LOGINภาพสุดท้ายที่หล่าทหารเห็นคือกองเพลิงขนาดใหญ่ แสงของมันสามารถขับไล่ความมืดไปจนหมด ทหารรีบพากันควบม้าอย่างสุดชีวิต
ทางด้านจินเซียงก็สั่งให้ม้าของตนออกไปรอที่ชายป่านอกด่านก่อนถึงจุดนัดพบ ม้าของนางก็ยอมทำตามมันวิ่งหายไปในความมืดของท้ายหมู่บ้านเล็ก ๆ ใกล้กับด่าน ตอนนี้ทหารเหลียวกำลังไล่ตามนางเพราะนางทำให้ ทัพเหลียวสูญเสียไปมากกว่าที่คนคนหนึ่งจะทำได้
ฟิ้ว~ เพียงสายลมพัดผ่านก็มีทหารเหลียวหลายสิบคนล้มลงจมกองเลือด
“ผีหลอกรึไงว่ะ” ทหารเหลียวเดินจับกลุ่มเป็นวงกลม
“อัก” ยังไม่ทันได้คำตอบทหารเหลียวอีกกลุ่มก็สิ้นใจ
“รายงานท่านแม่ทัพ! ตอนนี้เรา...เราเสียทหารไปมากกว่าพันนายแล้วขอรับ”
“เป็นไปไม่ได้! สตรีเพียงนางเดียวเหตุใดถึงจัดการไม่ได้!” ถัวปาจวิ้นตวาดใส่ทหาร
“ที่ด่านคนของเราถูกเผาไปมาก เมื่อตามไปก็ถูกสังหาร ตอนนี้นางถูกล้อมที่หมู่บ้านไม่ห่างจากด่านมากนักขอรับ”
“ระดมยิงธนูเพลิงเผานาง!! สั่งให้พวกซีเซี่ยกับจินส่งทหารฝีมือดีไปดักใกล้ป่า ถ้านางถอย...อย่างไรก็ต้องผ่านป่านั่น!”
“ขอรับ!”
ธนูไฟมากมายถูกระดมยิงขึ้นฟ้าจนท้องฟ้าสว่าง ทั่วท้องฟ้าตอนนี้เต็มไปด้วยลูกธนูเพลิงที่ตกลงมาดั่งห่าฝน จินเซียงเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะยกโล่ขึ้นบังและวิ่งออกไปทางท้ายหมู่บ้าน
“ฮึ ดูท่าจะลำบากซะแล้ว” นางโยนอาวุธเข้าไปเก็บในมิติแล้ววิ่งฝ่าออกจากหมู่บ้าน
“นั่น! นางอยู่นั่นรีบตามไป!” ทหารเหลียวพากันไล่ล่าอย่างไม่ลดละ ทั้งธนูและหอกต่างถูกประเคนให้นางอย่างเต็มที่
ฟิ้ว! ฉึก!
'ธนูอาบยาพิษ' พิษแผ่กระจายเข้ากระดูก นางกัดฟันกรอด หอบหายใจราวกับจะขาดใจ แต่กลับยกดาบขึ้นอีกครั้ง แม้จะรู้ตัวดีแต่นางก็หยุดวิ่งไม่ได้ ‘ตามมาเลย!’ ยิ้มแล้วหันวิ่งหายเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง
“หยุด!” ทหารเหลียวทั้งหมดที่ตอนนี้เหลือเพียงสามหมื่นกว่านายพากันหยุดมาหยุดล้อมรองแม่ทัพสาวเพียงคนเดียวที่ตอนนี้อยู่ในสภาพปางตายและหลบอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง
“ท่านรองแม่ทัพ...ท่านแพ้แล้ว!”
