Share

ด่านแตก

last update Last Updated: 2025-09-07 18:51:21

จินเซียงฟังทหารรายงานถึงสิ่งที่ทหารเห็นจากบนยอดไม้ พวกเค้าแจ้วว่าตอนนี้พวกเรากำลังเดินทางย้อนเข้าไปเมืองเหอเป่ย์ ไม่ได้ตรงไปที่ชายแดนแต่อย่างใดเพราะด้านหน้าคือป่าใหญ่ที่อยู่ทางตะวันตกของเมือง ชาวบ้านเรียกว่า ‘ป่าแห่งความตาย’ ใครก็ตามที่เข้าไปในป่ายากจะได้กลับมา

“หึ! คิดไว้ไม่ผิด พวกมันวางแผนไว้แล้ว” จินเซียงครางในลำคอ พลางมองเส้นทาง “ถ้าจะย้อนกลับไปที่ด่านจางเจียนโขว...ใช้เวลานานไหม”

“เพียงหนึ่งชั่วยามขอรับ รวมเวลาไปกลับค่ายหลักก็ราวสามชั่วยาม” นายกองคนเดิมตอบน้ำเสียงหนักแน่น

จินเซียงพับแผนที่ ทำเป็นเก็บไว้ในอกเสื้อ แต่แท้จริงแล้วเธอเก็บมันไว้ในมิติของตนเองอย่างชำนาญ “คิดจะใช้กฎทหารเล่นงานพวกเรา พวกเจ้าทุกคนจะไม่รอด เราจะไปตั้งหลักที่ด่านก่อนแล้วค่อยกลับ” เธอสรุปสั้น ๆ

“ขอรับ!” ทุกคนตอบพร้อมเพรียง

จินเซียงหันมองป่าทึบเบื้องหน้า น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบ “พวกเจ้าไปก่อน เหมือนมีแขกไม่ได้รับเชิญอยู่แถวนี้ เยอะด้วย”

นายกองสองคนมองหน้ากัน เบื้องหน้าพวกเค้าไม่รู้สึกถึงอะไรผิดปกติ แต่พวกเขาก็ไม่เถียง หันไปสั่งให้ทหารเตรียมพร้อมไว้

“อะไรหรือขอรับ?” หนึ่งในทหารถาม

“ข้าไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ใจคือพวกมันไม่ได้เอาข้าวมาให้พวกเราแน่” จินเซียงพูดสั้น ๆ

“ยังไม่ถึงเวลาอาหารเลยด้วยซ้ำขอรับ” ทหารคนหนึ่งพยายามแซว

“ประชด!!” จินเซียงสวนกลับแค่นั้นก่อนจะถอดหมวกเหล็กและผ้าคลุมไหล่ออก เผยให้เห็นความตั้งใจอันหนักแน่น

“ท่านรองแม่ทัพก็ อย่าอารมณ์ดีตอนนี้ซิขอรับ”

“นายกองจาง ท่านและทหารอยู่ตรงนี้ อย่าไปไหน นายกองอี้ ท่านก็เช่นกัน ให้ตั้งโล่เป็นกระดองเต่า ห้ามออกจากแถวเด็ดขาดจนกว่าข้าจะกลับมา ไม่ว่าได้ยินเสียงอะไรห้ามขยับ” พูดจบก็เอาธนูมาจากนายกองอี้ “จำไว้ห้ามขยับไปไหน”

“ขอรับ!” เสียงตอบดังชัดเจน แม้บางคนยังสงสัย แต่ก็ปฏิบัติตามโดยไม่ถามเพิ่ม

ทหารเปิดทางให้จินเซียงก้าวเข้าไปในป่า เพียงชั่วอึดใจเดียว เสียงโลหะเสียดสีกันแล้ว ฟิ้ว! ตามด้วยเสียงกระแทกหนัก ๆ ตึ้ม! ตึ้ม! ตึ้ม! เป็นชุด ๆ เสียงดาบและการปะทะดังต่อเนื่อง ฟับ! ฟับ! ฟับ!

เสียงร้องขอความเมตตา เสียงด่าทอ และเสียงล้มดังชัดพอให้ทหารทั้งค่ายได้ยิน

“เกิดอะไรขึ้นในป่า?” หนึ่งในทหารกระซิบถามเพื่อนข้าง ๆ

“ไม่รู้ แต่ท่านรองแม่ทัพเข้าไปได้พักหนึ่งแล้ว” อีกคนตอบด้วยน้ำเสียงกังวล

“ตั้งสมาธิไว้ ถ้าพวกมันบุกมาทางนี้ เราจบแน่” นายกองจางตะโกนสั่งเสียงเข้ม

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม จินเซียงเดินโผล่ออกมาจากป่า น้ำหนักการก้าวเดินยังคงดูมั่นคง ไม่ตะกุกตะกัก มีคราบเลือดเล็กน้อยติดที่เกราะ แต่ตัวนางก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

ผ่านไปครึ่งชั่วยามจินเซียงก็ออกมาจากป่า มีคราบเลือดติดที่เกราะบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วไม่ได้มาอาการบาดเจ็บอะไรเลยแม้นิดเดียว

“รีบเดินทางกันเถอะ เดี๋ยวพวกมันจะตามแห่กันมาอีก” พูดจบรับคืนของที่ฝากไว้ และคืนธนูให้นายกองอี้อย่างสบาย ๆ

“ขอรับ!” ทหารทั้งหมดตั้งแถวทันที แล้วขบวนก็เคลื่อนต่อไป พร้อมใจเตรียมพร้อมรับการปะทะที่อาจมาถึงในเวลาไม่ช้า

ขบวนทหารเดินทางไม่นานก็มาถึงด่านจางเจียนโขว ที่ซึ่งจินเซียงหยุดชะงักเล็กน้อย ด่านนี้ควรเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ แต่สิ่งที่ตาเห็นกลับทำให้นางแปลกใจอย่างมาก มีทหารยืนเฝ้าเพียงหนึ่งพันห้าร้อยคนเท่านั้น ทั้งที่ค่ายหลักและเมืองใหญ่มีกำลังพลหลายหมื่น แต่จุดนี้กลับไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร

“นายกองจาง!” นางเรียกเสียงดัง

“ขอรับ” เจ้าของชื่อวิ่งตรงมาอย่างฉับไว

“ทำไมที่นี่มีทหารแค่นี้?” จินเซียงถามตรง ๆ

“ที่นี่เป็นด่านเก่าขอรับ อีกอย่างส่วนใหญ่พวกเหลียวมักบุกทางอื่น” นายกองจางที่กำลังรายงานก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้น

“ไม่ทราบว่าท่านคือ”

“ข้าน้อยเตียวหลาง ผู้คุ้มกันประตูด่านจางเจียนโขว หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘ด่านคาร์คาร์น’ ขอรับ” ชายหนุ่มประสานคำนับ แล้วหันไปมองจินเซียงด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“รองแม่ทัพจินเซียง ข้านำคนมาลาดตระเวนบริเวณนี้” จินเซียงตอบอย่างเรียบง่าย แล้วถามต่อ “ช่วงนี้มีข่าวอะไรบ้าง”

เตียวหลางส่งแผนที่และข่าวที่มีมา “ชาวบ้านว่าพวกทหารเหลียวกำลังระดมพลจำนวนมาก แต่ยังไม่แน่ชัด ระบุได้เพียงว่าเหลียวแข็งแกร่งกว่าพวกซีเซียและจิน”

จินเซียงพ่นลมหายใจเบา ๆ “น่าสงสัย” ในตอนนั้นเหินฟ้าเหยี่ยวแดงของนางบินลงมาจนเกาะบ่า นางดึงจดหมายที่แนบมากับขนนกออกอ่าน รูปแบบและถ้อยคำยิ่งย้ำความไม่สบายใจ

“พวกมันจะข้ามภูเขามาตีเราแล้ว...ยังถกเถียงกันไม่หยุด” เธออ่านจบแล้วเผาจดหมายทิ้งด้วยนิ้วเรียบเฉย

“เหยี่ยวแดงตัวใหญ่จริงๆ” เตียวหลางมองอย่างชื่นชม ส่วนเจ้าของเหยี่ยวก็กำลังอ่านจดหมายซ้ำไปมาหลายรอบ

“ท่านแม่ทัพส่งมาหรือขอรับ?” นายกองจางถาม

“ใช่” จินเซียงสั้น ๆ “นายกองจาง ให้ทหารพักอีกครึ่งชั่วยาม เราจะเดินทางกลับโดยเส้นทางธรรมชาติ”

“ขอรับ!” จางรีบออกไปสั่งการ

“เจ้าเหินฟ้าไปสอดแนมฝั่งโน้นให้ข้าที” จินเซียงสั่ง เหยี่ยวผงกหัวแล้วพุ่งจากไป

เตียวหลางมองด้วยท่าทางแปลกใจ “ท่านคุยกับนกได้ด้วยรึขอรับ? เอะ! ท่านไม่ใช่ชาวฮั่นงั้นหรือ?”

