Share

ชายแดน

last update Last Updated: 2025-09-06 19:38:48

เมื่อพบว่าใครมาทุกคนก็พร้อมใจกันเงียบ และย้ายไปที่ลานสำหรับฝึก เป้ายิงและอุปกรณ์ต่างๆ ถูกนำออกมาจัดวางไว้อย่างรวดเร็วจินเซียงเดินดูอาวุธก่อนจะหยิบธนูธรรมดาๆ มาพร้อมลูกเพราะการทดสอบแรกคือยิงธนู ตามด้วยดาบ หอก ง้าว หมัด ม้า

“ยิงธนูระยะไกลให้เข้าทุกดอก สองปิดตายิงธนู สามสู้ด้วยธนู” เมื่อชายชราพูดจบก็มีทหารหลายนายเดินออกมา

จินเซียงเริ่มจากยิงธนูใส่เป้าระยะไกล ปิดตายิง ทุกครั้งที่นางปล่อยลูกธนูออกไป พวกมันจะวิ่งเข้าไปที่กลางเป้าทุกครั้งไม่ว่าจะปิดตาหรือไม่ปิดตา ในที่สุดก็ช่วงที่ต้องสู้กับทหารระดับแนวหน้าด้วยธนูเพียงอย่างเดียว 

จินเชียงล้มทหารลงทีล่ะคนอย่างง่ายดาย แม้จะเป็นลูกธนูแบบหุ้มปลายด้วยผ้านวมหนา แต่มันก็เจ็บอยู่ดีหรือบางทีอาจเจ็บหนักเพราะว่านางเป็นคนยิง ในที่สุดการสู้ก็จบลงโดยที่จินเซียงเป็นฝ่ายชนะ การทดสอบยังคงดำเนินต่อไป องค์หญิงรองที่มากับองครักษ์หลวงนั้นก็ยืนดูอยู่เงียบๆ 

'พี่สาวมัวเล่นอะไรอยู่ หรือว่าว่างเกินเลยสู้แบบขอไปทีแบบนี้'  

“องค์หญิงเพค่ะ กระหม่อมถามได้รึไม่ว่าท่านจินเซียงตอนอยู่ที่นั่นท่านเป็นอย่างไร” องครักษ์หญิงถาม 

“พี่เค้าเป็นพวกระดับสูง สูงมาก เป็นคนที่มีค่าหัวสูงที่สุดด้วย ในช่วงสงครามครูเสด หลังสงครามจบเราก็เดินทางกลับมาที่นี่ แต่ไม่คิดว่าไม่กี่ปีต่อมาพี่สาวจะเดินทางมาแล้วหายตัวไปเลย” 

“พระองค์หมายความว่าอย่างไรเพค่ะ” 

“ถ้าพี่สาวไม่อยากให้ใครหาเจอก็จะไม่มีวันเจอ พวกอัศวินของพวกโพ้นทะเลตายตกด้วยคมดาบของพี่สาวมามากมายเลยล่ะ” คนที่ฟังอยู่ก็พากันสงสัย 

“แต่เจ้ารู้ไหมว่าพี่เค้าอัตรายสุดตอนไหน” องครักษ์ส่ายหัว 

“ตอนที่นางใช้มือเปล่าสู้ แม้แต่ประตูค่ายที่ทำจากไม่เนื้อดีหรือเหล็กยังพังไม่เหลือชิ้นดีเจ้าว่า เฮ้ย! พวกเจ้าหยุดการทดสอบเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงรีบกระโดดลงไปถีบทหารคนจนกระเด็นเพื่อหลบหมัดของจินเซียง  

ตู้มๆ เสียงบางอย่างดังขึ้นติดต่อกันจนฝุ่นกระจายไปทั่วบริเวณ

“องค์หญิง!” ทหารและองครักษ์รีบพากันวิ่งไปดู 

“ข้าไม่เป็นไรแต่พวกท่านต้องซ่อมกำแพงแล้ว ดูนั่น” ทุกคนหันมองตามมือที่องค์หญิงชี้ไป กำแพงหนาจวนถูกเจาะเป็นรูจนมันพังลง 

“.......” คนตระกูลถังพากันพูดไม่ออก 

“จบการทดสอบเถอะ เพราะฮ่องเต้พึ่งแพ้เดินหมากกับนางมา” ชายชราร่างสูงใหญ่อีกคนเดินเข้ามาทางซากกำแพงบอกชายหัวรั้นแห่งตระกูลถัง ”ไม่คิดว่าจวนถังจะสร้างกำแพงใหม่ ถึงทุบกำแพงเช่นนี้”

“หยางเทียนเซาเจ้าเข้ามายุ่งอะไรด้วย” 

“อะไรกันตาแก่ ข้าแค่มาดูหลานเขยทดสอบแต่ไม่คิดว่าจะมาเห็นของดี กำลังภายในเกร่งกล้ายอดเยี่ยมมาก” เทียนเซาตบมือเสียงดัง 

ชาวบ้านที่พากันยืนมองเข้ามาในจวนเพราะกำแพงที่พัง ต่างได้ยินกันหมดทุกคน และข่าวลือที่ว่าสองตระกูลกำลังเกี่ยวดองกันนั้นก็กลายเป็นจริงขึ้นมา 

ตกดึกภายในเรือนของเผยอิงแม้จะดับไฟหมดแล้ว แต่ด้วยสิ่งที่ไปกระซิบเมื่อกลางวันทำให้นางไม่ได้นอน สองร่างยังคนผิดกันวนไปวนมาจวบจนรุ่งเช้ามาเยือน

แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้อง ภายใต้ผ้าห่มหนามีร่างเปลือยของหญิงสาวนอนกอดกันอยู่ เสียงนกร้องยามเช้าได้ปลุกทั้งคู่ตื่นจากห้วงนิทรา สาวใช้รู้หน้าที่ทันทีเมื่อได้ยินเสียงในห้อง ต่างก็พากันเติมน้ำในห้องอาบน้ำเพื่อให้นายได้ชำรพร่างก่าย ทุกคนรู้ดีว่าต่อไปใครจะมาเป็นผู้สืบทอดของตระกูล 

เนื่องจากอีกไม่กี่วันก็ต้องเดินทางไปเมืองหน้าด่านแล้ว เผยอิงจึงสอนทุกอย่างให้จินเซียง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับพวกซีเซี่ยและจิน

แต่ที่น่าแปลกคือปืนใหญ่นั้นยังไม่เป็นที่นิยมกัน มีเพียงเครื่องยิงหินเท่านั้นที่ใช้ในการสนับสนุนการเข้าที่เมืองหรือค่ายทหาร ต่างจากทางยุโรปหรือในสงครามศาสนาที่เริ่มมีการเอาปืนใหญ่มาใช้บ้างแล้ว ถึงจะยังไม่นิยมมากเท่าไหร่

“ตอนที่พี่มาจากตะวันออกกลางนั้น ได้ข่าวว่าทางตะวันออกมีสิ่งที่เรียกว่าอาวุธดินใช้กันแล้ว” จินเซียงนึกถึงเรื่อื่งที่เคยได้ยินจากพวกนักเดินทาง

“ท่านก็หมายถึงหอกไฟ ปืนท่อและลูกระเบิดรึ” 

“อืม แต่ไม่รู้ว่าในกองทัพประเทศเล็กจะมีรึเปล่าแล้วของแคว้นเราล่ะมีไหม” 

“ยังเจ้าค่ะ แม้ช่วงราชวงศ์ฮันและถังจะมีการพัฒนาเรื่องนี้ แต่ทว่าปัจจุบันคนที่หล่อปืนได้นั้นมีน้อยมาก และคนที่มีวิธีการหล่อปืนใหญ่นั้นคือราชวงศ์ที่สั่งไม่ให้ผลิตออกมา” 

“อืม งั้นวันนี้พอแค่นี้เถอะ อีกสองวันเราต้องเดินทางแล้ว พี่จะพาไปดูโรงเตี๊ยมที่ท่านแม่ยกให้” จินเซียงไม่ถามต่อ