“ถัวปาจวิ้น! ไอคนสารเลว!” แค่ก ๆ จินเซียงไอออกมาเป็นเลือด นางใช้ดาบทิ่มลงพื้นเพื่อประคองตัวเองไม่ให้ล้ม พยายามกล้ำกลืนฝืนทนเดินไปที่โต๊ะกลางห้อง “วันนี้พวกมึงไม่ตายดีแน่!” นางถีบโต๊ะออกแล้วเปิดห้องลับที่ซ่อนอยู่ ‘ดินปืนและไหน้ำมัน’ ถูกบรรจุอัดแน่เต็มห้องลับใต้ดิน
“ไม่คิดว่าระบบจะมีของแบบนี้ด้วย” นางหยิบกล่องเหล็กสีดำที่บรรจุระเบิดแรงสูงไว้ออกมา แล้วว่างลงอย่างช้า ๆ
“ฆ่านางให้ได้! ใครฆ่านางได้ข้ามีรางวัลให้!” จบคำพูดของถัวปาจวิ้น เหล่ายอดฝีมือก็พากันกรูเข้าหาเป้าหมายทันที
จินเซียงยิ้มเย็น “ไปลงนรกซ่ะ!!” ระเบิดตั้งเวลาไว้เพียงห้าวินาที จินเซียงรีบใช้วิชาตัวเบาทะยานออกมาจากบ้านหลังนั้น และรีบวิ่งฝ่าออกไปให้ไกลที่สุด
บึ้มมมม!!! พื้นดินเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรงจากการระเบิด รอบนี้รุนแรงกว่ารอบแรกมากนัก หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านได้หายไปในทะเลเพลิงพร้อมทหารเหลียวเกือบหมื่นนายที่ถูกฝังในหมู่บ้าน
หมู่บ้านทุกหลังถูกเติมเต็มด้วยดินดำ เศษกระเบื้อง น้ำมัน เศษเหล็ก ทำให้พอระเบิดเศษกระเบื้องและเหล็กก็พุ่งเข้าใส่พวกทหาที่อยู่ใกล้ ๆ จนล้มตายไปตาม ๆ กัน ไอร้อนจากเปลวเพลิงยังสามารถรู้สึกได้แม้จะออกมาไกลมากแล้ว
ไฟลุกโหมแผดเผาเงียบงัน หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านเหมือนถูกกลืนหายไปต่อหน้าต่อตา เสียงระเบิดกึกก้องฉีกความเงียบเป็นชิ้นเล็ก ๆ เปลวเพลิงแดงฉานพุ่งขึ้นฟ้าเหมือนมังกรเพลิงที่คำรามสะท้านฟากฟ้า เศษไม้และก้อนหินปลิวว่อน ร่างผู้คนกระเด็นกลางอากาศ เสียงกรีดร้องดังระงม แต่ก็ถูกเสียงเพลิงกลืนหายไป
จินเซียงพุ่งทะลุความโกลาหลออกมา เลือดไหลจากบาดแผลบนแขนและบ่า แต่แววตายังคมกริบ ดาบในมือสะท้อนแสงไฟวาววับราวกับปีศาจมาร “เผยอิง… ข้าคงไม่ได้กลับไปหาเจ้าแล้ว” นางคิดในใจ ก่อนจะยกยิ้มบาง ๆ ทั้งที่ริมฝีปากสั่นระริกจากพิษธนู
“ตาย!!” แล้วนางก็พุ่งตัวเข้าหาเหล่ายอดฝีมือ ที่ถูกส่งมาดักตามเส้นทาง และตลอดแนวป่า
การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ยอดฝีมือต่างค่อยๆ ล้มตายลงไปทีล่ะคนรวมถึงเหล่าทหารที่กรูกันเข้ามาจนมีซากศพทับถมกับจนกลายเป็นเนินขนาดย่อมๆ ตลอดเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่จุดนัดพบ
“หยุด!” ทหารทั้งหมดหยุดแล้วถอยกลับมาตามคำสั่งแม่ทัพใหญ่ที่พาตัวเองออกมาจากนรกได้สำเร็จ
“ธนู!” พลธนูวิ่งขึ้นหน้าแล้วปล่อยลูกธนูออกไปอย่างมืดฟ้ามัวดิน
แม้จะมีกำลังมหาศาลแต่ทว่ายามนี้นางกลับติดพิษและเริ่มที่จะหมดกำลัง แต่ก็ยังกัดฟันสู้ยกดาบขึ้นปัดป้องลูกธนู แม้จะมีบ้างที่เฉียดไปเฉียดมา บ้างก็เข้าที่ขาและหัวไหลจนเลือดไหลริน
จินเซียงกัดฟันฝืนวิ่งหลบเข้าไปในป่า “ฆ่านางซ่ะ!” ทหารฝีมือดีหลายร้อยคนวิ่งเข้าตามนางไปทันที พวกมันยิงธนูใส่อย่างไม่ลดละ
จินเซียงสังหารพวกมันแล้วเอาธนูมาใช้ มันยิงหนึ่งดอก จินเซียงก็ใช้ดอกนั้นยิงกลับคืน และสังหารพวกมันจนหมด
“ทำไมมันไวจังว่ะ!” ทหารม้าที่ขี่ม้าไล่ตามบ่นกับทหารด้วยกัน ฟิ้ว! อัก ทหารคนนั้นถูกธนูยิงจนกระเด็นลงจากหลังม้า
ถัวปาจวิ้นสั่งให้ทหารทั้งหมดปิดล้อมป่า ถ้าเจอให้ฆ่าได้ทันที เมื่อรวมกับทหารของซีเซี่ยและจิน แม้จะเสียไปมากกว่าหมื่นนาย แต่ก็ยังมีกำลังพลเหลืออีกมาก แค่คนคนเดียวยังไงก็คงไม่รอด
“ข้าจะไม่ยอมตายคนเดียว! เข้ามา!”
