จวนตระกูลจาง
ท้องแขนขาวผ่องถูกนิ้วมือของหมอหลวงชุนจับชีพจรเพื่อตรวจดูอาการป่วยของมี่อิง ทั่วกายยังคงร้อนผะผ่าวผิดปกติไปจากอาการไข้ลมหนาวเป็นยิ่งนัก สืบเนื่องจากหินโลหิตที่เข้ามาสถิตอยู่ภายในกายกำลังหลอมรวมโลหิตของมนุษย์ธรรมดาให้กลายเป็นโลหิตชาดทอง จึงเป็นเหตุให้มีความร้อนออกมาจากกายอยู่ตลอดเวลาดั่งเช่นคนป่วยเป็นไข้และต้องใช้เวลาหลอมรวมให้กลายเป็นโลหิตชาดทองอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งซึ่งจะใช้เวลานานเพียงใดนั้น หามีผู้ใดล่วงรู้ได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้จ้าวมี่อิงจึงเข้าสู่ห้วงภวังค์แห่งการหลับใหล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางไม่รับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น อาการของนางเป็นลักษณะของมารโลหิตกำลังจำศีล และอาการดังกล่าวทำให้จางเย่วฉินไม่เป็นอันกินอันนอนและทำอะไรได้เลย แม่ทัพผู้กล้าเพียรเฝ้าอาการป่วยนางมารน้อยของเขาอย่างใกล้ชิด คอยเช็ดเนื้อตัวเพื่อให้ความร้อนลดลง ป้อนยาและอาหารด้วยตัวเอง ไม่ยอมให้บ่าวไพร่เข้ามายุ่ง หวังให้นางมารน้อยของเขาตื่นขึ้นมาแล้วได้เห็นหน้าตัวเองเป็นคนแรก การกระทำดังกล่าวแม่ทัพลือนามไม่รู้ตัวเลยว่า ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่ารักและเป็นห่วงว่าที่ฮูหภายในห้องโถงรับรองบัดนี้จ้าวฟ่านกั๋วกำลังยืนเอามือไพล่หลังแหงนหน้ามองภาพเหมือนของบรรพบุรุษตระกูลจาง ซึ่งสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพนับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์ถังจนมาถึงจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน แม่ทัพผู้กล้าจากตระกูลจางก็สามารถก้าวขึ้นมาคุมกำลังทหารได้ทั้งหมดในรุ่นของจางเย่วฉิน ผู้ซึ่งขึ้นชื่อได้ว่าเป็นขุนพลคู่บัลลังก์ของแผ่นดินต้าถังก็ว่าได้ ร่างสูงใหญ่ของจางเย่วฉินสวมอาภรณ์สีเปลือกไม้เข้ม ทอมาจากผ้าไหมสูงค่าปักลวดลายงดงามเดินเข้ามาภายในห้องรับรองดังกล่าวพร้อมเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยต้องขออภัยที่ทำให้ใต้เท้าต้องรอ”แม่ทัพหนุ่มพูดพร้อมยกสองมือประสานเข้าหากันพร้อมโน้มศีรษะคำนับเป็นการคารวะผู้อาวุโสกว่าตน พลางหันกลับไปมองจ้าวซือเค่อก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อยเป็นการคารวะในฐานะที่มีวัยอาวุโสกว่าตนเช่นกัน แต่ระดับขั้นขุนนางน้อยกว่านั่นเอง “ท่านแม่ทัพไม่ต้องมากพิธีคนกันเองทั้งนั้น ที่ข้าและบุตรชายมาพบท่านในวันนี้ด้วยเพราะมีบางอย่างที่ต้องการถามและอยากได้รับคำตอบเพื่อไขข้อข้องใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปในคราวเดียวกัน”จ้าวฟ่านกั๋วเปิดประเด็นสนทนาทันทีอย่างไม่อ้อมค้อมด้วยความร้อนใจ
