เซียวอวี้ไล่ตามคนมาตลอดทางจนถึงตำหนักหย่งเหอ เขาเห็นกับตาว่านักฆ่าหญิงผู้นั้นเข้าไปในตำหนักบรรทม จึงสาวเท้าตามเข้าไปบนพื้นมีเลือดหยดอยู่หลายหยดยาวไปจนถึงห้องอาบน้ำสายตาเขาพลันเปลี่ยนเป็นคมปลาบทันใดนั้นประตูของห้องอาบน้ำก็เปิดออกเป็นฮองเฮา“ฝ่าบาททรงเสด็จมา เหตุใดจึงไม่มีคนมารายงาน?”หญิงสาวห่อหุ้มร่างกายด้วยชุดนอนบาง ๆ อย่างผู้ที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง ปลายผมมีหยดน้ำ เท้าคู่นั้นเหยียบลงบนพรมเปอร์เซียที่ทำมาจากผ้าแคชเมียร์โดยตรง เหนือข้อเท้าเล็กบอบบางมีชายกระโปรงที่ถูกลมพัดจนโบกพลิ้ว เผยให้เห็นน่องขาที่กระชับได้รูปอย่างคลุมเครือใบหน้าที่เยือกเย็นของเซียวอวี้มีสีอื่นวาบผ่านมาแล้วหายไปทันทีเขามองไปด้านหลังนางปราดหนึ่งยามที่เพิ่งจะเดินไปด้านหน้าสองสามก้าว จังหวะที่เดินผ่านฮองเฮาไปเขาก็ถูกนางใช้มือเดียวจับแขนเอาไว้“ฝ่าบาท ข้างในยังไม่ได้ทำความสะอาดเพคะ”ควับ---ทันใดนั้นเซียวอวี้พลันคว้าจับไหล่ของนาง แล้วกดนางเข้ากับกำแพงด้านหลังสายตาดุดันโหดร้ายราวกับเหยี่ยวของเขามองใบหน้าของนางอย่างสงสัย“อาบน้ำอยู่ตลอดงั้นหรือ?”ยามที่เขามองประเมินเฟิ่งจิ่วเหยียน เ
หลังจากงานเลี้ยงเหล่าแม่ทัพจบลง เซียวอวี้ก็ยังต้องปรึกษากิจธุระเรื่องการยอมสวามิภักดิ์ของรัฐเหลียงกับแม่ทัพแต่ละภาคส่วนอีกด้วยเหตุนี้เฉียวม่อจึงยังรั้งอยู่ในเมืองหลวงอีกหลายวัน และต้องเข้าวังอยู่หลายครั้งนางมักจะเข้าไปในห้องทรงพระอักษรบ่อย ๆ เหล่านางสนมจึงเริ่มหึงหวงยามเช้าพอไปน้อมคารวะที่ตำหนักหย่งเหอ ก็มาบ่นต่อหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียน“ต่อให้เป็นแม่ทัพ ถึงอย่างไรก็เป็นสตรี เหตุใดจึงไม่รู้จักหนักเบาเช่นนี้!”“แม่ทัพน้อยเมิ่งผู้นั้น ยามนี้เป็นถึงคนโปรดของฮ่องเต้ อย่างไรพวกเราก็เทียบไม่ติด”“ฝ่าบาทไม่ค่อยเสด็จมาที่วังหลัง แต่กลับทรงประทับอยู่กับเมิ่งเฉียวม่อผู้นั้นอยู่เป็นประจำ วันนี้ยังไปขี่ม้ายิงธนูที่สนามม้าหลวงด้วยนะ ฮองเฮาเพคะ เกรงว่าวังหลังจะต้องมีพี่น้องเพิ่มมาอีกคนแล้ว”ปฏิกิริยาของเฟิ่งจิ่วเหยียนคือการดื่มชาอย่างนิ่งเฉยนางไม่แน่ใจในความคิดของเซียวอวี้นัก ทว่าเฉียวม่อที่ทุ่มเทความคิดเพื่อที่จะได้เป็นแม่ทัพหญิง ย่อมไม่คิดที่จะเข้าวัง“หากพวกเจ้าไม่มีอะไรทำก็ไปคัดกฎวังเถิด”เมื่อเหล่านางสนมได้ยินก็พลันเงียบปากทันทีหลังจากพวกนางกลับกันไปแล้ว นางสนมเจียงยังคงรั้งอยู่ต่อ แ
ยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ความจริงที่เฉียวม่อสามารถพูดได้มีไม่มากนางทำความเคารพเฟิ่งจิ่วเหยียน“ฮองเฮาทรงอธิษฐานขอพรให้เหล่าทหาร หม่อมฉันจึงคิดว่า ไม่ว่าเยี่ยงไรก็ต้องขอบพระทัยพระนางด้วยตนเอง“เมื่อครู่ตอนอยู่สนามม้าหลวงกับฝ่าบาท จึงกล่าวถึงคำขอที่ไม่เหมาะสมนี้“ฮองเฮา หม่อมฉันขอคารวะท่านด้วยน้ำชาจอกนี้แทนสุรา”เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าเรียบนิ่ง“ท่านแม่ทัพ เกรงใจแล้ว”เซียวอวี้พูดออกมาทันที“อฐิษฐานขอพรเพียงเรื่องเล็กน้อย เหล่าทหารเสียสละเลือดเนื้อสู้ศึกต่างหากคือเรื่องจริง ฮองเฮาไม่คู่ควรกับคุณงามความดีนี้หรอก”เหลียนซวงอยากโต้กลับมากฮองเฮานำทัพไปทำสงครามที่ชายแดนแท้ ๆ ผลกลับกลายเป็นว่าคุณงามความดีนี้ตกไปอยู่ที่เฉียวม่อเสียอย่างนั้นเฉียวม่อกล่าวเหมือนให้ความเที่ยงตรง“ฝ่าบาท หากไม่มีคำอธิษฐานขอพรของฮองเฮา พวกข้าก็คงไม่สามารถเอาชนะกองทัพรัฐเหลียงได้รวดเร็วขนาดนี้”น้อยคนนักที่จะกล้าโต้แย้งฝ่าบาทเช่นนี้ซ้ำยังเป็นอิสตรีทว่าเซียวอวี้ไม่เพียงไม่ลงโทษ ยังเห็นด้วย“หากเจ้าบอกว่าฮองเฮาทำคุณงามความดี ย่อมเป็นเช่นนั้น”เท่านี้ก็ดูออกแล้วว่าเขาเชื่อใจและโปรดปรานยอดแม่ทัพหญิงม
เฟิ่งเวยเฉียงฟื้นคืนสติ นี่เป็นข่าวดีอย่างยิ่งหลังจากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนทราบเรื่องนี้ ก็ออกจากวังไปในคืนนั้นยามราตรีเงียบสงัด ไฉ่เยว่เปิดประตูเรือน ให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้ามาข้างในจากนั้นไฉ่เยว่ก็ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกภายในเรือนเฟิ่งเวยเฉียงนั่งเหม่อลอยบนเตียง ยามเห็นคนใส่หน้ากาก ก็จำไม่ได้ว่าเป็นใครจนกระทั่งเฟิ่งจิ่วเหยียนถอดหน้ากากออก น้ำตาของเฟิ่งเวยเฉียงพลันเอ่อล้น“ท่านพี่…”เฟิ่งจิ่วเหยียนก้าวเท้าเร็ว ๆ ไปที่เตียงเฟิ่งเวยเฉียงนั่งอยู่ตรงนั้น กอดเอวของนางเอาไว้ แล้วร้องไห้ออกมายกใหญ่“ท่านพี่! เป็นท่าน...เป็นท่านจริง ๆ ใช่ไหม!”เฟิ่งจิ่วเหยียนควบคุมอารมณ์พลุ่งพล่านเอาไว้ ยกมือขึ้นตบหลังของเวยเฉียงเบา ๆ“ข้าเอง ข้ากลับมาแล้ว”เฟิ่งเวยเฉียงฟื้นขึ้นมาได้ไม่นาน จึงยังเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้างนางจะใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งเหม่อลอยเพียงลำพังไฉ่เยว่ถามอะไร นางก็ไม่ตอบพอเห็นท่านพี่ของตนเอง จึงเหมือนมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้างเฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งลง เช็ดน้ำตาบนหน้าให้นางเองกับมือเวยเฉียงผอมลงเยอะมากนางเห็นแบบนั้นก็รู้สึกสงสาร“เราออกจากเมืองหลวง ไปที