จินเซียงใช้แรงที่เหลืออยู่เข้าห่ำหันกับทหารฝีมือดีนับร้อยคนที่ดักอยู่ด้านหน้าของป่าแห่งความตาย นางเหวี่ยงดาบเข้าใส่พวกมันจนตกตายไปมากกว่าครึ่ง บางคนตกใจจนทิ้งอาวุธ บางคนร้องตะโกนเหมือนพบผี แต่ก็ยังพุ่งเข้าใส่ไม่หยุด จินเซียงตวัดดาบ ฟาดลงกลางฝูงศัตรู โลหิตสาดกระเซ็นบน ร่างนางเหมือนภาพหลอนที่ไม่มีวันหยุด
“วี๊ด!!!” จินเซียงเป่าปากเรียกม้าของตัวเอง ม้าตัวใหญ่สีเลือดพุ่งตัวออกมาจากป่า จินเซียงเหวี่ยงตัวขึ้นม้าแล้วบุกฝ่าออกไป พวกทหารถูกม้ากระทืบจนตาย ทำให้พวกมันพากันวิ่งหนี
ควันไฟยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือศีรษะเมื่อจินเซียงควบม้าออก จากป่า แต่เบื้องหน้ากลับมีกำแพงเหล็กเคลื่อนไหว—กองทัพม้าห้าพันนายเรียงหน้ากระดานบังทาง แม่ทัพใหญ่เย่หูประจำกองพลโม่วหม่า ยกดาบโค้งแวววาวขึ้นชี้นางทันที มันสังเกตตั้งแต่วิธีขี่ม้าและขึ้นม้า เหมือนคนที่ผ่านการรบบนหลังม้ามาอย่างโชคโชน ‘ถ้าไม่ฆ่าวันนี้ วันหน้าจะยิ่งอันตราย’
“ฆ่าเสีย!”
เสียงสั่งการดังก้อง เหมือนค้อนเหล็กทุบกลางอกทหารทั้งกอง
แต่เมื่อร่างสูงใหญ่บนหลังม้าของจินเซียงพุ่งทะยานเข้าหา ภาพที่ปรากฏกลับไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ‘แต่เป็นปีศาจโลหิตในคราบสตรี!! ม้าศึกขนาดมหึมาเงื้อกีบสูงราวอสูรจากนรก!!’ เสียงกีบกระแทกพื้นสะท้อนดังก้อง กวัดง้าวเพียงครั้งเดียว ฟั่บ! ทหารม้าสิบกว่าคนถูกฟันจนร่างขาดกระเด็น เลือดพุ่งเป็นทางบนอากาศ
เสียงกรีดร้อง สัตว์ศึกสะบัดหัวดิ้นควบคุมไม่อยู่ กองทัพทั้งกองแตกตื่นจนระเบียบเสียหาย
เย่หูจ้องนางเขม็งแล้วควบม้าออกมาเพียงลำพัง
“แม่ทัพเย่หู แห่งโม่วหม่า! วันนี้เจ้าต้องตาย!”
ส่วนถัวปาจวิ้นนั่งมองบนหลังม้าอย่างเงียบงัน ไม่ได้พูดอะไร มันรู้ดีว่าแม่ทัพเย่หูผู้นี้ฝีมือร้ายกาจเพียงใด
จินเซียงเช็ดเลือดที่ไหลลงข้างแก้ม ก่อนตอบเสียงเย็น
“ถัง จินเซียง รองแม่ทัพต้าซ่ง”
“รองแม่ทัพต้าซ่ง แซ่ถัง ชื่อจินเซียง”
ม้าของจินเซียง หายใจหอบ เหงื่อโชก ขาหน้าสั่น เกราะม้าเต็มไปด้วยรอยดาบและลูกธนู
แต่ม้าของเย่หู ยังอยู่ในสภาพดี แววตาดุร้าย ตาขาวเป็นวงกว้าง เกราะประดับด้วยกะโหลกศัตรู
ม้าทั้งสองจ้องหน้ากัน เตรียมพร้อมเข้าสู้เพื่อนายของตน ลมยามเช้าพัดกลิ่นเลือดคลุ้ง แสงอาทิตย์ลอดผ่านหมอกควันตกกระทบคมดาบ ทุกอย่างเงียบสงัดเหลือเพียงลมหายใจ
ม้าทั้งสองตัวส่งเสียงร้อง สองแม่ทัพควบม้าปะทะกันเต็มแรง คล๊อง! เสียงดาบกระทบดังก้องสะท้าน แขนจินเซียงชาวาบเหมือนกระดูกจะแตก ดวงตาเย่หูฉายแววคลั่งเหมือนสัตว์ป่าหิวกระหาย
“คล๊อง!” ดาบของทั้งสองปะทะกันเต็มแรงจนเกิดแรงลม จินเซียงรู้สึกถึงแรงสะเทือนที่วิ่งขึ้นแขน เธอเห็นแววตาความคลั่งในตาของเย่หู วันนี้ไม่นางก็มันต้องตายกันไปข้าง
เย่หูถลันตา” วันนี้เจ้าต้องตาย!” เย่หูพุ่งเข้ามาฟันอีกครั้งแต่จินเซียงหลบได้โดยโน้มตัวแนบคอม้า ดาบของเย่หูเฉือนเพียงอากาศ ตัดผ้าคลุมไหล่ของจินเซียงขาด แต่ทว่าตัวมันกลับถูกดาบของจินเซียงเฉือนเข้าที่ขาจนเกราะขาเปิด เลือดกระเซ็นเป็นทางบนพื้นดิน มันมองหน้าด้วยความโกรธเคือง
