ณ ชายแดนใต้ ภายในกระโจมเซียวอวี้นำหนังสือยอมแพ้มาให้เฟิ่งจิ่วเหยียนดูด้วยความพึงพอใจ“ลายมือของฮ่องเต้เยี่ยนนับว่าไม่เลวเลย” เขาทำเป็นไม่ใส่ใจและไม่บอกนางตรง ๆ ว่าเป็นหนังสือยอมแพ้ แต่ให้นางอ่านแล้วค้นพบด้วยตนเองเฟิ่งจิ่วเหยียนกลับทำเพียงกวาดตามองด้วยท่าทางนิ่งเฉย“ฝ่าบาท เรื่องสงครามจบลงแล้ว พวกเราจะกลับวังเมื่อไหร่เพคะ?”เซียวอวี้ขมวดคิ้วสัญญาของเขากับฮองเฮามีเวลาหนึ่งปีทว่าเพราะสงครามนี้ทำให้เสียเวลาไปหลายเดือนยังดีที่ช่วงที่ผ่านมานี้ฮองเฮาอยู่ข้างกายเขามาตลอด ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ต้องการแค่หนังสือยอมแพ้ของเป่ยเยี่ยน แต่ยังจะเอาหัวของรัชทายาทเยี่ยนด้วย!ณ เมืองหลวงภายในโรงเตี้ยมองครักษ์วิ่งเข้าไปในห้องอย่างร้อนรน “ท่านอ๋อง...เป่ยเยี่ยนแพ้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”นี่ควรจะเป็นข่าวดีทว่าสำหรับเฉินอ๋องแล้วนี่คือข่าวร้ายชัด ๆรูม่านตาของเขาหดลง“จบลงอย่างนี้เลยหรือ...”ที่จบลงไม่ใช่แค่เรื่องสงครามเท่านั้น แต่ยังมีความฝันในการเป็นฮ่องเต้ของเขาด้วยเขานึกเสียใจ“ข้าไม่ควรยึดติดกับการเดิมพันนั่นเลย...ข้าผิดเอง!”เขาราวกับนึกได้แล้ว พลันจับแขนขององครักษ์อย่างแรง “ข้าช่างโง่เส
เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สนใจเซียวอวี้ นางไล่ตามคนผู้นั้นไปจนถึงนอกหุบเขามรณะนางไล่ตามเขาจนทัน แล้วออกแรงดึงเสื้อคลุมยาวสีดำหลวมของเขาออกน่าเสียดายที่บุรุษผู้นั้นสวมหน้ากาก จึงมองเห็นไม่ชัดว่าเขาเป็นใครเขาทรงตัวไม่อยู่จึงก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวในการประมือกระบวนท่าต่อมา เฟิงจิ่วเหยียนก็รู้สึกได้ถึงหกนิ้วของเขาเป็นเขา! เจ้าของพิษวารีสวรรค์!รังสีสังหารอันเข้มข้นปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง กระบวนท่าก็พลันรุนแรงและรวดเร็วยิ่งกว่าเดิมคนผู้นั้นพลันเอ่ยปาก“ข้าควรเรียกเจ้าว่าฮองเฮา หรือแม่ทัพน้อยเมิ่งดีล่ะ? หากไม่ใช่เพราะต้วนไหวซวี่สละชีวิตตนเองเพื่อแลกกับชีวิตห้าปีของเจ้าล่ะก็ คืนนี้เจ้าต้องตาย!”เมื่อได้ยินชื่อที่คุ้นเคย เฟิงจิ่วเหยียนพลันตกตะลึงการที่เขารู้จักต้วนไหวซวี่นั้นไม่แปลก ทว่าเขาถึงกับจำนางได้...บุรุษผู้นั้นฉวยโอกาสถอยแล้วโผขึ้นที่สูงเขามองลงมาจากที่สูงแล้วยิ้มอย่างเย็นชา“ดูเหมือนเจ้าจะไม่รู้ว่าต้วนไหวซวี่ตายอย่างไรสินะ”ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนแดงเรื่อ“พูดมาให้ชัดเจน...”เพิ่งจะกล่าวไปไม่ทันไร จู่ ๆ เงาร่างหนึ่งพลันพุ่งเข้ามากอดแล้วพาหมุนเป็นวงรอบหนึ่งเมื่อนางหัน
