ปกติเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คับขัน เรื่องการขับถ่ายไม่ใช่ปัญหาสำหรับนางดื่มน้ำให้น้อยลง และกลั้นไว้ก็จะผ่านไปได้แต่นึกไม่ถึงว่าโอรสสวรรค์ที่มีชีวิตสูงส่งจะอดทนได้เช่นกันเมื่อนาฬิกาทรายเดินไปได้ครึ่งชั่วยาม บุรุษที่กำลังนั่งทำสมาธิบนเตียงหยกพลันลืมตา และสบตากับเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยแววตาคมปลาบ“เจ้ามองเราทำไม”เขารับรู้ได้ในขณะที่นางมองเขาเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงถามโดยไม่ปิดบังว่า“ท่านไม่มีความต้องการอะไรบ้างหรือ”ความต้องการ?นางสามารถถามให้ชัดเจนกว่านี้ได้!เซียวอวี้ไม่ตอบ สีหน้าของเขาเยือกเย็นราวกับเกล็ดน้ำค้าง ในดวงตาลึก ๆ เต็มไปด้วยความโกรธ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่คิดว่าการที่ตัวเองถามเช่นนี้มีอะไรแปลกนัก นี่ยังถือเป็นการถามโดยอ้อมด้วยซ้ำแต่ปฏิกิริยาของเขากลับดูชอบกลการกินและการขับถ่ายเป็นความต้องการปกติของมนุษย์บางทีในฐานะจักรพรรดิ เขาอาจคิดว่าตนเองไม่เหมือนปุถุชนธรรมดาสายตาของนางเหลือบมองส่วนล่างของเขา“กลั้นไว้นานไม่ค่อยดีนัก”ไม่ใช่ว่านางใจดี แค่กลัวว่าเขาจะห่วงภาพลักษณ์จนยอมทรมานตัวเอง ถ้าเขากลั้นไม่อยู่ในขณะที่นางขับพิษอยู่ก็จะยิ่งลำบากอุณหภูมิ
เฟิ่งจิ่วเหยียนล้มลงบนเตียงหยก บุรุษที่เดิมทีนอนอยู่บนเตียง ในเวลานี้กลับพลิกตัวขึ้นมาอยู่บนตัวนาง เขาใช้ฝ่ามืออันแข็งแกร่งกดไหล่ของนางไว้ และโน้มตัวลงมา ราวกับพยัคฆ์ร้าย สายตาดุดันกวาดมองไปทั่วร่าง หวังจะกลืนนางลงไปในท้องนางหรี่ตาลงและแทงเข็มสุดท้ายลงไปโดยไม่ลังเลนางรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาค้ำยันแผงอกของเขาที่ขยับใกล้เข้ามา และยังป้องกันไม่ให้สัมผัสกับเข็มเงินเหล่านั้นริมฝีปากบางของบุรุษเกือบจะแนบกับใบหน้าด้านข้างของนาง คลับคล้ายเหมือนจะถูกับใบหน้าและติ่งหูลมหายใจของเขาที่กำลังพ่นใส่ข้างลำคอของนาง ราวกับคลื่นความร้อนในคิมหันตฤดู“เราลืมบทสวดชำระล้างจิตใจไปแล้ว...”เฟิ่งจิ่วเหยียนเตือนเขาด้วยประกายตาเยือกเย็น“ข้าท่องให้ฟังแล้วท่านก็ท่องตาม”พอฝืนท่องไปได้สักพัก มันก็เริ่มเห็นผลแววตาอันร้อนรุ่มของเซียวอวี้ที่มองนางก็คลายลงอย่างมากจากนั้นเขาก็รู้ตัวว่าตนเองทำสิ่งใดลงไป จึงรีบลุกขึ้นนั่ง ทำสมาธิ และสงบจิตใจทันทีหลังจากนั้นมาเขาก็ไม่สูญเสียการควบคุมอีกเลยครึ่งชั่วยามผ่านไปเฟิ่งจิ่วเหยียนก็ดึงเข็มขึ้นมาเซียวอวี้เหงื่อไหลออกมาก ใบหน้าหล่อเหลาของเขาปกคลุมด้วยชั้นเหงื