จินเซียงถอดหมวกเหล็ก เผยผมที่ยังเปียกเหงื่อจากการเดินทางเล็กน้อย “ข้ามาจากเปอร์เซีย คนรักข้ามารบ ข้าจึงตามมา ไม่ต้องมองข้าแบบนั้น ข้าไม่ใช่พวกเติร์ก แต่พวกเติร์กกับข้าก็คล้าย ๆ กัน” เธอตอบอย่างเฉยชา

จากนั้นก้มจดข้อความลงในกระดาษสั้น ๆ ปิดท้ายด้วยการสอดกระบอกพลุไม้ไผ่ให้เตียวหลาง

“เอานี่ไป หากเหลียวยกม้าเข้ามาที่ด่าน จงยิงขึ้นฟ้า ข้าจะมาช่วยเอง ดูแล้วครั้งนี้นอกจากศัตรูแล้ว ยังมีคนโง่มาคุมทัพอีก”

เตียวหลางรับกระบอกพลุแล้วมองเธออย่างหนักใจ “ท่านไม่กลัวโดนลงโทษหรือขอรับ?”

เสียงสตรีดังขึ้นจากประตู “พี่เตียว ข่าวจากหน่วยลาดตระเวนถูกส่งกลับมาแล้ว”

“น้องเจียวเจ้ามาตรงนี้ทำไม” เตียวหลางถามหญิงสาวผู้มาใหม่

หญิงสาวชื่อเจียวเดินเข้ามา เธอเปิดแผนที่ชี้ชัด “พวกเหลียวรวมทัพสี่หมื่นกำลังข้ามภูเขามาทางนี้ ส่วนพวกซีเซียมุ่งตรงไปค่ายหลักที่เหอเป่ย ผู้นำคือถังปาจวิ้นกับถัวปายู๋ว”

“หึ! พวกมันจะบุกข้ามภูเขามาตีเราอยู่แล้ว พวกนั้นยังเถียงกันไม่จบอยู่เลยให้ตายซิ” จินเซียงเผาจดหมายในมือทิ้ง “ข้ามีเวลาเท่าไหร่? แล้วพวกมันมีกำลังเท่าไหร่?”

“ข้าคาดว่า...อีกสองวันน่าจะถึงที่นี่” คำตอบเหมือนไฟที่จุดโชนความเครียด “ท่านอาจตกข่าวหรือว่าข่าวอาจไปไม่ถึงเมืองหลวง ตอนนี้สองเมืองได้รวมกันหนึ่งภายใต้ธงของพวกเหลียว ส่วนทัพของพวกซีเซียนั้นมีเพียง หมื่นหน้าพันนายเท่านั้น” เจียวทำหน้าเหมือนกังวลอะไรบางอย่าง พอจินเซียงถาม ก็ตอบกลับว่าพวกจินนั้นเงียบเกินไป

“นายกองอี้! ส่งคนไปแจ้งขอกำลังเสริมเดี๋ยวนี้! เท่าไหร่ก็เอามา!” จินเซียงสั่งเสียงเข้ม

“ขอรับ! ข้าจะไปเอง!” นายกองอี้รับคำแล้วควบม้าหายไป

“พวกท่านรีบอพยพชาวบ้าน! เราเหลือเวลาไม่มาก!” จินเซียงหันไปสั่งเตียวหลางกับเจียว ทั้งสองรีบออกไป

ภายในห้องเหลือเพียงนางกับเหินฟ้า โครงร่างแผนที่และเสียงลมกระทบผ้า นางหลับตาเพื่อเชื่อมต่อกับมิติภาพของเหยี่ยว

[ทำการเชื่อมต่อ]

[เชื่อมต่อเสร็จสิ้น]

เสียงของระบบดังขึ้นในหัว

ภาพปรากฏในหัวชัดเจนเป็นคลื่น กองทัพไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นนาย เครื่องยิงหิน อุปกรณ์การยกทัพและยุทโธปกรณ์จำนวนมาก กองทัพที่พร้อมจะเข้ายึดเหอเป่ย์และจากนั้นก็จะเข้าตีเซียโจต่อด้วยยึดจงหยวนทั้งหมด แต่ก่อนหน้านั้นพวกมันต้องเข้าตีด่านจางเจียนโขวก่อน ถ้าพ้นจุดนี้ไปได้ที่ราบภาคกลางก็จะลุกเป็นไฟ

จินเซียงค่อย ๆ เปิดตา ปลายนิ้วแตะสแกนแผนที่ของระบบ ที่มีรายละเอียดชัดเจนกว่าที่วางอยู่บนโต๊ะ “สองวัน... เราต้องทำให้แน่” นางพูดกับตัวเอง แล้วรีบออกไปทำหน้าที่แม่ทัพ แผนการรุกรับเพิ่งเริ่มต้นขึ้น

“แย่ แย่ มาก ต้องทำให้พวกมันถอยกลับไปชาวบ้านได้ลำบากแน่” แสงแดดยามเที่ยงวันส่องผ่านกลุ่มเมฆบาง ๆ จินเซียงเงยหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าหนักใจ ก่อนจะหันลงไปยังทหารที่พักกันอยู่ด้านล่าง

“ทหาร เจ้ามีชื่อว่าอะไร” นางเอ่ยถามกับชายหนุ่มผู้หนึ่งที่นั่งไม่ไกล

“ตง…ขอรับ” เขาตอบเสียงสั่น

“อืม เจ้ามีครอบครัวไหม”

“มีพ่อกับแม่อยู่หมู่บ้านใกล้ ๆ ขอรับ”

จินเซียงพยักหน้าช้า ๆ “ไปตามเตียวหลางมา บอกว่าให้รวบรวมทหารทั้งหมดไปรอที่ลานตรงนั้น”

“ขอรับ!” พลทหารตงรีบลุกขึ้นวิ่งไป

หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ๆ มือที่สั่นเล็กน้อยถูกกำแน่นไว้กับอก นางไม่คิดเลยว่าหลังจากมาต่างโลกเพียงไม่นานจะมาต้องยืนในจุดนี้ แม้ร่างเดิมจะมีประสบการณ์มามากมาย แต่ไม่ใช่กับคนที่ข้ามมิติมาแบบนี้ กลายมาเป็นรองแม่ทัพผู้รับผิดชอบชีวิตผู้คนนับพัน และยังต้องแบกทั้งชื่อของฮูหยินและตระกูลถังไว้บนบ่า

“ทุกคนพร้อมแล้วของรับ” พลทหารตงเดินมาบอกจินเซียงที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่

จินเซียงยกยิ้มบาง ๆ แล้วก้าวขึ้นไปยืนบนกำแพงหินสูง มองลงมายังทหารนับพันที่รอคอยด้วยสายตาหนักอึ้ง เครื่องแต่งกายของพวกเขาเก่าเกินครึ่ง อาวุธไม่สมบูรณ์ หลายคนแม้ยังหนุ่มแต่ใบหน้าแฝงความเหนื่อยล้า

เสียงลมพัดโหมคล้ายโหยหวนอยู่รอบด่าน นางเอ่ยขึ้นเสียงดังชัดเจน

“ข้ามีข่าวร้ายจะบอกพวกเจ้า” จินเซียงสูดหายใจแล้วคลายออกมาเบาอย่างแผ่วเบา “ตอนนี้กองทัพเหลียวมากกว่าสี่หมื่นกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่!”