บาดแผลบริเวณแขนของเซียวอวี้ไม่ได้ลึก เพียงแต่ถากผิวเล็กน้อยเท่านั้นทว่าตอนนี้เขากลับแสดงท่าทีเจ็บปวดออกมา เจ็บจริงหรือแกล้งทำ เฟิ่งจิ่วเหยียนแยกออกได้ซึ่งตอนนี้เขาคืออย่างแรกเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบเรียกหมอทหารทันทีเซียวอวี้ยังปากแข็ง “เราสบายดี…”หมอทหารทั้งตรวจชีพจร ทั้งตรวจดูแผล กลับหาความผิดปกติใด ๆ ไม่เจอเฟิ่งจิ่วเหยียนกระชากคอเสื้อของหมอทหารขึ้นมา “ธนูลูกนั้น! เจ้าได้ดูหรือยัง”หมอทหารชะงักงัน“ลูก ลูกธนูก็ไม่มีปัญหาใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ…”เฟิ่งจิ้วเหยียนปล่อยเขาออก แล้วหันไปมองเซียวอวี้เขาก้มหน้าลง มือที่วางบนเข่ากำแน่นจนกลายเป็นกำปั้น บริเวณข้างขมับ และลำคอ ต่างมีเส้นเลือดผุดขึ้นมามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเจ็บมาก แต่ก็ยังไม่อยากให้คนอื่นดูออก เพราะจะส่งผลเสียต่อความน่าเกรงขามของฮ่องเต้อย่างเขาหมอทหารอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงสั่งให้เขากลับไปทันทีหลังจากที่หมอทหารกลับไป เซียวอวี้ถึงได้เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาเผยสีแดงฉาน“เรา…เป็นอะไรไป”ตอนนี้คนที่เขาสามารถเชื่อใจได้ มีเพียงเฟิ่งจิ่วเหยียนกับเฉินจี๋เท่านั้นชั่วขณะนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความ
วินาทีนี้ หร่วนฝูอวี้เลือดสูบฉีดอย่างมากนางรู้ว่าซูฮ่วนไม่ชอบตัวเอง ยามปกติจึงดีแต่ปาก ไม่กล้าบังคับขืนใจครั้งนี้นางบังคับให้ตอบแทนบุญคุณ ให้ซูฮ่วนมาอยู่เคียงข้างนาง กลับไม่คิดเลยว่า อีกฝ่ายจะตกลงจริง ๆ“เจ้า…” หร่วนฝูอวี้กลืนน้ำลายลงคอทว่า หลังจากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนดึงสายรัดเอวและคลายสายเสื้อออก หร่วนฝูอวี้ก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมาผ้าพันหน้าอก!คนที่นางชอบ…ทำไม…ทำไมถึงกลายเป็นสตรีล่ะ!หร่วนฝูอวี้ไม่อยากจะเชื่อ“เจ้า เหตุใดเจ้า…”เฟิ่งจิ่วเหยียนดึงลูกกระเดือกปลอมออก แล้วยอมรับออกไปตรง ๆ “ข้าเป็นผู้หญิง”หร่วนฝูอวี้ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ ราวกับถูกสายฟ้าพุ่งโจมตี“ผู้หญิง…เจ้าเป็นผู้หญิงงั้นหรือ!”มือของนางสั่นเทา ดวงตาเริ่มเออคลอไปด้วยหยาดน้ำเฟิ่งจิ่วเหยียนใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ใหม่ คารวะนางตามธรรมเนียมของคนในยุทธภพด้วยท่าทางจริงจัง เพื่อขอขมาความผิดนางพูดความจริงกับหร่วนฝูอวี้ ไม่ใช่เพราะคำขอปลิ้นปล้อนที่หร่วนฝูอวี้เพิ่งกล่าวมาเมื่อครู่ แต่เป็นเพราะตระหนักได้ว่าหร่วนฝูอวี้ยึดมั่นด้วยใจจริง จึงไม่อยากทำให้อีกฝ่ายเสียเวลาแม้ว่าก่อนหน้านี้จะบอกไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง ว่านางไม่
