ณ ห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ฟังรุ่ยอ๋องเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมดจบแล้ว สายตาดูเยือกเย็นและดุดันเขาเหลือบตาขึ้นมองในทันที แววตาราวกับใบมีดอันคมกริบ“นางอยู่ที่ใด หญิงผู้นั้น อยู่ที่ใด!”รุ่ยอ๋องสังเกตเห็น เมื่อฮ่องเต้ทรงเอ่ยถึงหญิงผู้นั้น ในดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง“อยู่ในคุกหลวง กระหม่อมสั่งให้คนพานางไปควบคุมตัวไว้ก่อน”ใบหน้าที่ดูน่าเกรงขามของเซียวอวี้ปกคลุมไปด้วยความเยือกเย็น พร้อมออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ย้ายนางไปที่คุกเทียนเหลา”“พ่ะย่ะค่ะ”ณ คุกเทียนเหลานักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ที่แห่งนี้มีจำนวนมาก ในนั้นมีขุนนางที่พัวพันคดี จนกระทั่งเชื้อพระวงศ์อีกจำนวนไม่น้อยเมื่อพวกเขาเห็นฮ่องเต้เสด็จมา ก็พากันคุกเข่าร้องขออภัยโทษ“ฝ่าบาท อภัยโทษให้กระหม่อมด้วย!”“ฝ่าบาท ขอร้องให้ท่านปล่อยกระหม่อมออกไปเถิด!”“ฝ่าบาท ข้าน้อยมิกล้าทำอีกแล้ว!”เซียวอวี้เมินเฉยต่อเสียงเหล่านี้ สายตาดูเย็นชา และเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อนในสมองเต็มไปด้วยภาพของมารดา---ท่าทางที่ดูทุกข์ใจ ท่าทางที่ดูเจ็บปวด ยังมีท่าทางที่ดูโศกเศร้า และท่าทางที่ตกจากที่สูงของนาง...เดิมทีเป็นเพราะเรื่อ
ใบหน้าที่เจือไปด้วยความอ่อนหวานและบอบบางของเหยาเนียงนั้น ในยามนี้พลันทะมึนตึงดำคล้ำขึ้นมานางจ้องมองไปที่แผ่นหลังของเซียวอวี้ ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า“คิดไม่ถึงใช่หรือไม่! พวกเจ้าคิดว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ด้วยอาการป่วย แม้แต่ตัวฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้ว คือข้า! เป็นข้าที่วางยาพิษฝ่าบาท!“ฝ่าบาท ข้าต้องขอบพระทัยท่านยิ่งนัก“ฮ่องเต้พระองค์ก่อนกระทำการสิ่งใดมักจะระมัดระวัง หากมิใช่ในปีนั้นท่านนึกสงสารบ่าว ทั้งยังให้พระสนมซูเฟยพาตัวบ่าวมาที่ตำหนักเว่ยยาง บ่าวก็คงมิมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนเช่นนี้อย่างแน่นอน… ฮ่าฮ่า!”ดวงตาของเซียวอวี้พลางเจือไปด้วยความเย็นชาที่นางพูดขึ้นมาเช่นนี้ เป็นเพราะต้องการให้เซียวอวี้โมโหขึ้นมาเท่านั้นทว่า……เซียวอวี้หาได้คิดสนใจไม่ ว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนจักสิ้นพระชนม์อย่างไร!บุรุษที่ทอดทิ้งเสด็จแม่ของเขาไปราวกับสิ่งของไร้ค่า ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ของแว่นแคว้นเขานั้น หาได้ทำสิ่งใดผิดไปไม่ ทว่า ในฐานะบิดาและสามี เขาสมควรตกตายไปนานแล้ว!“เราอยากให้นางแม้อยู่ก็มิมีหนทางรอด อยากตายก็มิอาจตายได้
เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้พูดอะไรมากไม่ นางเพียงแค่กล่าวกับเซียวอวี้ว่า“อาจารย์หญิงจะต้องกลับไปที่ชายแดนเหนือแล้ว”เซียวอวี้คิดว่าพวกนางเศร้าเสียใจที่จะต้องจากกัน ถึงได้มีอาการหม่นหมองเช่นนี้เขาจึงวางแขนโอบไหล่ของเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาไว้ พลางหันไปกล่าวกับฮูหยินเมิ่งว่า“ท่านอาจารย์หญิงวางใจได้ จิ่วเหยียนแต่งให้เรานั้น นางจะมิถูกรังแกใด ๆ หากนางอยากไปเยี่ยมเยียนพวกท่านละก็ เราก็จะไม่ห้ามอีกด้วย ท่านเองก็เข้าวังมาพบนางได้เสมอ”แน่นอนว่า มีเพียงฮูหยินเมิ่งเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ได้ท่านแม่ทัพเมิ่งที่ตรึงกำลังเฝ้าปกป้องอยู่ที่ชายแดนนั้น ย่อมมิได้รับอนุญาตให้ออกจากตำแหน่งฮูหยินเมิ่งโค้งกายคำนับขอบคุณ“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท เพียงเท่านี้ หม่อมฉันก็จากไปได้อย่างสบายใจแล้วเพคะ”ถึงเวลารับสำรับมื้อค่ำพอดี เซียวอวี้จึงเสนอขึ้นมา“รั้งอยู่รับสำรับมื้อค่ำด้วยกันเถิด มื้อนี้เพื่อเลี้ยงส่งท่านโดยเฉพาะ”ฮูหยินเมิ่งเหลือบมองที่เฟิ่งจิ่วเหยียน ก่อนจะส่ายหัวไปมา“อย่าดีกว่าเพคะ คู่ใหม่ปลามันเช่นฝ่าบาทและฮองเฮานั้น หม่อมฉันมิกล้ารบกวนเวลาของพวกท่าน”……หลังจากที่ฮูหยินเมิ่งจากไป เหล่าข้ารับใช้ในวังก็เข
เซียวอวี้ยังจำเรื่องราววันพระราชสมภพของเสด็จแม่ ยามที่เขาอายุหกขวบได้เป็นอย่างดีคืนนั้น ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเสด็จมาเยือนตำหนักเว่ยยาง เสด็จแม่มีความสุขยิ่งนัก ทั้งยังลงมือจัดเตรียมทำน้ำแกงด้วยตนเองเพื่อรอฮ่องเต้พระองค์ก่อนเสด็จมาหมัวมัวพาเซียวอวี้ออกมา ก่อนจะแย้มยิ้มกล่าวกับเขาว่า “องค์ชายห้าเพคะ พระสนมจะเสด็จร่วมบรรมทมกับฝ่าบาทในคืนนี้ พระองค์ควรรีบกลับไปบรรมทมแต่โดยไวนะเพคะ”เขาเข้าใจความหมายของหมัวมัวได้ในทันที ว่าเสด็จแม่จักได้กลับมาเป็นที่โปรดปรานอีกครั้งแล้ว เช่นนี้ วันวานภายในตำหนักเว่ยยางก็จะกลับขึ้นมาดีขึ้นอีกครั้งเซียวอวี้ยังคงคาดหวังว่า เสด็จแม่กับเสด็จพ่อจักคืนดีกันเสียที เช่นนี้เสด็จแม่ก็จักมิต้องมีท่าทีเศร้าอกเศร้าใจตลอดวันอีกต่อไป“เราจำได้ว่า แสงจันทร์ในคืนนั้นงดงามเป็นอย่างยิ่ง”เสียงของเซียวอวี้แหบแห้งเล็กน้อย “ฮ่องเต้พระองค์ก่อนรู้สึกเหนื่อยอ่อนนัก จึงเข้าไปงีบหลับบนเตียง เสด็จแม่ที่เป็นกังวลว่าพระองค์จะมีอาการเมามายจากฤทธิ์สุรานั้น จึงได้ไปที่ห้องเครื่องเพื่อจัดเตรียมน้ำแกงสร่างเมา หลังจากที่พระนางกลับมายังห้องโถงหลักนั้น ก็พลันพบว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนกำลังร่ว
