ภาพสุดท้ายที่หล่าทหารเห็นคือกองเพลิงขนาดใหญ่ แสงของมันสามารถขับไล่ความมืดไปจนหมด ทหารรีบพากันควบม้าอย่างสุดชีวิต
ทางด้านจินเซียงก็สั่งให้ม้าของตนออกไปรอที่ชายป่านอกด่านก่อนถึงจุดนัดพบ ม้าของนางก็ยอมทำตามมันวิ่งหายไปในความมืดของท้ายหมู่บ้านเล็กๆ ใกล้กับด่าน ตอนนี้ทหารเหลียวกำลังไล่ตามนางเพราะนางทำให้ทัพเหลียวสูญเสียไปมากกว่าที่คนคนหนึ่งจะทำได้
ฟิ้ว~ เพียงสายลมพัดผ่านก็มีทหารเหลียวหลายสิบคนล้มลงจมกองเลือด
“ผีหลอกรึไงว่ะ” ทหารเหลียวเดินจับกลุ่มเป็นวงกลม
“อัก” ยังไม่ทันได้คำตอบทหารเหลียวอีกกลุ่มก็สิ้นใจ
“รายงานท่านแม่ทัพ! ตอนนี้เราเสียทหารไปมากกว่าพันนายแล้วขอรับ”
“เป็นไปไม่ได้! แค่สตรีเพียงคนเดียวทำไมถึงจัดการไม่ได้!” ถัวปาจวิ้นถามทหารคนสนิท
“ที่ด่านคนของเราถูกเผาไปมากและเมื่อตามไปก็ถูกสังหาร ตอนนี้นางถูกล้อมที่หมู่บ้านไม่ห่างจากด่านมากนักขอรับ”
“ระดมยิงธนูเพลิงเผานาง!! สั่งให้พวกซีเซี่ยกับจินส่งทหารฝีมือดีไปดักใกล้ป่า ถ้านางถอย...อย่างไรก็ต้องผ่านป่านั่น!”
“ขอรับ!”
ธนูไฟมากมายถูกระดมยิงขึ้นฟ้าจนท้องฟ้าสว่าง ทั่วท้องฟ้าตอนนี้เต็มไปด้วยลูกธนูเพลิงที่ตกลงมาดั่งห่าฝน จินเซียงเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะยกโล่ขึ้นบังและวิ่งออกไปทางท้ายหมู่บ้าน
“ฮึ ดูท่าจะลำบากซะแล้ว” นางโยนอาวุธเข้าไปเก็บในมิติแล้ววิ่งฝ่าออกจากหมู่บ้าน
“นั่น! นางอยู่นั่นรีบตามไป!” ทหารเหลียวพากันไล่ล่าอย่างไม่ลดละ ทั้งธนูและหอกต่างถูกประเคนให้นางอย่างเต็มที่
พับ! ฮึก
'ธนูอาบยาพิษ' แม้จะรู้ตัวแต่นางก็หยุดวิ่งไม่ได้ ”ตามมาเลย” จินเซียงวิ่งหายเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง
“หยุด!” ทหารเหลียวทั้งหมดที่ตอนนี้เหลือเพียงสามหมื่นกว่านายพากันหยุดมาหยุดล้อมรองแม่ทัพสาวเพียงคนเดียวที่ตอนนี้อยู่ในสภาพปางตายและหลบอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง
“ท่านรองแม่ทัพ...ท่านแพ้แล้ว!”
“ถัวปาจวิ้น! ไอคนสารเลว แค่กๆ” จินเซียงไอออกมาเป็นเลือด นางใช้ดาบทิ่มลงพื้นเพื่อประคองตัวเองไม่ให้ล้ม พยายามกล้ำกลืนฝืนทนเดินไปที่โต๊ะกลางห้อง “วันนี้พวกมึงไม่ตายดีแน่” จินเซียงถีบโต๊ะออกแล้วเปิดช่องลับ ‘ดินปืนและไหน้ำมัน’
“ฆ่านางให้ได้! ใครฆ่านางได้ข้ามีรางวัลให้!” จบคำพูดของถัวปาจวิ้น เหล่ายอดฝีมือก็พากันกรูเข้าหาเป้าหมายทันที
จินเซียงยิ้มเย็น “ไปลงนรกซ่ะ!!” ชนวนระเบิดถูกจุด จินเซียงใช้วิชาตัวเบาทะยานออกมาจากบ้านหลังนั้น และรีบฝ่าไปให้ไกลที่สุด
บึ้ม!!! พื้นดินเกิดการสั่นไหวจากแรงระเบิด รอบนี้รุนแรงกว่ารอบแรก หมู่บ้านได้หายไปในทะเลเพลิงพร้อมทหารเหลียวเกือบหมื่นนายที่ถูกล้อมไว้ด้วยไฟ
หมู่บ้านทั้งหมดถูกเติมเต็มด้วยดินดำ เศษกระเบื้อง น้ำมัน เศษเหล็ก ทำให้พอระเบิดเศษกระเบื้องและเหล็กก็พุ่งเข้าใส่พวกทหาที่อยู่ใกล้ๆ จนล้มตายไปตามๆ กัน ไอร้อนจากเปลวเพลิงยังสามารถรูสึกได้แม้จะออกมาไกลมากแล้ว
“เผยอิงข้าคงไม่ได้กลับไปหาเจ้าแล้วล่ะ” นางจินเซียงยิ้มให้กับตัวเองแล้วพุ่งตัวเข้าหาเหล่ายอดฝีมือ ที่ถูกส่งมาดังตามเส้นทางและตลอดแนวป่า
การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ยอดฝีมือต่างค่อยๆ ล้มตายลงไปทีล่ะคนรวมถึงเหล่าทหารที่กรูกันเข้ามาจนมีซากศพทับถมกับจนกลายเป็นเนินขนาดย่อมๆ ตลอดเส้นทางที่มั่งหน้าสู่จุดนัดพบ
“หยุด!” ทหารทั้งหมดหยุดแล้วถอยกลับมาตามคำสั่งแม่ทัพใหญ่ที่พาตัวเองออกมาจากนรกได้สำเร็จ
“ธนู!” พลธนูวิ่งขึ้นหน้าแล้วปล่อยลูกธนูออกไปอย่างมืดฟ้ามัวดิน
แม้จะมีกำลังมหาศาลแต่ทว่ายามนี้นางกลับติดพิษและเริ่มจะหมดแรง แต่ก็ยังกัดฟันสู้ยกดาบขึ้นปัดป้องลูกธนู แม้จะมีบ้างที่เฉียดไปเฉียดมา บ้างก็เข้าที่ขาและหัวไหลจนเลือดไหลริน
จินเซียงกัดฟันฝืนวิ่งหลบเข้าไปในป่า “ฆ่านางซ่ะ!” ทหารฝีมือดีหลายร้อยคนวิ่งเข้าตามนางไปทันที พวกมันยิงธนูใส่อย่างไม่ลดละ
จินเซียงสังหารพวกมันแล้วเอาธนูมาใช้ มันยิงหนึ่งดอก จินเซียงก็ใช้ดอกนั้นยิงกลับคืน และสังหารพวกมันจนหมด
“ทำไมมันไวจังว่ะ” ทหารม้าที่ขี่ม้าไล่ตามบ่นกับทหารด้วยกัน ฟิ้ว! อัก ทหารคนนั้นถูกธนูยิงจนกระเด็นลงจากหลังม้า
ถัวปาจวิ้นสั่งให้ทหารทั้งหมดปิดล้อมป่า ถ้าเจอให้ฆ่าได้ทันที เมื่อรวมกับทหารของซีเซี่ยและจิน แม้จะเสียไปมากกว่าหมื่นนาย แต่ก็ยังมีกำลังพลเหลืออีกมาก แค่คนคนเดียวยังไงก็คงไม่รอด
“ข้าจะไม่ยอมตายคนเดียว! เข้ามา!”