เสียงฮือฮาดังขึ้น บางคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ยังไม่มีใครก้าวถอยหลัง

“ข้าจะไม่บังคับ หากใครไม่อยากตายก็หันหลังกลับไปเสีย” จินเซียงพูดพลางกวาดตามองไปทั่ว ทุกคนยังคงยืนนิ่ง เสียงหายใจดังเป็นระเบียบในความเงียบงัน

“แต่ถ้าเลือกจะสู้…จงสู้จนเลือดหยดสุดท้าย! จงละเลงเลือดให้ ทั่วสนามรบนี้! ให้สนามรบเต็มไปด้วยเลือดของพวกมัน! และให้คนรักของ พวกเจ้า พ่อแม่พี่น้องชายหญิงจดจำ! ว่าพวกเจ้าเป็นวีรบุรุษ! หาใช่คนขลาด! พวกเจ้าทำได้หรือไม่!!”

“พวกเราจะสู้!!” เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่เสียงตะโกน “สู้! สู้! สู้!” จะประสานกึกก้องไปทั่วทั้งด่าน ความกลัวที่แฝงอยู่ถูกแทนที่ด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่น

“สู้! สู้! สู้!” ทหารทุกนายตะโกนดังกึกก้อง

“ดีมาก!” จินเซียงยกแขนขึ้นชี้

“ดี! กองที่ 1-5 อพยพชาวบ้าน! กองที่ 6-10 เร่งทำเครื่องกีดขวาง! กองที่ 11-15 รีบไปเตรียมอาวุธ! ทหารม้าแบ่งกำลังออกลาดตระเวน จำไว้ห้ามปะทะ! ที่เหลือขึ้นประจำกำแพง!” จินเซียงตะโกนเสียงดัง

“เฮ่!!!” เสียงตะโกนดังก้องจนพื้นหินสั่นสะเทือน

ท่ามกลางการสั่งการนั้น นายกองอี้กับพวกรีบควบม้าออกไปยังค่ายใหญ่ทันทีเพื่อขอกำลังเสริม แต่เมื่อไปถึงกลับเจอความลังเลและการต่อต้านจากรัชทายาทและกุนซือ แม้แม่ทัพใหญ่ถังกับเผยอิงพยายามโต้เถียง

“เกิดอะไรขึ้นแล้วหลานสาวข้าไปไหน” ตาเฒ่าถังถามนายกองอี้ เพราะปกติต้องกลับมาจากลาดตระเวนแล้ว

“ท่านแม่ทัพตอนนี้มีทหารเหลียวมากกว่าสี่หมื่นกำลังมุ่งหน้าไปที่ด่านจางเจียนโขวขอรับ และทหารซีเซียไม่เกินสองหมื่นกำลังมาทางนี้ขอรับ ท่านรองแม่ทัพให้ข้ามาขอกำลังเสริม” นายกองอี้รีบตอบเพราะช้าไม่ได้ เค้าต้องการกำลังคนกลับไปให้เร็วที่สุด

“ไม่ได้! มันอาจเป็นแผนของพวกซีเซียที่จะให้การป้องกันของเมืองอ่อนแอลง” กุนซือกองทัพตอบอย่างไม่ไยดี ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาก็พร้อมโยนความผิดทันที

“แต่! ท่านกุนซือ! ท่านรองแม่ทัพบอกว่าเราจะเสียด่านไม่ได้น่ะขอรับ เพราะจะทำให้ที่นี่ถูกล้อม” นายกองอี้เถียง

“ท่านตาข้าขอพาทหารไปสมทบเองเจ้าค่ะ”

“แม่ทัพหยาง เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้! หน้าที่เจ้าคือการป้องกันด่านที่เหอเป่ย์ ไม่ใช่ที่นั่น!” เผยอิงหันมองหน้ากุนซือใหญ่

“ท่าน!”

“ข้าให้ได้แค่สองพัน!” นายกองอี้ไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง

“พ่ะย่ะค่ะ” นายกองอี้กัดฟันรับคำสั่ง จดจำคำที่นายของตนพูดได้ดี

“รัชทายาท! พระองค์ทำเช่นนั้นไม่ถูกน่ะพ่ะย่ะค่ะ ถ้าด่านนั้นแตกจริงๆ ทัพม้าของเหลียวจะมาถึงที่นี่ในเวลาอันรวดเร็ว” ตาเฒ่าถังรีบโต้แย้ง

“ข้าคิดดีแล้ว ถ้าด่านแตกเรายังป้องกันที่นี่ได้ ข้าไม่สามารถเอาเมืองไปเสี่ยงได้” คำตอบที่บอกว่าให้สองพันก็ดีเกินพอแล้วมันคือความหมายของสิ่งที่รัชทายาทพูด

“แล้วแต่ท่านเถอะ!” แม้แม่ทัพหลายคนจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่กล้าเถียงมากนัก แม้แม่ทัพใหญ่ถังจะเป็นหนึ่งในสามขุนนางใหญ่แต่เขาก็ไม่อยากโต้เถียงอะไรเพิ่ม

นายกองอี้เดินออกมาก็คุยกับทหารของตนที่ตามมาด้วยกัน ทั้งสามถึงกับส่ายหัวเพราะทหารที่ได้น้อยเกินไปแต่เมื่อขอเพิ่มไม่ได้ก็เอาเท่าที่ได้

“นั่น! นายกองทหารม้านี่” นายกองอี้หันไปมองตามเสียง

“เจ้ามัน! นายกองซุนผู้คุมทหารสองพันนาย!”

“ใช่แล้วข้าเองเพื่อนเก่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“ให้คนของท่านเตรียมตัวเถอะก่อนตะวันขึ้นเราจะออกเดินทางกัน”

“ข้านึกว่าท่านจะออกเดินทางเลย” นายกองอี้ที่ได้ฟังก็นึกได้จึงเอาข้อความอีกอันมาอ่าน ‘ได้ทหารแล้วให้รีบกลับ’

“เช่นนั้นก็เตรียมตัวออกเดินทาง”

“ข้าขอไปส่งจดหมายก่อน” พูดจบก็เดินไปหาเผยอิงที่ยืนคุยกับนายทหารใต้บังคับบัญชา

เผยอิงรับจดหมายจากนายกองอี้ “ขอบใจมาก ขอให้พวกท่านโชคดี”

เผยอิงก้มอ่านข้อความในจดหมาย เมื่อเห็นประโยคสั้น ๆ ที่นางได้เขียนไว้ “ไม่ว่าผลศึกจะเป็นอย่างไร ข้าคิดถึงเจ้า” ใบหน้าที่เข้มแข็งของ แม่ทัพหญิงถึงกับสั่นไหว

“ท่านแม่ทัพ ข้าว่ากำลังเสริมไปแค่นั้นมันไม่ดีเลยน่ะเจ้าค่ะ”

“อีอี้ เจ้าอย่าบ่นเลย ท่านปู่ยังไม่ว่าอะไรสักคำ”

“เจ้ามัน!” สาวคนสนิทชี้หน้าด้วยความหมั่นไส้

“ทั้งคู่พอเถอะ เรายังมีงานต้องทำอีก แล้วก็เตรียมตัวเผื่อไว้ด้วย ถ้านางต้องถอยกลับ”

“เจ้าค่ะ”

ทหารในด่านส่วนใหญ่อยู่ระหว่างพักผ่อนมีเพียงรองแม่ทัพที่ยื่นมองไปทางทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่เบื้องหน้า