ห้องทรงพระอักษรรุ่ยอ๋องรายงานคำให้การของเหยาเนียงเซียวอวี้เพียงกวาดตามองเล็กน้อย ก่อนสายตาจะไปหยุดจับจ้องที่คำว่า “เป่ยเยี่ยน” สองคำนี้แววตาของรุ่ยอ๋องแห้งพลันเต็มไปด้วยรอยแดงก่ำเล็กน้อยเขาพลางเอ่ยออกมาด้วยความเนิบนาบว่า“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ตามที่เหยาเนียงได้ให้การยอมรับออกมานั้น นางเป็นสายให้กับเป่ยเยี่ยนพ่ะย่ะค่ะ ในปีนั้นนางได้รับคำสั่งให้ทำการลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้พระองค์ก่อน เพื่อต้องการทำให้หนานฉีเกิดความระส่ำระส่าย“ยามนี้ ฝั่งของเป่ยเยี่ยนคงมิอาจนิ่งนอนใจได้อีก ถึงได้ส่งนางมาสังหารท่านเช่นนี้”ดวงตาของเซียวอวี้หรี่เรียวเล็กลง พลางก้มหน้าอ่านคำให้การเสียหลายครั้งหลายครา“เจ้าคิดว่า สิ่งที่นางกล่าวออกมานั้นน่าเชื่อถือได้มากเพียงใดกัน?”น้ำเสียงของเซียวอวี้เจือไปด้วยความเย็นชา สายตาของเขาหาได้มีที่ว่างเว้นใด ๆ ไม่รุ่ยอ๋องพลางกล่าวออกมาตามจริงว่า“ภายใต้การทรมานที่รุนแรงเช่นนี้ ย่อมมีความจริงปรากฏขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ“ทว่า เมื่อคิดดูดี ๆ แล้วนั้น บุคคลที่ถูกส่งตัวให้มาเป็นสายลับได้เช่นนี้ คงหาใช่คนธรรมดาไม่“กระหม่อมก็มิรู้ว่า สมควรจักเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด“ทว่า เรื่องท
หร่วนฝูอวี้พลันยกมือสองข้างจับประตูห้องขังเอาไว้ ท่วงท่าของนางดูมีเสน่ห์เย้ายวนยิ่งนัก ราวกับอสรพิษสาวกำลังเลื้อยพันประตูซึ่งต่างจากนักโทษคนอื่น ๆนางมองไปที่รุ่ยอ๋อง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ออกมา“คนที่ท่านชอบ คือฝ่าบาทใช่หรือไม่?”ดวงตาของรุ่ยอ๋องพลันมืดคล้ำไปในทันทีฝ่ามือของหร่วนฝูอวี้พลันวางเอาไว้บนริมฝีปากของตน ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา“อั๊ยหยา! ข้าเดาถูกจริง ๆ หรือนี่?”คิดว่านางโง่เง่ามากหรือไรในช่วงหลายวันที่อยู่ในเมืองหลวงนั้น นางลอบตรวจสอบเขามาหมดแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น เขาหาได้มีสตรีข้างกายไม่ กลับมักจะตัวติดกับฮ่องเต้สุนัขผู้นั้น อีกทั้งทั้งสองคนยังชอบนัดเจอกันที่สนามม้าหลวงอีกเมื่อมาเห็นเช่นนี้ คนที่อยู่ในใจของเขาหาได้อยู่ไกลไม่ แต่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม!รุ่ยอ๋องที่ยินเสียงหัวเราะของนางเช่นนั้น พลันรู้สึกได้ถึงความเยาะเย้ยและความชั่วร้ายที่ลอยออกมารุ่ยอ๋องที่มิอาจทนไหวนั้น กำลังจะหันกายจากไป หร่วนฝูอวี้พลันรีบเรียกเขาเอาไว้“เฮ้! ช้าก่อน! ท่านอ๋อง เหตุใดท่านถึงโมโหเช่นนั้นเล่า?“หน้าท่านบางมากหรือไร!“เช่นนั้น ให้ข้าช่วยป่าวประกาศให้ท่านดีหรือไม่?”
