LOGINจินเซียงฟังทหารรายงานถึงสิ่งที่ทหารเห็นจากบนยอดไม้ พวกเค้าแจ้วว่าตอนนี้พวกเรากำลังเดินทางย้อนเข้าไปเมืองเหอเป่ย์ ไม่ได้ตรงไปที่ชายแดนแต่อย่างใดเพราะด้านหน้าคือป่าใหญ่ที่อยู่ทางตะวันตกของเมือง ชาวบ้านเรียกว่า ‘ป่าแห่งความตาย’ ใครก็ตามที่เข้าไปในป่ายากจะได้กลับมา
“หึ! คิดไว้ไม่ผิด พวกมันวางแผนไว้แล้ว” จินเซียงครางในลำคอ พลางมองเส้นทาง “ถ้าจะย้อนกลับไปที่ด่านจางเจียนโขว...ใช้เวลานานไหม”
“เพียงหนึ่งชั่วยามขอรับ รวมเวลาไปกลับค่ายหลักก็ราวสามชั่วยาม” นายกองคนเดิมตอบน้ำเสียงหนักแน่น
จินเซียงพับแผนที่ ทำเป็นเก็บไว้ในอกเสื้อ แต่แท้จริงแล้วเธอเก็บมันไว้ในมิติของตนเองอย่างชำนาญ “คิดจะใช้กฎทหารเล่นงานพวกเรา พวกเจ้าทุกคนจะไม่รอด เราจะไปตั้งหลักที่ด่านก่อนแล้วค่อยกลับ” เธอสรุปสั้น ๆ
“ขอรับ!” ทุกคนตอบพร้อมเพรียง
จินเซียงหันมองป่าทึบเบื้องหน้า น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบ “พวกเจ้าไปก่อน เหมือนมีแขกไม่ได้รับเชิญอยู่แถวนี้ เยอะด้วย”
นายกองสองคนมองหน้ากัน เบื้องหน้าพวกเค้าไม่รู้สึกถึงอะไรผิดปกติ แต่พวกเขาก็ไม่เถียง หันไปสั่งให้ทหารเตรียมพร้อมไว้
“อะไรหรือขอรับ?” หนึ่งในทหารถาม
“ข้าไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ใจคือพวกมันไม่ได้เอาข้าวมาให้พวกเราแน่” จินเซียงพูดสั้น ๆ
“ยังไม่ถึงเวลาอาหารเลยด้วยซ้ำขอรับ” ทหารคนหนึ่งพยายามแซว
“ประชด!!” จินเซียงสวนกลับแค่นั้นก่อนจะถอดหมวกเหล็กและผ้าคลุมไหล่ออก เผยให้เห็นความตั้งใจอันหนักแน่น
“ท่านรองแม่ทัพก็ อย่าอารมณ์ดีตอนนี้ซิขอรับ”
“นายกองจาง ท่านและทหารอยู่ตรงนี้ อย่าไปไหน นายกองอี้ ท่านก็เช่นกัน ให้ตั้งโล่เป็นกระดองเต่า ห้ามออกจากแถวเด็ดขาดจนกว่าข้าจะกลับมา ไม่ว่าได้ยินเสียงอะไรห้ามขยับ” พูดจบก็เอาธนูมาจากนายกองอี้ “จำไว้ห้ามขยับไปไหน”
“ขอรับ!” เสียงตอบดังชัดเจน แม้บางคนยังสงสัย แต่ก็ปฏิบัติตามโดยไม่ถามเพิ่ม
ทหารเปิดทางให้จินเซียงก้าวเข้าไปในป่า เพียงชั่วอึดใจเดียว เสียงโลหะเสียดสีกันแล้ว ฟิ้ว! ตามด้วยเสียงกระแทกหนัก ๆ ตึ้ม! ตึ้ม! ตึ้ม! เป็นชุด ๆ เสียงดาบและการปะทะดังต่อเนื่อง ฟับ! ฟับ! ฟับ!
เสียงร้องขอความเมตตา เสียงด่าทอ และเสียงล้มดังชัดพอให้ทหารทั้งค่ายได้ยิน
“เกิดอะไรขึ้นในป่า?” หนึ่งในทหารกระซิบถามเพื่อนข้าง ๆ
“ไม่รู้ แต่ท่านรองแม่ทัพเข้าไปได้พักหนึ่งแล้ว” อีกคนตอบด้วยน้ำเสียงกังวล
“ตั้งสมาธิไว้ ถ้าพวกมันบุกมาทางนี้ เราจบแน่” นายกองจางตะโกนสั่งเสียงเข้ม
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม จินเซียงเดินโผล่ออกมาจากป่า น้ำหนักการก้าวเดินยังคงดูมั่นคง ไม่ตะกุกตะกัก มีคราบเลือดเล็กน้อยติดที่เกราะ แต่ตัวนางก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
ผ่านไปครึ่งชั่วยามจินเซียงก็ออกมาจากป่า มีคราบเลือดติดที่เกราะบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วไม่ได้มาอาการบาดเจ็บอะไรเลยแม้นิดเดียว
“รีบเดินทางกันเถอะ เดี๋ยวพวกมันจะตามแห่กันมาอีก” พูดจบรับคืนของที่ฝากไว้ และคืนธนูให้นายกองอี้อย่างสบาย ๆ
“ขอรับ!” ทหารทั้งหมดตั้งแถวทันที แล้วขบวนก็เคลื่อนต่อไป พร้อมใจเตรียมพร้อมรับการปะทะที่อาจมาถึงในเวลาไม่ช้า
ขบวนทหารเดินทางไม่นานก็มาถึงด่านจางเจียนโขว ที่ซึ่งจินเซียงหยุดชะงักเล็กน้อย ด่านนี้ควรเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ แต่สิ่งที่ตาเห็นกลับทำให้นางแปลกใจอย่างมาก มีทหารยืนเฝ้าเพียงหนึ่งพันห้าร้อยคนเท่านั้น ทั้งที่ค่ายหลักและเมืองใหญ่มีกำลังพลหลายหมื่น แต่จุดนี้กลับไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร
“นายกองจาง!” นางเรียกเสียงดัง
“ขอรับ” เจ้าของชื่อวิ่งตรงมาอย่างฉับไว
“ทำไมที่นี่มีทหารแค่นี้?” จินเซียงถามตรง ๆ
“ที่นี่เป็นด่านเก่าขอรับ อีกอย่างส่วนใหญ่พวกเหลียวมักบุกทางอื่น” นายกองจางที่กำลังรายงานก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้น
“ไม่ทราบว่าท่านคือ”
“ข้าน้อยเตียวหลาง ผู้คุ้มกันประตูด่านจางเจียนโขว หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘ด่านคาร์คาร์น’ ขอรับ” ชายหนุ่มประสานคำนับ แล้วหันไปมองจินเซียงด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“รองแม่ทัพจินเซียง ข้านำคนมาลาดตระเวนบริเวณนี้” จินเซียงตอบอย่างเรียบง่าย แล้วถามต่อ “ช่วงนี้มีข่าวอะไรบ้าง”
เตียวหลางส่งแผนที่และข่าวที่มีมา “ชาวบ้านว่าพวกทหารเหลียวกำลังระดมพลจำนวนมาก แต่ยังไม่แน่ชัด ระบุได้เพียงว่าเหลียวแข็งแกร่งกว่าพวกซีเซียและจิน”
จินเซียงพ่นลมหายใจเบา ๆ “น่าสงสัย” ในตอนนั้นเหินฟ้าเหยี่ยวแดงของนางบินลงมาจนเกาะบ่า นางดึงจดหมายที่แนบมากับขนนกออกอ่าน รูปแบบและถ้อยคำยิ่งย้ำความไม่สบายใจ
“พวกมันจะข้ามภูเขามาตีเราแล้ว...ยังถกเถียงกันไม่หยุด” เธออ่านจบแล้วเผาจดหมายทิ้งด้วยนิ้วเรียบเฉย
“เหยี่ยวแดงตัวใหญ่จริงๆ” เตียวหลางมองอย่างชื่นชม ส่วนเจ้าของเหยี่ยวก็กำลังอ่านจดหมายซ้ำไปมาหลายรอบ
“ท่านแม่ทัพส่งมาหรือขอรับ?” นายกองจางถาม
“ใช่” จินเซียงสั้น ๆ “นายกองจาง ให้ทหารพักอีกครึ่งชั่วยาม เราจะเดินทางกลับโดยเส้นทางธรรมชาติ”
“ขอรับ!” จางรีบออกไปสั่งการ
“เจ้าเหินฟ้าไปสอดแนมฝั่งโน้นให้ข้าที” จินเซียงสั่ง เหยี่ยวผงกหัวแล้วพุ่งจากไป
เตียวหลางมองด้วยท่าทางแปลกใจ “ท่านคุยกับนกได้ด้วยรึขอรับ? เอะ! ท่านไม่ใช่ชาวฮั่นงั้นหรือ?”