“เจ้าค่ะ” ถึงจะแข็งแกร่งเพียงใดแต่ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วและสามารถอ่อนแอได้นางก็ไม่รีรอที่จะทำ

“มาเถอะ” เผยอิงดับเชิงเทียนแล้วซุกตัวนอนกอดจินเซียง   

เช้าวันต่อมาทั้งคู่เดินไปบอกกล่าวผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลว่าจะออกไปดูงานที่โรงเตี๊ยม เมื่อได้รับอนุญาตแล้วทั้งคู่ก็เดินออกจากจวนไป บุรุษมากมายต่างพากันมองตามไม่วางตาแม้แต่สตรีด้วยกันก็ยังมิวายจะเผลอใจ 

“อะไรน่ะพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ออกไปกันสองคนไม่ชวนข้าหรอ” อี้หลันถามสาวใช้ 

“เจ้าค่ะ พึ่งไปเจ้าค่ะ” 

“พี่รองอย่าโวยวายเลยเรายังมีเรียนช่วงบ่ายอีก” 

“ฟางเอ้อร์ จะอย่าลืมซิว่านางกำลังไปที่ชายแดน จะกลับมาตอนไหนก็ไม่รู้ แล้วชายแดนก็เดินทางเกือบ 10 วัน หรือ...อาจจะเกินนิดหน่อย” 

“ท่านเอาเวลาไปห่วงว่าที่สามีท่านเถอะ ได้ข่าวว่าเข้าหอนางโลมบ่อยยิ่งกว่าหายใจอีก” 

“เจ้าช่างสันหาคำพูดจริง ข้าหาแบบพี่ใหญ่ดีกว่า” 

“พวกท่านรีบเรียนเถอะ ตอนเย็นได้ข่าวว่าท่านจินเซียงจะทำอาหารเองน่ะ ถ้าเรียนและทำการบ้านไม่เสร็จอย่าหาว่าข้าไม่เตือนน่ะ” 

“ถิงถิง!” สองสาวรีบตั้งหน้าตั้งตาเรียนและทำการบ้านอย่างสุดชีวิต 

ทางด้านคู่รักตอนนี้กำลังพากันเดินดูอาคารที่ถูกลื้อออกบางส่วนออก มันจะโล่ง ช่างหลายคนกำลังช่วยกันทำความสะอาดและทำงานกันอยู่ นายช่างที่เห็นว่าใครมาก็รีบลงมาต้อนรับและรายงานความคืบหน้า แต่สิ่งที่ทำให้นางสนใจมากที่สุดคือต้นไม้หน้าตาเหมือนมะพร้าว

“ท่านห้ามตัดพวกมันเด็ดขาด” 

“คุณหนูรู้จักด้วยรึขอรับ” 

“ของดีเลยล่ะ ท่านไปเรียกช่างมาช่วยข้าเก็บพวกมันหน่อย” 

“ได้ขอรับ” เมื่อมาพร้อมแล้ว นางก็เริ่มอธิบายและสาธิตวิธีการขึ้นและเก็บ 

“ขอบใจพวกท่านมาก ไว้พรุ่งนี้จะให้คนเอาขนมมาให้น่ะ” จินเซียงมองผลของต้นตาลกับมะพร้าวอย่างพึงพอใจแม้ไม่รู้ว่าพวกมันขึ้นในอากาศแบบนี้ได้อย่างไร

เมื่อตรวจงานเสร็จแล้วทั้งคู่ก็พากันเดินเล่นและแวะซื้อวัตถุดิบสำหรับอาหารเย็น พ่อบ้านและสาวใช้ที่รู้เวลาก็พากันมารอที่หน้าตลาดเพื่อช่วยถือของรวมถึงเดินแยกกันซื้อของตามรายการที่สั่ง 

“คุณหนูไม่ทราบว่าวันนี้มีรายการอะไรรึขอรับ” 

“ยังไม่บ่ายดีท่านก็ถามแล้วรึเจ้าค่ะ” จินเซียงแซวพ่อบ้าน 

“คุณหนูท่านอย่าล้อเล่นซิขอรับ” 

“เอาน่า เดี๋ยวก็รู้เอง พวกท่านเอาของเก็บที่รถม้าแล้วบอกให้รถม้าเอาไปส่งที่จวนได้เลยอย่าลืมตรวจดูให้ดีล่ะ เดี๋ยวพวกเราไปทานอาหารกันมื้อนี้ข้าเลี้ยง” 

“ขอบคุณหนูมากขอรับ” พ่อบ้านเป็นตัวแทนสาวใช้กล่าวขอบคุณ 

“อาเซียงพวกเราจะไปที่ร้านของเหมยซีหรอ” 

“อืม ใช่แล้วอีกอย่างจะได้ชวนนางมาท่านอาหารเย็นด้วย”  

“ก็ได้” ทั้งหมดพากันไปที่ร้านของเหมยซี 

หลังทานอาหารเสร็จก็พากันกลับมาที่จวน เผยอิงแยกตัวไปทำงานเพราะมีทหารถือสารจากชายแดนมา  

จินเซียงใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วยามในการทำอาหารเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของทุกคน อาหารที่ชอบกันมากที่สุดคือไก่ทอดและข้าวโพดย่างเนยที่พวกจากทางตะวันตกเอาเข้ามาขาย ข้าวโพดถือเป็นหนึ่งในผลผลิตที่ยังไม่แพร่หลายมาก นางมีแผนที่จะสนับสนุนให้ตระกูลปลูกข้าวโพดและมันหลากหลายชนิดที่สามารถซื้อได้จากระบบ อีกสาเหตุคือคนส่วนใหญ่เอาไปให้ม้ากินจนหมด 

อาหารทยอยส่งออกไปเป็นชุดๆ ไปส่งที่เรือนต่างๆ ในจวน ถึงแม้หลายคนจะไม่ชอบนางเท่าไหร่แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าชอบอาหารของนาง 

“ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามาแล้ว” จินเซียงกล่าวทักผู้ใหญ่ทั้งหมดรวมถึงครอบครัวของเผยอิงด้วย

“ได้ยินว่าหลานเขยทำอาหารได้อร่อยยิ่งนัก วันนี้ถือเป็นโอกาสของพวกเราแล้ว” เทียนเซาพยายามเก็บอาการอย่างถึงที่สุดเมื่อเห็นอาหารตรงหน้า

“ท่านปู่เชิญพวกท่านก่อนเจ้าค่ะ แต่อย่าทานกันมากไปเพราะจะมีขนมหวานด้วยเจ้าค่ะ” จินเซียงบอกทุกคน

“ฮ่าฮ่าฮ่า ดี ดีมาก ลงมือกันเถอะ” ขณะที่ในห้องอาหารกำลังเพลิดเพลินไปกับอาหารรสเลิศ แต่สำหรับบางคนทำได้เพียงนอนหยอดน้ำข้าวต้มและคับแค้นใจ อดทนหิวเพราะกลิ่นอาหารที่ลอยมาถึงเรือนนอน

หลังมื้อหลักจบลง ขนมที่หน้าตาเหมือนฝาหอยก็ถูกยกเข้ามาเข้ามา กลิ่นของมันหอมมากแต่ไม่มีใครรู้ว่ากลิ่นนี้คือกลิ่นของอะไร 

“ลูกเซียง เจ้าบอกพวกแม่ได้รึไม่ว่าสิ่งนี้คืออะไร” หลอหลันถาม 

“เจ้าค่ะ มันคือขนมครกเจ้าค่ะ มันทำมาจากแป้งผสมกับน้ำกะทิที่ได้จากลูกมะพร้าว เชิญท่านแม่ลองชิมเจ้าค่ะ” เหมยซีหันมองจนคอเคล็ดเพราะไม่คิดว่าจินเซียงจะทำขนมครกเป็นของหวาน  