ขณะที่เซียวอวี้กำลังจะสัมผัสหน้ากากของนาง เข็มเงินเล่มหนึ่งก็แตะอยู่ที่อกของเขาแววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็น“ความสงสัยบางครั้งก็ทำร้ายคนได้”เซียวอวี้เม้มริมฝีปากบางเล็กน้อยจากนั้น เขารีบชักมือกลับทันทีนางก็ชักเข็มเงินในมือกลับเช่นกันทั้งสองคนต่างอยู่ในอาการสงบหลังจากกลไกทางเข้าถูกเปิดออกเฉินจี๋เห็นว่าฮ่องเต้ยังทรงปลอดภัยดี ความกังวลใจจึงคลายลงแต่นักฆ่าหญิงผู้นั้น ถ้าจะให้มั่นใจแน่ ๆ ก็ต้องจับตัวไว้หรือฉวยโอกาสตอนที่นางกำลังอ่อนแอ สังหารนางซะ!เฉินจี๋ชักดาบของเขาออกมาทันทีแต่กลับได้ยินฮ่องเต้รับสั่งว่า“ปล่อยนางไป”......รัตติกาลมืดมิดตำหนักหย่งเหอสองวันมานี้เหลียนซวงจิตใจว้าวุ่น จนกระทั่งเห็นฮองเฮาเสด็จกลับมา จึงค่อยโล่งใจขึ้นมาแต่ทันใดนั้นก็พบว่าฮองเฮาเหมือนจะได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง!“ฮองเฮา ท่าน…”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยุงสังขารที่อ่อนแรง มือหนึ่งจับที่มุมโต๊ะ อีกมือหนึ่งกำคอเสื้อของตนเองไว้แน่น“ออกไปเฝ้าด้านนอกไว้”ลำคอของนางเหมือนถูกไฟเผา น้ำเสียงที่เอ่ยดูแหบพร่า“เพคะ!” เหลียนซวงไม่รู้ว่าในช่วงสองวันที่ผ่านมาฮองเฮาทรงพบเจอสิ่งใดมาบ้าง แต่ก็เข้า
ในท้องพระโรง เสนาบดีของทั้งสองแคว้นกำลังโต้เถียงกันอย่างดุเดือดหูเอ่อร์ต๋าไม่ได้กล่าวอ้างลอย ๆ“กราบทูลฝ่าบาท เมิ่งสิงโจวสังหารชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ของรัฐเหลียง การจ่ายเบี้ยชดเชยนั้น ก็เพื่อปลอบขวัญให้กับพวกเขา ส่วนการให้เมิ่งสิงโจวยอมรับโทษนั้น ก็เพื่อบำรุงขวัญให้กับราษฎรในรัฐเหลียงทุกหมู่เหล่า ถือเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเจรจาสงบศึกและเป็นพันธมิตรกันระหว่างสองแคว้น“หากหนานฉีไม่มีการชดเชยใด ๆ ต่อให้ขุนนางกงสุลจะยินดีลงนามในหนังสือเจรจาสงบศึก เกรงว่าทหารหลายแสนนายของรัฐเหลียง ราษฎรทั่วหล้า และวิญญาณที่ตายไปแล้วอีกนับไม่ถ้วนก็จะไม่เห็นด้วย!”เสนาบดีของหนานฉีโต้แย้งทันที“เมื่อสองแคว้นทำสงครามกัน ย่อมต้องมีการบาดเจ็บล้มตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้! อีกอย่างทหารของเราก็ไม่เคยสังหารชาวบ้านของรัฐเหลียงที่ไร้อาวุธ แล้วจะพูดถึงวิญญาณอะไร! บำรุงขวัญอะไร!”หูเอ่อร์ต๋าหรี่ตาหยีพร้อมกับลูบเครา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันว่า“ถ้าพูดเช่นนี้ หนานฉีก็ไม่มีความคิดที่จะเจรจาสงบศึกอย่างนั้นรึ?”ได้เลย!ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเปิดฉากทำสงคราม สู้รบกันต่อไป!ถึงอย่างไรเมิ่งสิงโจวก็ยังไม่หายป่วย คงจะออกรบไม่ได
