จินเซียงฟังทหารรายงานถึงสิ่งที่ทหารเห็นจากบนยอดไม้ พวกเค้าบอกว่าตอนนี้พวกเรากำลังเดินทางย้อนเข้าไปเมืองเหอเป่ย์ไม่ได้ตรงไปที่ชายแดนแต่อย่างใดเพราะด้านหน้าคือป่าใหญ่ที่อยู่ทางตะวันตกของเมือง ชาวบ้านเรียกว่าป่าแห่งความตาย ใครก็ตามที่เข้าไปในป่ายากจะได้กลับมา
“หึ คิดไว้ไม่ผิด แล้วถ้าย้อนกลับไปที่ด่านจางเจียนโขวจะใช้เวลานานรึไม่”
“หนึ่งชั่วยามขอรับ รวมเวลากลับไปที่ค่ายหลักก็ประมาณ สามชั่วยามขอรับ” นายกองคนเดิมตอบ
“ถ้ามันคิดจะใช้กฎทหารเล่นงานข้า พวกเจ้าทุกคนก็ไม่มีใครรอดพ้น เราจะไปที่ด่านกันแล้วค่อยกลับ” จินเซียงสรุปแล้วทำเป็นเก็บแผนที่เข้าไปในอกเสือ แท้จริงแล้วเอาเก็บไว้ในมิติ
“ขอรับ”
จินเซียงหันกลับไปมองทางป่า “พวกเจ้าไปกันก่อนเหมือนว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญอยู่แถวนี้ เยอะด้วย” นายกองทั้งสองมองหน้ากัน พวกเค้าไม่รู้สึกถึงอะไรเลย
“อะไรรึขอรับ”
“ข้าไม่แน่ใจ ที่แน่ใจคือพวกมันไม่ได้ข้าวมาให้พวกเราแน่” จินเซียงตอบ
“ยังไม่ถึงเวลาอาหารเลยน่ะขอรับ”
“ประชด!!”
“ท่านรองแม่ทัพก็ อย่าอารมณ์ดีตอนนี้ซิขอรับ”
จินเซียงถอดหมวกเหล็ก และผ้าคลุมไหล่ออก “นายกองจาง ท่านกับทหารอยู่ตรงนี้อย่าไปไหน นายกองอี้ท่านเองก็เช่นกัน ให้ทหารตั้งโล่อยู่ในกระบวนทัพกระดองเต่าห้ามออกไปไหนเด็ดขาดจนกว่าข้าจะกลับมา ไม่ว่าได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามขยับ” พูดจบก็เอาธนูมาจากนายกองอี้ “จำไว้ห้ามขยับไปไหน”
“ขอรับ!” แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่ถามอะไรมาก
ทหารเปิดทางให้นางออกไป นายกองทั้งสองมองนางหายเข้าไปในป่า เพียงไม่นานก็มีเสียงดาบดังขึ้น
ฟิ้ว! ตึ้ม! ตึ้ม! ตึ้ม! ฟับ! ฟับ! ฟับ! ตึ้ม!
เสียงจากการต่อสู้ดังขึ้นไม่ขาดสายรวมถึงเสียงตะโกนร้องขอความเมตตาและเสียงตะโกนด่าทอต่างที่ดังมากพอให้ทหารทุกนายได้ยิน
“เกิดอะไรขึ้นในป่า” ทหารนายหนึ่งถามเพื่อน
“ไม่รู้ แต่ท่านรองแม่ทัพเข้าไปได้ซักพักแล้วน่ะ”
“มีสมาธิหน่อย ถ้าเกิดพวกมันบุกมาทางนี้เราจะตายกันหมด” นายกองจางบอกทหาร
ผ่านไปครึ่งชั่วยามจินเซียงก็ออกมาจากป่า มีคราบเลือดติดที่เกราะบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วไม่ได้มาอาการบาดเจ็บอะไรเลยแม้นิดเดียว
“รีบเดินทางกันเถอะเดี๋ยวพวกมันจะแห่กันมาอีก” จินเซียงรับของที่ฝากไว้และคืนธนูให้นายกองอี้
“ขอรับ” ทหารทั้งหมดตั้งแถวแล้วรีบออกเดินทางต่อ
เดินทางไม่นานก็มาถึงด่านจางเจียนโขว ที่นางแปลกใจมากที่สุดคือจุดนี้มีทหารเพียง 1,500 นาย ยืนเฝ้าด่านอยู่ แต่ในทางกลับกันที่ค่ายและเมืองดันมีทหารหลายหมื่นค่อยเฝ้าทั้งที่จุดนี้คือจุดยุทธศาสตร์แต่กลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร
“นายกองจาง!”
“ขอรับ” เจ้าของชื่อรีบวิ่งมาทันที
“ทำไมที่นี่ถึงได้มีทหารแค่นี้”
“ที่นี่เป็นด่านเก่าขอรับ อีกอย่างจุดนี้มีแต่ทหารเหลียวเท่านั้นที่บุกมาทางนี้” จินเซียงหันมองตามเสียง
“ไม่ทราบว่าท่านคือ”
“ข้าน้อยเตียวหลาง ผู้คุ้มกันประตูด่านจางเจียงโขนหรืออีกชื่อหนึ่งคาร์คาร์น” เตียวหลางประสานคำนับจินเซียง ”ไม่ทราบว่าท่านคือ
“รองแม่ทัพจินเซียง ข้านำคนมาลาดตระเวนบริเวณนี้” จินเซียงตอบ ก่อนจะถามต่อ “ช่วงนี้มีข่าวอะไรบ้าง” ถาม
“มีข่าวจากพวกชาวบ้านที่ผ่านทางไปมาว่าพวกทหารเหลียวมีการเคลื่อนไหวและกำลังระดมพลจำนวนมากแต่ไม่ทราบแน่ชัด แต่ที่แน่ชัดคือเหลียวแข็งแกร่งกว่าพวกซีเซียและจินนัก”
“น่าสงสัยจริงมาก” ในตอนนั้นเองเจ้าเหินฟ้าบินลงมาเกาะที่บ่า จินเซียงดึงจดหมายที่แนบมาออกมาอ่าน
“เหยี่ยวแดงตัวใหญ่จริงๆ” เตียวหลางมองอย่างชื่นชม ส่วนเจ้าของเหยี่ยวก็กำลังอ่านจดหมาย
“ฮึ พวกมันจะบุกข้ามภูเขามาตีเราอยู่แล้ว พวกนั้นยังเถียงกันอยู่เลย” อ่านจบก็เผาจดหมายทิ้ง
“ท่านแม่ทัพส่งมารึขอรับ”
“ใช่ นายกองจางไปบอกทหารให้พักผ่อนกันก่อน อีกครึ่งชั่วยามเราจะเดินทางกลับโดยใช้เส้นทางธรรมชาติ”
“ขอรับ” นายกองจางรีบเดินออกไป
“เจ้าเหินฟ้า เจ้าช่วยไปดูให้ทีน่ะว่าฝั่งนั้นทำอะไรกันอยู่”
“งึ่กๆ” เจ้าเหินฟ้าผงกหัวแล้วบินออกไป
“ท่านคุยกับนกได้ด้วยรึขอรับ เอะท่านไม่ใช่ชาวฮั่นรึขอรับ” เตียวหลางถามเมื่อเห็นผู้เป็นรองแม่ทัพถอดหมวกเหล็กออก
“ข้ามาจากเปอร์เซีย คนรักข้ามารบ ข้าจึงตามนางมา” นางตอบสั้นๆ แล้วดูแผนที่ที่เตียวหลางเอามาให้ “ไม่ต้องมองข้าแบบนั้นข้าไม่ใช่พวกนั้น แต่พวกเติร์กิสก็เหมือนข้าอยู่น่ะ”