ณ ค่ายหนานต้าหมอผีตาบอดผู้นั้นถูกพาเข้ามาในกระโจมไม่นาน เขาก็ทำการตรวจวินิจฉัย“เป็นพิษกู่จริงด้วย!”คิ้วคมของเซียวอวี้ขมวดแน่น เจ็บปวดจนเกินจะทนไหว จึงจับมือของเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ความสนใจของเฟิ่งจิ่วเหยียนพุ่งมาที่หมอผี“ในเมื่อเจ้าวินิจฉัยออกมาแล้ว มีวิธีรักษาหรือไม่?”หมอผีส่ายหน้าอย่างเคร่งครัด“แม้นจะเป็นพิษกู่ แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ช่วยท่านไม่ได้หรอก”ได้ยินเช่นนั้น เฉินจี๋ที่อยู่ข้าง ๆ พลันตะคอกอย่างโมโห“เป็นพิษกู่ ก็ไม่พ้นข้องเกี่ยวกับเมืองหนานเจียง!”เขาหันไปขอความเห็นกับเซียวอวี้ “กระหม่อมขอนำกำลังทหาร…”“เจ้าออกไปก่อน” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดตัดบทของเขาเฉินจี๋เป็นห่วงฝ่าบาท ถึงได้ทำอะไรเกินพอดี“กระหม่อมจะออกไปเฝ้าข้างนอก”หูของหมอผีผู้นั้นกระตุกไหว เหมือนกำลังพยายามฟังอะไรบางอย่างเขาไม่รู้ว่า ตอนนี้ตัวเองอยู่ในค่ายหนานต้าเฟิ่งจิ่วเหยียนถามเขาต่อ“เจ้ารักษาไม่ได้ แล้วหมอผีคนอื่นล่ะ?”หมอผีตอบกลับ “ฮูหยิน ข้ากล้าพูดได้เลยว่า ทั่วทั้งเมืองหนานเจียง หากแม้แต่ข้ายังถอนพิษกู่นี้ไม่ได้ คนอื่นก็ยิ่งถอนไม่ได้เหมือนกัน”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็น ไม่รู
แม้นร่างกายและหัวใจของเฉินจี๋จะรับเรื่องแบบนั้นไม่ได้ แต่เพื่อช่วยฝ่าบาท เขาก็คงไม่มีทางเลือกอื่นเขาชักดาบที่เหน็บไว้ข้างเอว ส่งให้เฟิ่งจิ่วเหยียน จากนั้นก็เข้าไปในกระโจมเฟิ่งจิ่วเหยียนยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกแทนเขาไม่นานหลังจากนั้น นางก็ได้ยินเสียงหนัก ๆ ดังขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงพิฆาตกล่าวคำว่า “ไปให้พ้น”นางรีบเข้าไป กลับเห็นเฉินจี๋คุกเข่าอยู่ในบ่อน้ำ พยายามแกะสายรัดเอวของเซียวอวี้ออกเฟิ่งจิ่วเหยียน: !นางแทบทนดูไม่ได้!นางรีบตะโกนห้าม “หยุดนะ นั่นเจ้าจะทำอะไร!”ชายร่างใหญ่อย่างเฉินจี๋ มีท่าทางราวกับถูกย่ำยี ดวงตาแดงก่ำ กัดฟันพูดว่า “ฮองเฮา ท่านบอก…ให้กระหม่อมอยู่กับฝ่าบาท”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกปวดหัวแทบระเบิด“ข้าให้เจ้าเฝ้าเขาเงียบ ๆ ไม่ได้ให้เจ้าแตะเนื้อต้องตัวเขา!”เฉินจี๋ได้ยินเช่นนั้น พลันโล่งอกจากนั้นก็รีบถอยออกมาที่แท้ก็แค่ให้เฝ้าเฉย ๆ เมื่อครู่เขาเตรียมใจไว้แล้วว่าหลังจากเสร็จกิจจะปลิดชีพลงโทษตัวเองเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเฉินจี๋กำลังคิดเพ้อเจ้ออะไรอยู่ แต่ก็ผิดที่นางพูดไม่ชัดเจนเองมิน่าล่ะตอนที่เฉินจี๋กำลังจะเข้ามา ถึงได้มีท่าทางเหมือนคนพร้อมที่จ