หลอหลันคีบขนมครกเข้าปาก “อืม~ อ่าา~ เหมาะกับปลายหนาวแบบนี้มากจริงๆ ทั้งหอมทั้งหวาน” เพียงคำเดียวก็ชวนให้หลงใหลชวนฝันแต่ทว่า 

“อ่าว ของแม่ไปไหนหมดแล้ว” หลอหลันมองจานที่ว่างเปล่าของตัวเอง 

“น้องหลอหลัน เจ้ากินส่วนของเจ้าหมดแล้ว”  

“ท่านพี่ ถ้าท่านไม่ทานข้าขอรึกัน” หลอหลันหันไปมองจานของสามีตัวเอง

“ไม่ได้!” พูดจบก็ยกจานหนี 

“พวกท่านไม่ต้องแย่งกัน ในครัวมีอีกเยอะ พวกสาวใช้กำลังช่วยกันทำเดี๋ยวลูกบอกพวกนางให้” เพียงเท่านั้นสาวใช้จากเรือนอื่นๆ ก็พากันเดินไปแจ้งความประสงค์แก่พ่อบ้าน พอพ่อบ้านบอกจินเซียงถึงสิ่งที่สาวใช้เรือนอื่นขอมา 

“ฝากท่านจัดการด้วยน่ะเจ้าค่ะ แล้วให้คนยกมาเพิ่มด้วยรวมถึงน้ำในโถที่แช่อยู่ในน้ำแข็งท่านก็เอามาให้ข้าด้วยน่ะ” 

“ขอรับ” แล้วพ่อบ้านก็เดินออกไป

“น้ำอะไรกัน หลานย่า” ฮูหยินเฒ่าถาม 

“รับรองว่าท่านย่าต้องชอบแน่นอนเจ้าค่ะ” จินเซียงยิ้มตอบ 

ไม่นานกลิ่นหอมอ่อนๆ ก็ลอยมา “กลิ่นนี้มัน” เหมยซีมองหน้าจินเซียง 

“เจ้าคิดว่าอะไรล่ะ” จินเซียงยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อได้ยินเหมยซีถาม

“นั่นซิ ซีซี มันคืออะไร” อี้หลันถามเพื่อนรุ่นพี่ 

“น้ำตาลสดไง มันหอมและหวานมาก รสชาติดีด้วย” แค่ได้ยินชื่อก็ทำให้เอี้ยซ่งเจ้ากรมคลังหันมองด้วยความเร็ว “อ้าก คอข้า” ทำให้คอเคล็ดทันที 

“นะ น้ำตาล น้ำตาลหรอลูก เจ้าเอามาทำเครื่องดื่ม!” เอี้ยซ่งมองน้ำสีน้ำตาลขุนในจอกของตน  

“นั่นซิหลานเขย น้ำตาลถือเป็นสิ่งหายากและมีราคาพอกันกับเกลือและพริกไท แต่เอามาทำเช่นนี้มันจะดีรึ” หยางเทียนเซาถาม

“ท่านพ่อ ท่านปู พวกท่านอย่าได้กังวล ข้าได้มันมาจากเจ้านี่” จินเซียงหันไปหยิบลูกตาลที่บอกพ่อบ้านเอามาให้ 

“มันคืออะไรกัน” ฮูหยินเฒ่าถาม 

“ลูกตาลเจ้าค่ะ ด้านในมีเนื้ออยู่และมันเอามาทำขนมได้ ส่วนน้ำตาลนั้นได้มาจากช่อตาลเจ้าค่ะ” น้ำตาลสดถูกรินใส่จอกเพิ่ม  

“อร่อย อร่อยเกินไปแล้ว” เอี้ยซ่งขอเติม 

“และยังมีเจ้านี่อีกน่ะเจ้าค่ะ” กลิ่นขนมลอยมาแต่ใกล้ ทุกคนพากันหันมองออกไปนอกห้อง

“ขนมตาล!” เหมยซีร้องออกมาเสียงดัง

“อืม ใช่แล้ว รีบทานเถอะ” อาหารทุกอย่างหมดลงอย่างรวดเร็ว ที่เรือนอื่นก็ไม่ต่างกันแม้จะมีการมาขอเพิ่มแต่ก็ไม่มีใครได้ไปเพราะวัตถุดิบที่เตรียมไว้หมดแล้ว 

สองวันต่อมาก็ถึงวันเดินทาง จินเซียงกับเผยอิงขี่ม้าคู่กันนำหน้าขบวนทหาร แม้ทหารหลายนายจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับรองแม่ทัพคนก่อนถึงโดนเปลี่ยนตัวมาเป็นคุณหนูใหญ่คนนี้ 

ยกเว้นพวกผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้นที่ไม่สงสัย พวกเค้าหลายคนรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไรทำไมถึงมีการเปลี่ยนตัวแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่น้อย 

การเดินทางครั้งนี้มีองค์รัชทายาทติดสอยห้อยตามไปด้วยในฐานะแม่ทัพใหญ่ จินเซียงสังเกตว่าตัวรัชทายาทนั้นแอบมองเผยอิงเป็นระยะ ดีที่นางและเผยอิงใส่หน้ากากครึ่งใบหน้าปิดบังไว้อยู่ ถึงอย่างไรก็ยังรู้สึกถึงลางสังหรที่ไม่ค่อยจะดี

การเดินทางใช้เวลาร่วม 11 วัน ก็มาถึงเมืองชายแดนทางตอนเหนือ เมืองเหอเป่ยเป็นปราการแรกในการต่อสู้กับพวกนอกด่านเพื่อไม่ให้พวกนั้นบุกลงมาที่เขตเป่ยจิงและเข้ายึดจงหยวน

จินเซียงเป็นรองแม่ทัพขึ้นตรงกับเผยอิงแต่เพียงผู้เดียวและทั้งคู่ก็พักด้วยกัน ทหารที่มาด้วยมีประมาณ 20,000 นาย เมื่อรวมกับที่เหอเป่ยแล้วก็มีรวมกันประมาณ 40,000 นาย ซึ่งไม่มีใครรู้ว่ากองทัพของพวกซีเซียและจินจะมีเท่าไหร่ 

“แย่จังอาหารการกินของทหารไม่ดีเลย” 

“กองทัพใหญ่ก็แบบนี้แหละ”  

“ท่านคิดว่านั้นจะบุกลงทางไหน” จินเซียงยืนมองแผนที่ที่อยู่ในกระโจมพัก

“จางเจียนโขว ตรงนี้” เผยอิงมองลงไปที่แผนที่

“ตรงนั้นมันด่านเก่านี่ ทำไมท่านคิดว่าพวกมันจะมาทางนั้น”

“แนวนี้ใกล้เหอเป่ย์มากที่สุด ถ้ารักษาด่านไม่ได้พวกซีเซียหรือพวกอื่นๆ ก็จะลงมายึดเหอเป่ยและจากนั้นก็เข้ายึดเซียโจวต่อด้วยภาคกลางทั้งหมด”

“ก็จริงของท่านแต่ทว่าเราก็ต้องรอให้รัชทายาตัดสินใจอยู่ดี” จินเซียงพูดด้วยความกังวล “รายนั้นคงหวังสร้างผลงานเพื่อหวังขออะไรบางอย่างแน่”

“พวกเรารีบพักเถอะพรุ่งนี้ต้องไปลาดตระเวนอีก” เผยอิงเก็บแผ่นที่และดับไฟบนเชิงเทียน

“งานแรกก็แบบนี้แหละ ท่านอย่าบ่นเลยมาเถอะรีบนอนพักกัน” 

“อื้ม” ทั้งสองคนนอนกอดกันอยู่บนพื้นที่เอาผ้านวมหลายชั้นมาปูไว้ จินเซียงไม่เลือกที่จะนอนบนเตียงที่ได้เตรียมไว้ให้สำหรับแม่ทัพทั้งหลาย เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย 