เย่หูคำราม 'เจ้าตายแน่!' “
แต่ทว่าแขนของจินเซียงเองก็เริ่มหนักเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่ว เลือดที่ไหลลงตามใบหน้า ทำให้ตาพร่ามัวมองไม่ชัด กลิ่นเหงื่อและเลือดคลุ้งไปทั่วบริเวณ และรสชาติของรสเหล็กในปากจากฟันที่กัดแน่น
ทั้งสองปะทะต่อเนื่อง เลือดสาดเป็นทาง จินเซียงแม้ร่างกายอ่อนล้า โลหิตคั่งในปากจนรสเหล็กขมติดปลายลิ้น นางยกโล่ขึ้นมากันดาบใหญ่จนกระเด็นตกหลังม้า แล้วกระอักเลือดสีดำเข้มออกมา แต่สายตากลับจับได้ เกราะข้างรักแร้ของเย่หูที่มีรอยร้าว ‘โอกาสเดียว…’
เสียงหายใจที่ไม่มั่นคงทำให้จินเซียงรู้ว่าจะยื้อต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
“กูจะฆ่ามึง!” เย่หูพุ่งเข้ามาอีกครั้ง จินเซียงรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย โหนตัวขึ้นจากอาน แล้วถีบเข่าลงกลางอก กร๊อบ! กระดูกแตกดังสนั่น ร่างแม่ทัพใหญ่กระเด็นตกม้า กร๊อบ! เสียงกระดูกซี่โครงแตก
จินเซียงไม่รอช้า กระโจนทับลง คว้าศีรษะมันขึ้นมา
ฉึก! มีดแทงลึก คว้านหมุนเป็นวง เลือดพุ่งนองหน้า เย่หูตาเบิกโพลง กรีดร้องลั่นครั้งแรกในชีวิต
เย่หูสะดุ้ง ตากลอกกลิ้งด้วยความเจ็บปวด เป็นครั้งแรกที่มันรู้สึกถึงความหวาดกลัวเป็นครั้งแรก “อยากฆ่า...ก็ฆ่าเลย!!”
“ตามคำขอของเจ้า!!”
ฉับ! ศีรษะมหาแม่ทัพกลิ้งลงพื้น เลือดทะลักราวน้ำพุ เสียงทั้งสนามรบเงียบกริบ ทหารห้าพันนายตะลึงราวถูกตัดลมหายใจ
จินเซียงยืนหอบ เหงื่อไหลรวมกับเลือดบนใบหน้า ร่างโยกคลอนเหมือนจะล้มทุกขณะ เสียงหายใจหอบของจินเซียงดังขึ้นในความเงียบของสนามรบ เหลืออยู่เพียงลมหายใจและเสียงกีบเท้าม้าที่วิ่งห่างออกไป ดวงตาเลือนรางเงยขึ้นฟ้า มีเพียงเหยี่ยวคู่หนึ่งโผบินวนอยู่เหนือหัว ก่อนที่ทุกสิ่งจะดับวูบลง
เสียงแตรศึกของต้าซ่งดังขึ้นไกล ๆ ตามมาด้วยธงมังกรสีดำที่ปักปลิวบนยอดเนินกว้าง แถวทัพของซ่งโผล่พ้นม่านหมอกควันออกมา เหล่าทหารเหลียวที่เหลือแตกตื่นทันที ถัวปาจวิ้นเห็นแล้วกัดฟันสั่งถอยทัพ
เผยอิงขี่ม้านำหน้า เธอมองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนแทบระเบิด กลางทุ่งรบที่เต็มไปด้วยซากศพและเพลิงไฟ มีเพียงร่างของใครคนหนึ่งที่ยังยืนอยู่ข้างม้า ดาบเปื้อนเลือดแนบแน่นอยู่ในมือ
ภาพสุดท้ายที่แทรกเข้ามาในห้วงสติ คือร่างของเผยอิงในชุดเกราะเบา พุ่งเข้ามาหานางพร้อมเสียงร้องเรียกที่ดังก้องในใจ
จินเซียงพึมพำออกมาแผ่วเบา ‘เจ้ามาช้าไปน่ะ’ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลือดทำให้เผยอิงรู้สึกเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด พึมพำ
“...เซียงเจี๋ย...” เผยอิงพึมพำ ดวงตาเบิกกว้าง
แต่เพียงเสี้ยวอึดใจนั้น ร่างสูงใหญ่ก็ค่อย ๆ เอนลง เลือดสาดไหลพรากเป็นทาง ก่อนจะล้มลง ตุบ! เสียงดังก้องสะท้อนในหัวใจของเผยอิงเหมือนโลกทั้งใบแตกสลาย
“ข้ามาแล้ว..ข้ามาแล้ว..อาเซียงลืมตาเดี๋ยวนี้ จินเซียงงงงง!!!”