ในยามรัตติกาล บริเวณสถานที่พักแรมเงียบสงัดเฉียวม่อเดินไปหยุดตรงหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียน ด้วยรอยยิ้มยินดี“ศิษย์พี่ ท่านมาได้อย่างไร!”เฟิ่งจิ่วเหยียนยกมือขึ้น วางบนไหล่ของนางเบา ๆเฉียวม่อแสร้งทำเป็นนิ่งไม่หลบหลีก ดวงตาทั้งสองข้างทอประกายดีใจ พร้อมกับมองมาที่นางเฟิ่งจิ่วเหยียนปัดใบไม้บนไหล่ของนาง ดวงตาเบื้องหลังหน้ากาก ปรากฏแววเย็นยะเยือก“มาส่งเจ้า”เฉียวม่อเหมือนยกภูเขาออกจากอก ขอบตาพลันรื้นไปด้วยหยาดน้ำ“ศิษย์พี่ ข้า ข้านึกว่า…เรื่องในงานเลี้ยงรับรองแม่ทัพ ท่านยังเข้าใจข้าผิด ข้าคิดว่าท่านจะไม่สนใจใยดีข้าอีกแล้ว…”นางกอดเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้อย่างตื้นตัน “ศิษยพี่!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเม้มริมฝีปากจนกลายเป็นเส้นตรง มือที่วางแนบข้างลำตัว กำเข้าหากันจนกลายเป็นกำปั้นต่อมา นางก็ผลักเฉียวม่อออก จดจ้องดวงตาของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยถาม“จริงหรือ ไม่ได้โกหกข้าแน่นะ”เฉียวม่อพยักหน้าอย่างหนักแน่น“แน่นอน! ศิษย์พี่ ข้ามีอะไรก็บอกท่านมาตลอด! ท่านวางใจได้ แม้นตอนนี้ข้าจะเป็นแม่ทัพน้อยเมิ่ง แต่ตำแหน่งนี้ยังคงเป็นของท่านวันยังค่ำ ข้ากับอาจารย์และอาจารย์หญิงต่างเฝ้ารอให้ท่านกลับมา“ข้าจะไม่ยึดครองตั
เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษร แล้วทำความเคารพอย่างไม่ถือตัวและไม่ถ่อมตน“ถวายบังคมฝ่าบาท”หลิวซื่อเหลียงเหลือบมองฮองเฮา สีหน้าของนางดีขึ้นมาก ดูไม่เหมือนคนไม่สบาย ทว่าแววตานั้นกลับดูเย็นชากว่าปกติ ทอแววเยือกเย็นห้ามเข้าใกล้เซียวอวี้ดึงความสนใจจากสาส์นร้องทุกข์ เงยหน้ามองนาง แล้วเอ่ยถาม“มีเรื่องอะไร”“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากกลับไปเยี่ยมเยือนบ้านเพคะ”ในเมื่อสงสัยว่าเฉียวม่อคือบุคลคลลึกลับผู้นั้น ก็ต้องไปสืบหาหลักฐานประการแรก หากไม่มีหลักฐาน ย่อมไม่มีคนเชื่อนางประการที่สอง เพราะความสัมพันธ์ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมากับเฉียวม่อ จึงไม่อยากปรักปรำนางหากอยู่ในวังต่อไป ก็ไม่มีความหมายอันใดเฟิ่งจิ่วเหยียนหลุบตาลง รอคำตอบของเซียวอวี้ทว่าชายหนุ่มกลับมองสำรวจมาที่นาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมยากที่จะโต้แย้ง“เจ้าเป็นฮองเฮา ไม่ควรออกจากวังไปโดยพลการ หากคิดถึงครอบครัว ให้พวกเขาเข้าวังมาก็ได้”หัวใจของเฟิ่งจิ่วเหยียนหล่นวูบเดิมนางวางแผนไว้ว่าจะอาศัยข้ออ้างออกจากวังไปเยี่ยมบ้าน โดยใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบตบตา ไม่กลับมาที่นี่อีก ไม่คาดคิดเลยว่าเซียวอวี้จะเข้มงวดเช่นนี