จินเซียงใช้แรงที่เหลืออยู่เข้าห่ำหันกับทหารฝีมือดีนับร้อยคนที่ดักอยู่ด้านหน้าของป่าแห่งความตาย นางเหวี่ยงดาบเข้าใส่พวกมันจนตกตายไปมากกว่าครึ่งทำให้ที่เหลือไม่กล้าเข้ามารวมถึงพวกทหารธรรมดาที่พากันถอยห่าง
“วี๊ด!!!” จินเซียงเป่าปากเรียกม้าของตัวเอง ม้าตัวใหญ่สีเลือดพุ่งตัวออกมาจากป่า จินเซียงเหวี่ยงตัวขึ้นม้าแล้วบุกฝ่าออกไป พวกทหารถูกม้ากระทืบจนตาย ทำให้พวกมันพากันวิ่งหนี
หลังจากออกมาได้แล้วก็เจอกับทัพม้าที่ขวางทางไว้ แม่ทัพทหารม้าห้าพันนายมองจินเซียงด้วยความประหลาด มันสังเกตตั้งแต่วิธีขี่ม้าและขึ้นม้า เหมือนคนที่ผ่านการรบบนหลังม้ามาอย่างโชคโชน มันสั่งให้สังหารทันทีเพราะถ้าวันนี้ยังอยู่ วันหน้าคงไม่มีโอกาศแบบนี้อีกแล้ว
จินเซียงควบม้าเข้าใส่กองหน้าเต็มกำลัง เมื่อเข้ามาใกล้ทุกคนก็พากันหวาดกลัวและตื่นตระหนกจนทำให้ควบคุมม้าได้ยากลำบากเพราะม้านั้นตัวใหญ่มาก เมื่อรวมคนขี่ที่ตัวสูงใหญ่ ทำให้ดูราวกับปีศาจร้ายกำลังพุ่งเข้ามา
จินเซียงเหวี่ยงง้าวเขียวมังกรออกไปเป็นวง ทหารม้าหลายสิบนายตัวขาดกระเด็นตกไปตายทันทีในครั้งเดียว ยิ่งสู้นานทหารก็ยิ่งตายเพิ่มขึ้น มันจึงสั่งให้ทั้งหมดล้อมไว้ห่างๆ ก่อนที่มันจะออกมาเผชิญหน้ากับจินเซียงตรงๆ
“แม่ทัพเย่หู แห่งกองพลม้าโม่วหม่า ขอท้าสู้กับเจ้า” แม่ทัพเย่หูชี้ดาบโค้งไปที่จินเซียง ส่วนถัวปาจวิ้นนั่งมองอยู่เงียบๆ บนหลังม้าไม่ได้พูดอะไร มันรู้ดีว่าแม่ทัพเย่หูนั้นฝีมือร้ายกาจเพียงใด
“รองแม่ทัพต้าซ่ง แซ่ถัง ชื่อจินเซียง”
ม้าของจินเซียง หายใจหอบ เหงื่อโชก ขาหน้าสั่น เกราะม้าเต็มไปด้วยรอยดาบและลูกธนู
แต่ม้าของเย่หู ยังอยู่ในสภาพดี แววตาดุร้าย ตาขาวเป็นวงกว้าง เกราะประดับด้วยกะโหลกศัตรู
ม้าทั้งสองจ้องหน้ากัน และเตรียมพร้อมเข้าสู้เพื่อนายของตน จนกระทั้งแสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องผ่านหมอกควันและแมกไม้ ส่องประกายลงบนใบดาบที่เปื้อนเลือด จินเซียงกับเย่หูแล่นเข้าหากันเหมือนพายุ ม้าทั้งสองตัวส่งเสียงร้องเมื่อเข้าประจันหน้ากัน
“คล๊อง!” ดาบของทั้งสองปะทะกันเต็มแรงจนเกิดแรงลม จินเซียงรู้สึกถึงแรงสะเทือนที่วิ่งขึ้นแขน เธอเห็นแววตาความคลั่งในตาของเย่หู วันนี้ไม่นางก็มันต้องตายกันไปข้าง
เย่หูถลันตา ”วันนี้เจ้าต้องตาย!” เขาฟันอีกครั้งแต่จินเซียงหลบได้โดยโน้มตัวแนบคอหงฉี ดาบของเย่หูเฉือนเพียงอากาศ ตัดผ้าคลุมไหล่ของจินเซียงขาด แต่ทว่าตัวมันกลับถูกดาบของจินเซียงเฉือนเข้าที่ขาจนเกราะขาเปิด เลือดกระเซ็นเป็นทางบนพื้นดิน มันมองหน้าด้วยความโกรธเคือง
เย่หูคำราม 'เจ้าตายแน่!'“
แต่แขนของจินเซียงเองก็เริ่มหนักเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่ว เลือดที่ไหลลงตามใบหน้า ทำให้ตาพร่ามัวมองไม่ชัด กลิ่นเหงื่อและเลือดคลุ้งไปทั่วบริเวณ และรสชาติของรสเหล็กในปากจากฟันที่กัดแน่น
เย่หูวนม้ากลับมาแล้วพุ่งเข้าใส่จินเซียง ทว่าจินเซียงนั้นเริ่มเห็นดาบของศัตรูเคลื่อนที่ช้าๆ เหมือนเวลาหยุดนิ่ง
คล๊อง!
จินเซียงยกโล่ขึ้นมากันดาบใหญ่จนกระเด็นตกหลังม้า แล้วกระอักเลือดสีดำเข้มออกมา ในวินาทีสุดท้ายสายตาของจินเซียงมองเห็นลอยแตกบนเกราะใต้รักแร้ของเย่หู
เสียงหายใจที่ไม่มั่นคงทำให้จินเซีนงรู้ว่าจะยื้อต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
“กูจะฆ่ามึง!” เย่หูคำรามและควบม้าตรงมาที่จินเซียง ก่อนที่จินเซียงจะรวบรวมแรงแล้วกระโดดเข่าทุ่มลงไปที่หน้าอกของเย่หู ด้วยความเร็วของม้าที่พุ่งเข้ามาทำให้เย่หูกระเด็นตกหลังม้า กร๊อบ! เสียงกระดูกซี่โครงแตก เย่หูเงยหน้ามองสตรีตรงหน้าพลางหัวเราะ
ฉึก! จินเซียงจับหัวของเย่หูและใช้มีดแทงทะลุเข้าไปในเนื้อหนังแล้วคว้านมันเป็นวงกลม
เย่หูสะดุ้ง ตากลอกกลิ้งด้วยความเจ็บปวด เป็นครั้งแรกที่มันรู้สึกถึงความหวาดกลัวเป็นครั้งแรก “อยากฆ่า...ก็ฆ่าเลย!!”