จวนตระกูลจาง ท้องแขนขาวผ่องถูกนิ้วมือของหมอหลวงชุนจับชีพจรเพื่อตรวจดูอาการป่วยของมี่อิง ทั่วกายยังคงร้อนผะผ่าวผิดปกติไปจากอาการไข้ลมหนาวเป็นยิ่งนัก สืบเนื่องจากหินโลหิตที่เข้ามาสถิตอยู่ภายในกายกำลังหลอมรวมโลหิตของมนุษย์ธรรมดาให้กลายเป็นโลหิตชาดทอง จึงเป็นเหตุให้มีความร้อนออกมาจากกายอยู่ตลอดเวลาดั่งเช่นคนป่วยเป็นไข้และต้องใช้เวลาหลอมรวมให้กลายเป็นโลหิตชาดทองอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งซึ่งจะใช้เวลานานเพียงใดนั้น หามีผู้ใดล่วงรู้ได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้จ้าวมี่อิงจึงเข้าสู่ห้วงภวังค์แห่งการหลับใหล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางไม่รับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น อาการของนางเป็นลักษณะของมารโลหิตกำลังจำศีล และอาการดังกล่าวทำให้จางเย่วฉินไม่เป็นอันกินอันนอนและทำอะไรได้เลย แม่ทัพผู้กล้าเพียรเฝ้าอาการป่วยนางมารน้อยของเขาอย่างใกล้ชิด คอยเช็ดเนื้อตัวเพื่อให้ความร้อนลดลง ป้อนยาและอาหารด้วยตัวเอง ไม่ยอมให้บ่าวไพร่เข้ามายุ่ง หวังให้นางมารน้อยของเขาตื่นขึ้นมาแล้วได้เห็นหน้าตัวเองเป็นคนแรก การกระทำดังกล่าวแม่ทัพลือนามไม่รู้ตัวเลยว่า ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่ารักและเป็นห่วงว่าที่ฮูห
ชั่วระยะเวลาหนึ่งก้านธูป จางเย่วฉินได้ฟังเรื่องราวภรรยาคนที่สองนามว่าเสวี่ยถิงออกจากปากของจ้าวฟ่านกั๋วจนหมดสิ้น ทว่าแม่ทัพหนุ่มยังคลางแคลงสงสัยไม่รู้วายด้วยเพราะแม้แต่ขุนนางใหญ่ผู้นี้ ก็ไม่ล่วงรู้ตัวตนอันแท้จริงของนางว่าเป็นผู้ใดมาจากไหนหรือแม้กระทั่งแซ่เดิมของนางก็ไม่มีใครล่วงรู้ “แสดงว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาใต้เท้าไม่ทราบแม้แต่แซ่เดิมของนาง หรือบ้านเดิมรวมไปถึงญาติพี่น้องฮูหยินของท่านอย่างนั้นเลยเหรอ”แม่ทัพผู้กล้าถามย้ำกลับไปเพื่อให้แน่ใจ “เป็นความจริงทุกประการที่ข้าเล่าให้ฟัง ถิงเอ๋อนางบอกแต่เพียงว่าเป็นลูกกำพร้า เติบโตมาเพียงตามลำพังไม่มีแซ่ ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมาโดยตลอด แต่ถึงกระนั้นกลับทำให้นางได้เรียนรู้ชีวิตมาอย่างโชกโชนและเติบโตมาอย่างแข็งแกร่ง ที่สำคัญฮูหยินของข้าผู้นี้นางมีวรยุทธ์สูงไม่เป็นสองรองผู้ใดเลยทีเดียว อีกทั้งยังเคยสอนวรยุทธ์ให้กับเค่อเอ๋ออีกด้วย” คำกล่าวของจ้าวฟ่านกั๋วทำให้จางเย่วฉินหันกลับไปมองหน้า จ้าวซือเค่อซึ่งอยู่ในวัย 35 ปีพร้อมเอ่ยขึ้น “ข้าก็เพิ่งจะล่วงรู้วันนี้ว่าเจ้ากรมอาญามีวรยุทธ์ด้วย มิน่าเล่าจึงมาทาง
3 วันผ่านไป จวนตระกูลจ้าวถ้วยชาใบน้อยเต็มไปด้วยน้ำสีเหลืองนวลส่งกลิ่นหอมฟุ้งคละคลุ้ง มาพร้อมกับไอควันขาวบางเบา จ้าวฟ่านกั๋วค่อยๆ ยกถ้วยชาดังกล่าวจิบอย่างละเมียดละไมเพื่อขับไล่ความเหน็บหนาวจากอากาศสุดแสนเย็นยะเยือก เบื้องหน้าคือโต๊ะหนังสือมีกระดาษและพู่กันเตรียมพร้อมเอาไว้ เพื่อจะวาดภาพในยามว่าง ทันใดนั้นเอง ร่างสันทัดของพ่อบ้านประจำตระกูลจ้าวกำลังเดินแกมวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ตรงมายังห้องหนังสืออันเป็นสถานที่ขุนนางใหญ่ใช้เวลาอยู่ภายในห้องดังกล่าวเสียเป็นส่วนมาก “ใต้เท้าขอรับ! ใต้เท้า!”เสียงของพ่อบ้านวัยชราที่รีบเดินมาอย่างรวดเร็วเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา ทันทีที่เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องหนังสือ จ้าวฟ่านกั๋วเงยหน้าขึ้นจากกระดาษตรงหน้าด้วยความแปลกใจที่เห็นพ่อบ้านมีท่าทีเร่งรีบเช่นนั้น “ค่อยๆ พูดก็ได้มีอะไรอย่างนั้นเหรอ เหตุใดเจ้าจึงรีบเดินมาหาข้าอย่างลืมตายถึงเพียงนี้”ขุนนางใหญ่ถามกลับไป พ่อบ้านประจำตระกูลสูดลมหายใจเข้าปอดด้วยความเหนื่อย จนกระทั่งเริ่มเบาบางลง “มีพระบรมราชโองการมาถึงใต้เท้าขอรับ ตอนนี้หวังกงกงรออยู่ตรงห้องรับรองใหญ่แล้ว”พ่
จวนตระกูลจาง ห้องนอนของจางเย่วฉิน ร่างของมี่อิงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง ถูกปกคลุมด้วยผ้าห่มผืนหนาถึงสามชั้นด้วยเพราะหญิงสาวมีอาการหนาวสั่นจนกายสะท้าน ใบหน้าแสนสวยอมชมพูด้วยผลจากพิษไข้ลมหนาวที่ถูกความเย็นอาบร่างมาตลอดทั้งคืน มาจากสาเหตุเพราะหลิวเหวินซานรีบร้อนเปิดประตูออกไปโดยไม่ได้ปิดให้สนิท ดวงหน้างามมีปฏิกิริยาที่บ่งบอกว่ากำลังเห็นอะไรบางอย่าง และสิ่งนั้นปรากฏขึ้นอยู่ในความฝันของเธอ เมื่อในฝันนั้นมี่อิงเห็นสตรีสาวนางหนึ่งตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอด ก้าวออกมาจากจวนตระกูลจ้าวกลางดึกเพียงลำพังก่อนจะเร้นกายหายไปจากบริเวณดังกล่าวด้วยวรยุทธ์ของนาง เพียงครู่ภาพตรงหน้ามี่อิงเห็นต้นไม้ยักษ์ที่นำเธอกลับมาในยุคอดีต ท่ามกลางหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องและเริ่มลงหนัก ร่างของสตรีนางนั้นเดินโซเซจนมาหยุดยืนมองยอดเขาไถ่ซาน ก่อนจะนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดเพราะดูเหมือนว่านางกำลังจะคลอดทารกที่อยู่ในครรภ์ขณะที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ท่ามกลางเกล็ดหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย สตรีนางนั้นเดินตรงไปที่ต้นไม้ยักษ์พร้อมมองไปทั่วลำต้นขน