ณ ห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้มองดูเฟิ่งจิ่วเหยียนในอาภรณ์ที่เรียบง่าย ดูลักษณะแตกต่างจากฮองเฮาโดยสิ้นเชิงนางคุกเข่าลงบนพื้น ในมือชูใบบันทึกคำให้การอยู่ปึกหนึ่ง“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องจะร้องทุกข์เพคะ!”ภายในห้องมีเพียงเฉินจี๋ที่อยู่รับใช้ เขารับใบบันทึกคำให้การเหล่านั้นมา แล้วถวายต่อฮ่องเต้เซียวอวี้พลิกดูทีละแผ่น แค่อ่านจบเพียงหน้าแรก สีหน้าของเขาราวกับพายุฝนโหมกระหน่ำ เมฆดำปกคลุมเมือง“ฮองเฮา! เจ้าต้องรู้ว่าในนี้เขียนว่าอย่างไรบ้าง!”เฟิ่งจิ่วเหยียนลดสายตาลงอย่างนอบน้อม“รู้เพคะ สิ่งที่ท่านกำลังทอดพระเนตรคือ ใบบันทึกคำให้การครั้งแรกของกลุ่มโจรภูเขา เป็นความจริงที่ไม่มีการแก้ไขใด ๆ“ในนั้นถึงเป็นความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น หลังจากที่หม่อมฉันถูกลักพาตัวไป”ม่านตาของเซียวอวี้พลันหดลง“หมัวมัวในวังก็เคยตรวจร่างกายของเจ้า”นางยืนยันแล้วว่าบริสุทธิ์ เหตุใดคำให้การถึงระบุว่า พอนางถูกจับตัวไปก็ถูกข่มเหงเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดอย่างเปิดเผยว่า“หม่อมฉันกินยาต้องห้ามจากต่างถิ่นให้ชั้นผิวหนังลอก รอยแผลเป็นตามตัวจึงหายไป รวมถึงใช้วิธีการบำรุงฟื้นฟูด้วย“ดังนั้นแม้แต่หมัวมัวในวังผู้มีประ
เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้บอกทันทีว่าพยานเป็นผู้ใด นางอธิบายที่มาที่ไปอย่างสงบนิ่งว่า“หลังจากแข่งขันขี่ม้าโปโล หวังเทียนไห่ถูกสืบพบว่าเป็นคนร้ายที่หมายจะสังหารสองพระสนม โดยทำให้พวกนางตกจากหลังม้า หากความจริงแล้ว หวังเทียนไห่ได้รับคำสั่งจากหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ ให้ทำร้ายนางสนมเจีย พอเขาถูกจับ หลิงเยี่ยนเอ๋อร์กลัวว่าเขาจะซัดทอดมาถึงตนเอง จึงรีบส่งนางกำนัลจูเอ๋อร์ไปปิดปากเขาเสียก่อน...”เซียวอวี้ขมวดคิ้วอย่างหมดความอดทน พูดแทรกด้วยน้ำเสียงขรึมว่า“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่”เท่าที่เขารู้ หวังเทียนไห่รวมถึงนางกำนัลจูเอ๋อร์ผู้นั้น ทั้งคู่ต่างก็ตายไปแล้ว หรือว่าพวกเขาจะตายแล้วฟื้นมาเป็นพยานให้กับนางได้!เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบแบบไม่ช้าไม่เร็ว“กราบทูลฝ่าบาท ในคืนนั้นนางกำนัลจูเอ๋อร์ยังไม่ตาย หม่อมฉันแอบส่งนางออกไปรักษาตัวที่นอกวัง ตอนนี้นางสามารถมาเป็นพยาน และชี้ตัวหลิงเยี่ยนเอ๋อร์เพคะ”เซียวอวี้ดูเหมือนกำลังควบคุมความรู้สึกบางอย่าง สีหน้าของเขาดูเรียบเฉยผิดปกตินี่มัน “ตายแล้วฟื้น” จริง ๆ!เขาไม่ได้ขัดจังหวะสิ่งที่นางพูดเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยต่อ“จ้าวซีเป็นน้องชายของจ้าวเฉียน เขาเป็นผู้รอดชีวิตเ