เช้าวันต่อมาจินเซียงพาทหาร 500 นาย ออกลาดตระเวนรอบตามแนวชายป่า มีบางอย่างที่กวนใจนางคือทหารที่นางได้มา มีทหารม้า 50 นาย พลธนู 150 ดาบ 300 และมากกว่าครึ่งเป็นทหารชั้นต่ำที่สุดเรียกได้ว่าพวกที่โดนเกณฑ์มาก็ได้ แค่จับดาบก็แทบจะไม่ไหว ถ้าโดนโจมตีมีหวังทัพแตกทันทีแน่นอน 

“ท่านรองแม่ทัพทำไมเราไม่เดินไปตามแผนที่ละขอรับ” ทหารม้านายหนึ่งถาม

“ตั่งกระบวนทัพสีเหลี่ยม ดาบหอกอยู่นอกตั้งโล่ไว้ ธนูอยู่ใน ม้าอยู่ตรงกลางและลงม้าให้หมด พวกเจ้าสองคนขึ้นไปบนนั้นและบอกสิ่งที่เห็น” แม้ทหารจะงงแต่ก็ทำตาม 

“เกิดอะไรขึ้นขอรับ” 

“มีคนอยากให้ข้าตาย” จินเซียงส่งแผนที่ให้นายทหารดู 

“ท่านรองแม่ทัพนี่มันซีเซี่ยนี่ขอรับ” 

“อืม พวกมันต้องการส่งเราไปให้พวกนั้นฆ่าตาย ถ้าข้ารู้ตัวช้าไปอีกนิดคงพาพวกเจ้าไปตายกันหมดแน่” พวกทหารเริ่มมองหน้ากัน

“แล้วแบบนี้ทำอย่างไรดีขอรับ”  

“ท่านนายกอง ท่านบอกให้ทหารสองคนนั้นลงมาแล้วเราจะตรงไปที่หมู่บ้านไม่ใกล้จากที่นี่” จินเซียงจดจำได้จากแผนที่ที่ดูเมื่อคืน ห่างจากตรงนี้ไม่มากมาหมู่บ้านอยู่ใกล้ด่าน

“ขอรับว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไร” นายกองอีกคนถาม 

“จำไว้ ถามไม่รู้อะไรให้ถามเมีย” ทหารทุกนายถึงกับอ้อออ 

'คนกลัวเมียนี่เอง'เมื่อพบว่าใครมาทุกคนก็พร้อมใจกันเงียบ และย้ายไปที่ลานสำหรับฝึก เป้ายิงและอุปกรณ์ต่างๆ ถูกนำออกมาจัดวางไว้อย่างรวดเร็วจินเซียงเดินดูอาวุธก่อนจะหยิบธนูธรรมดาๆ มาพร้อมลูกเพราะการทดสอบแรกคือยิงธนู ตามด้วยดาบ หอก ง้าว หมัด ม้า

“ยิงธนูระยะไกลให้เข้าทุกดอก สองปิดตายิงธนู สามสู้ด้วยธนู” เมื่อชายชราพูดจบก็มีทหารหลายนายเดินออกมา

จินเซียงเริ่มจากยิงธนูใส่เป้าระยะไกล ปิดตายิง ทุกครั้งที่นางปล่อยลูกธนูออกไป พวกมันจะวิ่งเข้าไปที่กลางเป้าทุกครั้งไม่ว่าจะปิดตาหรือไม่ปิดตา ในที่สุดก็ช่วงที่ต้องสู้กับทหารระดับแนวหน้าด้วยธนูเพียงอย่างเดียว 

จินเชียงค่อยๆ ล้มทหารลงทีล่ะคน แม้จะเป็นลูกธนูแบบหุ้มปลายด้วยผ้าหนาๆ แต่มันก็เจ็บอยู่ดีหรือบางทีอาจเจ็บหนักเพราะว่านางเป็นคนยิง ในที่สุดการสู้ก็จบลงโดยที่จินเซียงเป็นฝ่ายชนะ การทดสอบดำเนินต่อไปเลยๆ องค์หญิงรองที่มากับองครักษ์หลวงนั้นก็ยืนดูอยู่เงียบๆ 

'พี่สาวมัวเล่นอะไรอยู่ หรือว่าว่างเดินเลยสู้แบบขอไปทีแบบนี้'  

"องค์หญิงเพค่ะ กระหม่อมถามได้รึไม่ว่าท่านจินเซียงตอนอยู่ที่นั่นท่านเป็นอย่างไร" องครักษ์หญิงถาม 

"พี่เค้าเป็นพวกระดับสูงและเป็นคนที่มีค่าหัวสูงที่สุดในช่วงสงครามครูเสด หลังสงครามจบเราก็เดินทางกลับมาที่นี่ แต่ไม่คิดว่าไม่กี่ปีต่อมาพี่สาวจะเดินทางมาแล้วหายตัวไปเลย" 

"พระองค์หมายความว่าอย่างไรเพค่ะ" 

"ถ้าพี่สาวไม่อยากให้ใครหายเจอก็จะไม่มีวันเจอ พวกอัศวินของพวกโพนทะเลตายตกด้วยคมดาบของพี่สาวมามากมายเลยล่ะ" คนที่ฟังอยู่ใกล้ๆ ก็พากันสงสัย 

"แต่เจ้ารู้ไหมว่าพี่เค้าอัตรายสุดตอนไหน" องครักษ์ส่ายหัว 

"ตอนที่นางใช้มือเปล่าสู้ แม้แต่ประตูค่ายที่ทำจากไม่เนื้อดีและเหล็กยังพังไม่เหลือชิ้นดีเจ้าว่า เฮ้ย! พวกเจ้าหยุดการทดสอบเดี๋ยวนี้" องค์หญิงรีบกระโดดลงไปถีบทหารคนจนกระเด็นเพื่อหลบหมัดของจินเซียง  

ตู้มๆ เสียงบางอย่างดังขึ้นติดต่อกันจนฝุ่นกระจายไปทั่วบริเวณ

"องค์หญิง!" ทหารและองครักษ์รีบวิ่งไปดู 

"ข้าไม่เป็นไรแต่พวกท่านต้องซ่อมกำแพงแล้วล่ะ ดูนั่น" ทุกคนหันมองดูก็เห็นกำแพงจวนถูกเจาะเป็นรูจนมันพังลงมา 

"......." คนตระกูลถังพากันพูดไม่ออก 

"จบการทดสอบเถอะ เพราะฮ่องเต้พึ่งแพ้เดินหมากกับนางมา" ชายชราร่างสูงใหญ่อีกคนเดินเข้ามาทางซากกำแพงบอกคนชายหัวรั้นแห่งตระกูลถัง 

"ตาแก่หยางเทียนเซาเจ้าเข้ามายุ่งอะไรด้วย" 

"อะไรกันตาแก่ถัง ข้าแค่มาดูหลานเขยทดสอบแต่ไม่คิดว่าจะมาเห็นของดี กำลังภายในเกร่งกล้ายอดเยี่ยมๆ" เทียนเซาตบมือเสียงดัง 

ชาวบ้านที่พากันยืนมองเข้ามาในจวนเพราะกำลังพังต่างได้ยินกันหมดทุกคน และข่าวลือที่ว่าสองตระกูลกำลังเกี่ยวดองกันนั้นก็กลายเป็นจริงขึ้นมา 

ตกดึกภายในเรือนของเผยอิงแม้จะดับไฟหมดแล้ว แต่ด้วยสิ่งที่ไปกระซิบเมื่อกลางวันทำให้นางไม่ได้นอน สองร่างยังคนผิดกันวนไปวนมาจวบจนรุ่งเช้ามาเยือน

แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้อง ภายใต้ผ้าห่มมีร่างเปลือยของหญิงสาวนอนกอดกันอยู่ เสียงนกร้องยามเช้าได้ปลุกทั้งคู่ตื่นจากห้วงนิทรา สาวใช้ที่รู้หน้าที่ก็พากกันเติมน้ำในห้องอาบน้ำเพื่อให้นายได้ชำรพร่างก่าย ทุกคนรู้แล้วว่าต่อไปใครจะมาเป็นผู้สืบทอดของตระกูล 