วันเวลาแห่งความสุขมักจะแสนสั้นเสมอหลังผ่านงานมงคลสมรสไปได้สามวันนั้น เซียวอวี้ก็ได้เวลาไปว่าความยามเช้าเสียทีเขามักจะตื่นนอนตรงเวลา กิจวัตรเช่นนี้หาได้เคยหย่อนยานไม่ทว่า เมื่อมีสตรีงามมาร่วมเคียงหมอนด้วยเช่นนี้ ก็ทำเอาเขามิอยากจากนางไปหลังจากพักผ่อนที่ตำหนักหย่งเหอเมื่อคืนนี้ ยามที่เซียวอวี้ลืมตาขึ้นมานั้น เมื่อคิดที่จะเข้าไปโอบกอดคนข้างกายกลับพบว่าคว้าได้แต่อากาศเซียวอวี้จึงสะดุ้งขึ้นมาในทันที ก่อนจะรีบลุกขึ้นเปิดม่านออกมา“ฮองเฮาเล่า!”หลิวซื่อเหลียงที่กำลังรั้งรออยู่ห้องโถงด้านนอกนั้น เมื่อได้ยินเสียงจึงรีบเดินเข้ามารายงาน“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฟ้ายังมิสางฮองเฮาก็ตื่นบรรทมมาฝึกยุทธ์อยู่ด้านนอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เรื่องนี้ทำเอาหลิวซื่อเหลียงเองนึกตกใจยิ่งนักมิแปลกใจเลยที่ฮองเฮาเติบโตมาจากค่ายทหาร แม้แต่การตื่นนอนในยามเช้ายังตื่นไวกว่าฝ่าบาทเสียอีกเซียวอวี้รู้ดีว่านางมีนิสัยฝึกยุทธ์ในตอนเช้า ทว่า เขามิคิดว่าจะเช้ามากขนาดนี้ด้านนอกตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนสวมใส่ชุดลำลอง พร้อมผมที่รวบเอาไว้สูง ผมหางม้าของนางสะบัดไปตามแรงเคลื่อนไหว หากมองจากไกล ๆ คล้ายกับชายหนุ่มรูปงามที่แต่งกาย
มีบางอย่างที่เซียวอวี้มิต้องการเก็บมันเอาไว้ในใจ เขาต้องการรู้คำตอบที่ชัดเจนเซียวอวี้จ้องมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยท่าทีจริงจัง ก่อนจะไล่จี้ถาม“เรากับต้วนไหวซวี่ เจ้ารักใครมากกว่ากัน? เจ้าปฏิบัติกับเขาอ่อนโยนเช่นนั้น แต่เหตุใดกับเราถึงทำเป็นเย็นชาทั้งยังมิรู้ร้อนรู้หนาวอีกด้วย? จิ่วเหยียน สิ่งที่เจ้าเคยเอ่ยกับต้วนไหวซวี่นั้น เจ้าหาได้เคยเอ่ยวาจาเช่นนั้นกับเราไม่...”เมื่อมองย้อนกลับไป คำพูดที่นางเคยทำให้เขารู้สึกชอบนั้น คงจะเป็นคำที่นางบอกว่ามีใจต่อเขากระมังในยามนั้น เพียงแค่ได้ยินก็ทำเอาเซียวอวี้นึกพอใจกับมันยิ่งนักแต่เขายังอยากได้มากกว่านี้ ทั้งยังอยากรู้อีกว่า นางรักเขามากเพียงใด ถึงขนาดมิอยากจากเขาไปหรือไม่เซียวอวี้ที่กล่าวออกมามากมายนั้น หากแต่เฟิ่งจิ่วเหยียนเพียงแค่ถามกลับคำเดียว“ข้าเคยเอ่ยอันใดกับต้วนไหวซวี่กัน?”นางหาได้รู้เรื่องนี้ไม่ เหตุใดเขาถึงรู้เล่า?เซียวอวี้เอ่ยออกมาด้วยท่าทีจริงจัง“เจ้าเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเป็นปมมากไปอีกจนทำให้นางต้องเอ่ยอธิบายออกมาด้วยท่าทีจริงจัง“นั่นเพราะท่านแตกต่างจากเขา ท่านเป็นถึงฮ่องเต้ หม่อมฉัน
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้