แม้ว่าหลิงเยี่ยนเอ๋อร์จะคุกเข่าอยู่ แต่ก็ยังเงยหน้าและยืดอก ลักษณะไม่เหมือนคนที่กระทำความผิดเลยแม้แต่น้อยพยานจ้าวซีจ้องมองนางด้วยความโกรธแค้น“ฝ่าบาท เรื่องที่จ้าวเฉียนพี่ชายของข้าน้อยทำงานให้กับหวงกุ้ยเฟย เขาเขียนมันลงไปในบันทึกเล่มนั้น ก็เพื่อให้ตัวเองพอจะเหลือทางรอดบ้าง!“แต่คิดไม่ถึงว่าหวงกุ้ยเฟยจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ สังหารพวกเราทั้งครอบครัว เพื่อต้องการกำจัดให้สิ้นซาก ตอนนี้ก็เหลือข้าน้อยเพียงคนเดียว...โชคดีที่ได้รับการช่วยเหลือจากคนใจดี“คนพวกนั้นจุดไฟเผาบ้าน แต่ไม่ทันสังเกตว่าข้าน้อยแอบคลานหนีออกมา...”สาวใช้จูเอ๋อร์เอ่ยบ้าง“ฝ่าบาท หวงกุ้ยเฟยสั่งให้บ่าวลอบสังหารหวังเทียนไห่เพคะ!”ลำพังแค่อาศัยคำให้การของพวกเขาก็อาจยังมีข้อสงสัยอย่างเช่น จ้าวซีแน่ใจได้อย่างไรว่า กลุ่มคนที่สังหารครอบครัวของเขา เป็นหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ที่ส่งไป?ดังนั้นคำให้การของชุนเหอจึงมีน้ำหนักมากเป็นพิเศษ“หวงกุ้ยเฟยกลัวว่าครอบครัวของจ้าวเฉียนจะล่วงรู้บางอย่าง จึงสั่งให้บ่าวไปกำจัดครอบครัวของจ้าวเฉียนไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว ส่วนเรื่องโจรภูเขา ที่โจรภูเขาลักพาตัวฮองเฮา นั่นก็เป็นฝีมือของหวงกุ้ยเฟย...”
เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบเซียวอวี้อย่างใจเย็น“ท่านให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของราชวงศ์ ส่วนหม่อมฉันก็ไม่อยากให้ผู้คนครหา ดังนั้นท่านประกาศเฉพาะความผิดที่หลิงเยี่ยนเอ๋อร์กระทำ ส่วนตัวตนของเหยื่อ และรายละเอียดของเหตุการณ์ก็ละเว้นได้เพคะ”ทำเช่นนี้แล้วความผิดของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ก็จะเป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คนทั่วหล้าได้เช่นกันเซียวอวี้มองนางด้วยความเย็นชา“เจ้าช่างคิดมาอย่างถี่ถ้วน“หากเราไม่ทำเช่นนั้น เจ้าจะทำอย่างไร จะโปรยสำเนาใบบันทึกคำให้การไปทั่วเมืองอย่างนั้นรึ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนลดสายตาลง“หากไม่จำเป็นหม่อมฉันก็ไม่อยากทำเช่นนี้“หากท่านเป็นคนร่างข้อกล่าวหาของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ด้วยตนเอง อาจจะหลบเลี่ยงจากหนักเป็นเบาได้ แต่หากเป็นของหม่อมฉัน ทุกอย่างจะยังคงเดิม และจะสู้กันจนถึงที่สุด”ความรู้สึกของการถูกข่มขู่นั้นย่ำแย่โดยอย่างยิ่ง เซียวอวี้ถึงกับเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นเขาเหยียดกายลุกขึ้น ความรู้สึกกดดันรอบกายพัดโหมกระหน่ำออกไป ภายในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศอันเยือกเย็น บวกกับสีหน้าของเขาที่ดูน่ากลัวยิ่งนัก“เราตัดสินให้หลิงเยี่ยนเอ๋อร์ถูกเนรเทศแล้ว เจ้ายังมีสิ่งใดไม่พอใจอีก“เจ้าต้องการให้
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้