แสงรุ่งอรุณเริ่มเผยแสงสีทองบนฟ้า เหยี่ยวใหญ่บินโฉบลงเกาะบ่าของจินเซียง นางหรี่ตามองออกไปเบื้องหน้า ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่กำลังถูกกลืนด้วยคลื่นมนุษย์ กองทัพเหลียวมากกว่าสี่หมื่นนายหยุดเรียงรายอยู่ตรงขอบฟ้า เงาของหอกและธงรบโบกสะบัดดั่งคลื่นทะเลดำทะมึน

'พวกมันมาแล้ว'

สายลมอุ่นพัดมาช่วยคลายหนาวในยามเช้า ทว่าเสียงหัวใจของนางเต้นชัดเจนยิ่งกว่าเสียงกลองศึกที่กำลังจะดังขึ้นในไม่กี่อึดใจ…

*******

ท้องฟ้าเที่ยงวันร้อนระอุ แสงอาทิตย์ส่องลงมากระทบเกราะเหล็กจนแวววาวไปทั้งแนวกำแพงหินสูงของด่าน เสียงกลองศึกจากกองทัพเหลียวดังสนั่นจนพื้นดินสั่นสะเทือน ดุจฝูงอสูรยกพลโหมกระหน่ำเข้ามา

เบื้องหน้าคือทัพห้าหมื่นของ ‘ถัวปาจวิ้น’ มหาแม่ทัพผู้เกรียงไกร ด้านหลังกำแพงสูงคือกองทัพต้าซ่งเพียงสามพันเศษที่ ‘จินเซียง’ นำทัพมาป้องกัน

“ท่านรองแม่ทัพ”

“พวกเจ้ามาแล้วรึ” จินเซียงหันกลับมาดูคนของตัวเอง

“ขอรับ ได้มาเพียงสองพันเท่านั้น”

“ดีมากแล้ว ให้พวกเค้าไปพักก่อน พวกมันก็พึ่งมาถึงเหมือนกัน” จินเซียงหันกลับไปที่ทุ่งหญ้า

“เราจะรอดไหมขอรับ”

“พวกเจ้าอยากตายกันรึเปล่าล่ะ”

“ไม่ขอรับ”

“เช่นนั้นข้าจะไม่ให้พวกเจ้าตาย” พูดตอบโดยที่ไม่แม้จะหันกลับไปมองทหารที่ยืนอยู่

พระอาทิตย์ขึ้นตรงกลางหัวพอดี เบื้องหน้าตอนนี้มีทัพเหลียวยืนประจันหน้าอยู่ ทหารสองกองทัพที่มีจำนวนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ทั้งสองแม่ทัพควบม้าออกมาเผชิญหน้า ทุ่งหญ้าเบื้องหน้ากว้างไกล เงียบสงัดเพียงลมพัดหญ้าสะบัด

นายกองจาง นายกองอี้ นายกองซุนและเตียวหลาง ยืนมองบนกำแพงอย่างสงบแม้ในใจจะหวาดหวั่นเพียงใด

จินเซียง ประสานมือคำนับ

“ข้าคือ ‘รองแม่ทัพแห่งเหอเป่ย์’ ผู้รักษาประตูด่าน บุตรีบุญธรรมตระกูลถัง นามจินเซียง

ถัวปาจวิ้น หัวเราะก้อง “ข้าคือถัวปาจวิ้น ผู้นำทัพห้าหมื่น! ไม่ซิผู้นำทัพแสนนาย! ข้าให้โอกาสเจ้ายอมแพ้ เมืองนี้จะได้ไม่เป็นเถ้าธุลี”

จินเซียงยกยิ้มเย็นชา “ขอบคุณในความหวังดี… แต่ข้ากำลังสร้างโรงเตี๊ยมอยู่ในเมืองหลวง จะให้ไฟสงครามเผามันทิ้งไปได้อย่างไร”

“ดี! เช่นนั้นหากข้าแพ้ศึกนี้! ข้าจะไม่กลับมาอีก!”

“ข้าก็อยากพูดว่าอย่าลืมคำพูดอยู่” จินเซียงหยิบเอากระดาษและพู่กันออกมาจากใต้เสื้อเกราะ แล้วเขียนสัญญาท่ามกลางสนามรบ

“สิบปี! หากเหลียวแพ้ จะไม่ยกทัพลงใต้”

ถัวปาจวิ้นลงนามด้วยแววตาแฝงแค้น ก่อนทั้งสองควบม้ากลับกองทัพ

“ถ้านางรอดจากสงครามครั้งนี้ ข้าบอกได้เลยว่านางคงอยู่ลำบาก”

“ทำไมหรือขอรับท่านแม่ทัพ”

“เจ้ารัชทายาทนั่นไม่ชอบนาง เจ้าคิดว่าต่อให้ชนะจริงๆ แล้วนางจะได้อะไรรึไม่ล่ะ”

“ก็จริงของท่าน”

*************

เสียงแตรรบดังสะท้านก้อง

“บุกกกกก!!!”

คลื่นทหารเหลียวกรูกันเข้าหากำแพงราวน้ำเชี่ยว ใช้บันไดไม้พาดกำแพงสูง

บนแนวป้อมจินเซียงตะโกนก้อง

“อย่าเพิ่งยิง! รอจนพวกมันล้ำเข้ามา!”

ทหารต้าซ่งหลายพันคนยืนนิ่ง สายธนูตึงแน่น ราวเสือที่หมอบรอคำสั่ง ทหารเหลียวเห็นว่าไม่มีลูกธนูบินลงมา พวกมันจึงไม่เอาโล่ขึ้นบังแล้วพากันวิ่งดาหน้าเข้าหากำแพง

จนกระทั่ง.....ข้ามเส้นสีแดง

พึ่บ! เพียงมือเดียวของนางกดลง

ฟิ้ววววววววว!!!

ธนูนับพันพุ่งทะลุอากาศลงมาดังฝนเหล็กกระหน่ำ

“อ๊ากกกกกกกก!!!”

ลูกธนูนับพันพุ่งทะลุร่างของทหารเหลียว เสียงกรีดร้องระงมดังไปทั่ว สนามรบ กองหน้าสองพันถูกกวาดล้มราวต้นข้าวถูกพายุโค่น เลือดไหลนองทุ่งหญ้า กลิ่นคาวคละคลุ้งจนลมยังพัดไม่ทันจาง

“อย่ายิงมั่ว! เล็งแล้วยิง!” นายกองหลายคนพยายามตะโกนบอกทหาร ตามที่จินเซียงบอกไว้ พลธนูยืนซ้อนกันสามแถวสลับกันยิง ถึงอย่างนั้นลูกธนูก็มีจำกัด

การบุกครั้งแรกล้มเหลว แต่แม่ทัพหาได้สนใจเพราะพวกนั้นเป็นเพียงทหารที่ถูกเกณฑ์มาเท่านั้น

“บุกต่อไป”

คลื่นระลอกที่สองภาโถมเข้าใส่กำแพง มีการให้หน้าไม้ขนาดใหญ่ช่วยยิงสนับสนุนทั้งยังมีเครื่องยิงหินที่เริ่มระดมโยนหินเข้าใส่กำแพง

ทหารเหลียวพากันวิ่งใส่กำแพงสูงอย่างไม่กลัวตาย ใช้คนที่ตายมารับลูกธนูแล้วพาดบันไดสูงกับกำแพง

“เทน้ำร้อน! อย่าให้พวกมันปีนกำแพงขึ้นมาได้” น้ำร้อนถูกเทลงไปด้านล่าง ทหารเหลียวหลายคนต้องตายเพราะมัน ทว่าพวกมันก็ยังมาไม่หยุด

ทัพเหลียวเข็นหอสูงเข้ามาแนบกำแพง นายกองอี้ที่สังเกตุเห็นรีบตะโกน “ท่านรองแม่ทัพ!! อาวุธตีเมือง!!” เค้าชี้ไปที่หอสูงที่มาพร้อมอุปกรณ์ทำลายประตู ทั้งยังมีกลุ่มเดนตายพยายามกระทุ้งประตู

“ยิงเพลิง!” จินเซียงคำราม

“ยิงเพลิง! เดี๋ยวนี้” นายกองอี้รีบหันไปสั่งทหาร

ลูกธนูไฟสาดใส่หอสูงพร้อมไหดินปืนและน้ำมัน ที่ถูกเหวี่ยงเข้าใส่ หอสูง “เทน้ำมัน! เผาพวกมันเลย!” น้ำมันร้อนเทราดไปที่ทหารเดนตายที่กำลังพยายามทำลายประตู

ตู้มมมมมมมมม!!!

