“ว่าไงครับ?คู่หมั้นของผม” ผมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ พลางส่งยิ้มให้เธอ“ทะ...ทำไม?” ลิลลี่ยังคงอึ้งจนแทบพูดไม่ออก คำถามที่เต็มไปด้วยความสงสัยปรากฏชัดในสายตาของเธอ“ยังจะปฏิเสธผมอีกมั้ย?” ผมถามยั่วเย้า รอยยิ้มของผมยิ่งกว้างขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงซ่านของเธอผมยื่นมือขึ้น ลูบแก้มเธอเบาๆ ราวกับต้องการย้ำเตือนให้เธอรู้ว่านี่คือความจริง ปลายนิ้วสัมผัสกับผิวอ่อนนุ่มของเธอ ความคิดถึงที่เก็บสะสมมานานพลุ่งพล่านขึ้นมาจนผมแทบระงับไว้ไม่อยู่“คิดถึงจะแย่แล้ว เธอล่ะ คิดถึงฉันมั้ย?”“คือ...หนู...งงไปหมดแล้ว...” ลิลลี่ยังคงมึนงง เธอพึมพำเหมือนยังไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น“หนูไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยคะ?” ดวงตาคู่สวยจ้องมองผมด้วยความไม่แน่ใจ มือเรียวเล็กเอื้อมมาสัมผัสที่ตัวผมเบาๆ ราวกับต้องการพิสูจน์ผมยิ้มอ่อนให้เธอ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปใกล้ กดจูบลงบนริมฝีปากบางของเธอด้วยความอ่อนโยน ความคิดถึงทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านจูบนั้นริมฝีปากของเราส
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นขึ้นมาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ความคิดถึงคำพูดของแม่เมื่อคืนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ราวกับภาพยนตร์ที่ถูกฉายซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันไม่อยากเชื่อว่าตัวเองกำลังถูกบังคับให้พบกับว่าที่คู่หมั้น และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะปฏิเสธเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ขัดจังหวะความคิดในหัว ก่อนที่แม่บ้านจะเปิดประตูเข้ามา พร้อมสาวใช้ประจำตัวของฉันที่เดินตามหลัง“คุณหนูคะ คุณหญิงสั่งให้เราเตรียมตัวให้คุณดูดีที่สุดค่ะ” แม่บ้านพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่เต็มไปด้วยความนอบน้อม“ดูดีที่สุด?” ฉันทวนคำในใจอย่างขมขื่น ราวกับคำสั่งนี้ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่กำลังต่อต้าน“วันนี้คุณหญิงบอกว่ามีแขกคนสำคัญจะมาเยี่ยมค่ะ”สาวใช้พูดเสริม ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า และหยิบชุดเดรสผ้าซาตินสีขาวออกมาชุดที่พวกเธอเลือกเป็นเดรสที่ดูเรียบหรู ตัดเย็บอย่างประณีต พร้อมกับรองเท้าส้นสูงสีเงินที่เข้ากัน ทุกอย่างดูงดงามและเหมาะสมเกินกว่าจะปฏิเสธพวกเธอช่วยฉันแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน เส้นผมยาวสลวยถูกจัดเป็นลอนคลายอย่างอ่อนหวาน และเกล้าครึ่งศีรษะอย่างประณีต ใบหน้าของฉันได้รับการแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง
ชีวิตฉันในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเหมือนตกอยู่ในฝันที่ทั้งสวยงามและวุ่นวายไปพร้อมกัน หลังจากได้รับรางวัลนักเขียนบทวรรณคดีดีเด่น งานเขียนและโปรเจกต์ใหม่ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ฉันพยายามจัดการทุกอย่างอย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ตัวเองและแสดงให้แม่เห็นว่าฉันสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเองเวลาผ่านไปเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คือการติดต่อกับครูพีท เรายังคงแลกเปลี่ยนข้อความและวิดีโอคอลกันเสมอ ทุกครั้งที่ฉันเหนื่อยล้าหรือรู้สึกท้อแท้ คำพูดที่แสนอบอุ่นของเขาก็เหมือนแรงผลักดันที่ช่วยให้ฉันยืนหยัดต่อไปแต่แล้ววันที่ฉันไม่เคยคาดคิดก็มาถึง...