ในเวลาเดียวกัน จวนไต้อ๋อง “อะไรนะเพคะเสด็จพ่อ!”เสียงของเสี้ยนจูคนงามดังขึ้นมาโดยพลันครั้นได้ยินรับสั่งของพระบิดา ในขณะที่ไต้อ๋องมีสีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ขอเข้าเฝ้าถังเกงจงฮ่องเต้ เพื่อสอบถามสมรสพระราชทานที่ร้องขอ ทันทีที่ล่วงรู้ว่าจางเย่วฉินขอกราบทูลเรื่องดังกล่าวเป็นการส่วนพระองค์ “ไม่คาดคิดเลยว่าจางเย่วฉินผู้นั้นจะชิงตัดหน้าร้องขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท อีกทั้งยังร้องขอธิดาจากตระกูลจ้าวมอบนางให้สมรสกับแม่ทัพผู้นั้น นี่ข้าพลาดข่าวสารอะไรไปหรืออย่างไรจ้าวฟ่านกั๋วยังมีธิดาหลงเหลืออยู่อีกอย่างนั้นเหรอ ตลอดเวลาที่ผ่านมาต่างล่วงรู้กันทั่วว่าเสนาบดีผู้นี้มีธิดาเพียงคนเดียวและสิ้นชีพไปแล้วเมื่อสามเดือนก่อน” สองมือกำเข้าหากันจนแน่นเล็บยาวจิกลงไปในอุ้งมือจนโลหิตไหลซึมออกมาเพื่อระงับโทสะร้ายที่กำลังปะทุขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ให้ปรากฏต่อหน้าพระบิดา “จ้าวเหมยหลิงเป็นผีตายไปนานกว่าสามเดือนแล้วจะฟื้นขึ้นมาแต่งงานกับท่านแม่ทัพได้อย่างไรเสด็จพ่อ! สตรีผู้นั้นมาจากตระกูลจ้าวของเสนาบดีจ้าวฟ่านกั๋วจริงหรือไม่ก็ยังไม่รู้ ลูกคิดว่าหญิงผู้นั้นจ
พระราชวังไท่จี ท้องพระโรงภายในท้องพระโรงในวันนี้เต็มไปด้วยบรรดาขุนนางตั้งแต่ระดับห้าขึ้นมา ต่างเดินทางมาเข้าเฝ้าถังเกาจงฮ่องเต้ตามพระบัญชาของพระองค์อย่างพร้อมเพรียง และจางเย่วฉินในวันนี้ปราศจากชุดเกราะที่เคยสวมใส่อยู่บนกายจนชินตา อาภรณ์สีแดงเลือดนกทอมาจากไหมทอง สำหรับขุนนางระดับสูงขั้นสอง สวมหมวกพิธีการสีดำห้อยสายตำแหน่งสีทองไว้ที่ปีกหมวกทั้งสองข้างยืนอยู่แถวหน้าทางด้านขวาของราชบัลลังก์ ซึ่งเป็นตำแหน่งของขุนนางฝ่ายบู้ โดยมีหลัวอี้หลางสวมอาภรณ์ขุนนางขั้นสี่ยืนอยู่ด้านหลัง ส่วนขุนนางฝ่ายบุ๋น นับตั้งแต่อัครมหาเสนาบดีเป็นต้นมา ต่างยืนประจำตำแหน่งทางด้านซ้ายมือทั้งสิ้น อาภรณ์ขุนนางหลากสีต่างกัน เป็นไปตามระดับขั้นของขุนนางแต่ละคน ขุนนางขั้นสองสวมใส่อาภรณ์สีแดงเลือดนก ห้อยสายตำแหน่งสีทอง ขั้นสามสวมอาภรณ์สีแสดห้อยสายตำแหน่งสีทองตรงปีกหมวก ขุนนางขั้นสี่สวมอาภรณ์สีแดงสดไม่มีสายห้อยตำแหน่งบริเวณปีกหมวกและขั้นห้าสวมอาภรณ์สีน้ำเงินไม่มีสายห้อยตำแหน่งตรงปีกหมวกเช่นเดียวกัน สำหรับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีซึ่งมีเพียงตำแหน่งเดียวของต้าถัง จะสวมอาภรณ์ม่วง ห้อยสายตำแหน่งส