หอสูงระเบิดเป็นทะเลเพลิง เปลวไฟลุกท่วมจนควันดำบดบังท้องฟ้า ลูกไฟขนาดใหญ่กลืนเอาทหารเหลียวในบริเวณรอบๆ ไปจนหมด ทหารนับร้อยกรีดร้อง ดิ้นทุรนทุรายในกองเพลิง เสียงโหยหวนดังสะท้อนเสมือนขุมนรกเปิด

บางคนวิ่งฝ่าไฟออกมา แต่ก็ถูกหอกและดาบของทหารต้าซ่งปักทะลุร่าง เลือดสดผสมกลิ่นไหม้จนทั้งกำแพงเต็มไปด้วยควันคละคลุ้ง

ไฟจากหอสูงที่ล้มลามไปติดกับหญ้าแห้ง จนทำให้ไฟลามออกไปอย่างรวดเร็วทำให้ทหารหลายร้อยต้องสังเวยชีวิตไปภายในกองเพลิง

“แย่แล้ว! ท่านรองแม่ทัพ! ฝั่งขวาถูกบุกขึ้นมาแล้ว!” นายกองอี้ตะโกนบอกจินเซียงที่อยู่ไม่ไกล

“อี้! เจ้านำร้อยนายไปยันไว้ ส่วนตรงนี้ข้าจัดการเอง!” จินเซียงกระชากดาบออก ถีบทหารเหลียวตกกำแพง

“ขอรับ” นายกองอี้พร้อมทหารร้อยกว่านายวิ่งตรงไปที่ปีกขวา

ฝ่ายเหลียวเริ่มสั่งให้กองกลางบุก ทหารฝีมือดีของเหลียวบุกขึ้นกำแพงโดยใช้หอสูงที่ส่งมาเพิ่ม และมีการยิงธนูใส่ทหารซ่งบนกำแพง

ทันที่ที่ประตูหอสูงพาดกำแพง ทหารซ่งก็ระดมยิงธนูเพลิงเข้าใส่ ตามด้วยระเบิดดินปืนและไหน้ำมัน

ตู้มมมมมมมมม!!!

ทหารหลายร้อยนายถูกย่างสดอยู่ภายในหอสูง บางส่วนวิ่งฝ่าออกมาเข้าฟาดฟันทหารซ่ง

ตกบ่ายการรบยิ่งดุเดือดมากขึ้นเมื่อทหารเหลียวใช้เครื่องยิงหินไฟเข้าใส่แนวกำแพงทั้งหมด

ฟิ้ว! ตู้มมมมมม!!!

“อ้ากกก”

ทหารต้าซ่งหลายคนกระเด็นตกกำแพงตาย ทุกคนต่างบาดเจ็บจนทำให้บนกำแพงเริ่มมีจุดว่าง ทหารเหลียวฉวยจังหวะบุกขึ้นกำแพงเพื่อบุกยึดหอประตู

“ทหารม้า! ตามข้า! ฆ่าให้หมด!!!” จินเซียงโยนตัวขึ้นม้า เพียงม้าสิบกว่าตัว ก็กวาดศัตรูบนแนวกำแพงดุจพายุหมุน “ฆ่าให้หมด!!”

เสียงกระดูกหักดัง กร๊อบ! กีบม้ากระแทกใส่ร่างจนเลือดสาด ดาบยาวในมือจินเซียงฟันฉับตัดหัวศัตรูปลิวกลางอากาศ บางคนถูกชนตกกำแพงในเวลาไม่นานทหารเหลียวบนกำแพงก็ตายจนหมด ไม่ช้าแนวกำแพงก็ถูกยึดกลับคืน ควันไฟเหนือหอประตูยังคงลอยเด่นพร้อมธงต้าซ่งที่ยังคงเด่นอยู่บนยอดหอคอย

เสียงกลองศึกค่อย ๆ เบาลงเมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ สายลมยามเย็นพัดกลิ่นเลือดและควันไฟจนฉุนจมูก ทุ่งหญ้ากลายเป็นทะเลศพ กำแพงสูงเต็มไปด้วยบาดแผลและคราบเลือด

การรบหยุดลงในตอนเย็น จินเซียงนั่งพิงกำแพงอยู่กับเจียวเจียว แม้จะเหนื่อยเพลียแต่แววตาก็ยังคงเด็ดเดี่ยว เหยี่ยวขาวของเผยอิงบินมา เกาะบนบ่า นำสารจากทัพหลวงมาให้นาง เหยี่ยวขอเผยอิงบินมาเกาะที่บ่าของจินเซียงที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่กับเจียวเจียว นางหยิบจดหมายออกมาอ่านด้วยหวังว่าจะมีข่าวดี

นางคลี่อ่าน พลางหัวเราะเย็น “ทัพซีเซี่ยถอยไปแล้ว… แต่รัชทายาทยังไม่ส่งกำลังเสริมงั้นหรือ… หึ เช่นนั้นก็ต้องสู้ด้วยเลือดเนื้อนี่แหละ” จินเซียงส่งข้อความให้เจียวเจียวอ่านต่อ

แววตานางเปล่งประกายราวคมดาบยามต้องแสงอาทิตย์ยามอัสดง

“บ้าบอสิ้นดี…เรามีทหารที่ยังรบได้ไม่ถึงสามพัน!” เสียงเจียวเจียวดังแข่งกับเสียงเพลิงและกลิ่นคาวเลือด

“ถ้ารอกำลังเสริม เราจะถูกบดขยี้ตายกันหมด…อาเจียว ข้ามีงานให้เจ้าไปทำ”

“ว่ามาเถอะ สหายข้า” เจียวเจียวตบบ่าจินเซียง

“พาทหารบาดเจ็บล่าถอยออกไปให้หมด พรุ่งนี้พวกมันต้องใช้ทหารม้าเข้าบุกเต็มกำลังแน่”

“ไม่ได้! ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน!” เจียวเจียวหันไปเถียง พวกทหารทั้งหมดก็พร้อมใจกันขอให้นางเปลี่ยนใจ

จินเซียงก้าวออกมา ใบหน้าเปื้อนเลือดทั้งศัตรูและสหาย “ข้ามิได้บอกเจ้าในฐานะนายเหนือหัว แต่บอกในฐานะพี่น้องร่วมรบ…นี่คือคำสั่งและมันคือคำสั่งเด็ดขาด!”

“ข้าไม่ได้บอกเจ้าในฐานะทหาร แต่บอกพวกเจ้าทุกคนในฐานะพี่น้องร่วมรบและมันคือคำสั่งเด็ดขาด”

“ท่านรองแม่ทัพ โปรดไตร่ตรอง!” นายทหารที่แขนยังพันผ้าเปื้อนเลือดยังฝืนตะโกนออกมา

จินเซียงกัดฟัน กลั้นอารมณ์ที่อยากจะร้องไห้ “ครอบครัวพวกเจ้ารออยู่ที่บ้าน หากยังไม่ตาย วันหนึ่งก็กลับมารบได้ แต่ถ้ายืนตรงนี้ จะกลายเป็นเพียงซากศพที่เพิ่มภาระแก่สหาย!”