ในตอนนั้นอดีตรัชทายาทลอบทำร้ายพี่ชาย จึงถูกฮ่องเต้องค์ก่อนลดสถานะเหลือเพียงสามัญชน ตามหลักแล้ว งานเลี้ยงไหว้พระจันทร์ เขาไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมไทฮองไทเฮาได้ยินความคิดเห็นของมู่หรงฉานครั้งแรก ก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งมู่หรงฉานอ่อนโยนดุจสายน้ำ ดวงตาทอแววบริสุทธิ์อย่างมีเมตตา ราวกับว่าสามารถคลี่คลายความบาดหมางทุกอย่างในโลกได้ นางโน้มน้าวว่า“ท่านเคยบอกกับหม่อมฉัน ฝ่าบาทเคยตรัส ว่ายอมมีโอรสคนเดียว ดีกว่ามีหลายคนแล้วแก่งแย่งกัน“เห็นไทฮองไทเฮากังวลเรื่องนี้ หม่อมฉันก็พลอยเศร้าไปด้วย“จึงมีความเห็นว่า บางทีอาจจะใช้ประโยชน์จากอดีตรัชทายาท เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ฉันพี่น้องกับฝ่าบาท เช่นนี้ ฝ่าบาทอาจจะเปลี่ยนความคิด ว่าการมีโอรสหลายองค์ต่างหากคือความสุข หากมีโอรสเพียงองค์เดียว คงโดดเดี่ยวเกินไป”เมื่อไทฮองไทเฮาได้ฟัง ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลหากฝ่าบาทพูดสิ่งใดอย่างมั่นเหมาะแล้ว ย่อมไม่เปลี่ยนคำง่าย ๆ หากเขาตั้งใจว่าจะมีโอรสเพียงองค์เดียวจริง ๆ เช่นนั้นเด็กคนนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าต้องกำเนิดมาจากฮองเฮา ฉานเอ๋อร์ก็จะไม่หลงเหลือโอกาสอะไร“ข้าจะคิดดูอีกที”แม้นนางจะยินยอมให้อดีตรัชทาย
เซียวจั๋วอดีตรัชทายาท เขาอยู่ในชุดสามัญชนสีคราม ช่างดูขัดตากับพระราชวังอันโอ่อ่าหรูหราแห่งนี้เหลือเกิน ราวกับหมอกควันที่จู่ ๆ ลอยมาบนยอดเขาสูงเขายืนอยู่ด้านนอกตำหนักฉือหนิง อาจจะรอให้ไทเฮาเรียกเข้าเฝ้าวันนี้สภาพอากาศไม่ดีนักเมฆดำลอยมาเป็นระยะ เงาดำมืดสลัวปกคลุมบนตัวเขาลมพัดแรงจนชายเสื้อเปิด ทั้งพัดเข้าไปในแขนเสื้อกว้าง จนพองตัว ทำให้แขนเสื้อที่ปะชุนของเขายิ่งเห็นเด่นชัดเหลียนซวงมองเซียวจั๋วด้วยสีหน้าฉงน ในความทรงจำของนาง เขาเป็นคนมีชาติตระกูลสูงศักดิ์ไม่เป็นรองใคร ทว่าตอนนี้กลับ...เฟิ่งจิ่วเหยียนสังเกตเห็นท่าทางใจลอยของเหลียนซวงสำหรับเรื่องที่เหลียนซวงอาศัยแค่เงาด้านข้างก็จำอดีตรัชทายาทผู้นี้ได้นั้น นางไม่ได้ถามให้มากความในตอนนี้ ยังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจทว่าเหลียนซวงกลับรู้สึกกังวลใจ จึงเตือนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ฮองเฮา นั่นคืออดีต...”“ข้ารู้” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยน้ำเสียงเรียบ และส่งสายตาให้นางเป็นการตักเตือนหากแม้แต่ตนเองยังรู้สึกผิดจนไม่กล้าเดินหน้า คนอื่นจะยิ่งนำไปพูดจนบิดเบือนความจริง“ฮองเฮา” องครักษ์เฝ้าประตูทำความเคารพอย่างนอบน้อมเซียวจั๋วได้ยินเสียงนั้