“จัด..ให้ตามขอ ย้าก!!”
ฉับ! หัวของเย่หูหลุดออกจากร่างของเย่หู ที่ล้มลงอย่างไม่มีวันลุกขึ้นอีก เสียงหายใจหอบของจินเซียงดังขึ้นในความเงียบของสนามรบ เหลืออยู่เพียงลมหายใจและเสียงกีบเท้าม้าที่วิ่งห่างไป
ถัวปาจวิ้นมองออกไปไกล ที่สุดปลายเนินเบื้องหน้าปรากฏธงของต้าซ่งพร้อมทหารมากมาย สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือถอยทัพรักษาชีวิตของทหารที่เหลืออยู่ ตอนนี้กองทัพเสียหายหนักเกินไป เสียงสัญญาณถอยทัพดังขึ้น
จินเซียงเงยหน้ามองฟ้า แม้สติเริ่มจะเลือนรางสายตาเริ่มมัวมองไม่ชัด นางเห็นเหยี่ยวสองตัวบนวนอยู่เหนือหัวของตัวเอง แล้วค่อยๆ ทรุดตัวลงก่อนจะตกจากหลังม้า ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะค่อยๆ ดับลง ภาพสุดท้ายที่นางเห็นคือเผยอิงที่ลงวิ่งลงจากม้าเข้ามาหานางพร้อมทหาร
“เจ้ามาช้าไปน่ะ” รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลือดทำให้เผยอิงรู้สึกเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด
“ข้ามาแล้ว..ข้ามาแล้ว..อาเซียงลืมตาเดี๋ยวนี้ อาเซียงงง” เผยอิงกอดร่างของคนรักแล้วพยายามเรียก มือที่เคยฟันศัตรูได้ร้อยคน... ตอนนี้กลับสั่นเมื่อประคองร่างคนรักที่เต็มไปด้วยเลือดจำนวนมาก
ม้าของจินเซียงวิ่งข้ามทุ่งหญ่าตามม้าของเผยอิง เผยอิงรีบพาคนที่ไม่ได้สติขึ้นม้าแล้วควบม้าผ่านเหล่าทหารกลับไปที่ค่ายใหญ่
“ท่านกุนซือ ถ้านางเป็นอะไรไปข้าจะมาเอาชีวิตท่าน” แม่ทัพถังผู้เป็นแม่ทัพประจำเหอเป่ย์บอกกุนซือประจำกองทัพ
“ไม่ใช่ความผิดของข้า ข้าเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าที่จะเดิมพันกับ พลัด!” ร่างของกุนซือกระเด็นออกไปไกล
“นี่สำหรับพี่น้องข้าที่ตายไปเพราะคนที่รักตัวกลัวตายเช่นท่าน!” เตียวหลางชี้หน้าประนาม หลังจากซัดผ่ามือใส่กุนซือผู้ประท้วงและสนับสนุนไม่ให้ส่งทหารไปช่วย “ถูกต้อง! ถ้าท่านรองแม่ทัพไม่ยันพวกมันไว้ป่านนี้ทั้งพวกเราแล้ะชาวบ้านคงตายไปหมดแล้ว ข้าพูดถูกไหมพวกเรา” เตียวหลางถามสหายของตน
“ถูกต้อง! พวกท่านมันเห็นแก่ตัว” ทหารที่รอดเริ่มพากันประท้วง
“หนึ่งคนฆ่าคนได้เป็นพัน นางไม่ธรรมดาจริงๆ พระองค์ควรคิดให้ดีน่ะพ่ะย่ะค่ะว่าควรทำอะไร ศึกครั้งนี้พระองค์ไม่ควรไม่รับผลงานอันใดเลย” แม่ทัพถังมองรัชทายาทด้วยสายตาที่ไม่พอใจ แล้วส่งสัญญาณให้ถอยทัพกลับและให้บางส่วนจัดการเรื่องศพของทหารเหลียวที่ตายกองเป็นภูเขา
“ท่านจะบอกว่าเราผิดเช่นนั้นรึ! การรบควรรบเมื่อเห็นโอกาสชนะเท่านั้น!” รัชทายาทตะโกนตามหลัง
“ท่านเลยเลือกสู้กับพวกซีเซี่ยแทนที่จะส่งกองทัพไปช่วยต้านพวกเหลียวที่ด่านใช่รึไม่! อย่าคิดว่าท่านทำอะไรก็ไม่ผิด! องค์รัชทายาท!” พูดจบก็ควบม้าจากไป พร้อมกองทัพที่กำลังถอยกลับ
ทางด้านจินเซียงนั้นตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นวิกฤต หมอหญิงหลายคนกำลังช่วยกันรักษานาง อาจเพราะด้วยคราบเลือดหรืออะไรก็ตามทำให้ไม่มีใครสังเกตุเห็นลูกธนูที่ปักอยู่
แต่เมื่อถอดเกราะออกคนในกระโจมก็พากันตกใจ เพราะบนร่างของสตรีที่นอนอยู่นั้นเต็มไปด้วยบาดแผลแล้วลูกธนูที่ถูกหักทิ้งไว้หลายจุด โชคดีที่นางใส่เกราะอ่อนที่ทำจากเหล็กถักอย่างดี จึงทำให้พอป้องกันคมดาบคมหอกได้และพาตัวเองรอดกลับมาได้
เรื่องเล่าการสู้รบที่ด่าน จากปากทหารกระจายกันไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟรามทุ่งถึงวีรกรรมของรองแม่ทัพคนใหม่ที่หยุดกองทัพนับหมื่นด้วยตัวคนเดียวและยังช่วยให้ทหารใต้บังคับบัญชาที่บาดเจ็บได้มีโอกาสรอดชีวิต
ช่วงเย็นข่าวการชนะศึกก็มาถึงวังหลวงโดยเหยี่ยวของเผยอิงที่บินเอามาส่งให้เพราะมันเร็วกว่านกทุกตัวในกองทัพยกเว้นเหินฟ้าที่เร็วกว่ามัน
“ฝ่าบาท! แม่ทัพหยางส่งข่าวมาว่าเราชนะแล้วเพค่ะ” ฮองเฮาเดินเข้ามาในห้องทรงอักษร
“ดีจริง ว่าแต่ทำไมข่าวของเจ้ามาเร็วกว่าของเรากัน” ฮ่องเต้ที่อ่านสารแล้วก็เกิดคำถาม