เนื่องจากอีกไม่กี่วันก็ต้องเดินทางไปเมืองหน้าด่านแล้ว เผยอิงจึงค่อยๆ สอนทุกอย่างให้จินเซียง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามรวมถึงรูปแบบการรบของพวกซีเซี่ยด้วย  

แต่ที่น่าแปลกคือปืนใหญ่นั้นยังไม่เป็นของที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในกองทัพ มีเพียงเครื่องยิงหินเท่านั้นที่ใช้ในการสนับสนุนการเข้าที่เมืองหรือค่ายทหาร 

"ตอนที่พี่มาจากตะวันออกกลางนั้น ได้ข่าวว่าทางตะวันมีสิ่งที่เรียกว่าปืนใหญ่ใช้กันแล้วแต่ส่วนมากจะอยู่บนเรือ" 

"ท่านก็หมายถึงเรือปืนของพวกตะวันตกหรอ" 

"อืม แต่ไม่รู้ว่าในกองทัพประเทศเล็กๆ จะมีรึเปล่าแล้วของแคว้นเราล่ะมีไหม" 

"ยังเจ้าค่ะ แม้ช่วงราชวงศ์ฮันและถังจะมีใช้อย่างแพร่หลายแต่ทว่าปัจจุบันคนที่หล่อปืนได้นั้นมีน้อยมาก ทำให้พวกเราต้องซื้อจากพวกโพ้นทะเลและมีราคาที่แพงมาก" 

"อืม งั้นวันนี้พอแค่นี้เถอะ อีกสองวันเราต้องเดินทางแล้ว พี่จะพาไปดูโรงเตี๊ยมที่ท่านแม่ยกให้" 

"เจ้าค่ะ" ถึงจะแข็งแกร่งเพียงใดแต่ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วแล้วสามารถอ่อนแอได้นางก็ไม่รีรอที่จะทำ

"มาเถอะ"  

ทั้งคู่เดินไปบอกกล่าวผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลว่าจะออกไปดูงานที่โรงเตี๊ยม เมื่อได้รับอนุญาตแล้วทั้งคู่ก็เดินออกจากจวนไป บุรุษมากมายต่างพากันมองตามไม่วางตาแม้แต่สตรีด้วยกันก็ยังมิวายจะเผลอใจ 

"อะไรน่ะพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ออกไปกันสองคนไม่ชวนข้าหรอ" อี้หลันถามสาวใช้ 

"เจ้าค่ะ พึ่งไปเจ้าค่ะ" 

"พี่รองอย่าโวยวายเลยเรายังมีเรียนช่วงบ่ายอีก" 

"ฟางเอ้อร์ จะอย่าลืมซิว่านางกำลังไปที่ชายแดน จะกลับมาตอนไหนก็ไม่รู้ แล้วชายแดนก็เดินทางเกือบๆ 10 วัน อาจจะเกินนิดหน่อย" 

"ท่านเอาเวลาไปห่วงว่าที่สามีท่านเถอะ ได้ข่าวว่าเข้าหอนางโลมบ่อยยิ่งกว่าหายใจอีก" 

"เจ้าช่างสันหาคำพูดจริงๆ" 

"พวกท่านรีบเรียนเถอะ ตอนเย็นได้ข่าวว่าพี่จินเซียงจะทำอาหารเองน่ะ ถ้าเรียนและทำการบ้านไม่เสร็จอย่าหาว่าข้าไม่เตือนน่ะ" 

"อิงอิง!" สองสาวรีบตั้งหน้าตั้งตาทำการบ้านอย่างสุดชีวิต 

ทางด้านคู่รักตอนนี้กำลังพากันเดินดูอาคารที่ถูกลื้อบางส่วนออกจะโล่ง และมีช่างกำลังช่วยกันทำความสะอาดและทำงานกันอยู่ นายช่างที่เห็นว่าใครมาก็รีบลงมาต้อนรับและรายงานความคืบหน้า แต่สิ่งที่ทำให้นางสนใจมากที่สุดคือต้นไม้หน้าตาเหมือนมะพร้าว

"ท่านห้ามตัดพวกมันเด็ดขาด" 

"คุณหนูรู้จักด้วยรึขอรับ" 

"ของดีเลยล่ะ ท่านไปเรียกช่างมาช่วยข้าเก็บพวกมันหน่อย" 

"ได้ขอรับ" เมื่อมาพร้อมแล้ว นางก็เริ่มอธิบายและสาธิตวิธีการขึ้นและเก็บ 

"ขอบใจพวกท่านมาก ไว้พรุ่งนี้จะให้คนเอาขนมมาให้น่ะ" จินเซียงมองผลของต้นตาลกับมะพร้าวอย่างพึงพอใจแม้ไม่รู้ว่าพวกมันขึ้นในอากาศแบบนี้ได้อย่างไร

เมื่อตรวจงานเสร็จแล้วทั้งคู่ก็พากันเดินเล่นและแวะซื้อวัตถุดิบสำหรับอาหารเย็น พ่อบ้านและสาวใช่ที่รู้เวลาก็พากันมารอที่หน้าตลาดเพื่อช่วยถือของรวมถึงเดินแยกกันซื้อของ 

"คุณหนูไม่ทราบว่าวันนี้มีรายการอะไรรึขอรับ" 

"ยังไม่บ่ายดีท่านก็ถามแล้วรึเจ้าค่ะ" จินเซียงแซวพ่อบ้าน 

"คุณหนูท่านอย่าล้อเล่นซิขอรับ" 

"เอาน่าๆ เดี๋ยวก็รู้เอง พวกท่านเอาของเก็บเก็บที่รถม้าแล้วบอกให้รถม้าเอาไปส่งที่จวนได้เลยอย่าลืมตรวจดูให้ดีล่ะ เดี๋ยวพวกเราไปทานอาหารกันมื้อนี้ข้าเลี้ยง" 

"ขอบคุณหนูมากๆ ขอรับ" พ่อบ้านเป็นตัวแทนสาวใช้กล่าวขอบคุณ 

"อาเซียงพวกเราจะไปที่ร้านของเหมยซีหรอ" 

"อืม ใช่แล้วอีกอย่างจะได้ชวนนางมาท่านอาหารเย็นด้วย"  

"ก็ได้" ทั้งหมดพากันไปที่ร้านของเหมยซี 

หลังทานอาหารเสร็จก็พากันกลับมาที่จวน เผยอิงแยกตัวไปทำงานเพราะมีทหารถือสารจากชายแดนมา  

จินเซียงใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วยามในการทำอาหารเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของทุกคน อาหารที่ชอบกันมากที่สุดคือไก่ทอดและข้าวโพย่างเนยที่พวกจากทางตะวันตกเอาเข้ามาขาย ข้าวโพดถือเป็นหนึ่งในผลผลิตที่ยังไม่แพร่หลายมากนักนั่นก็เพราะคนส่วนใหญ่เอาไปให้ม้ากินจนหมด 

อาหารทยอยส่งออกไปเป็นชุดๆ ไปส่งที่เรือนต่างๆ ในจวน ถึงแม้หลายคนจะไม่ชอบนางเท่าไหร่แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าชอบอาหารของนาง 

"ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามาแล้ว" จินเซียงกล่าวทักผู้ใหญ่ทั้งหมดรวมถึงฝ่ายของเผยอิงด้วย 

"ได้ยินว่าหลานเขยเซียงเซียงทำอาหารได้อร่อยยิ่งนัก วันนี้ถือเป็นโอกาสของพวกเราแล้ว" เทียนเซาเก็บอาการอย่างถึงที่สุด 

"ท่านปู่เชิญพวกท่านก่อนเจ้าค่ะ แต่อย่าทานกันมากไปเพราะจะมีขนมหวานด้วยเจ้าค่ะ" 

"ฮ่าฮ่าฮ่า ดีๆ มาๆ ลงมือกันเถอะ" ขณะที่ในห้องอาหารกำลังเพลิดเพลินไปกับอาหารรสเลิศ แต่มีใครบางคนที่นอนหยอดน้ำข้าวต้มได้แต่คับแค้นใจ อดทนหิวเพราะกลิ่นอาหาร 

หลังมื้อหลักจบลง ขนมที่หน้าตาเหมือนฝาหอยก็ถูกยกเข้ามาเสิร์ฟ กลิ่นของมันหอมมากๆ แต่ไม่มีใครรู้ว่ากลิ่นนี้คือกลิ่นของอะไร 

"ลูกเซียง เจ้าบอกแม่ๆ ได้รึไม่ว่าสิ่งนี้คืออะไร" หลอหลันถาม 

"เจ้าค่ะ มันคือขนมครกเจ้าค่ะ มันทำมาจากแป้งผสมกับน้ำกะทิที่ได้จากลูกมะพร้าว เชิญท่านแม่ลองชิมเจ้าค่ะ" เหมยซีหันมองจนคอเคล็ดเพราะไม่คิดว่าจินเซียงจะทำขนมครกเป็นของหวาน  

"อืม~ อ่าา~ เหมาะกับปลายหนาวแบบนี้จริงๆ หอมหวาน" หลอหลันยิ้มชวนฝันแต่ทว่า 

"อ่าว ของแม่ไปไหนหมดแล้ว" นางมองจานที่ว่างเปล่า 

"น้องหลอหลัน เจ้ากินส่วนของเจ้าหมดแล้ว"  

"พี่ไผ่หลง ถ้าท่านไม่ทานข้าขอรึกัน" 

"ไม่ได้ๆ " พูดจบก็ยกจานหนี 

"พวกท่านไม่ต้องแย่งกัน ในครัวมีอีกเยอะ พวกสาวใช้กำลังช่วยกันทำเดี๋ยวลูกบอกพวกนางให้" เพียงเท่านั้นสาวใช้จากเรือนอื่นๆ ก็พากันเดินไปแจ้งความประสงค์แก่พ่อบ้าน พอพ่อบ้านบอกจินเซียงถึงสิ่งที่สาวใช้เรือนๆ ขอมา 

"ฝากท่านจัดการด้วยน่ะเจ้าค่ะ แล้วให้คนยกมาเพิ่มด้วยรวมถึงน้ำในโถที่แช่อยู่ในน้ำแข็งท่านก็เอามาให้ข้าด้วยน่ะ" 

"ขอรับ" แล้วพ่อบ้านก็เดินออกไป

"น้ำอะไรกัน หลานย่า" ฮูหยินเฒ่าถาม 

"รับรองว่าท่านย่าต้องชอบแน่ๆ" จินเซียงยิ้มตอบ 

ไม่นานกลิ่นหอมอ่อนๆ ก็ลอยมา "กลิ่นนี้มัน" เหมยซีมองหน้าจินเซียง 

"เจ้าคิดว่าอะไรล่ะ" 

"นั่นซิซีซี มันคืออะไร" อี้หลันถามเพื่อนรุ่นพี่ 

"น้ำตาลสดไง มันหอมและหวานมาก รสชาติดีด้วย" แค่ได้ยินชื่อก็ทำให้เอี้ยซ่งเจ้ากรมคลังถึงกับต้องถาม 

"น้ำตาล น้ำตาลหรอลูก เจ้าเอามาทำเครื่องดื่มเช่นนั้นรึ"  

"นั่นซิหลานเขย น้ำตาลถือเป็นสิ่งหายากและมีราคาพอๆ กับเกลือและพริกไท แต่เอามาทำเช่นนี้มันจะดีรึ" 

"ท่านพ่อ ท่านปู พวกท่านอย่าได้กังวล ข้าได้มันมาจากเจ้านี่" จินเซียงหันไปหยิบลูกตาลที่พ่อบ้านเอามาให้ 

"มันคืออะไรกัน" ฮูหยินเฒ่าถาม 

"ลูกตาลเจ้าค่ะ ด้านในมีเนื้ออยู่และมันเอามาทำขนมได้ ส่วนน้ำตาลนั้นได้มาจากช่อตาลเจ้าค่ะ" น้ำตาลสดถูกรินใส่ถ้วยชา  

"อร่อย อร่อยเกินไปแล้ว" เอี้ยซ่งขอเติม 

"และยังมีเจ้านี่อีกน่ะเจ้าค่ะ" กลิ่นขนมลอยมาแต่ใกล้ 

"ขนมตาล!"  

"อืม ใช่แล้ว รีบทานเถอะ" ทุกอย่างหมดลงอย่างรวดเร็ว ที่เรือนอื่นๆ ก็ไม่ต่างกันแม้จะมีการจอเพิ่มแต่ก็ไม่มีใครได้ไปเพราะมันหมดลงอย่างรวดเร็ว 

สองวันต่อมาก็ถึงวันเดินทาง จินเซียงกับเผยอิงขี่ม้าคู่กันนำหน้าขบวนทหาร แม้ทหารหลายนายจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับรองแม่ทัพคนก่อนถึงโดนเปลี่ยนตัวมาเป็นคุณหนูใหญ่คนนี้ 

ยกเว้นพวกผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้นที่ไม่สงสัย พวกเค้าหลายคนรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไรทำไมถึงมีการเปลี่ยนตัวแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่น้อย 

การเดินทางครั้งนี้มีองค์รัชทายาทติดสอยห้อยตามไปด้วยในฐานะแม่ทัพใหญ่ จินเซียงสังเกตว่าตัวรัชทายาทนั้นแอบมองเผยอิงเป็นระยะ ดีที่นางและเผยอิงใส่หน้ากากครึ่งใบหน้าปิดบังไว้อยู่ 

การเดินทางใช้เวลาร่วมๆ 11 วัน ก็มาถึงเมืองชายแดนทางตอนเหนือ เมืองเหอเป่ยเป็นปราการแรกในการต่อสู้กับพวกนอกด่านเพื่อไม่ให้พวกนั้นบุกลงมาที่เป่ยจิงและเข้ายึดจงหยวน

จินเซียงเป็นรองแม่ทัพขึ้นตรงกับเผยอิงแต่เพียงผู้เดียวและทั้งคู่ก็พักด้วยกัน ทหารที่มาด้วยมีประมาณ 20,000 นาย เมื่อรวมกับที่เหอเป่ยแล้วก็มีรวมๆ 40,000 นาย ซึ่งไม่มีใครรู้ว่ากองทัพของพวกซีเซียจะมีเท่าไหร่ 

"แย่จังอาหารการกินของทหารไม่ดีเลย" 

"กองทัพใหญ่ก็แบบนี้แหละ"  

“ท่านคิดว่านั้นจะบุกลงทางไหน” จินเซียงยืนมองแผนที่ที่อยู่ในกระโจมพัก

“จางเจียนโขว ตรงนี้” เผยอิงมองลงไปที่แผนที่

“ตรงนั้นมันด่านเก่านี่ ทำไมท่านคิดว่าพวกมันจะมาทางนั้น”

“แนวนี้ใกล้เหอเป่ย์มากที่สุด ถ้ารักษาด่านไม่ได้พวกซีเซียหรือพวกอื่นๆ ก็จะลงมายึดเหอเป่ยและจากนั้นก็เข้ายึดเซียโจวต่อด้วยภาคกลางทั้งหมด”

“ก็จริงของท่านแต่ทว่าเราก็ต้องรอให้รัชทายาตัดสินใจอยู่ดี”

“รายนั้นคงหวังสร้างผลงานเพื่อหวังขออะไรบางอย่างแน่”

“พวกเรารีบพักเถอะพรุ่งนี้ต้องไปลาดตระเวนอีก เห้อมาถึงก็โยนงานมาให้เลยเจ้ารัชทายาทนั่น”

"งานแรกก็แบบนี้แหละ ท่านอย่าบ่นเลยมาเถอะรีบนอนพักกัน" 