จินเซียงถอดหมวกเหล็ก เผยผมที่ยังเปียกเหงื่อจากการเดินทางเล็กน้อย “ข้ามาจากเปอร์เซีย คนรักข้ามารบ ข้าจึงตามมา ไม่ต้องมองข้าแบบนั้น ข้าไม่ใช่พวกเติร์ก แต่พวกเติร์กกับข้าก็คล้าย ๆ กัน” เธอตอบอย่างเฉยชา
จากนั้นก้มจดข้อความลงในกระดาษสั้น ๆ ปิดท้ายด้วยการสอดกระบอกพลุไม้ไผ่ให้เตียวหลาง
“เอานี่ไป หากเหลียวยกม้าเข้ามาที่ด่าน จงยิงขึ้นฟ้า ข้าจะมาช่วยเอง ดูแล้วครั้งนี้นอกจากศัตรูแล้ว ยังมีคนโง่มาคุมทัพอีก”
เตียวหลางรับกระบอกพลุแล้วมองเธออย่างหนักใจ “ท่านไม่กลัวโดนลงโทษหรือขอรับ?”
เสียงสตรีดังขึ้นจากประตู “พี่เตียว ข่าวจากหน่วยลาดตระเวนถูกส่งกลับมาแล้ว”
“น้องเจียวเจ้ามาตรงนี้ทำไม” เตียวหลางถามหญิงสาวผู้มาใหม่
หญิงสาวชื่อเจียวเดินเข้ามา เธอเปิดแผนที่ชี้ชัด “พวกเหลียวรวมทัพสี่หมื่นกำลังข้ามภูเขามาทางนี้ ส่วนพวกซีเซียมุ่งตรงไปค่ายหลักที่เหอเป่ย ผู้นำคือถังปาจวิ้นกับถัวปายู๋ว”
“หึ! พวกมันจะบุกข้ามภูเขามาตีเราอยู่แล้ว พวกนั้นยังเถียงกันไม่จบอยู่เลยให้ตายซิ” จินเซียงเผาจดหมายในมือทิ้ง “ข้ามีเวลาเท่าไหร่? แล้วพวกมันมีกำลังเท่าไหร่?”
“ข้าคาดว่า...อีกสองวันน่าจะถึงที่นี่” คำตอบเหมือนไฟที่จุดโชนความเครียด “ท่านอาจตกข่าวหรือว่าข่าวอาจไปไม่ถึงเมืองหลวง ตอนนี้สองเมืองได้รวมกันหนึ่งภายใต้ธงของพวกเหลียว ส่วนทัพของพวกซีเซียนั้นมีเพียง หมื่นหน้าพันนายเท่านั้น” เจียวทำหน้าเหมือนกังวลอะไรบางอย่าง พอจินเซียงถาม ก็ตอบกลับว่าพวกจินนั้นเงียบเกินไป
“นายกองอี้! ส่งคนไปแจ้งขอกำลังเสริมเดี๋ยวนี้! เท่าไหร่ก็เอามา!” จินเซียงสั่งเสียงเข้ม
“ขอรับ! ข้าจะไปเอง!” นายกองอี้รับคำแล้วควบม้าหายไป
“พวกท่านรีบอพยพชาวบ้าน! เราเหลือเวลาไม่มาก!” จินเซียงหันไปสั่งเตียวหลางกับเจียว ทั้งสองรีบออกไป
ภายในห้องเหลือเพียงนางกับเหินฟ้า โครงร่างแผนที่และเสียงลมกระทบผ้า นางหลับตาเพื่อเชื่อมต่อกับมิติภาพของเหยี่ยว
[ทำการเชื่อมต่อ]
[เชื่อมต่อเสร็จสิ้น]
เสียงของระบบดังขึ้นในหัว
ภาพปรากฏในหัวชัดเจนเป็นคลื่น กองทัพไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นนาย เครื่องยิงหิน อุปกรณ์การยกทัพและยุทโธปกรณ์จำนวนมาก กองทัพที่พร้อมจะเข้ายึดเหอเป่ย์และจากนั้นก็จะเข้าตีเซียโจต่อด้วยยึดจงหยวนทั้งหมด แต่ก่อนหน้านั้นพวกมันต้องเข้าตีด่านจางเจียนโขวก่อน ถ้าพ้นจุดนี้ไปได้ที่ราบภาคกลางก็จะลุกเป็นไฟ
จินเซียงค่อย ๆ เปิดตา ปลายนิ้วแตะสแกนแผนที่ของระบบ ที่มีรายละเอียดชัดเจนกว่าที่วางอยู่บนโต๊ะ “สองวัน... เราต้องทำให้แน่” นางพูดกับตัวเอง แล้วรีบออกไปทำหน้าที่แม่ทัพ แผนการรุกรับเพิ่งเริ่มต้นขึ้น
“แย่ แย่ มาก ต้องทำให้พวกมันถอยกลับไปชาวบ้านได้ลำบากแน่” แสงแดดยามเที่ยงวันส่องผ่านกลุ่มเมฆบาง ๆ จินเซียงเงยหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าหนักใจ ก่อนจะหันลงไปยังทหารที่พักกันอยู่ด้านล่าง
“ทหาร เจ้ามีชื่อว่าอะไร” นางเอ่ยถามกับชายหนุ่มผู้หนึ่งที่นั่งไม่ไกล
“ตง…ขอรับ” เขาตอบเสียงสั่น
“อืม เจ้ามีครอบครัวไหม”
“มีพ่อกับแม่อยู่หมู่บ้านใกล้ ๆ ขอรับ”
จินเซียงพยักหน้าช้า ๆ “ไปตามเตียวหลางมา บอกว่าให้รวบรวมทหารทั้งหมดไปรอที่ลานตรงนั้น”
“ขอรับ!” พลทหารตงรีบลุกขึ้นวิ่งไป
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ๆ มือที่สั่นเล็กน้อยถูกกำแน่นไว้กับอก นางไม่คิดเลยว่าหลังจากมาต่างโลกเพียงไม่นานจะมาต้องยืนในจุดนี้ แม้ร่างเดิมจะมีประสบการณ์มามากมาย แต่ไม่ใช่กับคนที่ข้ามมิติมาแบบนี้ กลายมาเป็นรองแม่ทัพผู้รับผิดชอบชีวิตผู้คนนับพัน และยังต้องแบกทั้งชื่อของฮูหยินและตระกูลถังไว้บนบ่า
“ทุกคนพร้อมแล้วของรับ” พลทหารตงเดินมาบอกจินเซียงที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่
จินเซียงยกยิ้มบาง ๆ แล้วก้าวขึ้นไปยืนบนกำแพงหินสูง มองลงมายังทหารนับพันที่รอคอยด้วยสายตาหนักอึ้ง เครื่องแต่งกายของพวกเขาเก่าเกินครึ่ง อาวุธไม่สมบูรณ์ หลายคนแม้ยังหนุ่มแต่ใบหน้าแฝงความเหนื่อยล้า
เสียงลมพัดโหมคล้ายโหยหวนอยู่รอบด่าน นางเอ่ยขึ้นเสียงดังชัดเจน
“ข้ามีข่าวร้ายจะบอกพวกเจ้า” จินเซียงสูดหายใจแล้วคลายออกมาเบาอย่างแผ่วเบา “ตอนนี้กองทัพเหลียวมากกว่าสี่หมื่นกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่!”