องค์ชายเจ็ดทรงนำทัพออกศึกแล้ว ยามดึกเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าไปค้นหาที่จวนขององค์ชาย ก็ไม่มีองครักษ์เฝ้าอยู่มากนักค้นหาติดต่อกันสามคืนแล้ว ก็ยังไม่มีเบาะแสใดเลยพวกอู๋ไป๋ก็ไปค้นหาที่จวนขององค์ชายองค์อื่น ๆ ทว่าก็ไม่มีข่าวดีเช่นเดียวกันทางด้านวังหลวงจนถึงตอนนี้ก็ยังสืบหาไม่พบสถานที่ที่เหมาะสมกับการคุมขังคนหยิ่นลิ่วไปสืบหาในจวนองค์ชายสี่ ก็แอบได้ยินองค์ชายสี่ทรงเอ่ยตัดพ้อกับที่ปรึกษา“เสด็จพ่อทรงโปรดปรานน้องเจ็ด ข้าจะแย่งชิงได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ยังมีฮ่องเต้ฉีคอยแนะนำข้า ตอนนี้แม้แต่จะพบฮ่องเต้ฉีก็ยังไม่อาจทำได้เลย!”หยิ่นลิ่วจับจุดสำคัญนี้ได้ จึงรีบกลับไปที่โรงพักแรมเพื่อทูลรายงาน“ฮองเฮา มิต้องสงสัยเลยว่า องค์ชายสี่ผู้นี้จะต้องทราบว่าฝ่าบาททรงถูกขังอยู่ที่ใด!”เมื่อเทียบกับหยิ่นลิ่ว เฟิ่งจิ่วเหยียนใจเย็นยิ่งกว่านางต้องการยืนยันอีกครั้ง “องค์ชายสี่ทรงเอ่ยคำพูดเช่นนี้จริงหรือ”หยิ่นลิ่วมั่นใจอย่างยิ่งอู๋ไป๋เริ่มรู้สึกร้อนใจ“นายท่าน ข้าน้อยจะไปจับตัวองค์ชายสี่ และสอบสวนอย่างลับ ๆ !”ด้วยการทรมานอย่างหนัก องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนไม่มีทางที่จะไม่บอกความจริงเฟิ่งจิ่วเหยียนยกม
ช่วงเริ่มต้นของปีใหม่ กองทัพเยี่ยนเคลื่อนเข้ามาใกล้ชายแดน เหล่าทหารมีจิตใจที่ฮึกเหิม ใช้การยึดคืนเมืองที่เสียไปเป็นเป้าหมาย และแย่งกรูกันเข้าไปทางเมืองชายแดนของหนานฉีองค์ชายเจ็ดของเป่ยเยี่ยนได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ ควบคุมทั้งสามกองทัพในการรบครั้งนี้ ฮ่องเต้เยี่ยนทรงคาดหวังต่อเขาอย่างมาก ก่อนออกรบทรงตักเตือนและกำชับไว้มากมาย“เจ้าเจ็ด หากชนะสงครามครั้งนี้ ตำแหน่งว่าที่จักรพรรดิ ก็ต้องเป็นเจ้าเพียงผู้เดียว! เหล่าพี่น้องของเจ้าก็จะยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งเช่นกัน!”องค์ชายเจ็ดพยักหน้าอย่างนอบน้อม“กระหม่อมจะไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง”ฮ่องเต้เยี่ยนมองบุตรชายด้วยความพึงพอใจ ในบรรดาเหล่าองค์ชายที่เหลืออยู่ มีเพียงองค์ชายเจ็ดที่มีลักษณะของความเป็นจักรพรรดิมากที่สุดองค์ชายสี่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองดูฉากเหตุการณ์นั้นด้วยสายตาอันคมกริบฮ่องเต้ฉีเอ่ยไว้ถูกต้องจริง ๆ เสด็จพ่อดีต่อน้องเจ็ดเหลือเกิน!ขอเพียงทหารสามารถรบชนะ ไม่ว่าใครจะเป็นแม่ทัพใหญ่ ก็จะได้รับความดีความชอบไปด้วยชัดเจนว่าเสด็จพ่อทรงให้โอกาสกับน้องเจ็ดแล้วเขาเล่า? เขาเป็นองค์ชายสี่นะ?เหตุใดเสด็จพ่อทรงมองไม่เห็นเข