นางกระโจนลงจากหลังม้าโดยไม่ลังเล วิ่งฝ่าซากศพและเลือดนองไปยังร่างนั้น ก้าวเท้าหนักทุกก้าวคล้ายฝันร้ายที่ไม่มีสิ้นสุด ลมหายใจร้อนผ่าว หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะฉีกออกจากอก
ในที่สุดเผยอิงทรุดตัวลงข้างร่างที่นอนแน่นิ่ง เลือดเปรอะเต็มใบหน้าและชุดเกราะ รอยแผลถูกธนูและคมดาบทิ่มแทงนับไม่ถ้วน แต่สิ่งที่ทำให้ เผยอิงเจ็บยิ่งกว่าคือดวงตาที่ค่อย ๆ ปิดลงทีละน้อย
“เซียงเจี๋ย! ได้ยินข้าไหม!? อย่าหลับนะ! อย่าหลับนะ!!”
เผยอิงกอดร่างของคนรักแล้วพยายามเรียก นางจับมือของจินเซียงไว้แน่น มือที่เต็มไปด้วยรอยแผลและเลือด แต่กลับยังอุ่นอยู่เล็กน้อย มือที่เคยฟันศัตรูได้ร้อยคน... ตอนนี้กลับสั่นเมื่อประคองร่างคนรักที่เต็มไปด้วยเลือดจำนวนมาก น้ำตาที่ไม่เคยไหลในสนามรบของแม่ทัพหญิง กลับทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เสียงรอบตัวค่อย ๆ เลือนหาย เหลือเพียงเสียงสะอื้นของเผยอิงกับเสียงลมหายใจแผ่วเบาที่ใกล้ดับสูญ
จินเซียงพยายามฝืนลืมตาอีกครั้ง ริมฝีปากเปื้อนเลือดขยับแผ่วเบา
“เผยอิง... เจ้า...มาถึงแล้ว...”“ข้ามาแล้ว! ข้าอยู่นี่!! เจ้าต้องไม่เป็นอะไรนะ ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน!”
รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าที่อาบเลือดของจินเซียง แววตาที่พร่ามัวสะท้อนเพียงภาพของเผยอิงผู้เดียว ก่อนสติทั้งหมดจะดับวูบลงไป
เผยอิงกรีดร้องออกมาสุดเสียงราวกับจะฉีกหัวใจตัวเอง เสียงร้องนั้นก้องสะท้อนไปทั่วสนามรบที่เพิ่งสิ้นเสียงดาบ
เผยอิงกอดร่างของจินเซียงแน่นจนเหมือนอยากจะถ่ายลมหายใจของตัวเองให้หลอมรวมเข้าไป นางกัดฟันสะอื้น มือสั่นเทาแต่ก็ไม่ยอมปล่อยแม้แต่วินาทีเดียว
“เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ... ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทิ้งข้าไปเด็ดขาด”
เสียงตะโกนของนายกองดังลั่น
“แม่ทัพ! ทหารเหลียวเริ่มถอยแล้ว แต่ยังมีทหารซุ่มอยู่ด้านหลัง!!”
เผยอิงเช็ดน้ำตาด้วยหลังมือ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างแม่ทัพผู้เคยผ่านศึกใหญ่ แต่หัวใจกลับเจ็บยิ่งกว่าการต่อสู้ใด ๆ ที่เคยผ่านมา
นางประคองร่างของจินเซียงขึ้นบนหลังม้าด้วยแรงที่มาจากความสิ้นหวังและรักสุดหัวใจ เลือดเปรอะเต็มอ้อมแขนและชุดเกราะของนางเอง แต่เผยอิงไม่สนใจอะไรอีกแล้วในตอนนี้ นางกระโดดขึ้นหลังม้าประคอง จินเซียงไว้ด้านหน้า
“กองทัพซ่ง! เปิดทาง! ปกป้องรองแม่ทัพของพวกเราให้ถึงที่สุด!!”