“เปล่าขอรับ”
“ดีแล้วอย่าได้ถามเยอะ จริงซิเอานี่ไป” จินเซียงส่งกระบอกพลุให้เตียวหลาง
เตียวหลางมองกระบอกไม้ไผ่ในมือ “อะไรรึขอรับ”
“ถ้าเหลียวยกทัพม้าเข้ามาที่ด่าน ขอให้เจ้ายิงมันขึ้นฟ้าแล้วข้าจะรีบมาช่วย ดูแล้วครั้งนี้นอกจากหนอนแล้วยังมีคนโง่มาคุมทัพอีก”
“ท่านไม่กลัวโดนประหารรึ” เสียงสตรีดังขึ้นไม่ไกล
“น้องเจียวเจ้ามาตรงนี้ทำไม” เตียวหลางถามหญิงสาวผู้มาใหม่
“หน่วยลาดตระเวนแจ้งมาว่าพวกเหลียวนำทัพสี่หมื่นตรงมาทางนี้และมีทัพของซีเซียอีกที่กำลังมุ่งหน้าไปทางค่ายทหารหลักที่เหอเป่ย์ ผู้นำทัพคือถังปาจวิ้นกับถัวปายู๋ว” หญิงสาวตอบ แล้วชี้ไปบนแผนที่บนโต๊ะ “พวกมันข้ามภูเขามาเมื่อช่วงเช้ามืด ส่วนพวกซีเซียบุกตรงไปทางนั้น”
“ใช้เวลากี่วันและพวกซีเซียมีเท่าไหร่ แล้วทำไม่พวกนั้นถึงได้”
“ท่านอาจตกข่าวหรือว่าข่าวอาจไปไม่ถึงเมืองหลวง ตอนนี้สองเมืองได้รวมกันหนึ่งภายใต้ธงของพวกเหลียว ส่วนทัพของพวกซีเซียนั้นมีเพียง 15,000 นายเท่านั้น” เจียวทำหน้าเหมือนกังวลอะไรบางอย่าง พอจินเซียงถามก็ตอบว่าทางจินนั้นเงียบเกินไป
“ใช้เวลากี่วัน” จินเซียงเริ่มเป็นกังวลเพราะเมื่อช่วงสายพวกที่มาดักรอนางมีบางส่วนเป็นทหารชั้นสูงหรือจะบอกว่าพวกแถวหน้าของกองทัพเหลียวก็ว่าได้
“คาดว่าอีกสองวันคงจะมาถึงที่นี่” เป็นคำตอบที่ไม่น่าฟังเท่าไหร่
“นายกองอี้! ส่งทหารไปขอกำลังเสริมเดี๋ยวนี้ ได้เท่าไหร่เอาเท่านั้น!” จินเซียงตะโกนบอกนายกองอี้ที่กำลังคุยกับทหาร
“ได้ขอรับ เดี๋ยวข้าไปเอง”
“ดีมากรีบหน่อยแล้วเอานี่ไปด้วย” จินเซียงรีบเขียนข้อความแล้วใส่กระบอกไม้ไผ่ส่งให้นายกองอี้ ”ระวังตัวด้วย”
“พวกเราจะรีบกลับมาขอรับ”
“รีบหน่อยรึกัน”
“ขอรับ” นายกองอี้พาทหารม้าบางส่วนรีบควบม้าออกไปจากฐานที่มั่น
“พวกท่านรีบไปอพยพชาวบ้านเถอะ เรามีเวลาไม่มาก” จินเซียงหันไปบอกเตียวหลางกับเจียว
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” ทั้งเดินออกไป ทำให้เหลือนางนั่งคนเดียวที่โต๊ะ
“ไม่น่าทำไมราชวงศ์ซ่งเหนือถึงล่มสลายเร็ว” นางหลับตาเพื่อเชื่อมต่อกับเจ้าเหินฟ้า
[ทำการเชื่อมต่อ]
[เชื่อมต่อเสร็จสิ้น]
เสียงของระบบดังขึ้นในหัว
สิ่งที่นางเห็นคือกองทัพขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นนายพร้อมอุปกรณ์เข้าตีเมืองจำนวนมากรวมถึงเครื่องยิงหินด้วย กองทัพที่พร้อมจะเข้ายึดเหอเป่ย์และจากนั้นก็จะเข้าตีเซียโจต่อด้วยยึดจงหยวนทั้งหมด แต่ก่อนหน้านั้นพวกมันต้องเข้าตีด่านจางเจียนโขวก่อน ถ้าพ้นจุดนี้ไปได้ที่ราบภาคกลางก็จะลุกเป็นไฟ
“แย่ แย่ มาก ต้องทำให้พวกมันถอยกลับไปชาวบ้านได้ลำบากแน่” จินเซียงหน้ามองท้องฟ้าทำให้รู้ว่าตอนนี้ได้เลยเวลาเที่ยงวันมาซักพักแล้ว
“ทหารเจ้าชื่ออะไร” นางถามทหารคนหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกล
“ตงขอรับ”
“อืม เจ้ามีครอบครัวไหม”
“มีพ่อกับแม่ขอรับ อยู่หมู่บ้านใกล้ๆ”
“ไปตามเตียวหลางมาให้ข้าทีน่ะ บอกว่ามีเรื่องด่วนและให้เค้ารวมทหารทั้งหมดไปรอที่ลานตรงนั้นน่ะ”
“ขอรับท่านรองแม่ทัพ”
จินเซียงค่อยๆ สูดหาใจลึกๆ นางไม่คิดว่าหลังจากที่มาโลกนี้ได้ไม่ถึงเดือน อะไรต่อมิอะไรก็ผ่านไปเร็วมาก และก็ได้ฮูหยินเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้น แล้วตัวนางเองก็เป็นรองแม่ทัพเพราะคนเก่าดันบาดเจ็บ ยังไม่รวมที่กลายมาเป็นลูกบุญธรรมของผู้นำตระกูลถังอีก
“ทุกคนพร้อมแล้วของรับ” พลทหารตงเดินมาบอกจินเซียงที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่
จินเซียงนั่งกุมมือของตัวเองที่สั่นแต่ก็ยังหันไปตอบทหารได้ “ขอบใจมาก” เพื่อปกปิดความกังวลก่อนเดินขึ้นไปยืนบนกำแพงที่กำแพงสูงและแคบ แล้วมองไปที่ทหารทุกนายที่อยู่เบื้องล่างด้วยสายตายากอธิบาย สภาพทุกคนนั้นไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมรบ อาวุธทุกอย่างไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน
“ข้ามีข่าวร้ายมาบอกทุกคน” จินเซียงสูดหายใจแล้วคลายออกมาเบาอย่างแผ่วเบา “ตอนนี้มีทหารเหลียวมากกว่าสี่หมื่นหรือห้าหมื่นกำลังมาทางนี้ ข้าจะไม่บังคับให้ใครสู้ ใครที่ไม่อยากเอาตัวเองไปตายก็จงหันหลังแล้วเดินจากไป” ทุกคนยังคงยืนตรงไม่ถอยหนี
“แต่ถ้าเลือกที่จะสู้ ก็ขอให้จงสู้จนเลือดหยดสุดท้าย จงละเลงเลือดพวกมันให้เต็มสนามรบ และให้คนรักของพวกเจ้า พ่อแม่พี่น้องชายหญิงจดจำเจ้าในฐานะวีรบุรุษหาใช่คนขลาด ทำได้รึไม่ตอบ!”