เสียงฮือฮาดังขึ้น บางคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ยังไม่มีใครก้าวถอยหลัง
“ข้าจะไม่บังคับ หากใครไม่อยากตายก็หันหลังกลับไปเสีย” จินเซียงพูดพลางกวาดตามองไปทั่ว ทุกคนยังคงยืนนิ่ง เสียงหายใจดังเป็นระเบียบในความเงียบงัน
“แต่ถ้าเลือกจะสู้…จงสู้จนเลือดหยดสุดท้าย! จงละเลงเลือดให้ ทั่วสนามรบนี้! ให้สนามรบเต็มไปด้วยเลือดของพวกมัน! และให้คนรักของ พวกเจ้า พ่อแม่พี่น้องชายหญิงจดจำ! ว่าพวกเจ้าเป็นวีรบุรุษ! หาใช่คนขลาด! พวกเจ้าทำได้หรือไม่!!”
“พวกเราจะสู้!!” เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่เสียงตะโกน “สู้! สู้! สู้!” จะประสานกึกก้องไปทั่วทั้งด่าน ความกลัวที่แฝงอยู่ถูกแทนที่ด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่น
“สู้! สู้! สู้!” ทหารทุกนายตะโกนดังกึกก้อง
“ดีมาก!” จินเซียงยกแขนขึ้นชี้
“ดี! กองที่ 1-5 อพยพชาวบ้าน! กองที่ 6-10 เร่งทำเครื่องกีดขวาง! กองที่ 11-15 รีบไปเตรียมอาวุธ! ทหารม้าแบ่งกำลังออกลาดตระเวน จำไว้ห้ามปะทะ! ที่เหลือขึ้นประจำกำแพง!” จินเซียงตะโกนเสียงดัง
“เฮ่!!!” เสียงตะโกนดังก้องจนพื้นหินสั่นสะเทือน
ท่ามกลางการสั่งการนั้น นายกองอี้กับพวกรีบควบม้าออกไปยังค่ายใหญ่ทันทีเพื่อขอกำลังเสริม แต่เมื่อไปถึงกลับเจอความลังเลและการต่อต้านจากรัชทายาทและกุนซือ แม้แม่ทัพใหญ่ถังกับเผยอิงพยายามโต้เถียง
“เกิดอะไรขึ้นแล้วหลานสาวข้าไปไหน” ตาเฒ่าถังถามนายกองอี้ เพราะปกติต้องกลับมาจากลาดตระเวนแล้ว
“ท่านแม่ทัพตอนนี้มีทหารเหลียวมากกว่าสี่หมื่นกำลังมุ่งหน้าไปที่ด่านจางเจียนโขวขอรับ และทหารซีเซียไม่เกินสองหมื่นกำลังมาทางนี้ขอรับ ท่านรองแม่ทัพให้ข้ามาขอกำลังเสริม” นายกองอี้รีบตอบเพราะช้าไม่ได้ เค้าต้องการกำลังคนกลับไปให้เร็วที่สุด
“ไม่ได้! มันอาจเป็นแผนของพวกซีเซียที่จะให้การป้องกันของเมืองอ่อนแอลง” กุนซือกองทัพตอบอย่างไม่ไยดี ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาก็พร้อมโยนความผิดทันที
“แต่! ท่านกุนซือ! ท่านรองแม่ทัพบอกว่าเราจะเสียด่านไม่ได้น่ะขอรับ เพราะจะทำให้ที่นี่ถูกล้อม” นายกองอี้เถียง
“ท่านตาข้าขอพาทหารไปสมทบเองเจ้าค่ะ”
“แม่ทัพหยาง เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้! หน้าที่เจ้าคือการป้องกันด่านที่เหอเป่ย์ ไม่ใช่ที่นั่น!” เผยอิงหันมองหน้ากุนซือใหญ่
“ท่าน!”
“ข้าให้ได้แค่สองพัน!” นายกองอี้ไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง
“พ่ะย่ะค่ะ” นายกองอี้กัดฟันรับคำสั่ง จดจำคำที่นายของตนพูดได้ดี
“รัชทายาท! พระองค์ทำเช่นนั้นไม่ถูกน่ะพ่ะย่ะค่ะ ถ้าด่านนั้นแตกจริงๆ ทัพม้าของเหลียวจะมาถึงที่นี่ในเวลาอันรวดเร็ว” ตาเฒ่าถังรีบโต้แย้ง
“ข้าคิดดีแล้ว ถ้าด่านแตกเรายังป้องกันที่นี่ได้ ข้าไม่สามารถเอาเมืองไปเสี่ยงได้” คำตอบที่บอกว่าให้สองพันก็ดีเกินพอแล้วมันคือความหมายของสิ่งที่รัชทายาทพูด
“แล้วแต่ท่านเถอะ!” แม้แม่ทัพหลายคนจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่กล้าเถียงมากนัก แม้แม่ทัพใหญ่ถังจะเป็นหนึ่งในสามขุนนางใหญ่แต่เขาก็ไม่อยากโต้เถียงอะไรเพิ่ม
นายกองอี้เดินออกมาก็คุยกับทหารของตนที่ตามมาด้วยกัน ทั้งสามถึงกับส่ายหัวเพราะทหารที่ได้น้อยเกินไปแต่เมื่อขอเพิ่มไม่ได้ก็เอาเท่าที่ได้
“นั่น! นายกองทหารม้านี่” นายกองอี้หันไปมองตามเสียง
“เจ้ามัน! นายกองซุนผู้คุมทหารสองพันนาย!”