เสียงกลองศึกดังกึกก้อง ทัพม้าซ่งพุ่งแหวกออกเป็นเกราะกำบังเคลื่อนที่ แถวธนูยิงโต้กลับเป็นห่าฝน เหล่าทหารที่เหลือสละชีวิตปิดกั้นแนวหลัง ไม่ให้ทหารเหลียวตามมา
เผยอิงก้มลงกระซิบข้างหูของจินเซียง
“ได้ยินไหม... เจ้าต้องอยู่ต่อไป...เพื่อต่อสู้เคียงข้างข้า”
ร่างของจินเซียงแม้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แต่ลมหายใจอ่อน ๆ ยังพอมีอยู่ เผยอิงกำมือเธอแน่น หัวใจยังคงเต้นแรงไม่ยอมแพ้
เมื่อกองทัพซ่งทะลวงแนวศัตรูออกไปได้ เส้นทางกลับสู่ค่ายหลักเปิดกว้าง เผยอิงเหลียวกลับไปมองทุ่งรบครั้งสุดท้าย เห็นแต่ซากเพลิงและเลือด แต่ก็ไม่ได้หยุดชะงักแม้เสี้ยววินาที
เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในอ้อมแขนของนางตอนนี้ ไม่ใช่ชัยชนะ ไม่ใช่เกียรติยศ แต่คือ ‘ชีวิตของสตรีเพียงผู้เดียว...สตรีที่ทำให้กองทัพแสนนายต้องล่าถอยกลับไป’
สายลมอุ่นพัดผ่านไปตามตรอกอาคารบ้านเรือนในย่านตลาดหลังท่าเรือ บนหลังคาอาคารรอบ ๆ เรือนหลังหนึ่งมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังเฝ้าจับตามองอยู่เด็กสาวสองคนเดินฮัมเพลงเป็นจังหวะสบาย ๆ เข้ากับบรรยากาศอบอุ่นและกลิ่นของน้ำทะเล ทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ของเรือนหลังใหญ่ที่สุดในตรอกนี้ มีคนคุ้มกันสองคนยืนเฝ้าอยู่“เจ้าหนู ถ้าไม่มีอะไรอย่ามายืนขวางประตู!” ผู้คุ้มกันตะโกนใส่“ที่นี่คือเรือนของผู้ใดกัน ถึงมีคนคุ้มกันที่เป็นถึงจอมยุทธ์เช่นนี้” เด็กสาวถามด้วยความสงสัย“พวกเจ้าดูไปก็ใช้ได้เลยนิ ถ้ายอม.... เล่นกับพวกข้าบางทีอาจยอมให้เข้า... ก็...”ผัวะ! ตุ้บ! พูดไม่ทันจบ... พวกมันก็ถูกตีจนสลบแล้วถูกมัดมือมัดเท้าก่อนจะโดนหิ้วตัวออกไปอย่างรวดเร็ว“เจอรึยัง” ไต้เจียงหันไปถามชายคนหนึ่งที่โผล่ออกมาจากเงามืด“ขอรับ ที่คุกใต้ดินมีคนถูกจับไว้สิบห้าคน แล้วก็... อื้ม...”ไต้เฉียวหันมองหน้าคนพูดอย่างตั้งคำถาม “แล้วก็อะไร พูดมา”“ขอรับคุณหนูใหญ่... คือว่ามีทาสจำนวนมากถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินอีกแห่งขอรับ”สองสาวพี่น้องมองหน้ากันด้วยสายตาเย็นชา เพราะกฎหมายเรื่องค้าทาสนั้นถูกยกเลิกไปตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ ที่ทรงส
สายลมอุ่น ๆ พัดโชยเข้ามาในหน้าต่างห้องทำงานชั้นบนสุดของหอการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าซ่ง เด็กสาวสองคนกำลังนั่งเล่นไพ่รับลมชมวิวเมือง ไต้เฉียวกับไต้เจียง สองพี่น้องผู้เป็นคุณหนูของหอการค้า ที่นับวันยิ่งมีความคล้ายกับผู้เป็นแม่ไต้เฉียวนั้นจะคล้ายกับจินเซียงมากที่สุด ไต้เจียงนั้นจะออกไปทางเผยอิงผู้เป็นมารดา สองคนนี้จะแตกต่างกันตรงสีผิวและดวงตาเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่หาตัวยากมากที่สุด พวกนางขึ้นชื่อเรื่องการซ่อนตัวเป็นที่สุด ส่วนน้อยจะได้เห็นหน้าพวกนาง“ท่านแม่ไปไหนกัน” ไต้เจียงหันไปถามเลขาหน้าห้องของจินเซียง “ไม่ทราบเจ้าค่ะคุณหนู ท่านประธานออกไปแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ”“ไปกับท่านแม่หรอ”“เจ้าค่ะ ฮูหยินไปด้วย”“พี่ใหญ่เอาไงต่อดี แม่ไม่อยู่”“ไปเดินเล่นกันหน่อยเป็นไง เดี๋ยวต้องไปรับองค์หญิงน้อยอีก เบื่อพวกองค์ชายมาก” ไต้เฉียวบ่นอย่างเบื่อหน่าย ทุกวันนี้อีกฝ่ายมักหาเรื่องเข้าหาตลอด“คุณหนู อีกสองวันมีงานเลี้ยงตระกูลหวาง ของพระสนมหวางหลงเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าจะเข้าร่วมไหมเจ้าค่ะ” ไต้เฉียวมองหน้าคนพูดอย่างรู้เจตนา“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู”“หลานเจ้าหรือคนในตระกูลให้เอามาให้พวกเรา”“ปะ..เป็นคุณ
เช้าวันต่อมา ทั้งสองสาวจีนพาเพื่อนชาวไทยผู้ที่ไม่ได้นอนหลับทั้งคืนไปเดินชมหมู่บ้าน ความเหนื่อยล้าสะสมไม่ได้ทำให้ความกระหายใคร่รู้ของมีมี่ลดลงเลยพวกเธอเข้าไปไหว้หอบรรพบุรุษตามคำแนะนำของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน บรรยากาศภายในเงียบสงัด มีมี่เดินไปตามทางเดินแคบ ๆ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อสายตาปะทะกับภาพวาดเก่าแก่บนกำแพงภาพวาดนั้นคือเงาหญิงสาวในชุดโบราณที่เธอเห็นซ้อนทับอยู่ในความฝันเมื่อคืน!“นั่นใครกัน?” มีมี่ถามเสียงแผ่ว“คนเฒ่าคนแก่เล่ากันว่า ภาพนี้คือภาพของผู้ก่อตั้งหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน ตั้งแต่ยุคราชวงศ์ซ่งนู่นเลย”“เก่าเหมือนกันเนอะ ภาพยังคมชัดเหมือนพึ่งถ่ายเลย” มีมี่ยิ้มแห้ง ๆ มองดูรูปบนกำแพง เธอรู้สึกเหมือนกำลังมองใบหน้าของตัวเองในอดีต“พวกเราก็คิดเหมือนกัน มา ๆ ไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ” สองสาวลากตัวมีมี่ขึ้นรถเพื่อไปยัง อุทยานประวัติศาสตร์ ที่เคยเป็นหมู่บ้านเก่าแก่หลายร้อยปีซึ่งถูกทิ้งร้างไว้กลางป่า นี่คือหมู่บ้านเริ่มแรกที่เคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดมีมี่ที่เดินตามสาวจีนทั้งสองอยู่หลังสุดนั้น พยายามสลัดความคิดเรื่องภาพวาดออกไป เธอสูดหายใจลึกเพื่อเรียกสติแต่แล้ว... สายตาของ
อากาศร้อนระอุของเดือนเมษายนพัดปะทะหน้าของหญิงสาวที่ยืนอยู่ในชานชาลารถไฟของสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ความร้อนที่แผดเผาไม่ได้ช่วยลดความตื่นเต้นผสมความหวาดระแวงในอกของมีมี่เลยแม้แต่น้อย เสียงประกาศตามสายดังขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยที่อื้ออึงของคนที่มารอ เสียงประกาศไทยสลับกับเสียงอังกฤษ‘ผู้โดยสารที่จะไปกับขบวนนี้ขอให้เตรียมตัว รถไฟจะเข้าเทียบชานชาลาที่ 2 อีกสิบนาที’มีมี่ยิ้มให้กับตัวเองแล้วสำรวจดูความเรียบร้อย เมื่อไม่ลืมอะไรก็เดินไปยืนรอตรวจตั๋วขึ้นรถไฟ เจ้าหน้าที่มองตั๋วแล้วยิ้มให้ก่อนจะให้พนักงานอีกคนช่วยขนของไปไว้ที่ห้องโดยสาร“เดินทางคนเดียวหรอค่ะ เห็นจองห้องนอนคู่ไว้ทั้งห้อง”“คะ เลยจองไว้ทั้งสองเตียง”“เดินทางไกลเลยน่ะค่ะ ลาวต่อจีนคงเหนื่อยน่าดู ถึงแล้วค่ะ ขอให้สนุกกับการเดินทาง” พนักงานพามาถึงหน้าห้องที่จองไว้ ก่อนจะยิ้มให้แล้วเดินจากไปมีมี่รู้สึกแปลกใจกับคำถามของพนักงานคนนี้มาก รู้สึกว่าถูกจับจ้องจนเกินความจำเป็น แต่ก็ไม่ทันจะถาม อีกฝ่ายก็เดินไปไกลแล้วกระเป๋าสองใบวางไว้ที่พื้น มีมี่ทิ้งตัวลงนั่งข้างหน้าต่างมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ในห้องโดยสารส่วนตัวที่จองไว้ทั้งสองเตียงนั้