“เราจะสู้!” ทหารหนุ่มคนหนึ่งตะโกน
“สู้! สู้! สู้!” ทหารทุกนายส่งเสียงออกมาพร้อมกัน
“ดี! กองที่ 1-5 อพยพชาวบ้าน กองที่ 6-10 เร่งทำเครื่องกีดขวาง กองที่ 11-15 รีบไปเตรียมอาวุธ ส่วนทหารม้าแบ่งกำลังกันออกไปลาดตระเวนห้ามเข้าปะทะเด็ดขาด ที่เหลือขึ้นมาประจำตำแหน่ง!” จินเซียงตะโกนเสียงดัง
“เฮ้!~” ทหารประจำด่านร้องตะโกนเสียงดัง
ทางด้านนายกองอี้และทหารอีก 4 นายก็กำลังเดินทางอย่างรีบเร่ง จนในที่สุดก็มาถึงค่ายใหญ่ พวกเค้ารีบตรงไปที่กระโจมใหญ่เพื่อรายงานสถานการณ์
“รายงาน!” นายกองอี้ตะโก้เสียงดังแล้งเดินเข้าไปด้านใน
“เกิดอะไรขึ้นแล้วหลานสาวข้าไปไหน” ตาเฒ่าถังถามนายกองอี้ เพราะปกติต้องกลับมาจากลาดตระเวนแล้ว
“ท่านแม่ทัพตอนนี้มีทหารเหลียวมากกว่าสี่หมื่นกำลังมุ่งหน้าไปที่ด่านจางเจียนโขวขอรับ และทหารซีเซียไม่เกินสองหมื่นกำลังมาทางนี้ขอรับ ท่านรองแม่ทัพให้ข้ามาขอกำลังเสริม” นายกองอี้รีบตอบเพราะช้าไม่ได้ เค้าต้องการกำลังคนกลับไปให้เร็วที่สุด
“ไม่ได้! มันอาจเป็นแผนของพวกซีเซียที่จะให้การป้องกันของเมืองอ่อนแอลง” กุนซือกองทัพตอบอย่างไม่ใยดี ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาก็พร้อมโยนความผิดทันที
“แต่ท่านกุนซือ ท่านรองแม่ทัพบอกว่าเราจะเสียด่านไม่ได้น่ะขอรับ เพราะจะทำให้ที่นี่ถูกล้อม” นายกองอี้เถียง
“ท่านตาข้าขอพาทหารไปสมทบเองเจ้าค่ะ”
“แม่ทัพหยาง เจ้าหยุดตรงนั้นเลยหน้าที่เจ้าคือป้องกันด่านที่เหอเป่ย์ ไม่ใช่ที่นั่น!” เผยอิงมองหน้าคนพูด
“ท่าน!”
“ข้าให้เพิ่มได้แค่สองพัน” นายกองอี้ไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง แต่ก็พูดไม่ได้
“พะย่ะค่ะ” ทำได้เพียงจำยอมเท่านั้น และจำคำที่นายของตนพูดได้ดีว่าได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นอย่าไปเถียง
“รัชทายาท! พระองค์ทำเช่นนั้นไม่ถูกน่ะพะย่ะค่ะ ถ้าด่านนั้นแตกจริงๆ ทัพม้าของเหลียวจะมาถึงที่นี่ในเวลาอันรวดเร็ว” ตาเฒ่าถังรีบโต้แย้งทันที
“ข้าคิดดีแล้ว ถ้าด่านแตกเรายังป้องกันที่นี่ได้ ข้าไม่สามารถเอาเมืองไปเสี่ยงได้” คำตอบที่บอกว่าให้สองพันก็ดีเกินพอแล้วมันคือความหมายของสิ่งที่รัชทายาทพูด
“แล้วแต่ท่านเถอะ” แม้แม่ทัพหลายคนจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่กล้าเถียงมากนัก แม้แม่ทัพใหญ่ถังจะเป็นหนึ่งในสามขุนนางใหญ่แต่เค้าก็ไม่อยากเถียงอะไรมากนัก
นายกองอี้เดินออกมาก็คุยกับทหารของตนที่ตามมาด้วยกัน ทั้งสามถึงกับส่ายหัวเพราะทหารที่ได้น้อยเกินไปแต่เมื่อขอเพิ่มไม่ได้ก็เอาเท่าที่ได้
“อ่าวนายกองทหารม้านี่” นายกองอี้หันไปมองตามเสียง
“ฮืม นั่นใช่นายกองซุนผู้คุมทหารสองพันนายรึไม่”
“ใช่แล้วข้าเองเพื่อนเก่า”
“ให้คนของท่านเตรียมตัวเถอะก่อนเช้าเราจะออกเดินทางกัน”
“ข้านึกว่าท่านจะออกเดินทางเลยทหารจะได้ไปพักกันที่นู่น” นายกองอี้ที่ได้ฟังก็นึกได้จึงเอาข้อความอีกอันมาอ่าน ‘ได้ทหารแล้วให้รีบกลับ’
“เช่นนั้นเตรียมตัวออกเดินทาง ข้าขอไปส่งจดหมายก่อน” พูดจบก็เดินไปหาเผยอิงที่ยืนคุยกับนายทหารใต้บังคับบัญชา
เผยอิงรับจดหมายจากนายกองอี้ “ขอบใจมาก พวกท่านรีบเดินทางเถอะ”
“แล้วรองแม่ทัพเขียนว่าอะไรรึขอรับ”
“นางเขียนจดหมายรักมาให้ข้า ไม่มีอะไรมาก” นายกองอี้ทำหน้าไม่ถูกเมื่อได้ยิน ทำได้เพียงเดินกลับไปขึ้นม้าแล้วนำทหารออกเดินทาง
“ท่านแม่ทัพ ข้าว่าการส่งกำลังเสริมไปแบบนั้นมันไม่ดีเลยน่ะเจ้าค่ะ”
“อีอี้เจ้าอย่าบ่นเลย ท่านแม่ทัพยังไม่ว่าอะไรซักคำ”
“เจ้ามัน!”