“ใช่แล้วข้าเองเพื่อนเก่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ให้คนของท่านเตรียมตัวเถอะก่อนตะวันขึ้นเราจะออกเดินทางกัน”
“ข้านึกว่าท่านจะออกเดินทางเลย” นายกองอี้ที่ได้ฟังก็นึกได้จึงเอาข้อความอีกอันมาอ่าน ‘ได้ทหารแล้วให้รีบกลับ’
“เช่นนั้นก็เตรียมตัวออกเดินทาง”
“ข้าขอไปส่งจดหมายก่อน” พูดจบก็เดินไปหาเผยอิงที่ยืนคุยกับนายทหารใต้บังคับบัญชา
เผยอิงรับจดหมายจากนายกองอี้ “ขอบใจมาก ขอให้พวกท่านโชคดี”
เผยอิงก้มอ่านข้อความในจดหมาย เมื่อเห็นประโยคสั้น ๆ ที่นางได้เขียนไว้ “ไม่ว่าผลศึกจะเป็นอย่างไร ข้าคิดถึงเจ้า” ใบหน้าที่เข้มแข็งของ แม่ทัพหญิงถึงกับสั่นไหว
“ท่านแม่ทัพ ข้าว่ากำลังเสริมไปแค่นั้นมันไม่ดีเลยน่ะเจ้าค่ะ”
“อีอี้ เจ้าอย่าบ่นเลย ท่านปู่ยังไม่ว่าอะไรสักคำ”
“เจ้ามัน!” สาวคนสนิทชี้หน้าด้วยความหมั่นไส้
“ทั้งคู่พอเถอะ เรายังมีงานต้องทำอีก แล้วก็เตรียมตัวเผื่อไว้ด้วย ถ้านางต้องถอยกลับ”
“เจ้าค่ะ”
ทหารในด่านส่วนใหญ่อยู่ระหว่างพักผ่อนมีเพียงรองแม่ทัพที่ยื่นมองไปทางทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่เบื้องหน้า
แสงรุ่งอรุณเริ่มเผยแสงสีทองบนฟ้า เหยี่ยวใหญ่บินโฉบลงเกาะบ่าของจินเซียง นางหรี่ตามองออกไปเบื้องหน้า ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่กำลังถูกกลืนด้วยคลื่นมนุษย์ กองทัพเหลียวมากกว่าสี่หมื่นนายหยุดเรียงรายอยู่ตรงขอบฟ้า เงาของหอกและธงรบโบกสะบัดดั่งคลื่นทะเลดำทะมึน
'พวกมันมาแล้ว'
สายลมอุ่นพัดมาช่วยคลายหนาวในยามเช้า ทว่าเสียงหัวใจของนางเต้นชัดเจนยิ่งกว่าเสียงกลองศึกที่กำลังจะดังขึ้นในไม่กี่อึดใจ…
*******
ท้องฟ้าเที่ยงวันร้อนระอุ แสงอาทิตย์ส่องลงมากระทบเกราะเหล็กจนแวววาวไปทั้งแนวกำแพงหินสูงของด่าน เสียงกลองศึกจากกองทัพเหลียวดังสนั่นจนพื้นดินสั่นสะเทือน ดุจฝูงอสูรยกพลโหมกระหน่ำเข้ามา
เบื้องหน้าคือทัพห้าหมื่นของ ‘ถัวปาจวิ้น’ มหาแม่ทัพผู้เกรียงไกร ด้านหลังกำแพงสูงคือกองทัพต้าซ่งเพียงสามพันเศษที่ ‘จินเซียง’ นำทัพมาป้องกัน
“ท่านรองแม่ทัพ”
“พวกเจ้ามาแล้วรึ” จินเซียงหันกลับมาดูคนของตัวเอง
“ขอรับ ได้มาเพียงสองพันเท่านั้น”
“ดีมากแล้ว ให้พวกเค้าไปพักก่อน พวกมันก็พึ่งมาถึงเหมือนกัน” จินเซียงหันกลับไปที่ทุ่งหญ้า
“เราจะรอดไหมขอรับ”
“พวกเจ้าอยากตายกันรึเปล่าล่ะ”
“ไม่ขอรับ”
“เช่นนั้นข้าจะไม่ให้พวกเจ้าตาย” พูดตอบโดยที่ไม่แม้จะหันกลับไปมองทหารที่ยืนอยู่
พระอาทิตย์ขึ้นตรงกลางหัวพอดี เบื้องหน้าตอนนี้มีทัพเหลียวยืนประจันหน้าอยู่ ทหารสองกองทัพที่มีจำนวนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทั้งสองแม่ทัพควบม้าออกมาเผชิญหน้า ทุ่งหญ้าเบื้องหน้ากว้างไกล เงียบสงัดเพียงลมพัดหญ้าสะบัด
นายกองจาง นายกองอี้ นายกองซุนและเตียวหลาง ยืนมองบนกำแพงอย่างสงบแม้ในใจจะหวาดหวั่นเพียงใด
จินเซียง ประสานมือคำนับ
“ข้าคือ ‘รองแม่ทัพแห่งเหอเป่ย์’ ผู้รักษาประตูด่าน บุตรีบุญธรรมตระกูลถัง นามจินเซียง ”
ถัวปาจวิ้น หัวเราะก้อง “ข้าคือถัวปาจวิ้น ผู้นำทัพห้าหมื่น! ไม่ซิผู้นำทัพแสนนาย! ข้าให้โอกาสเจ้ายอมแพ้ เมืองนี้จะได้ไม่เป็นเถ้าธุลี”
จินเซียงยกยิ้มเย็นชา “ขอบคุณในความหวังดี… แต่ข้ากำลังสร้างโรงเตี๊ยมอยู่ในเมืองหลวง จะให้ไฟสงครามเผามันทิ้งไปได้อย่างไร”
“ดี! เช่นนั้นหากข้าแพ้ศึกนี้! ข้าจะไม่กลับมาอีก!”
“ข้าก็อยากพูดว่าอย่าลืมคำพูดอยู่” จินเซียงหยิบเอากระดาษและพู่กันออกมาจากใต้เสื้อเกราะ แล้วเขียนสัญญาท่ามกลางสนามรบ
“สิบปี! หากเหลียวแพ้ จะไม่ยกทัพลงใต้”
ถัวปาจวิ้นลงนามด้วยแววตาแฝงแค้น ก่อนทั้งสองควบม้ากลับกองทัพ
“ถ้านางรอดจากสงครามครั้งนี้ ข้าบอกได้เลยว่านางคงอยู่ลำบาก”
“ทำไมหรือขอรับท่านแม่ทัพ”
“เจ้ารัชทายาทนั่นไม่ชอบนาง เจ้าคิดว่าต่อให้ชนะจริงๆ แล้วนางจะได้อะไรรึไม่ล่ะ”
“ก็จริงของท่าน”
*************
เสียงแตรรบดังสะท้านก้อง
“บุกกกกก!!!”
คลื่นทหารเหลียวกรูกันเข้าหากำแพงราวน้ำเชี่ยว ใช้บันไดไม้พาดกำแพงสูง
บนแนวป้อมจินเซียงตะโกนก้อง
“อย่าเพิ่งยิง! รอจนพวกมันล้ำเข้ามา!”
ทหารต้าซ่งหลายพันคนยืนนิ่ง สายธนูตึงแน่น ราวเสือที่หมอบรอคำสั่ง ทหารเหลียวเห็นว่าไม่มีลูกธนูบินลงมา พวกมันจึงไม่เอาโล่ขึ้นบังแล้วพากันวิ่งดาหน้าเข้าหากำแพง
จนกระทั่ง.....ข้ามเส้นสีแดง
พึ่บ! เพียงมือเดียวของนางกดลง
ฟิ้ววววววววว!!!
ธนูนับพันพุ่งทะลุอากาศลงมาดังฝนเหล็กกระหน่ำ
“อ๊ากกกกกกกก!!!”
ลูกธนูนับพันพุ่งทะลุร่างของทหารเหลียว เสียงกรีดร้องระงมดังไปทั่ว สนามรบ กองหน้าสองพันถูกกวาดล้มราวต้นข้าวถูกพายุโค่น เลือดไหลนองทุ่งหญ้า กลิ่นคาวคละคลุ้งจนลมยังพัดไม่ทันจาง
“อย่ายิงมั่ว! เล็งแล้วยิง!” นายกองหลายคนพยายามตะโกนบอกทหาร ตามที่จินเซียงบอกไว้ พลธนูยืนซ้อนกันสามแถวสลับกันยิง ถึงอย่างนั้นลูกธนูก็มีจำกัด
การบุกครั้งแรกล้มเหลว แต่แม่ทัพหาได้สนใจเพราะพวกนั้นเป็นเพียงทหารที่ถูกเกณฑ์มาเท่านั้น
“บุกต่อไป”
คลื่นระลอกที่สองภาโถมเข้าใส่กำแพง มีการให้หน้าไม้ขนาดใหญ่ช่วยยิงสนับสนุนทั้งยังมีเครื่องยิงหินที่เริ่มระดมโยนหินเข้าใส่กำแพง
ทหารเหลียวพากันวิ่งใส่กำแพงสูงอย่างไม่กลัวตาย ใช้คนที่ตายมารับลูกธนูแล้วพาดบันไดสูงกับกำแพง
“เทน้ำร้อน! อย่าให้พวกมันปีนกำแพงขึ้นมาได้” น้ำร้อนถูกเทลงไปด้านล่าง ทหารเหลียวหลายคนต้องตายเพราะมัน ทว่าพวกมันก็ยังมาไม่หยุด
ทัพเหลียวเข็นหอสูงเข้ามาแนบกำแพง นายกองอี้ที่สังเกตุเห็นรีบตะโกน “ท่านรองแม่ทัพ!! อาวุธตีเมือง!!” เค้าชี้ไปที่หอสูงที่มาพร้อมอุปกรณ์ทำลายประตู ทั้งยังมีกลุ่มเดนตายพยายามกระทุ้งประตู
“ยิงเพลิง!” จินเซียงคำราม
“ยิงเพลิง! เดี๋ยวนี้” นายกองอี้รีบหันไปสั่งทหาร
ลูกธนูไฟสาดใส่หอสูงพร้อมไหดินปืนและน้ำมัน ที่ถูกเหวี่ยงเข้าใส่ หอสูง “เทน้ำมัน! เผาพวกมันเลย!” น้ำมันร้อนเทราดไปที่ทหารเดนตายที่กำลังพยายามทำลายประตู
ตู้มมมมมมมมม!!!
หอสูงระเบิดเป็นทะเลเพลิง เปลวไฟลุกท่วมจนควันดำบดบังท้องฟ้า ลูกไฟขนาดใหญ่กลืนเอาทหารเหลียวในบริเวณรอบๆ ไปจนหมด ทหารนับร้อยกรีดร้อง ดิ้นทุรนทุรายในกองเพลิง เสียงโหยหวนดังสะท้อนเสมือนขุมนรกเปิด
บางคนวิ่งฝ่าไฟออกมา แต่ก็ถูกหอกและดาบของทหารต้าซ่งปักทะลุร่าง เลือดสดผสมกลิ่นไหม้จนทั้งกำแพงเต็มไปด้วยควันคละคลุ้ง
ไฟจากหอสูงที่ล้มลามไปติดกับหญ้าแห้ง จนทำให้ไฟลามออกไปอย่างรวดเร็วทำให้ทหารหลายร้อยต้องสังเวยชีวิตไปภายในกองเพลิง
“แย่แล้ว! ท่านรองแม่ทัพ! ฝั่งขวาถูกบุกขึ้นมาแล้ว!” นายกองอี้ตะโกนบอกจินเซียงที่อยู่ไม่ไกล
“อี้! เจ้านำร้อยนายไปยันไว้ ส่วนตรงนี้ข้าจัดการเอง!” จินเซียงกระชากดาบออก ถีบทหารเหลียวตกกำแพง
“ขอรับ” นายกองอี้พร้อมทหารร้อยกว่านายวิ่งตรงไปที่ปีกขวา
ฝ่ายเหลียวเริ่มสั่งให้กองกลางบุก ทหารฝีมือดีของเหลียวบุกขึ้นกำแพงโดยใช้หอสูงที่ส่งมาเพิ่ม และมีการยิงธนูใส่ทหารซ่งบนกำแพง
ทันที่ที่ประตูหอสูงพาดกำแพง ทหารซ่งก็ระดมยิงธนูเพลิงเข้าใส่ ตามด้วยระเบิดดินปืนและไหน้ำมัน
ตู้มมมมมมมมม!!!
ทหารหลายร้อยนายถูกย่างสดอยู่ภายในหอสูง บางส่วนวิ่งฝ่าออกมาเข้าฟาดฟันทหารซ่ง
ตกบ่ายการรบยิ่งดุเดือดมากขึ้นเมื่อทหารเหลียวใช้เครื่องยิงหินไฟเข้าใส่แนวกำแพงทั้งหมด
ฟิ้ว! ตู้มมมมมม!!!
“อ้ากกก”
ทหารต้าซ่งหลายคนกระเด็นตกกำแพงตาย ทุกคนต่างบาดเจ็บจนทำให้บนกำแพงเริ่มมีจุดว่าง ทหารเหลียวฉวยจังหวะบุกขึ้นกำแพงเพื่อบุกยึดหอประตู
“ทหารม้า! ตามข้า! ฆ่าให้หมด!!!” จินเซียงโยนตัวขึ้นม้า เพียงม้าสิบกว่าตัว ก็กวาดศัตรูบนแนวกำแพงดุจพายุหมุน “ฆ่าให้หมด!!”
เสียงกระดูกหักดัง กร๊อบ! กีบม้ากระแทกใส่ร่างจนเลือดสาด ดาบยาวในมือจินเซียงฟันฉับตัดหัวศัตรูปลิวกลางอากาศ บางคนถูกชนตกกำแพงในเวลาไม่นานทหารเหลียวบนกำแพงก็ตายจนหมด ไม่ช้าแนวกำแพงก็ถูกยึดกลับคืน ควันไฟเหนือหอประตูยังคงลอยเด่นพร้อมธงต้าซ่งที่ยังคงเด่นอยู่บนยอดหอคอย
เสียงกลองศึกค่อย ๆ เบาลงเมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ สายลมยามเย็นพัดกลิ่นเลือดและควันไฟจนฉุนจมูก ทุ่งหญ้ากลายเป็นทะเลศพ กำแพงสูงเต็มไปด้วยบาดแผลและคราบเลือด
การรบหยุดลงในตอนเย็น จินเซียงนั่งพิงกำแพงอยู่กับเจียวเจียว แม้จะเหนื่อยเพลียแต่แววตาก็ยังคงเด็ดเดี่ยว เหยี่ยวขาวของเผยอิงบินมา เกาะบนบ่า นำสารจากทัพหลวงมาให้นาง เหยี่ยวขอเผยอิงบินมาเกาะที่บ่าของจินเซียงที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่กับเจียวเจียว นางหยิบจดหมายออกมาอ่านด้วยหวังว่าจะมีข่าวดี
นางคลี่อ่าน พลางหัวเราะเย็น “ทัพซีเซี่ยถอยไปแล้ว… แต่รัชทายาทยังไม่ส่งกำลังเสริมงั้นหรือ… หึ เช่นนั้นก็ต้องสู้ด้วยเลือดเนื้อนี่แหละ” จินเซียงส่งข้อความให้เจียวเจียวอ่านต่อ
แววตานางเปล่งประกายราวคมดาบยามต้องแสงอาทิตย์ยามอัสดง
“บ้าบอสิ้นดี…เรามีทหารที่ยังรบได้ไม่ถึงสามพัน!” เสียงเจียวเจียวดังแข่งกับเสียงเพลิงและกลิ่นคาวเลือด
“ถ้ารอกำลังเสริม เราจะถูกบดขยี้ตายกันหมด…อาเจียว ข้ามีงานให้เจ้าไปทำ”
“ว่ามาเถอะ สหายข้า” เจียวเจียวตบบ่าจินเซียง
“พาทหารบาดเจ็บล่าถอยออกไปให้หมด พรุ่งนี้พวกมันต้องใช้ทหารม้าเข้าบุกเต็มกำลังแน่”
“ไม่ได้! ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน!” เจียวเจียวหันไปเถียง พวกทหารทั้งหมดก็พร้อมใจกันขอให้นางเปลี่ยนใจ
จินเซียงก้าวออกมา ใบหน้าเปื้อนเลือดทั้งศัตรูและสหาย “ข้ามิได้บอกเจ้าในฐานะนายเหนือหัว แต่บอกในฐานะพี่น้องร่วมรบ…นี่คือคำสั่งและมันคือคำสั่งเด็ดขาด!”
“ข้าไม่ได้บอกเจ้าในฐานะทหาร แต่บอกพวกเจ้าทุกคนในฐานะพี่น้องร่วมรบและมันคือคำสั่งเด็ดขาด”
“ท่านรองแม่ทัพ โปรดไตร่ตรอง!” นายทหารที่แขนยังพันผ้าเปื้อนเลือดยังฝืนตะโกนออกมา
จินเซียงกัดฟัน กลั้นอารมณ์ที่อยากจะร้องไห้ “ครอบครัวพวกเจ้ารออยู่ที่บ้าน หากยังไม่ตาย วันหนึ่งก็กลับมารบได้ แต่ถ้ายืนตรงนี้ จะกลายเป็นเพียงซากศพที่เพิ่มภาระแก่สหาย!”