นางหันหลังให้ความลังเลทั้งมวล “ถอยไปยังอีกฝั่งแม่น้ำ แม่ทัพหยางรออยู่ แต่นางมิอาจข้ามมาได้…จงไปเถิด!”

“แต่ว่า!” ทหารทุกคนอยากจะคัดค้านความคิดนี้

“ไม่มีแต่! รีบไป!”

เสียงคำรามของนางทำให้ทุกคนจำใจล่าถอย อาเจียวพาทหารบาดเจ็บหายลับไปในความมืด ทิ้งเพียงเงาหลังที่บีบรัดหัวใจ

จินเซียงหันมองกำแพงศพที่กั้นประตูไว้ ตอนนี้เหลือเพียงสองพันเศษ ทว่าเบื้องหน้าคือคลื่นศัตรูหลายหมื่น… ทว่าในใจนั้นมีความรู้ขัดแย้งบางอย่างที่กวนใจไม่น้อย กองทัพของพวกซีเซี่ยนั้นถอยทัพยอมแพ้กันเร็วเกินไปจนแปลกประหลาด

“มีบางอย่างมันกวนใจไม่หยุดจริงๆ” จินเซียงได้แต่ภวานากับท้องฟ้าว่าอย่าให้เป็นเช่นที่คิด

แต่เหมือนฟ้าไม่เป็นใจ รุ่งอรุณมาเยือนพร้อมเสียงกลองศึก กองทัพเหลียว ซีเซี่ย และจินบุกมาราวพายุ จนกระทั่งการต่อสู้กลายเป็นการรบประชิดตัว เสียงโลหะกระแทกกันดังก้อง

“ตายยยย”

ทหารซ่งกระโจนกัดหูศัตรูจนเลือดสาด

“ย้ากกกก”

หอกยาวเสียบทะลุร่างเขา ร่างดิ้นทุรนทุรายก่อนจะทรุดลงสิ้นใจ

เศษหินจากกำแพงยังถูกใช้เป็นอาวุธ เลือดนองพื้นจนดินกลายเป็นโคลนแดง จินเซียงตวัดดาบจนคมบิ่น ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้หมัดกระแทกใส่ศัตรูทุกทิศ

แม้กระทั่งเศษกำแพงก็กลายมาเป็นอาวุธ จินเซียงเริ่มใช้หมัดแทนดาบเพราะคามคมของดาบเริ่มลดลง

ทหารเหลียวพยายามที่จะเข้ามาเปิดประตูด่านก็ต้องพบกับจินเซียงที่ยืนหยัดอยู่ตรงหน้าประตู จนทำให้มีศพทหารจำนวนมากกองรวมกันกลายเป็นกำแพงปิดประตู ถึงแม้ว่าจะมีกลยุทธ์ดีและทหารที่มีความกล้า แต่ทว่ากำลังพลนั้นกลับน้อยกว่ามาก ตอนนี้ทุกคนแทบไม่เหลืออะไรเลย เกราะ ดาบ หอก ธนู ก็ไปเก็บมาจากศพทหารที่ตาย

จินเซียงกับทหารบางส่วนช่วยกันเปิดทางให้ทหารที่บาดเจ็บขึ้นม้าแล้วฝ่าวงล้อมออกไปพร้อมนายกองอี้ที่นำทหารบางส่วนถอยลงไปที่แนวแม่น้ำด้วยตามคำสั่ง ทำให้ตอนนี้นางจะเหลือทหารเพียงหยิบมือแต่ทหารเหลียวก็ยังไม่สามารถจัดการพวกนางได้

“ท่านรองแม่ทัพ เลือดออก!”

เตียวหลางดึงลูกธนูออกจากแขนจินเซียง เลือดทะลักออกมาทันที แต่ใบหน้าของนางกลับไร้แววเจ็บ

“พอเถิด แผลแค่นี้…เอาผ้าไปพันคนอื่นก่อน”

“ท่านอย่าพึ่งพูดเลยขอรับ รอเอาลูกธนูออกจากแขนท่านก่อน”

“พวกมันเหลือเท่าไรแล้ว” เสียงทหารหนุ่มเอ่ยทั้งที่ศีรษะพันผ้า

“นี่ อาตงเจ้ายังอยู่หรือ” นางแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นทหารหนุ่มถึงแม้ว่าเจ้าของชื่อจะมีผ้าพันไว้ที่หัว

“ขอรับท่านรองแม่ทัพ ข้าเป็นชายจะหนีได้ไง” จินเซียงพยักหน้าให้แล้วหันไปตอบเตียวหลาง

“สามหมื่นกว่า…ไม่สิ เกือบสี่หมื่น” จินเซียงขมวดคิ้ว “เงียบก่อน”

ทุกคนเงียบกริบ มีเพียงเสียงลมพัดและกลิ่นเหล็กในลมหายใจ

“มันกำลังล้อมเรา เตรียมตัวทุกคน ผูกโล่ไว้ด้านหลัง มัดให้แน่น!”

เสียงเกราะเสียดสีกันแผ่วเบาในความมืด นางพาทหารเคลื่อนที่ลงจากกำแพงด้วยความเงียบ ทั้งหมดเคลื่อนไปยังจุดซ่อนม้าท่ามกลางความตายที่รายล้อม

สิ่งหนึ่งที่รู้มาจากการรบกับพวกอัศวินคือพวกนั้นชอบเอาโล่ไว้ด้านหลังทำให้ธนูไม่สามารถทำอะไรทหารม้าที่ถอยหนีได้ เหมือนบางพวกที่เอาโล่ห้อยไว้ข้างม้าแบบเดียวกับเวลาเข้าตีทหาราบ

ทหารสามร้อยนายบวกรองแม่ทัพค่อย ๆ เคลื่อนที่ในความมืดไปที่จุดซ่อนม้าที่นางสั่งให้คนมาทำไว้ เมื่อมาถึงทุกคนต่างรีบถีบตัวขึ้นม้ายกเว้นนาง

“ท่านรองแม่ทัพ ทำไมยังไม่ขึ้นม้า!” เตียวหลางหันกลับมาถาม

“ข้าจะเปิดทางให้พวกเจ้า เมื่อได้สัญญาณแล้วจงรีบไปที่จุดนัดพบ ไม่เกินครึ่งชั่วยามข้าจะตามไป”

“แต่ว่า!”

“เตียงหลาง! ไม่มีแต่! รีบไป!”

ดวงตาทุกคู่มองนางด้วยความเคารพและเจ็บปวด “ท่านรองแม่ทัพโปรดรักษาตัว”

“โปรดรักษาตัว!” ทหารทุกคนทำตาม

เมื่อทางสะดวกเหล่าทหารก็พากันถอยไปที่จุดนัดพบก่อนถึงทางข้ามแม่น้ำ จินเซียงหยุดมองเหล่าทหารที่พากันควบม้าหายไปในความมืด

“แล้วพบกันใหม่”

จินเซียงยิ้มก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในป้อม

“เกิดใหม่ครั้งนี้ช่างดีจริง ๆ อย่างน้อยก็ได้พบคนที่จริงใจและรักข้า” นางหยิบธนูออกมาแล้วรอเวลาที่ทหารฝ่ายเหลียวพากันขึ้นมาบนกำแพงและเข้ายึดหอเหนือประตู ที่ได้ติดตั้งกับดักเอาไว้

เหงื่อเย็นไหลซึมไปตามชุดเกราะ บรรยากาศที่เงียบสนิททำให้ไม่มีใครรู้ตัวว่ามีใครบางคนกำลังซุ่มมองพวกมันอยู่ในความมืด

ปึก!

ลูกธนูพุ่งทะลุเข้าไปภายในห้องที่ตอนนี้เต็มไปด้วยทหารเหลียวที่กำลังช่วยกันเปิดประตูเหล็กที่ถูกล็อกด้วยการทำลายกลไกของมัน

ปึก!

ปึก!

ปึก!