เสียงผู้คนเดินสัญจรไปมา สลับกับเสียงคอมเพรสเซอร์แอร์จากอาคารใหญ่ในย่านสุขุมวิท หญิงสาวผมสั้นประบ่าในชุดพนักงานออฟฟิศสวมแว่นกันแดด หน้าตาของเธอนั้นอยู่ในระดับที่เรียกว่าสาวสวยคนหนึ่งสำหรับออฟฟิศบริษัทใหญ่ที่เธอทำงาน“หัวหน้า! พวกเราไปกินข้าวที่ไหนดี” เสียงพนักงานรุ่นน้องถาม ทว่าคนตรงหน้าก็หันกลับมา“สาว ๆ พวกเรามีงานด่วน บอสแจ้งว่าลูกค้าชาวจีนตกลงคุยงานที่โรงแรมเชอราตัน เดี๋ยวไปกินข้าวที่นู่นเลย”“หัวหน้า! คุณคงไม่หลอกพาพวกเราไปขายใช่ไหม” รุ่นน้องถามอย่างระแวง“กินไม่กิน!”“กิน ๆ !” สองสาวรีบเดินคล้องแขนรุ่นพี่คนสวยไปที่ลานจอดรถซูซูกิฮัตสเลอร์สีชมพูจอดอยู่ในลานจอดรถใต้ตึกใหญ่ มีมี่จอดรถแล้วจัดเสื้อผ้า “พวกเราระ...” สองสาวกะพริบตาถี่ ๆ เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่สาวนั้นเตรียมตัวเสร็จแล้ว และกำลังเดินไปเปิดท้ายรถเพื่อเอาเอกสารและปริ้นสัญญาที่จะใช้ในวันนี้ออกมา“พี่มีออฟฟิศในรถด้วยหรอค่ะ”“เผื่อไว้ พวกเธอเร็วหน่อยจะเที่ยงแล้ว” มีมี่พูดจบก็เอาเอกสารใส่แฟ้มแล้วปิดท้ายรถ “ป่ะ พี่เสร็จละ”พอถึงหน้าภัตตาคารก็แจ้งกับพนักงานว่าได้นัดไว้กับชาวจีน “ฉัน มีมี่ คนที่จะมาคุยเรื่องสัญญาวันนี้ค่ะ ทางนี้คือรุ่น
หลังจากที่จินเซียงไปถึงเมืองหลวงของเผ่ามองก้าร์แล้ว นางก็ตรงไปหาข่านสูงสุดของเผ่าเพื่อพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมนำตัวคนผิดที่ถูกองค์ชายสี่จับมาส่งมอบอย่างเป็นทางการ ทำให้สงครามของทุกเผ่ายุติลงในเวลาอันรวดเร็ว เพราะชนเผ่าอื่นต่างเกรงกลัวในพลังอำนาจและอิทธิพลที่มองก้าร์มีต่อ “อันเตรีย” หรือ “จินเซียง”นางใช้เวลาในแถบทุ่งหญ้าเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือน จับจอมธนูผู้มีฝีมือและเป็นมือขวาของข่านแห่งมองก้าร์ มาสอนลูกสาวทั้งสองยิงธนูบนหลังม้าอย่างเข้มงวดจินเซียงมักตั้งกระโจมพักกลางทุ่งกับครอบครัว กินข้าวชมดาวเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตอันวุ่นวายของนาง แต่รอบ ๆ กระโจมกลับมีแต่คนของมองก้าร์มาคอยคุ้มกันห่าง ๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อสตรีผู้มีอำนาจล้นฟ้าคนนี้“ท่านแม่~ เมื่อไหร่เราจะกลับอ่ะเจ้าค่ะ” ไต้เฉียวงอแงเล็กน้อย“ช่าย~” ไต้เจียงเสริมทัพ ทั้งสองพี่น้องต่างเรียกร้อง แต่กลับนอนหนุนตักแม่สบาย“ไม่กี่วันก็กลับแล้ว แม่พาพวกเจ้ามาเที่ยวไง” จินเซียงลูบผมลูกสาวด้วยความอ่อนโยน“น้องเจียงง่วงแย้ว” ไต้เจียงที่นอนหนุนตักเผยอิงอยู่เริ่มงอแง“รอดูดาวตกก่อนสิคนดี... เขาว่าถ้าอธิษฐานอะไรก็จะสมปรารถนา” จินเซ