นางหันหลังให้ความลังเลทั้งมวล “ถอยไปยังอีกฝั่งแม่น้ำ แม่ทัพหยางรออยู่ แต่นางมิอาจข้ามมาได้…จงไปเถิด!”
“แต่ว่า!” ทหารทุกคนอยากจะคัดค้านความคิดนี้
“ไม่มีแต่! รีบไป!”
เสียงคำรามของนางทำให้ทุกคนจำใจล่าถอย อาเจียวพาทหารบาดเจ็บหายลับไปในความมืด ทิ้งเพียงเงาหลังที่บีบรัดหัวใจ
จินเซียงหันมองกำแพงศพที่กั้นประตูไว้ ตอนนี้เหลือเพียงสองพันเศษ ทว่าเบื้องหน้าคือคลื่นศัตรูหลายหมื่น… ทว่าในใจนั้นมีความรู้ขัดแย้งบางอย่างที่กวนใจไม่น้อย กองทัพของพวกซีเซี่ยนั้นถอยทัพยอมแพ้กันเร็วเกินไปจนแปลกประหลาด
“มีบางอย่างมันกวนใจไม่หยุดจริงๆ” จินเซียงได้แต่ภวานากับท้องฟ้าว่าอย่าให้เป็นเช่นที่คิด
แต่เหมือนฟ้าไม่เป็นใจ รุ่งอรุณมาเยือนพร้อมเสียงกลองศึก กองทัพเหลียว ซีเซี่ย และจินบุกมาราวพายุ จนกระทั่งการต่อสู้กลายเป็นการรบประชิดตัว เสียงโลหะกระแทกกันดังก้อง
“ตายยยย”
ทหารซ่งกระโจนกัดหูศัตรูจนเลือดสาด
“ย้ากกกก”
หอกยาวเสียบทะลุร่างเขา ร่างดิ้นทุรนทุรายก่อนจะทรุดลงสิ้นใจ
เศษหินจากกำแพงยังถูกใช้เป็นอาวุธ เลือดนองพื้นจนดินกลายเป็นโคลนแดง จินเซียงตวัดดาบจนคมบิ่น ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้หมัดกระแทกใส่ศัตรูทุกทิศ
แม้กระทั่งเศษกำแพงก็กลายมาเป็นอาวุธ จินเซียงเริ่มใช้หมัดแทนดาบเพราะคามคมของดาบเริ่มลดลง
ทหารเหลียวพยายามที่จะเข้ามาเปิดประตูด่านก็ต้องพบกับจินเซียงที่ยืนหยัดอยู่ตรงหน้าประตู จนทำให้มีศพทหารจำนวนมากกองรวมกันกลายเป็นกำแพงปิดประตู ถึงแม้ว่าจะมีกลยุทธ์ดีและทหารที่มีความกล้า แต่ทว่ากำลังพลนั้นกลับน้อยกว่ามาก ตอนนี้ทุกคนแทบไม่เหลืออะไรเลย เกราะ ดาบ หอก ธนู ก็ไปเก็บมาจากศพทหารที่ตาย
จินเซียงกับทหารบางส่วนช่วยกันเปิดทางให้ทหารที่บาดเจ็บขึ้นม้าแล้วฝ่าวงล้อมออกไปพร้อมนายกองอี้ที่นำทหารบางส่วนถอยลงไปที่แนวแม่น้ำด้วยตามคำสั่ง ทำให้ตอนนี้นางจะเหลือทหารเพียงหยิบมือแต่ทหารเหลียวก็ยังไม่สามารถจัดการพวกนางได้
“ท่านรองแม่ทัพ เลือดออก!”
เตียวหลางดึงลูกธนูออกจากแขนจินเซียง เลือดทะลักออกมาทันที แต่ใบหน้าของนางกลับไร้แววเจ็บ
“พอเถิด แผลแค่นี้…เอาผ้าไปพันคนอื่นก่อน”
“ท่านอย่าพึ่งพูดเลยขอรับ รอเอาลูกธนูออกจากแขนท่านก่อน”
“พวกมันเหลือเท่าไรแล้ว” เสียงทหารหนุ่มเอ่ยทั้งที่ศีรษะพันผ้า
“นี่ อาตงเจ้ายังอยู่หรือ” นางแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นทหารหนุ่มถึงแม้ว่าเจ้าของชื่อจะมีผ้าพันไว้ที่หัว
“ขอรับท่านรองแม่ทัพ ข้าเป็นชายจะหนีได้ไง” จินเซียงพยักหน้าให้แล้วหันไปตอบเตียวหลาง
“สามหมื่นกว่า…ไม่สิ เกือบสี่หมื่น” จินเซียงขมวดคิ้ว “เงียบก่อน”
ทุกคนเงียบกริบ มีเพียงเสียงลมพัดและกลิ่นเหล็กในลมหายใจ
“มันกำลังล้อมเรา เตรียมตัวทุกคน ผูกโล่ไว้ด้านหลัง มัดให้แน่น!”
เสียงเกราะเสียดสีกันแผ่วเบาในความมืด นางพาทหารเคลื่อนที่ลงจากกำแพงด้วยความเงียบ ทั้งหมดเคลื่อนไปยังจุดซ่อนม้าท่ามกลางความตายที่รายล้อม
สิ่งหนึ่งที่รู้มาจากการรบกับพวกอัศวินคือพวกนั้นชอบเอาโล่ไว้ด้านหลังทำให้ธนูไม่สามารถทำอะไรทหารม้าที่ถอยหนีได้ เหมือนบางพวกที่เอาโล่ห้อยไว้ข้างม้าแบบเดียวกับเวลาเข้าตีทหาราบ
ทหารสามร้อยนายบวกรองแม่ทัพค่อย ๆ เคลื่อนที่ในความมืดไปที่จุดซ่อนม้าที่นางสั่งให้คนมาทำไว้ เมื่อมาถึงทุกคนต่างรีบถีบตัวขึ้นม้ายกเว้นนาง
“ท่านรองแม่ทัพ ทำไมยังไม่ขึ้นม้า!” เตียวหลางหันกลับมาถาม
“ข้าจะเปิดทางให้พวกเจ้า เมื่อได้สัญญาณแล้วจงรีบไปที่จุดนัดพบ ไม่เกินครึ่งชั่วยามข้าจะตามไป”
“แต่ว่า!”
“เตียงหลาง! ไม่มีแต่! รีบไป!”
ดวงตาทุกคู่มองนางด้วยความเคารพและเจ็บปวด “ท่านรองแม่ทัพโปรดรักษาตัว”
“โปรดรักษาตัว!” ทหารทุกคนทำตาม
เมื่อทางสะดวกเหล่าทหารก็พากันถอยไปที่จุดนัดพบก่อนถึงทางข้ามแม่น้ำ จินเซียงหยุดมองเหล่าทหารที่พากันควบม้าหายไปในความมืด
“แล้วพบกันใหม่”
จินเซียงยิ้มก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในป้อม
“เกิดใหม่ครั้งนี้ช่างดีจริง ๆ อย่างน้อยก็ได้พบคนที่จริงใจและรักข้า” นางหยิบธนูออกมาแล้วรอเวลาที่ทหารฝ่ายเหลียวพากันขึ้นมาบนกำแพงและเข้ายึดหอเหนือประตู ที่ได้ติดตั้งกับดักเอาไว้
เหงื่อเย็นไหลซึมไปตามชุดเกราะ บรรยากาศที่เงียบสนิททำให้ไม่มีใครรู้ตัวว่ามีใครบางคนกำลังซุ่มมองพวกมันอยู่ในความมืด
ปึก!
ลูกธนูพุ่งทะลุเข้าไปภายในห้องที่ตอนนี้เต็มไปด้วยทหารเหลียวที่กำลังช่วยกันเปิดประตูเหล็กที่ถูกล็อกด้วยการทำลายกลไกของมัน
ปึก!
ปึก!
ปึก!
พวกทหารเหลียวไม่มีใครสนใจลูกธนูที่พุ่งเข้ามา จินเซียงใช้เทคนิคบางอย่างทำให้ลูกธนูนั้นไร้เสียงเวลาวิ่งแหวกอากาศ
หนึ่งในกลยุทธ์ที่โหดที่สุดคือไฟ ครั้งหนึ่งขงเบ้งเคยเผาทัพของโจโฉจนสิ้นชื่อ แม้แต่ขงจื้อเองก็เคยใช้มันในการปราบกบฏ
รอยยิ้มเย็นปรากฏบนหน้าจินเซียงเมื่อลูกธนูลูกสุดท้ายถูกยิงออกไป ลูกธนูที่สร้างด้วยกลไกบางอย่าง
ปึก!
แกร็ก!
ทหารเหลียวเริ่มพากันหันมองลูกธนูที่ปักอยู่บนลังไม้ เสียงของมันฟังดูแปลกประหลาด
“หัวหน้า ตรงนี้มีอะไรด้วย” ผู้เป็นหัวหน้ากองเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ
ทหารเหลียวหัวเราะเย้ยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกมันพยายามงัดกลไกลังไม้โดยไม่รู้ตัวว่าความตายซ่อนอยู่ในนั้น
“นี่มันกลิ่นอะไร? เปิดลังไม้!” ลังไม้ที่เป็นลังกลไกหลักถูกพวกมันงัด
แต่ทว่า “ฉิบหายแล้ว! รีบออกจากตรงนี้!” เมื่อลังไม้ถูกเปิด กลไกก็ได้ทำงานจนครบสมบูรณ์
คลิ๊ก!
ตู้มมมม!!!!
เสียงระเบิดดังสนั่นทั้งแนวกำแพง ร่างทหารเหลียวปลิวกระจัดกระจาย เปลวไฟพวยพุ่งสูงจนสว่างไปทั้งท้องฟ้า กลิ่นคาวเลือดผสมควันไฟคลุ้งไปทั่ว เสียงกรีดร้องดังประหนึ่งขุมนรก
ลูกไฟขนาดใหญ่พอที่จะสามารถมองเห็นได้จากชายป่าแห่งความตายจากระยะไกล เตียวหลางกับจางเหลียงหันกลับมามองเปลวไฟที่โหมกระหน่ำ น้ำตาไหลพรากโดยไม่รู้ตัว
“ท่านรองแม่ทัพ…โปรดรอดกลับมา”
ทุกคนภาวนาขอให้ผู้เป็นนายของตนปลอดภัย และรีบพากันควบม้าตรงไปที่จุดข้ามน้ำตามคำสั่งในตอนที่ศัตรูกำลังสนใจสิ่งอื่นและไม่ได้ไล่ตาม
บรรยากาศครึกครื้นเมื่อครู่พลันเงียบลง กลุ่มคนเริ่มแตกฮือหนีเมื่อเห็นชายฉกรรจ์ยกอาวุธเข้ามา จินเซียงขยับตัวเล็กน้อย ดันเด็กสาวญี่ปุ่นทั้งสองให้หลบไปอยู่หลังเผยอิง“ข้าถามอีกครั้ง มีเรื่องอะไรกับเด็กสองคนนี้” เสียงของนางนิ่งเรียบ แต่แฝงแรงกดดันจนอีกฝ่ายชะงักวูบหนึ่งชายหน้าบากหัวเราะหยัน “หึ! เจ้าไม่ต้องรู้หรอกคุณหนูใหญ่ แค่ส่งตัวพวกนางมา เรื่องก็จบ”“ขู่ข้า? ถ้าไม่จบล่ะ” จินเซียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยสิ้นคำพูด ร่างของนางหายวับไปจากที่ยืน ก่อนจะปรากฏอยู่ตรงหน้าชายคนนั้นโดยไม่ทันให้ตั้งตัว มือข้างหนึ่งกดข้อมือของเขาอย่างแรงจนดาบร่วงลงพื้น เสียงเหล็กกระทบดัง เคร้ง!“เจ้าจะ!” อีกสองคนรีบพุ่งเข้ามา แต่เพียงพริบตา จินเซียงสะบัดชายแขนเสื้อออก หมัดและปลายเท้าแทรกผ่านราวสายลม ปัดอาวุธออกจากมือพวกมันทีละคนอย่างแม่นยำเสียงแตกตื่นดังไปทั่วตลาด พ่อค้าแม่ค้าพากันถอยหนี บรรยากาศรอบท่าเรือกลายเป็นความวุ่นวายเผยอิงก้าวขึ้นมาข้าง ๆ พลางชักดาบสั้นที่พกติดตัวไว้“หากยังกล้าแตะต้องพวกนางอีกแม้แต่น้อย… อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”สีหน้าของชายฉกรรจ์เริ่มแปรเปลี่ยนจากหยิ่งผยองเป็นหวาดหวั่น เหลือบตามองฝูงชนที่เริ่ม
กลองศึกยังไม่ทันเงียบสนิท เสียงกีบม้าก็เร่งเร้าสะท้านพื้นดินสะเทือน ร่างของจินเซียงที่เต็มไปด้วยเลือดทั้งของตนเองและศัตรู ถูกหามลงจากหลังม้าโดยทหารที่น้ำตาคลอ ดวงตาของผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนแดงก่ำ ทั้งยกย่อง ทั้งโกรธแค้นที่คนอย่างนางต้องบาดเจ็บเพราะ ‘การตัดสินใจชักช้า’ ของเบื้องบน“ท่านรองแม่ทัพ… ฮึดไว้นะ! อย่าหลับตาเด็ดขาด!”เสียงของนายกองดังแทรก ขณะนางถูกหามเข้าไปในกระโจมใหญ่ กลิ่นสมุนไพรผสมคาวเลือดคลุ้งไปทั่วเผยอิงที่รออยู่แล้วแทบวิ่งเข้าใส่ เมื่อเห็นร่างที่ไร้สติของคนรัก “เซียง…เจ้าอย่ากล้าทิ้งข้าเชียวนะ!” น้ำเสียงสั่นเครือแต่ก็เต็มไปด้วยความ เด็ดเดี่ยว“ท่านกุนซือ! หากนางเป็นอะไรไป ข้าจะมาเอาชีวิตท่านเอง!”เสียงของแม่ทัพถังประจำเหอเป่ย์ดังก้องไปทั่วค่าย ทหารหลายพันสายตาจับจ้องมาที่ชายชราซึ่งเป็นกุนซือใหญ่“หาใช่ความผิดของข้า! ข้าเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าที่จะเดิมพันกับชีวิตเพียงคนเดียว!” ยังไม่ทันสิ้นคำ ร่างของกุนซือก็ปลิวกระแทกพื้นอย่างแรงจากฝ่ามือที่ฟาดเข้าใส่“นี่! สำหรับพี่น้องข้าที่ตายไปเพราะคนเห็นแก่ตัวเช่นท่าน!”เตียวหลางชี้หน้าด้วยเสียงสั่นสะท้านไปด้วยโทสะ ความเงียบอึดอัดปกค