“ทั้งคู่พอเถอะ เรายังมีงานต้องทำอีก แล้วก็เตรียมเผื่อไว้ถ้านางถอยกลับมาด้วย”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
ช่วงเช้ามืดทหารทั้งหมดก็เดินทางมาถึงที่ด่านจางเจียนโขว ทหารในด่านส่วนใหญ่อยู่ระหว่างพักผ่อนมีเพียงรองแม่ทัพที่ยื่นมองไปทางทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่เบื้องหน้า เงามืดค่อยๆ จางหายไปทีละนิด เหยี่ยวตัวใหญ่บินลงมาเกาะบนบ่าของนาง เบื้องหน้าไกลออกไปปรากฏภาพทหารเหลียวเดินทัพเข้าสู่เขตทุ่งหญ้า และหยุดรักษาระยะห่างไว้ไม่ได้เข้าตี
'พวกมันมาแล้ว' สายลมอุ่นพัดมาช่วยคลายหนาวในยามเช้า
“ท่านรองแม่ทัพ”
“พวกเจ้ามาแล้วรึ” จินเซียงหันกลับมาดูคนของตัวเอง
“ขอรับ ได้มาแค่สองพัน”
“ดีมากแล้ว ให้พวกเค้าไปพักก่อน พวกมันก็พึ่งมาถึงเหมือนกัน” จินเซียงหันกลับไปที่ทุ่งหญ้า
“เราจะรอดไหมขอรับ”
“พวกเจ้าอยากตายกันรึเปล่าล่ะ”
“ไม่ขอรับ”
“เช่นนั้นข้าจะไม่ให้พวกเจ้าตาย” ตอบพูดโดยที่ไม่หันมองทหารที่ยืนอยู่
พระอาทิตย์ขึ้นตรงกลางหัวพอดี เบื้องหน้าตอนนี้มีทัพเหลียวยืนประจันหน้าอยู่ ทหารสองกองทัพที่มีจำนวนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จินเซียงพานายกองจาง นายกองอี้ นายกองซุนและเตียวหลาง ออกมาคุยกับตัวแทนของกองทัพเหลียวเพราะมันคือธรรมเนียมปฏิบัติ
“ข้ารองแม่ทัพแช่ถัง นามจินเซียง”
“ข้านามว่าถัวปาจวิ้นผู้นำทัพห้าหมื่น”
“ข้าคิดว่าชาวเหลียวเป็นพวกป่าเถื่อนซ่ะอีก พวกท่านดูดีกว่าน้องชายข้าอีก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ขอบคุณแม่นางที่ชม ข้าให้โอกาสพวกท่านยอมแพ้”
“ขอบคุณในความหวังดี แต่คงไม่ได้เพราะข้ากำลังสร้างโรงเตี๊ยมในเมืองคงปล่อยให้มันถูกเผาเพราะไฟสงครามไม่ได้”
“ดี! ถ้าวันนี้ข้าแพ้ ข้าจะไม่ยกทัพกลับมาอีก!”
“ข้าก็อยากพูดว่าอย่าลืมคำพูดอยู่หรอก เตียวหลางเอากระดาษกับพู่กันมา” ถัวปาจวิ้นพูดไม่ออก
“เอาล่ะฟังให้ดีเตียวหลาง ข้ารองแม่ทัพแห่งมณฑลเหอเป่ย์ บุตรีบุญธรรมตระกูลถังนามจินเซียงขอลงสัญญากับแม่ทัพใหญ่ถัวปาจวิ้น ด้วยเค้าสัญญาว่าถ้าวันนี้แพ้ กองทัพเหลียวและพันธมิตรจะไม่บุกลงมาอีก 10 ปี!” จินเซียงประกาศเสียงดัง
“แล้วถ้าข้าชนะ”
“ท่านก็เข้ายึดเมืองเหอเป่ย์ตามสบาย แต่ตอนนั้นพวกข้าคงตายหมดแล้ว”
“เจ้าเป็นคนนอกด่านเหตุได้ถึงไปช่วยชาวฮั่น” ถัวปาจวิ้นถามจบก็ลงนาในสัญญา
“โทษทีข้ามาจากดินแดนที่ห่างไกล” นางยิ้มแล้วมองใบสัญญาก่อนประสานมือแล้วหันหลังควบม้ากลับเข้าด่าน
“ถ้านางรอดจากสงครามครั้งนี้ ข้าบอกได้เลยว่านางคงอยู่ลำบาก”
“ทำไมขอรับท่านแม่ทัพ”
“เจ้ารัชทายาทนั่นไม่ชอบนาง เจ้าคิดว่าต่อให้ชนะจริงๆ แล้วนางจะได้อะไรรึไม่ล่ะ”
“ก็จริงของท่าน”
“มาเถอะถึงเวลารบแล้ว” ถัวปาจวิ้นควบม้ากลับกองทัพ
เสียงแตรรบและกล่องดังขึ้นจากฝั่งของทัพเหลียว ทหาราบค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาส่วนบนกำแพงก็มีทหารต้าซ่งง้างธนูรอ
“บุก!”
ทหารเหลียววิ่งกรูกันมาที่กำแพงพร้อมบันไดปีน
“อย่าพึ่งยิง” จินเซียงตะโกน
“รอ! อย่าพึ่งยิง”
เมื่อทหารเหลียวเห็นว่าไม่มีลูกธนูบินลงมา พวกมันจึงไม่เอาโล่ขึ้นบังแล้วพากันวิ่งดาหน้าเข้าหากำแพง จนกระทั่งข้ามจุดสีแดงเข้ามา
พึบ! จินเซียงไม่พูดนางแค่เอามือลง
ฟึบๆๆๆๆๆ ธนูหลายพันดอกพุ่งลงไปหาทหารเหลียว
อ๊ากกก อึก ฟิ้วๆ ฉึบๆ
ลูกธนูนับพันพุ่งทะลุร่างของทหารเหลียว ทำให้การบุกหยุดชะงักลงทันที กองหน้ามากกว่าสองพันคนตกตายไปภายในเวลาไม่นาน
“อย่ายิงมั่ว! เล็งแล้วยิง!” นายกองหลายคนตะโกนบอกทหารตามที่จินเซียงสอนไว้ พลธนูยืนซ้อนกันสามแถวสลับกันยิง ถึงอย่างนั้นลูกธนูก็มีจำกัด
การบุกครั้งแรกล้มเหลว แต่แม่ทัพหาได้สนใจเพราะพวกนั้นเป็นเพียงทหารเกณฑ์เท่านั้น
“บุกต่อไป”
คลื่นระลอกที่สองภาโถมเข้าใส่กำแพง มีการให้หน้าไม้ขนาดใหญ่ช่วยยิงสนับสนุนทั้งยังมีเครื่องยิงหินที่เริ่มระดมโยนหินเข้าใส่กำแพง
ทหารเหลียวพากันวิ่งใส่กำแพงสูงอย่างไม่กลัวตาย ใช้คนที่ตายมารับลูกธนูแล้วพาดบันไดสูงกับกำแพง
“เทน้ำร้อน! อย่าให้พวกมันปีนกำแพงขึ้นมาได้” น้ำร้อนถูกเทลงไปด้านล่าง ทหารเหลียวหลายคนต้องตายเพราะมัน ทว่าพวกมันก็ยังขึ้นมาไม่หยุด
“ท่านรองแม่ทัพ!! อาวุธตีเมือง!!” นายกองอี้ชี้ไปที่หอสูงที่มาพร้อมอุปกรณ์ทำลายประตู ทั้งยังมีกลุ่มเดนตายพยายามกระทุ้งประตู
“เทน้ำมัน! เผาพวกมันเลย” น้ำมันร้อนเทราดไปที่ทหารเดนตายที่กำลังพยายามทำลายประตู ตามตายคบเพลิง
พรึ่บ! ลูกไฟขนาดใหญ่กลืนเอาทหารเหลียวในบริเวณรอบๆ ไปจนหมด
ไฟลามไปติดกับจนทำให้ไฟลามออกไปอย่างรวดเร็วทำให้ทหารหลายร้อยต้องสังเวยชีวิตไปภายในกองเพลิง
“แย่แล้วฝั่งขวาพวกมันบุกขึ้นมาบนกำแพงแล้ว นายกองอี้รีบพาคนไปช่วยที ตรงนี้ข้าเอง” จินเซียงถีบทหารเหลียวที่ปีนขึ้นมาตกกำแพง
“ขอรับ” นายกองอี้พร้อมทหารร้อยกว่านายวิ่งตรงไปที่ปีกขวา
ฝ่ายเหลียวเริ่มสั่งให้กองกลางบุก ทหารฝีมือดีของเหลียวบุกขึ้นกำแพงโดยใช้หอสูง และมีการยิงธนูใส่ทหารซ่งบนกำแพง
ทันที่ที่ประตูหอสูงพาดกำแพง ทหารซ่งก็ระดมยิงธนูเพลิงเข้าใส่ ตามด้วยระเบิดดินปืนในไหน้ำมัน
ตู้ม!