"อืม" ทั้งสองคนนอนกอดกันอยู่บนพื้นที่ปูผ้าหลายๆ ชั้นมาปูไว้ เพราะจินเซียงไม่เลือกที่จะนอนบนเตียงที่ได้เตรียมไว้ให้สำหรับแม่ทัพทั้งหลาย 

เช้าวันต่อมาจินเซียงพาทหาร 500 นาย ออกลาดตระเวนรอบตามแนวชายป่า บางอย่างที่กวนใจนางคือทหารที่นางได้มา มีทหารม้า 50 นาย พลธนู 150 ดาบ 300 และมากกว่าครึ่งเป็นทหารชั้นต่ำที่สุดเรียกได้ว่าพวกที่โดนเกณฑ์มานั่นเอง 

"ท่านรองแม่ทัพทำไมเราไม่เดินไปตามแผนที่ละขอรับ" ทหารม้าคนหนึ่งถาม 

"ตั่งกระบวนทัพสีเหลี่ยม ดาบอยู่นอกตามด้วยธนู ม้าอยู่ใน สองเจ้าสองขึ้นไปบนนั้นและบอกสิ่งที่เห็น" แม้จะงงแต่ก็ทำตาม 

"เกิดอะไรขึ้นขอรับ" 

"มีคนอยากให้ข้าตาย" จินเซียงส่งแผนที่ให้นายทหารดู 

"ท่านรองแม่ทัพนี่มันซีเซี่ยนี่ขอรับ" 

"อืม พวกมันต้องการส่งเราไปให้พวกนั้นฆ่าตาย ถ้าข้ารู้ตัวช้าไปอีกนิดคงพาพวกเจ้าไปตายกันหมดแน่" 

"แล้วแบบนี้ทำอย่างไรดีขอรับ"  

"ท่านนายกอง ท่านบอกให้ทหารสองคนนั้นลงมาแล้วเราจะตรงไปที่หมู่บ้านไม่ใกล้จากที่นี่" 

"ขอรับว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไร" นายกองอีกคนถาม 

"จำไว้ ถามไม่รู้อะไรให้ถามเมีย" ทหารทุกนายถึงกับอ้อออ 

'คนกลัวเมียนี่เอง'

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • แม่นางไก่ทอด   อดีต

    จินเซียงมองคนรักนั่งเงียบมาซักพักตั้งแต่ได้ฟังเรื่องที่เอมิลเล่า เรื่องของคนรักเก่าที่ตายจากไปไม่หวนกลับ ทั้งคู่มีหลายอย่างที่เหมือนกันอย่างแยกไม่ออกแตกต่างกันก็แค่สีผม “เจ้าก็คือเจ้า ข้ารักเจ้าด้วยใจจริง”“ท่านคงไม่คิดว่าข้าเป็นตัวแทนนางใช่รึไม่” “อดีตก็คืออดีตไม่อาจย้อนกลับได้อีก ความผิดพลาดครั้งนั้นเป็นบทเรียนให้ข้าว่าข้าจะต้องไม่ผิดพลาดอีกซ้ำสอง” “ท่านอย่าได้โทษตัวเองเลย” “นั่นซิน่ะ มาเถอะไปดูคนอื่นๆ ทำงานกัน” “เจ้าค่ะ” ทั้งคู่เดินออกนอกห้องทำงานตรงไปที่ท้ายจวนติดท่าเรือ โรงหลอมนั้นกำลังถูกสร้างอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้ผิดพลาด ส่วนพื้นที่ด้านข้างและจวนหลังนั้นก็กำลังมีการปรับปรุงโดยใช้แผ่นไม้มาล้อมส่วนติดถนนไว้เพื่อไม่ให้คนเห็นว่าทำอะไรก่อนที่กำแพงจะสร้างเสร็จแต่เรื่องการเตรียมตัวสำหรับวัตถุดิบนั้นก็ได้คนจากตระกูลหวังที่ครอบครองการค้าเหล็กและแร่หลายชนิดมาช่วยในการจัดหา ทำให้เรื่องวัตถุดิบง่ายขึ้นมามาก เจ็ดวันต่อมาโรงหลอมก็สร้างเสร็จ ฮ่องเต้ทรงมาดูงานด้วยตัวเองเพราะอยากรู้ว่าการหล่อปืนใหญ่จะเหมือนตีดาบรึไม่ หลังจากที่โหรหลวงมาถึงก็เริ่มทำพิธีบูชาดินฟ้าเพื่อความเป็นสิริมงคล ฮ่

  • แม่นางไก่ทอด   ประมูลทาส

    หลายวันต่อมาจินเซียงเข้าวังพร้อมโจวกุ้ยเฟยและตรงไปที่ตำหนักใหญ่ของฮองเฮาเพื่อส่งอาหารตามที่พระองค์เคยขอ “ถวายบังคมฝ่าบาท” “ตามสบายเถอะหลานข้า ว่าแต่ลมอะไรหอบเจ้ามาพร้อมนางกัน” พระนางมองไปที่โจวกุ้ยเฟย เมื่อเห็นไม่สะดวกพูดจึงไล่คนอื่นๆ ออกไปก่อน“เอาล่ะตอบมา” “เมื่อคืนกุ้ยเฟยไปที่จวนเพค่ะ เลยมาพร้อมกัน” “เรื่องนั้นซิน่ะ” “เพค่ะพี่หญิง” “เฮ้อ...พี่บอกแล้วว่าอย่าไปตามใจเยอะ ไม่เช่นนั้นจะเสียคนแล้วเป็นไงล่ะ” “ถ้าไม่ติดว่าการทำร้ายองค์ชายเท่ากับทำร้านสายเลือดมังกรน่ะ น้องจะตบแม่งหัวทิ่มไปเลย” โจวกุ้ยเฟยพูดพร้อมแสดงท่าทาง จินเซียงได้แต่ยืนยิ้ม“พอเลย...ข้าคนว่าเจ้าเข้าวังแล้วจะสงบลงแต่ที่ไหนได้” “พวกท่านใจเย็นก่อนแล้วรีบมาทานอาหารก่อนที่จะ...อ่าว!...หายไปไหน!” จินเซียงมองหากล่องอาหารที่เอามาด้วย “ง่ำๆ อาย่อยมากน้องรอง” “ชู่~ เงียบๆ หน่อย นางหูดีมาก” “เอ่ออ~ พี่รอง น้องว่า~” “อะฮึม!...แม่ว่า…แม่สอนพวกเจ้ามาดีน่ะ สอนทั้งอบรมมารยาทสตรีหรือว่าต้องให้แม่นมทบทวนความจำให้!” ฮองเฮายืนท้าวเอวมองลูกสาวของตน“ถะ...ถวายพระพรเสด็จแม่เพค่ะ” ฉางหรูยิ้มแล้วรีบเอากล่องอาหารซ่อนไว้หลังม่านอย่าง

  • แม่นางไก่ทอด   เผยอิงกลับมาแล้ว

    หลายวันต่อมาที่จวนใหญ่แห่งหนึ่ง มีใครบางคนกำลังนั่งกลุ้มใจเพราะไม่สามารถทำตามแผ่นได้สำเร็จแต่คนที่ส่งไปนั้นกลับหายสาบสูญไปทุกรายอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ให้มันได้แบบนี้ซิ ทำงานกันภาษาอะไรถึงได้หายหัวกันไปหมด” “นายท่านขอรับ พวกเราไปพบร่องรอยบางอย่างขอรับ” ชายชุดดำส่งกระดาษให้ผู้เป็นนาย “ตายหมด! เป็นไปได้ไง” “ขอรับ ดูเหมือนว่าจะมีคนคอยหนุนหลังอยู่” “ท่านพ่อ แบบนี้เหล่าอาหารของเราจะไม่แย่รึขอรับ” “พ่อไม่กลัวเรื่องนั้นแต่ห่วงเรื่องว่ามันจะกระทบงานใหญ่มากกว่า แล้วเรื่องสองตระกูลนั้นเป็นเช่นไรและเรื่องที่ให้ไปสืบได้ความเช่นไร” “ขอรับนายท่าน สองตระกูลนั้นพากันปิดปากเงียบหลังจากที่ตระกูลที่เคยหมั้นหมายต่างพากันขอถอนหมั้น ทำให้หญิงสาวในตระกูลนั้นต่างพากันเก็บตัวขอรับ ส่วนเรื่องที่ให้ไปสืบนั้นได้ความมาว่าแม่ทัพหยางยังนอนไม่ได้สติขอรับ แต่การจะเข้าใกล้เรือนนั้นถือเป็นเรื่องยากมากเพราะมีการคุ้มกันที่แน่นหนาและไม่อนุญาตให้ใครเข้าเยี่ยมจนกว่าท่านขุนพลจะกลับมาขอรับ” “หึหึหึ ดีแบบนั้นแหละดี ไปตามนักพรตนั่นมาเราจะใช้นางเป็นตัวประกันให้เจ้านั้นยอมทำตามเงื่อนไขของเรา” “แต่ท่านพ่อ ถ้านางไม่ยอมล่ะขอ