“หลานสะใภ้ใช้เหยี่ยวของนางมาส่งเพค่ะฝ่าบาท”
“น่ายินดีจริงๆ เรารบชนะพวกเหลียวด้วยรึนี่ ฮ่าฮ่าฮ่า” ฮ่องเต้หัวเราะอย่างอารมณ์ดีและต้องหยุดทันทีเมื่อฮ่องเฮาส่งข้อความให้อ่านเพิ่มเตืม
“รีบให้หมอหลวงเดินท่านไปเดี๋ยวนี้!” ฮ่องเต้ตะโกนบอกกงกงคนสนิท
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ไม่นานคำสั่งก็ส่งไปถึงหมอหลวงที่เก่งที่สุด เค้าถูกพาขึ้นม้าขององครักษ์หลวงและออกจากเซียโจภายในเย็นวันเดียวกัน
“ส่งข่าวไปที่ตระกูลถังด้วย”
“เพค่ะฝ่าบาท หม่อมฉันจะจัดการตรงนี้เอง”
“รบกวนเจ้าแล้ว” ฮ่องเต้มองข้อความในกระดาษสองแผ่นด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
ทันทีที่ข่าวถูกส่งมาถึงจวนตระกูลถัง เอี้ยซ่งรีบให้พ่อบ้านไปบอกคนตระกูลหยางว่าเค้าจะเดินทางไปที่เหอเป่ย์ภายในคืนนี้ พอเสนาบดีหยางทราบเรื่องก็รีบสั่งให้คนของตนเตรียมตัวและเอาหมอติดไปด้วย ทั้งหมดออกเดินทางด้วยม้าและออกนอกเมืองไปช่วงกลางดึก
เผยอิงที่เฝ้ามองคนรักที่ตอนนี้ยังไม่ฟื้นแม้จะผ่านช่วงวิกฤตมาได้ 3-4 วันแล้วก็ตาม และตอนนี้ก็ย้ายเข้ามาพักรักษาตัวที่จวนของแม่ทัพถัง ตามตัวของนางมีแต่ผ้าพันแผลแม้แต่เส้นผมบางส่วนก็ถูกตัดออกเพื่อรักษาแผลที่หัว แต่เผยอิงก็เก็บไว้ทั้งหมดไม่ยอมให้ทิ้ง
แสงอาทิตย์ยามเช้าของวันใหม่ส่องผ่านม่านหน้าต่างลงมาที่ผ้าปิดตาของจินเซียง ตัวนางเริ่มมีการตอบสนอง ทันใดนั้นเสียงร้องไห้ของเผยอิงก็ดังก้องห้อง แล้วรีบโผเข้ากอดคนรัก
“ตื่นแล้ว... ตื่นแล้วใช่ไหม? ข้าขอดูหน่อย!”
จินเซียงค่อยๆ ยกมือขึ้นคลำใบหน้าเผยอิง นิ้วสัมผัสถึง ร่องน้ำตาที่ยังอุ่น
“ทำไม... ถึงร้องไห้? ข้า... ยังอยู่...”
เผยอิงจับมือนั้นกดลงบนหน้าอกตัวเอง “อย่าทำแบบนี้อีก... ข้าขอร้อง...”
ข่าวการฟื้นของจินเซียงกระจ่ายออกไปอย่างรวดเร็ว ทหารและชาวบ้านต่างพากันมารอที่หน้าจวนของแม่ทัพถังพร้อมด้วยของเยี่ยมต่างๆ นานๆ เต็มไปหมด จนทหารหน้าจวนต้องตามบ่าวมาช่วยกันยกเข้าไปเก็บในจวน
เมื่อเอี้ยซ่งกลับมาพร้อมหมอหลวงก็แปลกใจเพราะหน้าจวนมีทั้งทหารและครอบครัวรวมถึงชาวบ้านต่างมายืนอยู่หน้าจวนพร้อมของมากมายสุดแล้วแต่จะหาได้ บ้างก็มีสมุนไพรบ้างก็เป็นผ้าหรือแม้แต่ขนมก็ยังมี
แต่เยอะสุดเหมือนจะเป็นข้อความที่พ่อบ้านให้คนมาช่วยเขียนเพราะมีคนอยากส่งคำพูดถึงรองแม่ทัพเยอะมากจนสุดท้ายต้องเขียนเป็นข้อความแทนและลงชื่อเจ้าของข้อความ
ชาวบ้านที่เห็นเอี้ยซ่งที่มาพร้อมหมอก็รีบพากันเปิดทางให้อย่างรวดเร็วไม่มีใครขวาง ทั้งสองรีบตรงไปที่เรือนนอนของคนเจ็บที่ตอนนี้กำลังพูดคุยอยู่
“ท่านพ่อ ท่านหมอ” จินเซียงทักคนที่เดินเข้ามาในห้อง
“ท่านรองแม่ทัพท่านเป็นเช่นไรบ้าง”
“ขอบคุณท่านหมอที่ช่วยดูแลเจ้าค่ะ ข้าดีขึ้นมาแล้ว เอ่อแล้วของพวกนี้คือ” นางมองไปรอบๆ ห้อง
“พวกชาวบ้านกับทหารและก็ครอบครัวพวกเค้าฝากมาให้ท่านขอรับ ยังมีจดหมายอีกมากมายเลยขอรับ” แต่ที่สุดตามากที่สุดมีอยู่ซองเดียว
“เอาจดหมายนั่นมาให้ข้า ที่มีรูปขนนก” หมอหลวงหันไปหยิบมาให้
“หึ ไม่คิดว่าถัวปายจวิ้นจะรักษาสัญญา” นางส่งจดหมายให้บิดาบุญธรรมอ่าน
“อาณาจักรเหลียวและพันธมิตรจะส่งทูตมาเพื่อลงนามในสัญญาจะไม่รุกรานกันสิบปี พร้อมกับส่งของกำนัลมาให้เจ้าในฐานะผู้กล้า” เอี้ยซ่งมองลูกสาวอย่างภาคภูมิใจที่สามารถยุติสงครามได้แม้จะแค่สิบปีก็ยังดี
“ข่าวดียิ่งนัก เช่นนั้นพ่อรีบส่งข่าวหาฝ่าบาทก่อน” จินเทารีบวิ่งออกไปจากห้อง
เหล่าหมอหญิงที่ถูกตามมาทีหลังได้ตรวจดูร่างกายของนางทุกส่วนและรายงานต่อหมอหลวงถึงสภาพโดยรวม
“ท่านฟื้นตัวเร็วมาก คิดว่าพักประมาณสามถึงสี่เดือน ก็สามารถเดินทางกลับไปแล้วขอรับ” หมอหลวงบอกจินเซียง
“ขอบคุณท่านมาเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นท่านพักผ่อนเถอะพวกเราไม่รบกวนแล้ว ขอตัวลา” หมอหลวงและหมอหญิงพากันเดินออกนอกห้องไป
ตกดึกเผยอิงเข้ามาดูอาการของจินเซียงที่ดูเหมือนจะมีไข้ขึ้นเล็กน้อย “หมอหลวงบอกว่าต้องพักอีกสามเดือน... แต่ข้าไม่มีเวลาขนาดนั้น” จินเซียงบีบมือเผยอิงขณะพยายามลุกขึ้น ไอร้อนจากพิษไข้รับรู้ได้อย่างชัดเจน
“ท่านต้องฟื้นตัวก่อน!” เผยอิงกดไหล่เธอไว้ “แม้แต่ฮ่องเต้ยังรับสั่งให้ท่านพัก”
จินเซียงมองผ่านผ้าปิดตาที่เปียกชื้น “พวกเขาจะไม่หยุด... ถ้าเราอยู่ในกองทัพต่อไป” มันคือความจริงที่ยากจะหลีกหนี
“ลูกพ่อนางเป็นอย่างไรบ้าง” หยางจินเทาผู้นำตระกูลหยางคนปัจจุบันถึงแม้ว่าผู้เป็นบิดายังอยู่และยังไม่เกษียณแต่เค้าก็ได้รับตำแหน่งมาเพราะผู้เป็นพ่อไม่มีเวลาเลยจับตัวเองไปเป็นผู้อาวุโสแทน
เผยอิงถอนหายใจ “นางสูญเสียการมองเห็นของตาข้างซ้ายไปเจ้าค่ะเพราะพิษที่นางโดนจากลูกธนูของแม่ทัพเหลียว”
“พ่อไม่คิดว่ามันจะลงเอยเช่นนี้ ตอนนี้ฝ่าบาทมีรับสั่งให้องค์รัชทายาทเดินทางไปเข้าเฝ้าเป็นการด่วน”
“จินเทา ผู้อาวุโสหยางว่าเช่นไร” ถังเอี้ยซ่งผู้นำตระกูลถังที่พึ่งเดินเข้ามาได้ถามหยางจินเทา
“ท่านพ่อไปคุยกับผู้อาวุโสถังแล้ว เห็นท่านบอกว่าทหารเหลียวที่บุกด่านจางเจียงโขวมีมากถึงห้าหมื่นนาย แต่ทว่าทหารรักษาด่านมีเพียงสี่พันนายรวมกำลังเสริมแล้ว” ถังเอี้ยซ่งที่ได้ฟังถึงกับพูดไม่ออก
ถังเอี้ยซ่งถึงกับโมโหเมื่อรู้ความจริง “อะไรกัน! กุนซือใหญ่กับองค์รัชทายาทคิดอะไรอยู่ถึงส่งทหารไปแค่นั้น ทั้งที่รู้ว่าทหารเหลียวน่ากลัวเพียงไร พวกซีเซียดูธรรมดาไปเลย”
“ยังดีที่ทหารรอดมาได้มากกว่าสามพันนาย ถึงแม้เกือบทั้งหมดจะบาดเจ็บหนักก็ตาม พวกทหารบอกข้าว่านางไม่ยอมให้ทิ้งใครไว้และสั่งให้อพยพคนเจ็บรวมถึงชาวบ้านทั้งหมด แล้วใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อพวกมัน” หยางจินเทามองลูกเขยตัวเอง
“ท่านพ่อหลังจบศึกครั้งนี้ลูกว่า...” เผยอิงที่มองสภาพคนรักมาหลายกล่าวถึงสิ่งที่ตัวเองได้ตัดสินใจ ยิ่งรักคิดแบบเดียวกันก็ยิ่งมั่นใจว่าทำถูกต้อง
“พ่อไม่ว่าเจ้าหรอก ชาติบ้านเมืองก็สำคัญแต่ครั้งนี้เห็นทีจะยากแล้วถ้าพวกเจ้ายังอยู่ในกองทัพ” หยางจินเทาปลอบใจลูกของตน
“แต่ว่าพวกขุนนางจะต้องถวายกีฏาเรื่องที่ตัดสินใจทิ้งด่านเป็นแน่ รวมถึงเรื่องที่เจ้าพาคนออกมาปักหลักรอที่ฝั่งแม่น้ำ”
“เจ้าค่ะ ลูกได้ส่งสารไปหาฮองเฮาแล้วเจ้าค่ะ”
ผู้เป็นพ่อต่างมองหน้ากัน การที่จะจัดการพวกขุนนางได้ก็ต้องรีบเข้าถึงผู้เป็นใหญ่ทั้งสองก่อน
ห้าวันต่อมาคนบ้านถังและหยางก็มาถึงเหอเป่ย์ในช่วงบ่าย ถึงแม้อากาศช่วงเดือนสามจะเริ่มอบอุ่นแต่มันก็ยังไม่อุ่นมากสำหรับเมืองทางตอนเหนือเช่นนี้
หลอหลันเข้ามาในห้องพอดีกับที่จินเซียงกำลังตัดผมออกเพื่อให้ได้ทรงโดยมีเผยอิงคอยช่วยและเส้นผมทุกเส้นก็ถูกนางเก็บไปจนหมดไม่เหลือตกพื้นเลยแม้แต่เส้นเดียว
แต่การเดินทางมาครั้งนี้หลอหลันไม่ได้มาแค่คนในบ้านและบ้านหยาง แต่มาพร้อมกงกงคนสนิทของฮ่องเต้ที่มาเพื่อเยี่ยมอาการนางโดยตรง
“ท่านกงกง ท่านแม่เชิญนั่งเจ้าค่ะ และต้องขออภัยที่ยังไม่สามารถเดินไปรับพวกท่านได้” จินเซียงกล่าวขณะที่นั่งพิงขอบเตียง
“แค่ท่านสบายดีฝ่าบาทก็พอใจแล้วขอรับคุณหนูใหญ่ และก็มีราชโองการแต่งตั้งท่านเป็นท่านหญิงลำดับที่ 2 ด้วยน่ะขอรับ” กงกงเอากล่องใส่ม้วนราชโองการให้หลอหลันเป็นคนรับ
“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ” นางทำได้เพียงก้มหัวเพราะยังเจ็บแขนอยู่และอาศัยเผยอิงช่วยทำนู่นนี่นั่นให้ แค่ฝืนกลับมาที่เหอเป่ย์ก็โดนหมอหลวงเทศไปหลายนรอบ
“มิเป็นไรขอรับ ว่าแต่ท่านพอเล่าให้ข้าฟังได้รึไม่ว่าเกิดอันใดขึ้นเพราะตอนนี้ฮ่องเต้กำลังทรงตั้งหน่วยขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง”
“ท่านหมายความว่าอย่างไรเจ้าค่ะท่านกงกง ลูกสาวข้าเจ็บหนักขนาดนี้ ดูซิตาบอดไปข้างหนึ่งด้วย” หลอหลันชี้ไปที่ผ้าปิดตา
“ฮูหยินโปรดใจเย็น ตอนนี้พวกขุนนางบางกลุ่มได้ยื่นตรวจสอบการสู้รบที่ด่าน ถึงแม้จะมีทหารและชาวบ้านมากมายออกมาเป็นพยายานแต่ด้วยที่อีกฝ่ายคือรัชทายาและกุนซือใหญ่ของกองทัพทำให้ รวมถึงยังมีพวกขุนนางที่สนับสนุนรัชทายาทอีก พระองค์ไม่มีทางเลือกมานัก”
“ข้าถูกส่งไปหามือสังหารครั้งหนึ่ง ดีที่รู้ตัวทันเพราะว่าแผนที่มันผิด ไม่เช่นนั้นพวกทหารคงได้ไปปรโลกแล้ว” นางหันไปพูดกับกงกง “แล้วกองทัพไม่ได้มีแค่เหลียว พวกซีเซี่ยมันถอยมารวมด้วย ข้าเห็นทหารจินหลายหมื่นในสนามรบ”
“ท่านหมายถึงอะไรขอรับ ที่พูดมามีหลักฐานรึไม่” จินเซียงพยักหน้าตอบ
“อาอิง เจ้าหยิบแผนที่ในเสื้อเกราะให้ข้าที่น่ะ”
“เจ้าค่ะท่านพี่” เมื่อกงกงรับแผนที่ไปดู จินเซียงกับเผยอิงก็เริ่มเล่าทุกอย่างให้ฟัง
“นี่มันเรื่องอะไรกันขอรับ ทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแล้วไหนจะเรื่องที่ไม่ยอมส่งทหารไปช่วยทั้งที่การรบที่เมืองก็จบลงแล้วแต่กลับให้หยุดอยู่แค่ริมน้ำเช่นนี้ แล้วใครกันที่เป็นผู้นำในการยกทัพไปช่วยท่าน” กงกงหันไปถามจินเซียงแต่เผยอิงเป็นคนตอบ
“พวกท่านเจ้าค่ะ พอพวกเค้ารู้ก็รวมตัวกันไปบอกอาวุโสถัง จากนั้นทั้งหมดก็พร้อมใจกันยกทัพไปที่ทุ่งหญ้านั่น เมื่อไปถึงเราพบแต่ซากศพเต็มไปหมด ในตอนที่ไปถึงเหมือนว่าพวกมันจะล่าถอยไปแล้ว และอาเซียนก็ขี่ม้ามาคนเดียวโดยมือยังคงกำดาบแน่น ดีที่ข้าไปถึงตัวเร็วไม่งั้นคงตกม้าตาย”
“ท่านกงกง ถ้าเพื่อชาติและบ้านเมืองข้าจะไม่อันใด แต่ทว่ากลับกันดันมีคนคิดหาผลประโยชน์บนซากศพของเหล่าผู้วายชนม์ ท่านคิดว่ามันถูกต้องแล้วรึ แต่น่าเสียดายที่ข้านั้นยังไม่ตาย”
“แล้วท่านจะทำเช่นต่อขอรับ” จินเซียงและเผยอิงต่างมองหน้ากันแล้วตอบ
“เราทั้งคู่จะลาออกจากกองทัพเจ้าค่ะ” กงกงมีสีหน้าตกใจที่ได้ยินคำตอบ
หลายวันต่อมานางกับเผยอิงก็ยังชีวิตอยู่ในเหอเปย์และมีครอบครัวทหารรวมถึงชาวบ้านแวะเวียนเอาของฝากมาให้ไม่ขาดมือ ปัจจุบันถึงดวงตาของนางจะไม่ปกติแต่ทว่ามันยังสามารถเชื่อมความรู้สึกกับเจ้าเหินฟ้าได้ทำให้นางต้องใช้ผ้าปิดตาฝั่งซ้ายเอาไว้
“ท่านดูเหมือนพวกโจรสลัดเลย ฮ่าฮ่าฮ่า”
“แล้วน้องหญิงว่าแบบไหนถึงจะดี”
“น้องว่ากลับไปท่านควรให้ท่านอาร์รีฟาหาหน้ากากครึ่งหน้าให้น่ะ”
“เป็นความคิดที่ดี แล้วเราจะเดินทางกลับวันไหน”
“อีกสองวันเราถึงจะกลับ เห็นอี้หลันบอกว่าร้านของท่านตอนกำลังเร่งสร้างอยู่และมันออกมาดูดีมาก”
“พี่อยากเห็นซ่ะแล้วซิ”
“เจ้าค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านอย่ามาจิ้มเอวข้าแบบนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงหยอกล้อเล่นกันของนายทั้งสองมีให้ได้ยินทุกวันและทั้งคู่ก็ต่างเป็นที่รักของบ่าวไพร่ในจวน
ตกดึกก็จะเป็นอีกเสียง แม้จะบาดเจ็บหนักอยู่แต่บางเรื่องก็ฝืนได้ ทำให้เหล่าสาวใช้ต้องพากันเดินหนีออกไปห่างจากเรือนนอนของทั้งคู่ จนบ้างครั้งเสาเรือนถึงกับสันไหวไปมา พอตอนเช้าเหล่าสาวใช้ก็ค่อยเข้าไปเก็บกวาดทำความสะอาด รวมถึงเรียกหมอเข้ามาทำแผล
สองวันต่อมากองทัพใหญ่ตั้งขบวนเตรียมกลับเซียโจว ผู้ที่นำหน้าขบวนครั้งนี้คือสองแม่ทัพใหญ่จินเซียงที่พึ่งได้เลื่อนขั้นและเผยอิง ชาวเมืองต่างออกมายืนรอส่งเหล่าทหารและอีกอีกผลคือมารอยลโฉมของแม่ทัพใหญ่ทั้งสองที่มีข่าวลือว่างดงามมากกว่าเหล่าหญิงงามของแคว้น
แต่คนที่ลำบากสุดคือนายกองอี้และนายกองจากที่ต้องคอยกันไม่ให้ชาวบ้านเข้ามาใกล้นายทั้งสองเพื่อความปลอดภัย และจินเซียงก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง นางหันไปโบกมือให้กับชาวเมือง
“ออกเดินทางได้!” เสียงของจินเซียงดังชัดแต่สั่นเครือเล็กน้อย จินเซียงกำมือแน่นจนเล็บจิกลงบนฝ่ามือ ความเจ็บปวดนั้นช่วยให้จินเซียงตื่นตัวพอที่จะยิ้มให้ประชาชนต่อได้...
“ท่านแม่ทัพ!” เด็กน้อยคนหนึ่งร้องขึ้นพร้อมยื่นดอกไม้ป่าไปทางเธอ “หนูขอให้ท่านหายเร็วๆ นะคะ!”
จินเซียงหยุดชั่วครู่ ก่อนเอื้อมมือรับดอกไม้มาประดับที่อกเสื้อ “ขอบใจมาก” นางตอบกลับ ในขณะที่เจ้าเหินฟ้าก็บินลงมาเกาะที่บ่า
“รักษาตัวด้วยขอรับ” ทหารของเตียวหลางพูดพร้อมกัน รวมถึงคนอื่นๆ อีกมากมาย
“อืม ทุกท่านแล้วพบกันใหม่” นางประสานมือให้ทุกคนรวมถึงชาวเมือง
“ออกเดินทางได้!” นางตะโกนขึ้นอีกครั้งตามด้วยแตรสัญญาณดังก้อง
“รักษาตัวด้วย~” เสียงของชาวเมืองพากันตะโกนตลอดสองข้างทาง เพราะครั้งนี้ถ้าไม่ได้สตรีที่มีผ้าคาดตาพวกเค้าคงจะต้องเสียงเมืองเป็นแน่แท้
แม้จะเจ็บหนักแต่ก็ยังฝืนยิ้มและโบกมือให้ชาวเมือง
- ในสงคราม ไม่มีผู้ชนะที่ไร้บาดแผล-
จินเซียงมองคนรักนั่งเงียบมาซักพักตั้งแต่ได้ฟังเรื่องที่เอมิลเล่า เรื่องของคนรักเก่าที่ตายจากไปไม่หวนกลับ ทั้งคู่มีหลายอย่างที่เหมือนกันอย่างแยกไม่ออกแตกต่างกันก็แค่สีผม “เจ้าก็คือเจ้า ข้ารักเจ้าด้วยใจจริง”“ท่านคงไม่คิดว่าข้าเป็นตัวแทนนางใช่รึไม่” “อดีตก็คืออดีตไม่อาจย้อนกลับได้อีก ความผิดพลาดครั้งนั้นเป็นบทเรียนให้ข้าว่าข้าจะต้องไม่ผิดพลาดอีกซ้ำสอง” “ท่านอย่าได้โทษตัวเองเลย” “นั่นซิน่ะ มาเถอะไปดูคนอื่นๆ ทำงานกัน” “เจ้าค่ะ” ทั้งคู่เดินออกนอกห้องทำงานตรงไปที่ท้ายจวนติดท่าเรือ โรงหลอมนั้นกำลังถูกสร้างอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้ผิดพลาด ส่วนพื้นที่ด้านข้างและจวนหลังนั้นก็กำลังมีการปรับปรุงโดยใช้แผ่นไม้มาล้อมส่วนติดถนนไว้เพื่อไม่ให้คนเห็นว่าทำอะไรก่อนที่กำแพงจะสร้างเสร็จแต่เรื่องการเตรียมตัวสำหรับวัตถุดิบนั้นก็ได้คนจากตระกูลหวังที่ครอบครองการค้าเหล็กและแร่หลายชนิดมาช่วยในการจัดหา ทำให้เรื่องวัตถุดิบง่ายขึ้นมามาก เจ็ดวันต่อมาโรงหลอมก็สร้างเสร็จ ฮ่องเต้ทรงมาดูงานด้วยตัวเองเพราะอยากรู้ว่าการหล่อปืนใหญ่จะเหมือนตีดาบรึไม่ หลังจากที่โหรหลวงมาถึงก็เริ่มทำพิธีบูชาดินฟ้าเพื่อความเป็นสิริมงคล ฮ่
หลายวันต่อมาจินเซียงเข้าวังพร้อมโจวกุ้ยเฟยและตรงไปที่ตำหนักใหญ่ของฮองเฮาเพื่อส่งอาหารตามที่พระองค์เคยขอ “ถวายบังคมฝ่าบาท” “ตามสบายเถอะหลานข้า ว่าแต่ลมอะไรหอบเจ้ามาพร้อมนางกัน” พระนางมองไปที่โจวกุ้ยเฟย เมื่อเห็นไม่สะดวกพูดจึงไล่คนอื่นๆ ออกไปก่อน“เอาล่ะตอบมา” “เมื่อคืนกุ้ยเฟยไปที่จวนเพค่ะ เลยมาพร้อมกัน” “เรื่องนั้นซิน่ะ” “เพค่ะพี่หญิง” “เฮ้อ...พี่บอกแล้วว่าอย่าไปตามใจเยอะ ไม่เช่นนั้นจะเสียคนแล้วเป็นไงล่ะ” “ถ้าไม่ติดว่าการทำร้ายองค์ชายเท่ากับทำร้านสายเลือดมังกรน่ะ น้องจะตบแม่งหัวทิ่มไปเลย” โจวกุ้ยเฟยพูดพร้อมแสดงท่าทาง จินเซียงได้แต่ยืนยิ้ม“พอเลย...ข้าคนว่าเจ้าเข้าวังแล้วจะสงบลงแต่ที่ไหนได้” “พวกท่านใจเย็นก่อนแล้วรีบมาทานอาหารก่อนที่จะ...อ่าว!...หายไปไหน!” จินเซียงมองหากล่องอาหารที่เอามาด้วย “ง่ำๆ อาย่อยมากน้องรอง” “ชู่~ เงียบๆ หน่อย นางหูดีมาก” “เอ่ออ~ พี่รอง น้องว่า~” “อะฮึม!...แม่ว่า…แม่สอนพวกเจ้ามาดีน่ะ สอนทั้งอบรมมารยาทสตรีหรือว่าต้องให้แม่นมทบทวนความจำให้!” ฮองเฮายืนท้าวเอวมองลูกสาวของตน“ถะ...ถวายพระพรเสด็จแม่เพค่ะ” ฉางหรูยิ้มแล้วรีบเอากล่องอาหารซ่อนไว้หลังม่านอย่าง
หลายวันต่อมาที่จวนใหญ่แห่งหนึ่ง มีใครบางคนกำลังนั่งกลุ้มใจเพราะไม่สามารถทำตามแผ่นได้สำเร็จแต่คนที่ส่งไปนั้นกลับหายสาบสูญไปทุกรายอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ให้มันได้แบบนี้ซิ ทำงานกันภาษาอะไรถึงได้หายหัวกันไปหมด” “นายท่านขอรับ พวกเราไปพบร่องรอยบางอย่างขอรับ” ชายชุดดำส่งกระดาษให้ผู้เป็นนาย “ตายหมด! เป็นไปได้ไง” “ขอรับ ดูเหมือนว่าจะมีคนคอยหนุนหลังอยู่” “ท่านพ่อ แบบนี้เหล่าอาหารของเราจะไม่แย่รึขอรับ” “พ่อไม่กลัวเรื่องนั้นแต่ห่วงเรื่องว่ามันจะกระทบงานใหญ่มากกว่า แล้วเรื่องสองตระกูลนั้นเป็นเช่นไรและเรื่องที่ให้ไปสืบได้ความเช่นไร” “ขอรับนายท่าน สองตระกูลนั้นพากันปิดปากเงียบหลังจากที่ตระกูลที่เคยหมั้นหมายต่างพากันขอถอนหมั้น ทำให้หญิงสาวในตระกูลนั้นต่างพากันเก็บตัวขอรับ ส่วนเรื่องที่ให้ไปสืบนั้นได้ความมาว่าแม่ทัพหยางยังนอนไม่ได้สติขอรับ แต่การจะเข้าใกล้เรือนนั้นถือเป็นเรื่องยากมากเพราะมีการคุ้มกันที่แน่นหนาและไม่อนุญาตให้ใครเข้าเยี่ยมจนกว่าท่านขุนพลจะกลับมาขอรับ” “หึหึหึ ดีแบบนั้นแหละดี ไปตามนักพรตนั่นมาเราจะใช้นางเป็นตัวประกันให้เจ้านั้นยอมทำตามเงื่อนไขของเรา” “แต่ท่านพ่อ ถ้านางไม่ยอมล่ะขอ
ต้นเดือนเก้าเหล่าอาหารก็สร้างจนเสร็จและกำหนดที่จะเปิดก็คืออีกสามวันซึ่งตรงกับวันที่เก้าพอดี แม้ใจจะรู้ดีว่าไม่ควรจัดงานมงคลในช่วงนี้แต่ด้วยที่ว่าถ้าคนที่นอนอยู่รู้ว่าไม่ยอมเปิดเหล่าอาหารคงไม่ไม่ดีแน่ถ้าตอนที่นางตื่นขึ้นมาแล้วมีคนบอกให้รู้“ท่านพ่อ ท่านแม่” จินเซียงหลังจากอาบน้ำให้คนรักแล้วก็มาหาผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลที่ห้องโถง“น้องเป็นเช่นไรบ้างลูก” หลอหลันถาม“เจ้าค่ะท่านแม่ ลูกพึ่งอาบน้ำให้นางและป้อนยา”“เจ้าคงไม่ได้ทำอะไรลูกแม่ใช่รึไม่” ชุ่ยหยุนหรือฮูหยินหยางถามจินเซียงได้ยินก็หน้าแดง “ลูกรอนางตื่นก่อนเจ้าค่ะ”“อืม พวกแม่เชื่อเจ้าและหวังว่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดี” หลอหลันให้กำลังใจลูกสาว แต่ก็ขอให้ปาฏิหาริย์มีจริง ขอให้เผยอิงฟื้นขึ้นมาในเร็ววัน“จริงซิ และชื่อร้านคิดได้รึยัง” ฮูหยินเฒ่าตระกูลถังถาม“เจ้าค่ะ ขุนพลนิทราเจ้าค่ะ” ทั้งห้องเงียบกริบไม่มีใครพูดอะไร“หลานย่า เจ้าไม่มีชื่ออื่นแล้วรึ” ฮูหยินเฒ่าตระกูลถังรู้สึกอายแทน“ยังเจ้าค่ะ”“แย่แน่แบบนี้ฮ่องเต้ได้บ่นแน่ๆ พระองค์รอทำป้ายร้านให้เจ้าอยู่น่ะ” เอี้ยซ่งบ่นใส่ลูกสาวคนโต ที่นางนั้นมีปัญหาเรื่องการตั้งชื่อ“เซียงอิงขุนพลไก่ทอ
ทุกคนมองเป็นทางคนผู้นั้นแล้วก็มีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว ยิ่งอาวุโสถังผู้เป็นปู่ที่มองหน้าหลานไม่แท้อย่างตั้งคำถาม แต่คนที่ตกใจที่สุดนั้นคือพระชายาทั้งสองของรัชทายาท “พวกเจ้ารู้จักนางรึ” “พะ เพค่ะ นางคือคนที่ช่วยพวกเราไว้จากกลุ่มโจรเมื่อหลายปีก่อนเพค่ะ ตอนที่พวกเราตามเสด็จไปล่าสัตว์เพค่ะ” “เพค่ะ ตอนที่พานางมาพักรักษาตัวท่านก็น่าจะเคยเห็น รวมถึงยังเคยช่วยองค์หญิงจากการถูกลักพาด้วยน่ะเพค่ะ” “เจ้าเป็นคนช่วยลูกของเราเมื่อตอนนั้นรึ” “ข้าเองก็จำอะไรได้ไม่ค่อยมาเพราะเมื่อหลายเดือนก่อนเกิดอุบัติเหตุขึ้นทำให้ความจำบางส่วนหายไป ต้องขอโทษด้วย” จินเซียงพูดแก้ตัว เพราะจำไม่ได้จริงๆ“เช่นนั้นเรื่องการเจรจาสงบศึกข้าจะช่วยพูดให้ส่วนเรื่องการแต่งงานคงมิอาจช่วยได้” พระมเหสีสูงสุดแห่งเหลียวหรือจะเรียกว่าฮองเฮาก็ได้ตามความคุ้นเคยของผู้มาจากภาคกลาง พระนางรับปากเรื่องเจรจาแต่อีกเรื่องไม่รับปาก“ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่คิดจะจับใครแต่งงาน แต่ถ้าท่านข่านเสนอมา ทางเราก็คงยากจะปฏิเสธนอกเสียจาก” “นอกเสียจากอะไรกัน” “นอกเสียจากจะมีใครเสียตัวในคืนนี้แล้วข้าจะรีบเขียนสารด่วนกลับไปขออนุญาตเรื่องการแต่งงานเจริญสั
เช้าวันต่อมาเสียงกลองรบดังสนั่นทั่วเมือง ชาวบ้านชาวเมืองต่างพากันสวดมนต์ขอพรให้กองทัพมีชัยเหนือศัตรูผู้รุกรานถึงแม้จะมีหวังน้อยเต็มทีแต่ก็ยังมีแสงสว่างอยู่ในคือสองแม่ทัพที่ตอนนี้ยืนคู่กันอยู่บนกำแพงเมือง “อันเตรียย่าข้าว่ามันสวยจริงๆ ถ้าเทียบกับกองทัพของอัศวินแล้ว” “นั่นซิ แม้จะอยู่ในสงครามมาหลายสิบปีก็ยังไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้” “ท่านพี่ ที่นั่นเป็นเช่นไร” เผยอิงถาม “ที่นั่นเรารบกันด้วยความเชื่อและศรัทธา บ้างก็มีเหตุผลแตกต่างกันไป กองทัพนั้นอืม จะว่าไงดีล่ะ พี่ว่าดาบที่อัศวินใช้คงจะฟันพวกทหารเหลียวไม่เข้าแน่ๆ” “ใช่แล้วน้องสะใภ้ ดาบพวกนั้นมันอาศัยน้ำหนักอย่างเดียว ส่วนดาบที่เบาก็เบาเกินไปทำให้สู้กับพวกใส่เกราะเหล็กไม่ได้” “ข้าชอบดาบวงพระจันทร์ กับดาบใหญ่อันนี้มากกว่า” จินเซียงมองดาบคู่ใจในมือ ความสมดุลของดาบทั้งสองนั้นดีมาก“ข้าอยากถามมานานแล้วว่าทำไมท่านถึงพกอาวุธไว้เยอะแยะ”“ไม่รู้ซิ มันชินแล้ว” จินเซียงตอบคนรักแล้วหันไปมองที่สนามรบที่ตอนนี้ทหารเหลียวได้ลากหอตีเมืองมารอพร้อม“สั่งยิงได้เลย เราไม่จำเป็นต้องให้เกียรติพวกมันเพราะพวกมันเหยียบย่ำและฉีกสัญญาของพวกเราก่อน” จินเซียงหันไป