ทหารหลายร้อยนายถูกย่างสดอยู่ภายในหอสูง บางส่วนวิ่งฝ่าออกมาเข้าฟาดฟันทหารซ่ง
ตกบ่ายการรบยิ่งดุเดือดมากขึ้นเมื่อทหารเหลียวใช้เครื่องยิงหินไฟเข้าใส่แนวกำแพงทั้งหมด
ฟิ้ว! ตู้ม
“อ้ากกก”
ทหารต้าซ่งหลายคนกระเด็นตกกำแพงตาย ทุกคนต่างบาดเจ็บจนทำให้บนกำแพงเริ่มมีจุดว่าง ทหารเหลียวฉวยจังหวะบุกขึ้นกำแพงเพื่อบุกยึดหอประตู “ทหารม้า!! เอาพวกบนกำแพงออก!!” จินเซียงโยนตัวขึ้นม้า ขี่นำทหารม้าสิบกว่านายขึ้นจัดการทหารเหลียวบนแนวกำแพง
“ฆ่าให้หมด”
ทหารเหลียวถูกม้าย่ำตายไปหลายคน บางคนถูกชนตกกำแพง ในเวลาไม่นานทหารเหลียวบนกำแพงก็ตายจนหมด ควันไฟเหนือหอประตูยังคงลอยเด่นพร้อมธงต้าซ่งที่ยังคงเด่นอยู่บนยอดหอคอย
การรบหยุดลงช่วงหัวค่ำ เหยี่ยวขอเผยอิงบินมาเกาะที่บ่าของจินเซียงที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่กับเจียวเจียว นางหยิบสารออกมาอ่าน
“ทัพซีเซียล่าถอยไปแล้ว แต่รัชทายาทยังไม่ยอมให้ส่งคนมาเสริม” จินเซียงส่งข้อความให้อ่านต่อ
“บ้าบอสิ้นดี เราเหลือคนที่รบได้ไม่ถึงสามพัน”
“ถ้ารอกำลังเสริมอาจจะไม่ทันเราจะตายกันหมด อาเจียวข้ามีงานให้เจ้าทำ”
“ว่ามาเถอะ”
“จงพาทหารที่บาดเจ็บล่าถอยออกไปจากแนวรบ พรุ่งนี้พวกนั่นคงใช้ทหารม้าในการบุกเป็นแน่”
“ไม่ได้! ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน!” ทหารทั้งหมดพร้อมใจกันขอให้นางเปลี่ยนใจ
“ข้าไม่ได้บอกเจ้าในฐานะทหาร แต่บอกพวกเจ้าทุกคนในฐานะพี่น้องร่วมรบและมันคือคำสั่งเด็ดขาด”
“ท่านรองแม่ทัพโปรดไตร่ตรองด้วย พวกเรายังสู้ไหว” ทหารนายหนึ่งที่บาดเจ็บพยายามพูด
“ฟังให้ดีพวกเจ้ายังมีครอบครัวรออยู่ ถ้ายังไม่ตายก็ยังสามารถกลับมารบได้อีก แต่ถ้าฝืนรบจะกลายเป็นภาระให้สหาย” จินเซียงอธิบาย
“พวกเจ้าจงถอยไปที่แม่น้ำ อีกฝั่งของแม่น้ำนั้นแม่ทัพหยางได้นำกำลังคนมารอแล้ว แต่ด้วยคำสั่งจึงมาได้แค่นั้นไม่สามารถข้ามมาได้”
“แต่ว่า!” ทหารทุกคนอยากจะคัดค้านความคิดนี้
“ไม่มีแต่! รีบไป!” จินเซียงตะคอก ทำให้หญิงสาวรีบเดินไป พวกทหารที่บาดเจ็บถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากแนวกำแพง
จินเซียงมองทหารที่ไปกับขบวนของอาเจียว ตอนนี้เหลือเพียงสองพันสามร้อยนายเท่านั้น กลับกันทหารเหลียวกลับลดลงเพียงนิดเดียวแต่ในทางกลับกันนั้นมีความรู้บางอย่างที่กวนใจไม่น้อย กองทัพของพวกซีเซี่ยถอยทัพยอมแพ้กันเร็วเกินไปจนแปลกประหลาด
“มีบางอย่างมันกวนใจไม่หยุดจริงๆ” จินเซียงได้แต่ภวานากับท้องฟ้าว่าอย่าให้เป็นเช่นที่คิด
แต่เหมือนฟ้าไม่เป็นใจ รุ่งเช้ามาเยือนพร้อมการปรากฏตัวของกองทัพซีเซี่ยและจิน คลื่นทหารเหลียวเริ่มถาโถมเข้ามาไม่หยุด จนกระทั่งการต่อสู้กลายเป็นการรบประชิดตัว
“ตายยยย” ทหารซ่งกระโดดกัดหูทหารเหลียว
“ย้ากกกก” ทหารเหลียวหลายคนใช้หอกยาวเสียบทะลุตัวทหารซ่งจนสิ้นใจ
แม้กระทั้งเศษกำแพงก็กลายมาเป็นอาวุธ จินเซียงเริ่มใช้หมัดแทนดาบเพราะคามคมของดาบเริ่มลดลง
ทหารเหลียวพยายามที่จะเข้ามาเปิดประตูด่านก็ต้องพบกับจินเซียงที่ยืนหยัดอยู่ตรงหน้าประตู จนทำให้มีศพทหารจำนวนมากกองรวมกันกลายเป็นกำแพงปิดประตู ถึงแม้ว่าจะมีกลยุทธ์ดีและทหารที่มีความกล้าแต่ทว่ากำลังพลนั้นกลับน้อยกว่ามาก ตอนนี้ทุกคนแทบไม่เหลืออะไรเลย เกราะ ดาบ หอก ธนู ก็ไปเก็บมาจากศพทหารที่ตาย