  • แม่นางไก่ทอด   เริ่มกิจการร้านไก่ทอด

    ต้นเดือนเก้าเหล่าอาหารก็สร้างจนเสร็จและกำหนดที่จะเปิดก็คืออีกสามวันซึ่งตรงกับวันที่เก้าพอดี แม้ใจจะรู้ดีว่าไม่ควรจัดงานมงคลในช่วงนี้แต่ด้วยที่ว่าถ้าคนที่นอนอยู่รู้ว่าไม่ยอมเปิดเหล่าอาหารคงไม่ไม่ดีแน่ถ้าตอนที่นางตื่นขึ้นมาแล้วมีคนบอกให้รู้“ท่านพ่อ ท่านแม่” จินเซียงหลังจากอาบน้ำให้คนรักแล้วก็มาหาผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลที่ห้องโถง“น้องเป็นเช่นไรบ้างลูก” หลอหลันถาม“เจ้าค่ะท่านแม่ ลูกพึ่งอาบน้ำให้นางและป้อนยา”“เจ้าคงไม่ได้ทำอะไรลูกแม่ใช่รึไม่” ชุ่ยหยุนหรือฮูหยินหยางถามจินเซียงได้ยินก็หน้าแดง “ลูกรอนางตื่นก่อนเจ้าค่ะ”“อืม พวกแม่เชื่อเจ้าและหวังว่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดี” หลอหลันให้กำลังใจลูกสาว แต่ก็ขอให้ปาฏิหาริย์มีจริง ขอให้เผยอิงฟื้นขึ้นมาในเร็ววัน“จริงซิ และชื่อร้านคิดได้รึยัง” ฮูหยินเฒ่าตระกูลถังถาม“เจ้าค่ะ ขุนพลนิทราเจ้าค่ะ” ทั้งห้องเงียบกริบไม่มีใครพูดอะไร“หลานย่า เจ้าไม่มีชื่ออื่นแล้วรึ” ฮูหยินเฒ่าตระกูลถังรู้สึกอายแทน“ยังเจ้าค่ะ”“แย่แน่แบบนี้ฮ่องเต้ได้บ่นแน่ๆ พระองค์รอทำป้ายร้านให้เจ้าอยู่น่ะ” เอี้ยซ่งบ่นใส่ลูกสาวคนโต ที่นางนั้นมีปัญหาเรื่องการตั้งชื่อ“เซียงอิงขุนพลไก่ทอ

  • แม่นางไก่ทอด   สิ้นสุดสงคราม

    ทุกคนมองเป็นทางคนผู้นั้นแล้วก็มีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว ยิ่งอาวุโสถังผู้เป็นปู่ที่มองหน้าหลานไม่แท้อย่างตั้งคำถาม แต่คนที่ตกใจที่สุดนั้นคือพระชายาทั้งสองของรัชทายาท “พวกเจ้ารู้จักนางรึ” “พะ เพค่ะ นางคือคนที่ช่วยพวกเราไว้จากกลุ่มโจรเมื่อหลายปีก่อนเพค่ะ ตอนที่พวกเราตามเสด็จไปล่าสัตว์เพค่ะ” “เพค่ะ ตอนที่พานางมาพักรักษาตัวท่านก็น่าจะเคยเห็น รวมถึงยังเคยช่วยองค์หญิงจากการถูกลักพาด้วยน่ะเพค่ะ” “เจ้าเป็นคนช่วยลูกของเราเมื่อตอนนั้นรึ” “ข้าเองก็จำอะไรได้ไม่ค่อยมาเพราะเมื่อหลายเดือนก่อนเกิดอุบัติเหตุขึ้นทำให้ความจำบางส่วนหายไป ต้องขอโทษด้วย” จินเซียงพูดแก้ตัว เพราะจำไม่ได้จริงๆ“เช่นนั้นเรื่องการเจรจาสงบศึกข้าจะช่วยพูดให้ส่วนเรื่องการแต่งงานคงมิอาจช่วยได้” พระมเหสีสูงสุดแห่งเหลียวหรือจะเรียกว่าฮองเฮาก็ได้ตามความคุ้นเคยของผู้มาจากภาคกลาง พระนางรับปากเรื่องเจรจาแต่อีกเรื่องไม่รับปาก“ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่คิดจะจับใครแต่งงาน แต่ถ้าท่านข่านเสนอมา ทางเราก็คงยากจะปฏิเสธนอกเสียจาก” “นอกเสียจากอะไรกัน” “นอกเสียจากจะมีใครเสียตัวในคืนนี้แล้วข้าจะรีบเขียนสารด่วนกลับไปขออนุญาตเรื่องการแต่งงานเจริญสั

  • แม่นางไก่ทอด   ไร้ความช่วยเหลือ

    เช้าวันต่อมาเสียงกลองรบดังสนั่นทั่วเมือง ชาวบ้านชาวเมืองต่างพากันสวดมนต์ขอพรให้กองทัพมีชัยเหนือศัตรูผู้รุกรานถึงแม้จะมีหวังน้อยเต็มทีแต่ก็ยังมีแสงสว่างอยู่ในคือสองแม่ทัพที่ตอนนี้ยืนคู่กันอยู่บนกำแพงเมือง “อันเตรียย่าข้าว่ามันสวยจริงๆ ถ้าเทียบกับกองทัพของอัศวินแล้ว” “นั่นซิ แม้จะอยู่ในสงครามมาหลายสิบปีก็ยังไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้” “ท่านพี่ ที่นั่นเป็นเช่นไร” เผยอิงถาม “ที่นั่นเรารบกันด้วยความเชื่อและศรัทธา บ้างก็มีเหตุผลแตกต่างกันไป กองทัพนั้นอืม จะว่าไงดีล่ะ พี่ว่าดาบที่อัศวินใช้คงจะฟันพวกทหารเหลียวไม่เข้าแน่ๆ” “ใช่แล้วน้องสะใภ้ ดาบพวกนั้นมันอาศัยน้ำหนักอย่างเดียว ส่วนดาบที่เบาก็เบาเกินไปทำให้สู้กับพวกใส่เกราะเหล็กไม่ได้” “ข้าชอบดาบวงพระจันทร์ กับดาบใหญ่อันนี้มากกว่า” จินเซียงมองดาบคู่ใจในมือ ความสมดุลของดาบทั้งสองนั้นดีมาก“ข้าอยากถามมานานแล้วว่าทำไมท่านถึงพกอาวุธไว้เยอะแยะ”“ไม่รู้ซิ มันชินแล้ว” จินเซียงตอบคนรักแล้วหันไปมองที่สนามรบที่ตอนนี้ทหารเหลียวได้ลากหอตีเมืองมารอพร้อม“สั่งยิงได้เลย เราไม่จำเป็นต้องให้เกียรติพวกมันเพราะพวกมันเหยียบย่ำและฉีกสัญญาของพวกเราก่อน” จินเซียงหันไป

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status