พวกทหารเหลียวไม่มีใครสนใจลูกธนูที่พุ่งเข้ามา จินเซียงใช้เทคนิคบางอย่างทำให้ลูกธนูนั้นไร้เสียงเวลาวิ่งแหวกอากาศ

หนึ่งในกลยุทธ์ที่โหดที่สุดคือไฟ ครั้งหนึ่งขงเบ้งเคยเผาทัพของโจโฉจนสิ้นชื่อ แม้แต่ขงจื้อเองก็เคยใช้มันในการปราบกบฏ

รอยยิ้มเย็นปรากฏบนหน้าจินเซียงเมื่อลูกธนูลูกสุดท้ายถูกยิงออกไป ลูกธนูที่สร้างด้วยกลไกบางอย่าง

ปึก!

แกร็ก!

ทหารเหลียวเริ่มพากันหันมองลูกธนูที่ปักอยู่บนลังไม้ เสียงของมันฟังดูแปลกประหลาด

“หัวหน้า ตรงนี้มีอะไรด้วย” ผู้เป็นหัวหน้ากองเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ

ทหารเหลียวหัวเราะเย้ยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกมันพยายามงัดกลไกลังไม้โดยไม่รู้ตัวว่าความตายซ่อนอยู่ในนั้น

“นี่มันกลิ่นอะไร? เปิดลังไม้!” ลังไม้ที่เป็นลังกลไกหลักถูกพวกมันงัด

แต่ทว่า “ฉิบหายแล้ว! รีบออกจากตรงนี้!” เมื่อลังไม้ถูกเปิด กลไกก็ได้ทำงานจนครบสมบูรณ์

คลิ๊ก!

ตู้มมมม!!!!

เสียงระเบิดดังสนั่นทั้งแนวกำแพง ร่างทหารเหลียวปลิวกระจัดกระจาย เปลวไฟพวยพุ่งสูงจนสว่างไปทั้งท้องฟ้า กลิ่นคาวเลือดผสมควันไฟคลุ้งไปทั่ว เสียงกรีดร้องดังประหนึ่งขุมนรก

ลูกไฟขนาดใหญ่พอที่จะสามารถมองเห็นได้จากชายป่าแห่งความตายจากระยะไกล เตียวหลางกับจางเหลียงหันกลับมามองเปลวไฟที่โหมกระหน่ำ น้ำตาไหลพรากโดยไม่รู้ตัว

“ท่านรองแม่ทัพ…โปรดรอดกลับมา”

ทุกคนภาวนาขอให้ผู้เป็นนายของตนปลอดภัย และรีบพากันควบม้าตรงไปที่จุดข้ามน้ำตามคำสั่งในตอนที่ศัตรูกำลังสนใจสิ่งอื่นและไม่ได้ไล่ตาม

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • แม่นางไก่ทอด   ตอนพิเศษ บทต่อไป

    สายลมอุ่นพัดผ่านไปตามตรอกอาคารบ้านเรือนในย่านตลาดหลังท่าเรือ บนหลังคาอาคารรอบ ๆ เรือนหลังหนึ่งมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังเฝ้าจับตามองอยู่เด็กสาวสองคนเดินฮัมเพลงเป็นจังหวะสบาย ๆ เข้ากับบรรยากาศอบอุ่นและกลิ่นของน้ำทะเล ทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ของเรือนหลังใหญ่ที่สุดในตรอกนี้ มีคนคุ้มกันสองคนยืนเฝ้าอยู่“เจ้าหนู ถ้าไม่มีอะไรอย่ามายืนขวางประตู!” ผู้คุ้มกันตะโกนใส่“ที่นี่คือเรือนของผู้ใดกัน ถึงมีคนคุ้มกันที่เป็นถึงจอมยุทธ์เช่นนี้” เด็กสาวถามด้วยความสงสัย“พวกเจ้าดูไปก็ใช้ได้เลยนิ ถ้ายอม.... เล่นกับพวกข้าบางทีอาจยอมให้เข้า... ก็...”ผัวะ! ตุ้บ! พูดไม่ทันจบ... พวกมันก็ถูกตีจนสลบแล้วถูกมัดมือมัดเท้าก่อนจะโดนหิ้วตัวออกไปอย่างรวดเร็ว“เจอรึยัง” ไต้เจียงหันไปถามชายคนหนึ่งที่โผล่ออกมาจากเงามืด“ขอรับ ที่คุกใต้ดินมีคนถูกจับไว้สิบห้าคน แล้วก็... อื้ม...”ไต้เฉียวหันมองหน้าคนพูดอย่างตั้งคำถาม “แล้วก็อะไร พูดมา”“ขอรับคุณหนูใหญ่... คือว่ามีทาสจำนวนมากถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินอีกแห่งขอรับ”สองสาวพี่น้องมองหน้ากันด้วยสายตาเย็นชา เพราะกฎหมายเรื่องค้าทาสนั้นถูกยกเลิกไปตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ ที่ทรงส

  • แม่นางไก่ทอด   ตอนพิเศษ ลูกสาวหอการค้า

    สายลมอุ่น ๆ พัดโชยเข้ามาในหน้าต่างห้องทำงานชั้นบนสุดของหอการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าซ่ง เด็กสาวสองคนกำลังนั่งเล่นไพ่รับลมชมวิวเมือง ไต้เฉียวกับไต้เจียง สองพี่น้องผู้เป็นคุณหนูของหอการค้า ที่นับวันยิ่งมีความคล้ายกับผู้เป็นแม่ไต้เฉียวนั้นจะคล้ายกับจินเซียงมากที่สุด ไต้เจียงนั้นจะออกไปทางเผยอิงผู้เป็นมารดา สองคนนี้จะแตกต่างกันตรงสีผิวและดวงตาเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่หาตัวยากมากที่สุด พวกนางขึ้นชื่อเรื่องการซ่อนตัวเป็นที่สุด ส่วนน้อยจะได้เห็นหน้าพวกนาง“ท่านแม่ไปไหนกัน” ไต้เจียงหันไปถามเลขาหน้าห้องของจินเซียง “ไม่ทราบเจ้าค่ะคุณหนู ท่านประธานออกไปแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ”“ไปกับท่านแม่หรอ”“เจ้าค่ะ ฮูหยินไปด้วย”“พี่ใหญ่เอาไงต่อดี แม่ไม่อยู่”“ไปเดินเล่นกันหน่อยเป็นไง เดี๋ยวต้องไปรับองค์หญิงน้อยอีก เบื่อพวกองค์ชายมาก” ไต้เฉียวบ่นอย่างเบื่อหน่าย ทุกวันนี้อีกฝ่ายมักหาเรื่องเข้าหาตลอด“คุณหนู อีกสองวันมีงานเลี้ยงตระกูลหวาง ของพระสนมหวางหลงเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าจะเข้าร่วมไหมเจ้าค่ะ” ไต้เฉียวมองหน้าคนพูดอย่างรู้เจตนา“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู”“หลานเจ้าหรือคนในตระกูลให้เอามาให้พวกเรา”“ปะ..เป็นคุณ