จินเซียงกับทหารบางส่วนช่วยกันเปิดทางให้ทหารที่บาดเจ็บขึ้นม้าแล้วฝ่าวงล้อมออกไปพร้อมนายกองอี้ที่นำทหารบางส่วนถอยลงไปที่แนวแม่น้ำด้วยตามคำสั่ง ทำให้ตอนนี้นางจะเหลือทหารเพียงหยิบมือแต่ทหารเหลียวก็ยังไม่สามารถจัดการพวกนางได้
“พวกเจ้าทำได้ดีมาก”
“ท่านอย่าพึ่งพูดเลยขอรับ รอเอาลูกธนูออกจากแขนท่านก่อน”
เตียวหลางพยายามดึงลูกธนูออกจากแขนของจินเซียง เลือดค่อยๆ ไหลออกมาตามการดึงแต่ทว่ากลับไม่มีแม้แต่เสียงร้องออกมาให้ได้ยิน จากนั้นก็ค่อยพันแผล
“พอเถอะแผลแค่นี้ไกลหัวใจ” จินเซียงบอกเพื่อให้เอาผ้าไปพันแผลให้คนอื่น
“ท่านว่าพวกมันเหลือเท่าไหร่”
“นี่ อาตงเจ้ายังอยู่หรอเนี่ย” นางแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นทหารหนุ่มถึงแม้ว่าเจ้าของชื่อจะมีผ้าพันไว้ที่หัว
“ขอรับท่านรองแม่ทัพ ข้าเป็นชายจะหนีได้ไง” จินเซียงพยักหน้าให้แล้วหันไปตอบเตียวหลาง
“สามหมื่นกว่าไม่ซิ เกือบสี่หมื่น” จินเซียงตอบเตียวหลา แต่ทว่ากลับได้ยินอะไรบางอย่าง “เงียบก่อน” ทุกคนพากพากันเงียบ ”พวกมันกำลังล้อมเรา เราต้องรีบไปที่ม้าทุกคนฟังให้ดี เอาโล่ผูกไว้กับหลังผูกให้แน่น” ทหารทุกคนพากันไปหยิบโล่อย่างเงียบแล้วทำตามที่ผู้นำของตนบอก “เสร็จแล้วตามข้ามา” จินเซียงพาทหารเคลื่อนที่ลงจากกำแพงด้วยความเงียบ
สิ่งหนึ่งที่รู้มาจากการรบกับพวกอัศวินคือพวกนั้นชอบเอาโล่ไว้ด้านหลังทำให้ธนูไม่สามารถทำอะไรทหารม้าที่ถอยหนีได้ ต่างจากบางพวกที่เอาโล่ห้อยไว้ข้างม้าแบบเดียวกับเวลาเข้าตีทหาราบ
ทหารสามร้อยนายบวกรองแม่ทัพค่อยๆ เคลื่อนที่ในความมืดไปที่จุดซ่อนม้าที่นางสั่งให้คนมาทำไว้ เมื่อมาถึงทุกคนต่างรีบถีบตัวขึ้นม้ายกเว้นนาง
“ท่านรออะไรอยู่ทำไมยังไม่ขึ้นม้า” เตียวหลางหันกลับมาถาม
“ข้าจะเปิดทางให้พวกเจ้า เมื่อได้สัญญาณแล้วจงรีบไปที่จุดนัดพบ ไม่เกินครึ่งชั่วยามข้าจะตามไป”
“แต่ว่า!”
“เตียงหลาง! ไม่มีแต่! รีบไป!”
“ท่านรองแม่ทัพโปรดรักษาตัว” นายกองจางเต็มใจที่จะก้มหัวให้คนตรงหน้า
“โปรดรักษาตัว!” ทหารทุกคนทำตาม
“แล้วพบกันใหม่!” นางยิ้มแล้ววิ่งออกไปพร้อมม้าคู่ใจ
เมื่อทางสะดวกเหล่าทหารก็พากันถอยไปที่จุดนัดพบก่อนถึงทางข้ามแม่น้ำ จินเซียงหยุดมองเหล่าทหารที่พากันควบม้าออกไป
“เกิดใหม่ครั้งนี้ช่างดีจริงๆ อย่างน้อยก็ได้พบคนที่จริงใจและรักข้า” นางหยิบธนูออกมาแล้วรอเวลาที่ทหารฝ่ายเหลียวพากันขึ้นมาบนกำแพงและเข้ายึดหอเหนือประตู ที่ได้ติดตั้งกับดักเอาไว้
เหงื่อเย็นไหลซึมไปตามชุดเกราะ บรรยากาศที่เงียบสนิททำให้ไม่มีใครรู้ตัวว่ามีใครบางคนกำลังซุ่มมองพวกมันอยู่
ปึก!
ลูกธนูพุ่งทะลุเข้าไปภายในห้องที่ตอนนี้เต็มไปด้วยทหารเหลียวที่กำลังช่วยกันเปิดประตูเหล็กที่ถูกล็อกด้วยการทำลายกลไกของมัน
ปึก!
ปึก!
ปึก!
พวกทหารเหลียวไม่มีใครสนใจลูกธนูที่พุ่งเข้ามา จินเซียงใช้เทคนิคบางอย่างทำให้ลูกธนูนั้นไร้เสียงเวลาวิ่งแหวกอากาศ
หนึ่งในกลยุทธ์ที่โหดที่สุดคือไฟ ครั้งหนึ่งขงเบ้งเคยเผาทัพของโจโฉจนสิ้นชื่อ แม้แต่ขงจื้อเองก็เคยใช้มันในการปราบกบฏ
รอยยิ้มเย็นปรากฏบนหน้าจินเซียงเมื่อลูกธนูลูกสุดท้ายถูกยิงออกไป ลูกธนูที่สร้างด้วยกลไกบางอย่าง
ปึก!
แกร็ก!
ทหารเหลียวเริ่มพากันหันมองลูกธนูที่ปักอยู่บนลังไม้ เสียงของมันฟังดูแปลกประหลาด
“หัวหน้า ตรงนี้มีอะไรด้วย” ผู้เป็นหัวหน้ากองเดินเข้ามาดูใกล้ๆ
มันดมเพราะได้กลิ่นอะไรบางอย่าง “นี่มันกลิ่นอะไร? เปิดลังไม้?”
แต่ทว่า “ชิบหายแล้ว! รีบออกจากตรงนี้!” เมื่อลังไม้ถูกเปิด กลไกก็ได้ทำงานจนครบสมบูรณ์
คลิ๊ก!