เย็นวันศุกร์ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ฉันเพิ่งกลับมาจากงานสัมมนาวรรณกรรม ใบหน้าฉันยังคงประดับด้วยรอยยิ้มจาง ๆ จากคำชื่นชมที่ได้รับในวันนี้ แต่เมื่อฉันเปิดประตูห้องพักเข้าไป ฉันต้องชะงัก“แม่?” ฉันเรียกด้วยความประหลาดใจ“แม่มาได้ไงคะ?”“ลิลลี่ ไปกับแม่เดี๋ยวนี้” แม่พูดเสียงนิ่ง แต่หนักแน่น ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำออกจากห้องพักไป ทิ้งฉันไว้กับความงุนงง แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเดินตามไปไม่นานนัก แม่ก็พาฉันมาถึงบ้านของพ่อเฮนรี่ บ้านหล
ทันทีที่ฉันเปิดประตู ใบหน้าคุ้นเคยก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของฉัน“พี่พีท!!”เสียงของฉันแทบจะหลุดเป็นเสียงกรี๊ดด้วยความตกใจและดีใจสุดขีด ราวกับว่าเวลาในตอนนั้นหยุดนิ่ง มีเพียงสายตาของเราที่สบกัน และหัวใจของฉันที่เต้นแรงจนแทบหลุดออกมาครูพีทโน้มตัวลงมาจูบฉันอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากร้อนทาบลงอย่างแนบแน่น มือใหญ่ประคองใบหน้าฉันไว้มั่น ก่อนจะดันตัวฉันเข้ามาในห้องพร้อมปิดและล็อคประตูเขาดันฉันไปชิดกับผนัง ริมฝีปากกดจูบอย่างเร่าร้อนและเต็มไปด้วยความปรารถนา ลิ้นของเขาสอดแทรกเข้ามาในโพรงปาก ไล่ต้อนและดูดดุนลิ้นของฉันอย่างลึกซึ้ง จนหัวใจฉันเต้นรัวแทบไม่เป็นจังหวะมือของเขาสอดเข้ามาใต้เสื้อของฉัน ปลดตะขอบราออกด้วยมือเพียงข้างเดียว อีกมือเลื่อนขึ้นมาสัมผัสอกอวบอิ่ม คลึงเบา ๆ จนยอดถันชูชันตอบรับต่อสัมผัสอันร้อนแรง“อื้ม..”ฉันครางเบา ๆ ในลำคอ ความเสียวซ่านพุ่งผ่านทุกอณูเมื่อปลายนิ้วของเขาบีบคลึงยอดถันกระตุ้นอารมณ์ให้พลุ่งพล่านฉันดึงเสื้อของเขาออกจากศีรษะอย่างรวดเร็ว มือบางลูบไล้ไปตามลอนกล้ามเนื้อที่เรียงตัวสวยงามของเขา เราสบตากันชั่วครู่ก่อนริมฝีปากจะประกบกันอีกครั้ง จูบกันอย่างดูดดื่ม ราวกับไม่มีสิ่งใดในโ
เสียงปรบมือดังก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่ของโรงแรมหรูใจกลางลอนดอน ผู้คนในชุดทางการต่างลุกขึ้นยืนปรบมือแสดงความยินดี ฉันยืนอยู่บนเวทีด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ มือข้างหนึ่งถือรางวัล “นักเขียนบทวรรณคดีดีเด่นแห่งปี” ส่วนอีกข้างยกขึ้นโบกมือให้กับผู้คนที่มาร่วมงานฉันไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตในวัยเพียง 19 ปี จะพาฉันมายืนอยู่ตรงจุดนี้ ในฐานะนักเขียนรุ่นใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งผู้อ่านและนักวิจารณ์ นิตยสารชื่อดังต่างพูดถึงฉันในฐานะคนรุ่นใหม่ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในเจเนอเรชันเดียวกันหลังจากการมอบรางวัลสิ้นสุดลง ฉันเดินลงจากเวทีด้วยรอยยิ้ม ทีมงานของผู้จัดงานพาฉันไปยังห้องรับรองเพื่อเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์กับนักข่าวระหว่างเดิน ฉันพยายามหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อรวบรวมสติและเสริมความมั่นใจให้ตัวเอง บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความคึกคัก แต่ในใจของฉันกลับรู้สึกสงบนิ่ง พร้อมที่จะเล่าถึงเส้นทางที่พาฉันมาถึงจุดนี้“คุณลิลลี่ อลิสา วัฒนชัย” มิเชล ผู้สัมภาษณ์คนแรกจาก The London Chronicle สำนักข่าววรรณกรรมชื่อดังแห่งลอนดอนกล่าวขึ้น ขณะนั่งลงตรงข้ามฉันในห้องรับรองที่ตกแต่งอย่างหรูหรา“คุณกลายเป็นบุคค