เซียวอวี้พลันหยุดกะทันหัน หัวเราะอย่างขมขื่นข้างหูของนาง“ฮองเฮา เหตุใดไม่ผลักเราออกล่ะ เพราะกลัวว่าเรา…จะตายหรือ”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้นมา มองที่เขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสีหน้าของเซียวอวี้ซีดขาวอย่างมาก แต่ริมฝีปากแดงระเรื่อเขาใช้มือข้างหนึ่งปิดตานางไว้ กล่าวเสียงแหบพร่า“เช่นนั้นก็อย่าผลักไสเราอีก เพราะเราจะตายจริง ๆ”เขาวางมือลงบนหลังเอวของนาง แล้วดึงนางเข้ามาอีกหลังจากสัมผัสอะไรบางอย่างได้ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ดิ้นอย่างรุนแรงผิวน้ำที่เคยเรียบนิ่งในตอนแรก พลันกระเพื่อมไหวเมื่อนางขยับ ลำคอของเซียวอวี้ก็ยิ่งแห้งผาก“เราถูกลูกธนูยิง ก็เพราะเข้าไปรับแทนเจ้า”สิ้นคำกล่าว คนที่อยู่ในอ้อมกอดพลันหยุดดิ้นตามคาด…เซียวอวี้ทนไม่ไหว จึงก้มลงไปจูบริมฝีปากของนาง“แม่ทัพน้อยของเรา เจ้าไม่ควรให้ความสำคัญกับบุญคุณมากเช่นนี้”……เฉินจี๋ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกกระโจมตลอดเวลา แอบได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังมาจากข้างใน——ลมหายใจอันหนักหน่วงของชายหนุ่ม เสียงอื้ออึงของหญิงสาวที่พยายามข่มกลั้นเอาไว้ในยามราตรีเงียบสงัด เขาเดินไปเดินมาอย่างกระสับกระส่ายหากไม่มีคำสั่งจากฝ่าบาทและพระนาง เขาก็ไม่กล้าเข้
ณ ค่ายหนานต้า กองทัพใหญ่กำลังเดินทางกลับวังหลวงซุนเต๋อฟางพร่ำขอบคุณสวรรค์ ที่ไม่ปล่อยให้ฮ่องเต้ทรงสิ้นพระชนม์ในค่ายทหาร“กระหม่อมน้อมส่งฝ่าบาทและฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวอวี้ตอนมาขี่ม้า ตอนกลับเปลี่ยนเป็นนั่งรถม้าภายในห้องโดยสาร เขาปอกส้มให้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยมือตนเอง เมื่อแกะออกก็ยื่นไปที่ปากนางเฟิ่งจิ่วเหยียนหลบหลีกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์“หม่อมฉันไม่กิน”เซียวอวี้เอ่ยเสริม “เราก็ไม่ชอบกินเช่นกัน มันเปรี้ยวมาก ดูเหมือนว่ารสชาติที่ถูกปากของฮองเฮากับเราจะคล้ายกัน...”เขายังเอ่ยไม่จบ จู่ ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็หยิบส้มบนโต๊ะนั้นขึ้นมา และยัดเข้าปากในทันทีเซียวอวี้ : ?เมื่อรู้ว่านางจงใจจะต่อต้านเขา นอกจากเขาจะไม่หงุดหงิด กลับรู้สึกสำราญใจเป็นพิเศษอย่างน้อยนางก็ไม่เย็นชาเหมือนคืนที่ผ่านมา“ฝ่าบาท มีจดหมายลับพ่ะย่ะค่ะ!” เฉินจี๋รายงานอยู่ด้านนอกเซียวอวี้ยื่นมือออกไป และหยิบจดหมายลับนั้นมาเฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปทางเขา เขาก็เงยหน้าขึ้นมองนาง พร้อมกับยื่นจดหมายลับไปตรงหน้านางทันที“เจ้าอยากอ่านก่อนหรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเบือนหน้าหนี “งานราชกิจเป็นเรื่องสำคัญ ท่านอย่าทำเป็นล้อเล่
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้