ครั้นภายในท้องพระโรงเหลือเพียงจางเย่วฉินเพียงผู้เดียวและถังเกาจงฮ่องเต้ กับหัวหน้าขันทีเพียงเท่านั้นสุรเสียงรับสั่งดังก้องขึ้นมาทันใด “เย่วฉินเข้ามาใกล้ๆ ข้า”รับสั่งหาพระสหาย ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพลือนามก้าวเข้าไปหาตามพระบัญชาทันที ก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าราชบัลลังก์ตรงพระพักตร์ของถังเกาจงฮ่องเต้ “เอาละ! อยู่กันตามลำพังเช่นนี้แล้วจะบอกได้หรือยังว่าไปพึงใจสตรีนางใด จนต้องร้องขอข้าให้มอบสมรสพระราชทานให้ ด้วยตำแหน่งขุนนางขั้นสองของเจ้ายังมีสตรีใดกล้าที่จะปฏิเสธไม่แต่งงานกับเจ้าด้วยย่างนั้นเหรอ ในเมื่อเจ้ารูปงามถึงเพียงนี้สตรีทั่วทั้งฉางอานต่างใฝ่ฝันอยากครองคู่ด้วยกันทั้งสิ้น” จางเย่วฉินคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อองค์จักรพรรดิทรงมีถ้อยรับสั่งเช่นนั้น “ฝ่าบาทรงรับสั่งหนักเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเพียงแค่ขุนนางธรรมดาเท่านั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่มาจากไหนแม้แต่น้อย หน้าตาก็พอดูได้หากกระหม่อมหล่อเหลาจริงจนสตรีทั่วฉางอานต้องการแต่งงาน มีหรือจะต้องมากราบทูลฝ่าบาท ขอมอบสมรสพระราชทานให้กับกระหม่อมด้วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ”จางเย่วฉินกราบทูลกลับไป ครั้นถังเกาจงฮ่องเต้ทรงได้ยินเช่นนั้นถึงกับ
หินโลหิตที่กำลังลอยอยู่เหนือร่างของจางเย่วฉิน ด้วยพลังลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในก้อนหินที่ผู้คนธรรมดาทั่วไปมองมันเป็นเพียงแค่ก้อนหินสีแดงธรรมดา ทว่าในขณะเดียวกันกลับเป็นของสำคัญที่สุดซึ่งพรรคมารโลหิตเก็บรักษาไว้มานานนับรุ่นต่อรุ่น รู้แต่เพียงว่ามีอายุหลายพันปีแล้ว เป็นหินที่มีไอพลังมารอัดแน่นอยู่ภายในนั้นและเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทานให้พรรคมารโลหิตเป็นผู้ดูแล ฉับพลันพลังลึกลับที่อยู่ภายในหินโลหิตสัมผัสกับปานตรงกลางหน้าผากของดวงวิญญาณมี่อิงที่สถิตอยู่ในร่างของจางเย่วฉิน รอยแผลประหลาดที่หญิงสาวเคยเข้าใจมาโดยตลอดแท้จริงแล้วคือสัญลักษณ์ของประมุขมาร! แวบบบบ!!! ปานโลหิตสัมผัสกับไอพลังมารจนเรืองแสงสว่างวาบลุกโชนดั่งเปลวเพลิง พร้อมดึงดวงวิญญาณของมี่อิงออกจากร่างของแม่ทัพหนุ่มรูปงามออกมาทันที ในขณะที่ร่างจริงของหญิงสาวดวงวิญญาณของจางเย่วฉินก็ถูกดึงออกมาจากร่างเช่นเดียวกัน ฟิ้ววววว!!! พลังของหินโลหิตดึงดวงวิญญาณของทั้งสองให้กลับคืนสู่ร่างอันแท้จริง ดวงวิญญาณพุ่งตรงเข้าสถิตร่างของตัวเองเป็นผลสำเร็จ ท่ามกลางสายตาของหลิวเหวินซานที่ยืนมองอยู่ตลอดเวลา ครั้นได้เห