  • แม่นางไก่ทอด   ตอนพิเศษ ความลับของตระกูลหยาง

    เช้าวันต่อมา ทั้งสองสาวจีนพาเพื่อนชาวไทยผู้ที่ไม่ได้นอนหลับทั้งคืนไปเดินชมหมู่บ้าน ความเหนื่อยล้าสะสมไม่ได้ทำให้ความกระหายใคร่รู้ของมีมี่ลดลงเลยพวกเธอเข้าไปไหว้หอบรรพบุรุษตามคำแนะนำของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน บรรยากาศภายในเงียบสงัด มีมี่เดินไปตามทางเดินแคบ ๆ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อสายตาปะทะกับภาพวาดเก่าแก่บนกำแพงภาพวาดนั้นคือเงาหญิงสาวในชุดโบราณที่เธอเห็นซ้อนทับอยู่ในความฝันเมื่อคืน!“นั่นใครกัน?” มีมี่ถามเสียงแผ่ว“คนเฒ่าคนแก่เล่ากันว่า ภาพนี้คือภาพของผู้ก่อตั้งหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน ตั้งแต่ยุคราชวงศ์ซ่งนู่นเลย”“เก่าเหมือนกันเนอะ ภาพยังคมชัดเหมือนพึ่งถ่ายเลย” มีมี่ยิ้มแห้ง ๆ มองดูรูปบนกำแพง เธอรู้สึกเหมือนกำลังมองใบหน้าของตัวเองในอดีต“พวกเราก็คิดเหมือนกัน มา ๆ ไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ” สองสาวลากตัวมีมี่ขึ้นรถเพื่อไปยัง อุทยานประวัติศาสตร์ ที่เคยเป็นหมู่บ้านเก่าแก่หลายร้อยปีซึ่งถูกทิ้งร้างไว้กลางป่า นี่คือหมู่บ้านเริ่มแรกที่เคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดมีมี่ที่เดินตามสาวจีนทั้งสองอยู่หลังสุดนั้น พยายามสลัดความคิดเรื่องภาพวาดออกไป เธอสูดหายใจลึกเพื่อเรียกสติแต่แล้ว... สายตาของ

  • แม่นางไก่ทอด   ร่องรอยในความฝัน

    อากาศร้อนระอุของเดือนเมษายนพัดปะทะหน้าของหญิงสาวที่ยืนอยู่ในชานชาลารถไฟของสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ความร้อนที่แผดเผาไม่ได้ช่วยลดความตื่นเต้นผสมความหวาดระแวงในอกของมีมี่เลยแม้แต่น้อย เสียงประกาศตามสายดังขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยที่อื้ออึงของคนที่มารอ เสียงประกาศไทยสลับกับเสียงอังกฤษ‘ผู้โดยสารที่จะไปกับขบวนนี้ขอให้เตรียมตัว รถไฟจะเข้าเทียบชานชาลาที่ 2 อีกสิบนาที’มีมี่ยิ้มให้กับตัวเองแล้วสำรวจดูความเรียบร้อย เมื่อไม่ลืมอะไรก็เดินไปยืนรอตรวจตั๋วขึ้นรถไฟ เจ้าหน้าที่มองตั๋วแล้วยิ้มให้ก่อนจะให้พนักงานอีกคนช่วยขนของไปไว้ที่ห้องโดยสาร“เดินทางคนเดียวหรอค่ะ เห็นจองห้องนอนคู่ไว้ทั้งห้อง”“คะ เลยจองไว้ทั้งสองเตียง”“เดินทางไกลเลยน่ะค่ะ ลาวต่อจีนคงเหนื่อยน่าดู ถึงแล้วค่ะ ขอให้สนุกกับการเดินทาง” พนักงานพามาถึงหน้าห้องที่จองไว้ ก่อนจะยิ้มให้แล้วเดินจากไปมีมี่รู้สึกแปลกใจกับคำถามของพนักงานคนนี้มาก รู้สึกว่าถูกจับจ้องจนเกินความจำเป็น แต่ก็ไม่ทันจะถาม อีกฝ่ายก็เดินไปไกลแล้วกระเป๋าสองใบวางไว้ที่พื้น มีมี่ทิ้งตัวลงนั่งข้างหน้าต่างมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ในห้องโดยสารส่วนตัวที่จองไว้ทั้งสองเตียงนั้

  • แม่นางไก่ทอด   สาวออฟฟิศผู้ไม่เคยว่าง ลูกค้าชาวจีนผู้ร้อนแรง

    เสียงผู้คนเดินสัญจรไปมา สลับกับเสียงคอมเพรสเซอร์แอร์จากอาคารใหญ่ในย่านสุขุมวิท หญิงสาวผมสั้นประบ่าในชุดพนักงานออฟฟิศสวมแว่นกันแดด หน้าตาของเธอนั้นอยู่ในระดับที่เรียกว่าสาวสวยคนหนึ่งสำหรับออฟฟิศบริษัทใหญ่ที่เธอทำงาน“หัวหน้า! พวกเราไปกินข้าวที่ไหนดี” เสียงพนักงานรุ่นน้องถาม ทว่าคนตรงหน้าก็หันกลับมา“สาว ๆ พวกเรามีงานด่วน บอสแจ้งว่าลูกค้าชาวจีนตกลงคุยงานที่โรงแรมเชอราตัน เดี๋ยวไปกินข้าวที่นู่นเลย”“หัวหน้า! คุณคงไม่หลอกพาพวกเราไปขายใช่ไหม” รุ่นน้องถามอย่างระแวง“กินไม่กิน!”“กิน ๆ !” สองสาวรีบเดินคล้องแขนรุ่นพี่คนสวยไปที่ลานจอดรถซูซูกิฮัตสเลอร์สีชมพูจอดอยู่ในลานจอดรถใต้ตึกใหญ่ มีมี่จอดรถแล้วจัดเสื้อผ้า “พวกเราระ...” สองสาวกะพริบตาถี่ ๆ เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่สาวนั้นเตรียมตัวเสร็จแล้ว และกำลังเดินไปเปิดท้ายรถเพื่อเอาเอกสารและปริ้นสัญญาที่จะใช้ในวันนี้ออกมา“พี่มีออฟฟิศในรถด้วยหรอค่ะ”“เผื่อไว้ พวกเธอเร็วหน่อยจะเที่ยงแล้ว” มีมี่พูดจบก็เอาเอกสารใส่แฟ้มแล้วปิดท้ายรถ “ป่ะ พี่เสร็จละ”พอถึงหน้าภัตตาคารก็แจ้งกับพนักงานว่าได้นัดไว้กับชาวจีน “ฉัน มีมี่ คนที่จะมาคุยเรื่องสัญญาวันนี้ค่ะ ทางนี้คือรุ่น

  • แม่นางไก่ทอด   ฤดูผ่าน

    หลังจากที่จินเซียงไปถึงเมืองหลวงของเผ่ามองก้าร์แล้ว นางก็ตรงไปหาข่านสูงสุดของเผ่าเพื่อพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมนำตัวคนผิดที่ถูกองค์ชายสี่จับมาส่งมอบอย่างเป็นทางการ ทำให้สงครามของทุกเผ่ายุติลงในเวลาอันรวดเร็ว เพราะชนเผ่าอื่นต่างเกรงกลัวในพลังอำนาจและอิทธิพลที่มองก้าร์มีต่อ “อันเตรีย” หรือ “จินเซียง”นางใช้เวลาในแถบทุ่งหญ้าเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือน จับจอมธนูผู้มีฝีมือและเป็นมือขวาของข่านแห่งมองก้าร์ มาสอนลูกสาวทั้งสองยิงธนูบนหลังม้าอย่างเข้มงวดจินเซียงมักตั้งกระโจมพักกลางทุ่งกับครอบครัว กินข้าวชมดาวเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตอันวุ่นวายของนาง แต่รอบ ๆ กระโจมกลับมีแต่คนของมองก้าร์มาคอยคุ้มกันห่าง ๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อสตรีผู้มีอำนาจล้นฟ้าคนนี้“ท่านแม่~ เมื่อไหร่เราจะกลับอ่ะเจ้าค่ะ” ไต้เฉียวงอแงเล็กน้อย“ช่าย~” ไต้เจียงเสริมทัพ ทั้งสองพี่น้องต่างเรียกร้อง แต่กลับนอนหนุนตักแม่สบาย“ไม่กี่วันก็กลับแล้ว แม่พาพวกเจ้ามาเที่ยวไง” จินเซียงลูบผมลูกสาวด้วยความอ่อนโยน“น้องเจียงง่วงแย้ว” ไต้เจียงที่นอนหนุนตักเผยอิงอยู่เริ่มงอแง“รอดูดาวตกก่อนสิคนดี... เขาว่าถ้าอธิษฐานอะไรก็จะสมปรารถนา” จินเซ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status