ตู้ม!!!! ระเบิดได้กวาดทหารเหลียวทุกคนที่อยู่ในหอเหนือประตูและกำแพงด่านทั้งหมดตายอย่างพร้อมเพรียง
ลูกไฟขนาดใหญ่พอที่จะสามารถมองเห็นได้จากชายป่าแห่งความตาย
เตียวหลางกับนายกองจางหันกลับมามองแสงสว่างที่เกิดจากการระเบิด และภาวนาขอให้ผู้เป็นนายของตนปลอดภัย และรีบพากันควบม้าตรงไปที่จุดข้ามน้ำตามคำสั่งในตอนที่ศัตรูกำลังสนใจสิ่งอื่นและไม่ได้ไล่ตามมา
จินเซียงมองคนรักนั่งเงียบมาซักพักตั้งแต่ได้ฟังเรื่องที่เอมิลเล่า เรื่องของคนรักเก่าที่ตายจากไปไม่หวนกลับ ทั้งคู่มีหลายอย่างที่เหมือนกันอย่างแยกไม่ออกแตกต่างกันก็แค่สีผม “เจ้าก็คือเจ้า ข้ารักเจ้าด้วยใจจริง”“ท่านคงไม่คิดว่าข้าเป็นตัวแทนนางใช่รึไม่” “อดีตก็คืออดีตไม่อาจย้อนกลับได้อีก ความผิดพลาดครั้งนั้นเป็นบทเรียนให้ข้าว่าข้าจะต้องไม่ผิดพลาดอีกซ้ำสอง” “ท่านอย่าได้โทษตัวเองเลย” “นั่นซิน่ะ มาเถอะไปดูคนอื่นๆ ทำงานกัน” “เจ้าค่ะ” ทั้งคู่เดินออกนอกห้องทำงานตรงไปที่ท้ายจวนติดท่าเรือ โรงหลอมนั้นกำลังถูกสร้างอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้ผิดพลาด ส่วนพื้นที่ด้านข้างและจวนหลังนั้นก็กำลังมีการปรับปรุงโดยใช้แผ่นไม้มาล้อมส่วนติดถนนไว้เพื่อไม่ให้คนเห็นว่าทำอะไรก่อนที่กำแพงจะสร้างเสร็จแต่เรื่องการเตรียมตัวสำหรับวัตถุดิบนั้นก็ได้คนจากตระกูลหวังที่ครอบครองการค้าเหล็กและแร่หลายชนิดมาช่วยในการจัดหา ทำให้เรื่องวัตถุดิบง่ายขึ้นมามาก เจ็ดวันต่อมาโรงหลอมก็สร้างเสร็จ ฮ่องเต้ทรงมาดูงานด้วยตัวเองเพราะอยากรู้ว่าการหล่อปืนใหญ่จะเหมือนตีดาบรึไม่ หลังจากที่โหรหลวงมาถึงก็เริ่มทำพิธีบูชาดินฟ้าเพื่อความเป็นสิริมงคล ฮ่
หลายวันต่อมาจินเซียงเข้าวังพร้อมโจวกุ้ยเฟยและตรงไปที่ตำหนักใหญ่ของฮองเฮาเพื่อส่งอาหารตามที่พระองค์เคยขอ “ถวายบังคมฝ่าบาท” “ตามสบายเถอะหลานข้า ว่าแต่ลมอะไรหอบเจ้ามาพร้อมนางกัน” พระนางมองไปที่โจวกุ้ยเฟย เมื่อเห็นไม่สะดวกพูดจึงไล่คนอื่นๆ ออกไปก่อน“เอาล่ะตอบมา” “เมื่อคืนกุ้ยเฟยไปที่จวนเพค่ะ เลยมาพร้อมกัน” “เรื่องนั้นซิน่ะ” “เพค่ะพี่หญิง” “เฮ้อ...พี่บอกแล้วว่าอย่าไปตามใจเยอะ ไม่เช่นนั้นจะเสียคนแล้วเป็นไงล่ะ” “ถ้าไม่ติดว่าการทำร้ายองค์ชายเท่ากับทำร้านสายเลือดมังกรน่ะ น้องจะตบแม่งหัวทิ่มไปเลย” โจวกุ้ยเฟยพูดพร้อมแสดงท่าทาง จินเซียงได้แต่ยืนยิ้ม“พอเลย...ข้าคนว่าเจ้าเข้าวังแล้วจะสงบลงแต่ที่ไหนได้” “พวกท่านใจเย็นก่อนแล้วรีบมาทานอาหารก่อนที่จะ...อ่าว!...หายไปไหน!” จินเซียงมองหากล่องอาหารที่เอามาด้วย “ง่ำๆ อาย่อยมากน้องรอง” “ชู่~ เงียบๆ หน่อย นางหูดีมาก” “เอ่ออ~ พี่รอง น้องว่า~” “อะฮึม!...แม่ว่า…แม่สอนพวกเจ้ามาดีน่ะ สอนทั้งอบรมมารยาทสตรีหรือว่าต้องให้แม่นมทบทวนความจำให้!” ฮองเฮายืนท้าวเอวมองลูกสาวของตน“ถะ...ถวายพระพรเสด็จแม่เพค่ะ” ฉางหรูยิ้มแล้วรีบเอากล่องอาหารซ่อนไว้หลังม่านอย่าง
หลายวันต่อมาที่จวนใหญ่แห่งหนึ่ง มีใครบางคนกำลังนั่งกลุ้มใจเพราะไม่สามารถทำตามแผ่นได้สำเร็จแต่คนที่ส่งไปนั้นกลับหายสาบสูญไปทุกรายอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ให้มันได้แบบนี้ซิ ทำงานกันภาษาอะไรถึงได้หายหัวกันไปหมด” “นายท่านขอรับ พวกเราไปพบร่องรอยบางอย่างขอรับ” ชายชุดดำส่งกระดาษให้ผู้เป็นนาย “ตายหมด! เป็นไปได้ไง” “ขอรับ ดูเหมือนว่าจะมีคนคอยหนุนหลังอยู่” “ท่านพ่อ แบบนี้เหล่าอาหารของเราจะไม่แย่รึขอรับ” “พ่อไม่กลัวเรื่องนั้นแต่ห่วงเรื่องว่ามันจะกระทบงานใหญ่มากกว่า แล้วเรื่องสองตระกูลนั้นเป็นเช่นไรและเรื่องที่ให้ไปสืบได้ความเช่นไร” “ขอรับนายท่าน สองตระกูลนั้นพากันปิดปากเงียบหลังจากที่ตระกูลที่เคยหมั้นหมายต่างพากันขอถอนหมั้น ทำให้หญิงสาวในตระกูลนั้นต่างพากันเก็บตัวขอรับ ส่วนเรื่องที่ให้ไปสืบนั้นได้ความมาว่าแม่ทัพหยางยังนอนไม่ได้สติขอรับ แต่การจะเข้าใกล้เรือนนั้นถือเป็นเรื่องยากมากเพราะมีการคุ้มกันที่แน่นหนาและไม่อนุญาตให้ใครเข้าเยี่ยมจนกว่าท่านขุนพลจะกลับมาขอรับ” “หึหึหึ ดีแบบนั้นแหละดี ไปตามนักพรตนั่นมาเราจะใช้นางเป็นตัวประกันให้เจ้านั้นยอมทำตามเงื่อนไขของเรา” “แต่ท่านพ่อ ถ้านางไม่ยอมล่ะขอ
ต้นเดือนเก้าเหล่าอาหารก็สร้างจนเสร็จและกำหนดที่จะเปิดก็คืออีกสามวันซึ่งตรงกับวันที่เก้าพอดี แม้ใจจะรู้ดีว่าไม่ควรจัดงานมงคลในช่วงนี้แต่ด้วยที่ว่าถ้าคนที่นอนอยู่รู้ว่าไม่ยอมเปิดเหล่าอาหารคงไม่ไม่ดีแน่ถ้าตอนที่นางตื่นขึ้นมาแล้วมีคนบอกให้รู้“ท่านพ่อ ท่านแม่” จินเซียงหลังจากอาบน้ำให้คนรักแล้วก็มาหาผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลที่ห้องโถง“น้องเป็นเช่นไรบ้างลูก” หลอหลันถาม“เจ้าค่ะท่านแม่ ลูกพึ่งอาบน้ำให้นางและป้อนยา”“เจ้าคงไม่ได้ทำอะไรลูกแม่ใช่รึไม่” ชุ่ยหยุนหรือฮูหยินหยางถามจินเซียงได้ยินก็หน้าแดง “ลูกรอนางตื่นก่อนเจ้าค่ะ”“อืม พวกแม่เชื่อเจ้าและหวังว่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดี” หลอหลันให้กำลังใจลูกสาว แต่ก็ขอให้ปาฏิหาริย์มีจริง ขอให้เผยอิงฟื้นขึ้นมาในเร็ววัน“จริงซิ และชื่อร้านคิดได้รึยัง” ฮูหยินเฒ่าตระกูลถังถาม“เจ้าค่ะ ขุนพลนิทราเจ้าค่ะ” ทั้งห้องเงียบกริบไม่มีใครพูดอะไร“หลานย่า เจ้าไม่มีชื่ออื่นแล้วรึ” ฮูหยินเฒ่าตระกูลถังรู้สึกอายแทน“ยังเจ้าค่ะ”“แย่แน่แบบนี้ฮ่องเต้ได้บ่นแน่ๆ พระองค์รอทำป้ายร้านให้เจ้าอยู่น่ะ” เอี้ยซ่งบ่นใส่ลูกสาวคนโต ที่นางนั้นมีปัญหาเรื่องการตั้งชื่อ“เซียงอิงขุนพลไก่ทอ
ทุกคนมองเป็นทางคนผู้นั้นแล้วก็มีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว ยิ่งอาวุโสถังผู้เป็นปู่ที่มองหน้าหลานไม่แท้อย่างตั้งคำถาม แต่คนที่ตกใจที่สุดนั้นคือพระชายาทั้งสองของรัชทายาท “พวกเจ้ารู้จักนางรึ” “พะ เพค่ะ นางคือคนที่ช่วยพวกเราไว้จากกลุ่มโจรเมื่อหลายปีก่อนเพค่ะ ตอนที่พวกเราตามเสด็จไปล่าสัตว์เพค่ะ” “เพค่ะ ตอนที่พานางมาพักรักษาตัวท่านก็น่าจะเคยเห็น รวมถึงยังเคยช่วยองค์หญิงจากการถูกลักพาด้วยน่ะเพค่ะ” “เจ้าเป็นคนช่วยลูกของเราเมื่อตอนนั้นรึ” “ข้าเองก็จำอะไรได้ไม่ค่อยมาเพราะเมื่อหลายเดือนก่อนเกิดอุบัติเหตุขึ้นทำให้ความจำบางส่วนหายไป ต้องขอโทษด้วย” จินเซียงพูดแก้ตัว เพราะจำไม่ได้จริงๆ“เช่นนั้นเรื่องการเจรจาสงบศึกข้าจะช่วยพูดให้ส่วนเรื่องการแต่งงานคงมิอาจช่วยได้” พระมเหสีสูงสุดแห่งเหลียวหรือจะเรียกว่าฮองเฮาก็ได้ตามความคุ้นเคยของผู้มาจากภาคกลาง พระนางรับปากเรื่องเจรจาแต่อีกเรื่องไม่รับปาก“ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่คิดจะจับใครแต่งงาน แต่ถ้าท่านข่านเสนอมา ทางเราก็คงยากจะปฏิเสธนอกเสียจาก” “นอกเสียจากอะไรกัน” “นอกเสียจากจะมีใครเสียตัวในคืนนี้แล้วข้าจะรีบเขียนสารด่วนกลับไปขออนุญาตเรื่องการแต่งงานเจริญสั
เช้าวันต่อมาเสียงกลองรบดังสนั่นทั่วเมือง ชาวบ้านชาวเมืองต่างพากันสวดมนต์ขอพรให้กองทัพมีชัยเหนือศัตรูผู้รุกรานถึงแม้จะมีหวังน้อยเต็มทีแต่ก็ยังมีแสงสว่างอยู่ในคือสองแม่ทัพที่ตอนนี้ยืนคู่กันอยู่บนกำแพงเมือง “อันเตรียย่าข้าว่ามันสวยจริงๆ ถ้าเทียบกับกองทัพของอัศวินแล้ว” “นั่นซิ แม้จะอยู่ในสงครามมาหลายสิบปีก็ยังไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้” “ท่านพี่ ที่นั่นเป็นเช่นไร” เผยอิงถาม “ที่นั่นเรารบกันด้วยความเชื่อและศรัทธา บ้างก็มีเหตุผลแตกต่างกันไป กองทัพนั้นอืม จะว่าไงดีล่ะ พี่ว่าดาบที่อัศวินใช้คงจะฟันพวกทหารเหลียวไม่เข้าแน่ๆ” “ใช่แล้วน้องสะใภ้ ดาบพวกนั้นมันอาศัยน้ำหนักอย่างเดียว ส่วนดาบที่เบาก็เบาเกินไปทำให้สู้กับพวกใส่เกราะเหล็กไม่ได้” “ข้าชอบดาบวงพระจันทร์ กับดาบใหญ่อันนี้มากกว่า” จินเซียงมองดาบคู่ใจในมือ ความสมดุลของดาบทั้งสองนั้นดีมาก“ข้าอยากถามมานานแล้วว่าทำไมท่านถึงพกอาวุธไว้เยอะแยะ”“ไม่รู้ซิ มันชินแล้ว” จินเซียงตอบคนรักแล้วหันไปมองที่สนามรบที่ตอนนี้ทหารเหลียวได้ลากหอตีเมืองมารอพร้อม“สั่งยิงได้เลย เราไม่จำเป็นต้องให้เกียรติพวกมันเพราะพวกมันเหยียบย่ำและฉีกสัญญาของพวกเราก่อน” จินเซียงหันไป