แม้ว่าภายนอกจะวุ่นวายเพียงไรแต่ก็ไม่กระทบกับการกินอาหารแม้แต่น้อย บนโต๊ะมีอาหารมากมายพอๆ กับคนที่มีเยอะ ดีที่หวังซุนเทียนได้จองไว้ทั้งชั้นทำให้ไม่มีใครรบกวน“ท่านเอ่อ~” “เรียกข้าซียงก็พอ ไม่ว่าจินเต้องมาก็พิธี” “เจ้าค่ะ พี่จินเซียง จริงซิพวกท่านจะไปงานชุมนุมชาวยุทธ์ใช่รึไม่” “ใช่แล้ว คนเยอะน่าจะขายดี” ตอบตามที่คิด เพราะนางคิดจะหาเงินจากงานนี้โดยเฉพาะ พอกินข้าวแล้วตีกัน เมื่อโรงเตี้ยมพัง คนก็จะมากินที่ร้านนาง “พวกท่านจะว่าอะไรรึ ไม่ถ้าพวกเราขอตามขบวนท่านไป” จินเซียงเหลือบมองกุ้ยเฟยเล็กน้อย กุ้ยเฟยก็พยักหน้า “ตกลง พวกเราเป็นสตรีเหมือนๆ กัน การที่จะเดินทางด้วยกันก็ไม่ใช่แปลกอันใด มาเถอะเดี๋ยวอาหารจะเย็นก่อน”“ขอบคุณท่านมาก เช่นนั้นข้าในนามตัวแทนศิษย์สำนักดอกเหมยขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก” “ดี! มาทุกคนดื่ม” “ดื่ม!” ทุกคนร่วมกินอาหารกันอย่างสนุกสนาน ทางเจ้าของโรงเตี๊ยมได้เชิญนักดนตรีมาแสดงให้ชมเพื่อความเพลิดเพลินและต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีไว้กับสตรีที่อยู่ในห้อง ไม่บ่อยครั้งที่ผู้นำตระกูลหวังจะออกหน้าเพื่อเหมาชั้น สั่งเตรียมอาหารที่ดีที่สุดในเหล่าอาหารไว้เช่นกัน “ไม่ทราบว่าพี่สา
เช้าวันต่อมาหลังทานอาหารแล้ว จินเซียงกับเผยอิงก็เข้าไปคุยกับหยางจินเทาเรื่องที่ทางโซซอนส่งคนมาขอความช่วยเหลือ นางรู้ดีว่าโซซอนเป็นปราการด่านแรกที่ป้องกันการรุกรานของพวกญี่ปุ่นถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเพียงพวกโจรสลัดก็ตาม ถึงแม้ในความฝันคนที่คิดว่าเป็นเทพพระเจ้าจะบอกไว้ว่าทุกอย่างในโลกใบนี้ไม่ใช่แบบเดียวกับโลกเดิมของนางก็ตาม แต่ก็ประมาทไม่ได้ เมื่อพูดคุยกันแล้วทางหยางจินเทาก็มีความกังวลเรื่องปืนใหญ่ เพราะว่าตอนนี้ปืนใหญ่แบบที่ต้าซ่งมีในครอบครองนั้น ที่อื่นยังไม่มีใช้ประกอบกับทหารของต้าซ่งเองก็ใช่ว่าเข้มแข็งเช่นยุคของต้าถัง “ปู่คงต้องไปปรึกษากับพระองค์ดูก่อนว่าจะทำเช่นไร เพราะทางโกโจเองก็ปฏิเสธเรื่องนี้เพราะคนล่ะกลุ่มกัน” “เจ้าค่ะ อย่างไรก็ต้องจัดการให้เสร็จก่อนที่จะเดินทางไปงานชุมนุมชาวยุทธ์ที่หลานต้องไปคุ้มกับกุ้ยเฟย” “งานนี้ได้ข่าวว่าจัดที่ภาคกลาง เอ่~ อ้อ ปู่นึกออกแล้วว่าจัดที่ไหน” “ที่ไหนรึเจ้าค่ะ” เผยอิงถาม “ก็ที่ทำการหลักของพรรคฝ่ายธรรมมะที่เหวย์ฟาง เขตซานตง” “หลานเคยได้ยินมาบ้างว่า-” “ใช่แล้ว!” สองปู่หลานถึงกับสะดุ้งเพราะอยู่ๆ อีกคนก็ตะโกนขึ้นมา “ใช่อะไรท่านพี่” เผยอิงหันไป
เช้าวันต่อมา จินเซียงพาเผยอิงและสองสาวไปเล่นน้ำที่น้ำตกใกล้บ้าน แต่ทว่ากลับไม่มีใครยอมลงเพราะการเปลืองผ้าเล่นน้ำนั้นถือว่าผิดหลักสอนหญิง แต่บางทีพวกนางอาจลืมไปว่าทีนี่มีแต่สตรีเท่านั้น จินเซียงโดดลงน้ำโดยมีเพียงบังทรงกับกางเกงสั้นเท่านั้น ซู่มม~ “สดชื่นจริงๆ อ้าวพวกเจ้าไม่ลงมาล่ะ ฮูหยินข้า เจ้าไม่ลงมาหรอ” “พวกข้าว่ายน้ำไม่เป็นเจ้าค่ะ” เผยอิงตอบตามตรง “อะไรกัน เช่นนั้นก็นั่งเล่นกันดีๆ น่ะ” “เจ้าค่ะ” วันเวลาอันสงบสุขก็ดำเนินต่อไปจนวันสุดท้ายของการพักผ่อนมาถึง ทั้งสี่ช่วยกันเก็บข้างของขึ้นรถม้าเพื่อเตรียมตัวกลับไปที่จวน “เสี่ยวจูเจ้าเก็บของมาครบรึยัง” “เจ้าค่ะฮูหยิน” เสียวจูตอบ “ฮวาฮวาปิดรั้วให้ดีด้วยน่ะ จะได้ไม่มีใครเข้าไปได้” “แน่ใจรึเจ้าค่ะ” จินเซียงย้ำอีกรอบ “เชื่อข้า” ฮวาฮวาพยักหน้าแล้วปิดรั้วให้สนิท แล้วเดินมาขึ้นรถม้า รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกห่างจากบ้านช้าๆ ไม่มีใครสังเกตเลยแม้แต่น้อยว่าบ้านหลังดังกล่าวได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยนอกจากจินเซียงเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด กุบกับ กุบกับ เสียงรถม้าค่อยๆ เคลื่อนไปตามทางขรุขระมุ่งหน้าสู่เมืองใหญ่เซี่ยโจว “ทำไมรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย”
จินเซียงมองคนรักนั่งเงียบมาซักพักตั้งแต่ได้ฟังเรื่องที่เอมิลเล่า เรื่องของคนรักเก่าที่ตายจากไปไม่หวนกลับ ทั้งคู่มีหลายอย่างที่เหมือนกันอย่างแยกไม่ออกแตกต่างกันก็แค่สีผม “เจ้าก็คือเจ้า ข้ารักเจ้าด้วยใจจริง”“ท่านคงไม่คิดว่าข้าเป็นตัวแทนนางใช่รึไม่” “อดีตก็คืออดีตไม่อาจย้อนกลับได้อีก ความผิดพลาดครั้งนั้นเป็นบทเรียนให้ข้าว่าข้าจะต้องไม่ผิดพลาดอีกซ้ำสอง” “ท่านอย่าได้โทษตัวเองเลย” “นั่นซิน่ะ มาเถอะไปดูคนอื่นๆ ทำงานกัน” “เจ้าค่ะ” ทั้งคู่เดินออกนอกห้องทำงานตรงไปที่ท้ายจวนติดท่าเรือ โรงหลอมนั้นกำลังถูกสร้างอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้ผิดพลาด ส่วนพื้นที่ด้านข้างและจวนหลังนั้นก็กำลังมีการปรับปรุงโดยใช้แผ่นไม้มาล้อมส่วนติดถนนไว้เพื่อไม่ให้คนเห็นว่าทำอะไรก่อนที่กำแพงจะสร้างเสร็จแต่เรื่องการเตรียมตัวสำหรับวัตถุดิบนั้นก็ได้คนจากตระกูลหวังที่ครอบครองการค้าเหล็กและแร่หลายชนิดมาช่วยในการจัดหา ทำให้เรื่องวัตถุดิบง่ายขึ้นมามาก เจ็ดวันต่อมาโรงหลอมก็สร้างเสร็จ ฮ่องเต้ทรงมาดูงานด้วยตัวเองเพราะอยากรู้ว่าการหล่อปืนใหญ่จะเหมือนตีดาบรึไม่ หลังจากที่โหรหลวงมาถึงก็เริ่มทำพิธีบูชาดินฟ้าเพื่อความเป็นสิริมงคล ฮ่