อาจือถูกส่งเข้าวังมาตั้งแต่เล็ก และคอยรับใช้ข้างกายองค์หญิงเซี่ยนอี๋ที่จริงนางถือกำเนิดในตระกูลที่มีฐานะและชื่อเสียง ทว่าคนในตระกูลทำผิด จึงกลายมาอยู่ในสถานะต่ำต้อยอาจือคอยติดตามรับใช้องค์หญิง ทว่ากลับมองตนเองว่าพิเศษกว่าคนทั่วไปอาจารย์สอนศาสตร์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับองค์หญิง ไม่ว่าทำอย่างไรองค์หญิงก็ทรงร่ำเรียนไม่สำเร็จ ส่วนนางเรียนรู้ไม่นานก็ทำได้หมัวมัวในวังก็มักจะมองนางด้วยความเสียดาย---อาจือ หากเจ้าไม่อยู่ในสถานะต่ำต้อย ก็คงมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์กว่าองค์หญิงเป็นแน่ทว่า คนที่อยู่ในสถานการณ์มักจะมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจนอาจือฉลาดก็จริง ทว่าไม่ถือว่าฉลาดถึงขั้นสุดเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอย่างเซียวอวี้ จึงกลายเป็นคนฉลาดเพียงเล็กน้อยคนที่มีทักษะครึ่ง ๆ กลาง ๆ กลับมั่นใจเกินไป เหมือนกับคนที่ว่ายน้ำเป็นกลับจมน้ำอาจือก็มีจุดอ่อนที่อันตรายถึงแก่ชีวิตเช่นกันนางเข้าใจว่าตนเองพูดไม่กี่คำ ก็สามารถได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ฉีแล้ว กลับไม่รู้ว่า อีกฝ่ายวางแผนลวงไว้ตั้งแต่แรกแล้วเมื่อมองจักรพรรดิรูปงามที่อยู่เบื้องหน้า ในใจอาจือเริ่มว้าวุ่นเมื่อใจเริ่มว้าวุ่น แม้จะมีความฉลาดอยู่เล็กน้อ
ณ เป่ยเยี่ยนจวนขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับพระราชทานแล้ว นางไม่อาจทนรอได้อีกต่อไปจึงย้ายเข้าไปในเรือนหลังใหม่มิใช่ว่าองค์หญิงทุกพระองค์จะสามารถเปิดจวนได้ นี่เป็นความโปรดปรานที่เสด็จพ่อมีต่อนางเป็นพิเศษและสิ่งที่นางยินดีเป็นอย่างยิ่งคือ ฮ่องเต้ฉีก็ถูกส่งมาที่จวนของนางด้วยเช่นกันถึงแม้เสด็จพ่อจะส่งคนมาคุ้มกัน ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกห้องลับที่คุมขังฮ่องเต้ฉีตามอำเภอใจ ทว่า นี่คือจวนของนาง นางย่อมต้องหาโอกาสได้จากคุกลับมาที่จวนองค์หญิง เซียวอวี้ถูกคนคลุมศีรษะมาตลอดทางบวกกับเป็นเวลาค่ำคืน ก็ยิ่งไม่มีผู้ใดรู้องค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกมาต้อนรับด้วยพระองค์เอง โดยยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องลับ ราวกับเชื้อเชิญให้เข้ามาติดกับ และยิ่งเหมือนนายพรานที่สร้างกรงขัง กำลังมองดูเหยื่อเดินเข้ามาในกรงด้วยความพอใจขณะที่เซียวอวี้เดินผ่านตัวนาง นางก็เอ่ยอย่างอารมณ์ดี“ฮ่องเต้ฉี พวกเรายังมีอนาคตร่วมกันอีกยาวไกล”เซียวอวี้มีท่าทีเย็นชา ไม่แสดงสีหน้าเป็นมิตรแม้แต่น้อยทว่านางก็ชอบท่าทางดื้อรั้นเช่นนี้ของเขาและว่ากันตามตรง ห้องลับก็ดูสะอาดกว่าคุกลับองค์หญิงเซี่ยนอี๋ทรงเกเรเอาแต่ใจ ทว่าก็มีความจริงใจ
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต