LOGINจวนถังเงียบกริบลงทันทีเมื่อทุกสายตาจับจ้องไปยังผู้มาเยือน ก่อนที่ทั้งหมดจะพร้อมใจกันย้ายไปยังลานฝึกซ้อม อุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งเป้ายิงและอาวุธสารพัดถูกนำมาจัดวางอย่างรวดเร็ว
จินเซียงเดินทอดสายตาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบธนูธรรมดาขึ้นมาพร้อมลูกศร การทดสอบแรกคือการยิงธนู ตามด้วยการต่อสู้ด้วยดาบ หอก ง้าว หมัด และการบังคับม้า
“การทดสอบแรก ยิงธนูระยะไกลให้เข้าเป้าทุกดอก ถัดไปปิดตายิง และสุดท้ายคือการต่อสู้ด้วยธนู” ชายชราประกาศเสียงดัง ทันใดนั้นทหารหลายสิบนายก้าวออกมายืนประจำตำแหน่ง
ลูกศรถูกปล่อยออกจากคันธนูอย่างแม่นยำ ทุกดอกพุ่งทะลุเข้าสู่จุดกึ่งกลางของเป้า ไม่ว่าจะยิงด้วยตาเปิดหรือหลับตา และเมื่อถึงการต่อสู้ จินเซียงก็เคลื่อนไหวว่องไว ยิงทหารลงไปทีละคน เพียงธนูในมือก็เพียงพอให้คู่ต่อสู้พ่ายแพ้ได้ แม้ลูกศรจะหุ้มปลายด้วยผ้านวมหนา แต่แรงปะทะก็หนักหน่วงจนผู้ถูกยิงร้องออกมา
เมื่อบททดสอบด้วยธนูจบลง นางยังคงเป็นผู้ชนะโดยแทบไม่เสียเหงื่อ องค์หญิงรองที่ยืนสังเกตการณ์อยู่พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พี่สาวมัวเล่นสนุกอยู่หรือไร…สู้ขอไปทีเช่นนี้ไม่ใช่นิสัยของท่านนี่นา”
“องค์หญิงเพคะ กระหม่อมถามได้หรือไม่ว่า ท่านจินเซียง…ก่อนหน้านี้นางเป็นเช่นไร” องครักษ์หญิงคนหนึ่งเอ่ยถามเบา ๆ
องค์หญิงรองยกยิ้มจาง ๆ พลางตอบ “นางคือหนึ่งในระดับสูงที่สุดของพวกนั้น เป็นคนที่มีค่าหัวสูงที่สุดในช่วงสงครามครูเสด หลังสงครามจบพวกเรากลับมาที่นี่ แต่ไม่คิดเลยว่าพี่สาวจะปรากฏตัวอีกครั้งหลังหายไปนาน”
องครักษ์ผู้นั้นอึ้งไป ก่อนจะถามต่อ “พระองค์หมายความว่า…... นางหายไปเองหรือเพคะ”
“ใช่ หากพี่สาวไม่ต้องการให้ใครพบ ก็ไม่มีวันได้พบ” องค์หญิงก้มลงทอดเสียงเบา “พวกอัศวินจากแดนไกลล้มตายด้วยคมดาบของพี่สาวนับไม่ถ้วน นี่แค่ส่วนหนึ่งที่ข้ารู้"
คนฟังต่างพากันกลืนน้ำลาย ก่อนที่องค์หญิงจะกล่าวเสียงหนักแน่น “แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่สาวอันตรายที่สุดตอนไหน”
องครักษ์ส่ายหัว
“ก็ตอนที่นางใช้มือเปล่านี่แหละ แม้แต่ประตูค่ายที่ทำจากไม้เนื้อแข็งหรือเหล็กหนาก็ยังถูกทลายสิ้น…เฮ้! หยุด! หยุดการทดสอบเดี๋ยวนี้!”
ไม่ทันขาดคำ นางกระโดดลงมาเตะทหารคนหนึ่งจนกระเด็น เพื่อกันไม่ให้โดนหมัดของจินเซียง
ตู้ม! เสียงระเบิดดังสะเทือน กำแพงฝึกแทบถล่มลงมา
เสียงระเบิดดังก้อง ฝุ่นควันลอยคลุ้ง ก่อนทุกคนจะเห็นกำแพงหนาถูกเจาะเป็นรูมหึมา และค่อย ๆ เกิดรอยร้าวไปทั้งกำแพง
“องค์หญิง!” ทหารและองครักษ์พากันกรูเข้ามา
องค์หญิงโบกมือ “ข้าไม่เป็นไร แต่พวกเจ้าคงต้องซ่อมกำแพงใหม่เสียแล้ว ดูนั่นสิ”
กำแพงหินที่หนาทึบถูกหมัดเดียวเจาะจนทะลุ ก่อนพังครืนลงมาท่ามกลางสายตาตะลึงงันของผู้คน
“.......” คนตระกูลถังยืนอึ้งกันทั้งแถว พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“เลิกทดสอบเถิด ฮ่องเต้ยังพึ่งแพ้การเดินหมากให้นางอยู่หยก ๆ” เสียงชายร่างสูงใหญ่ดังขึ้นจากซากกำแพง “ไม่คิดเลยว่าจวนถังจะถูกทุบกำแพงเป็นรูเช่นนี้”
“หยางเทียนเซา! เจ้ามายุ่งอะไรด้วย!” ชายชราตระกูลถังตะโกนใส่
“อะไรกันตาแก่ ข้าเพียงอยากดูหลานเขยทดสอบ ไม่คิดว่าจะได้เห็นของจริงเช่นนี้” หยางเทียนเซาหัวเราะพลางปรบมือดัง “กำลังภายในยอดเยี่ยมยิ่งนัก! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เสียงตบมือดังสนั่นไปทั่วลาน ขณะเดียวกันชาวบ้านนอกกำแพงที่แตกพังต่างได้ยินทุกถ้อยคำ และข่าวลือที่ว่าสองตระกูลกำลังจะเกี่ยวดองกันก็ถูกตอกย้ำจนกลายเป็นจริงขึ้นมา
ตกดึกภายในเรือนของเผยอิงแม้จะดับไฟหมดแล้ว แต่ด้วยสิ่งที่ไปกระซิบเมื่อกลางวันทำให้นางไม่ได้นอน สองร่างยังหยอกเย้ากันทั้งคืนจวบจนรุ่งเช้ามาเยือน
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้อง ภายใต้ผ้าห่มหนามีร่างของหญิงสาวนอนกอดแนบชิด เสียงนกร้องยามเช้าได้ปลุกทั้งคู่ตื่นจากห้วงนิทรา สาวใช้รู้หน้าที่ทันทีเมื่อได้ยินเสียงจากในห้อง ต่างก็พากันเติมน้ำในห้องอาบน้ำ เพื่อให้นายสาวได้ชำระร่างก่ายหลังตื่นนอน ทุกคนต่างรู้ดีว่าต่อไปใครจะได้มาเป็นผู้สืบทอดของตระกูล
เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็ต้องเดินทางไปยังเมืองหน้าด่าน เผยอิงจึงสอนทุกสิ่งที่จินเซียงควรรู้ ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวของซีเซี่ยหรือจิน รวมถึงกำลังทหารและอาวุธที่พวกนั้นใช้
สิ่งที่น่าแปลกใจคือ แม้ทางยุโรปจะเริ่มทดลองนำปืนใหญ่มาใช้ในการศึกศาสนา แต่ที่นี่กลับยังไม่เป็นที่นิยม กองทัพของแคว้นส่วนใหญ่ยังคงใช้เครื่องยิงหินเพื่อสนับสนุนการตีค่ายและบุกเมือง
“ตอนที่พี่เดินทางมาจากตะวันออกกลาง ข้าเคยได้ยินข่าวว่าทางตะวันออกมีสิ่งที่เรียกว่า ‘อาวุธดิน’ ใช้กันแล้ว” จินเซียงเอ่ยพลางนึกถึงถ้อยคำที่ได้ฟังจากเหล่านักเดินทาง
เผยอิงพยักหน้า
“ท่านหมายถึงหอกไฟ ปืนท่อ และลูกระเบิดนั้นหรือเจ้าคะ”
“อืม แต่ไม่รู้ว่ากองทัพของประเทศเล็ก ๆ จะมีหรือไม่ แล้วแคว้นเรา มีหรือยัง”
“ยังเจ้าค่ะ แม้สมัยราชวงศ์ฮั่นและถังจะเคยพัฒนาไว้ แต่ทุกวันนี้คนที่หล่อปืนได้มีอยู่น้อยมาก ที่สำคัญวิธีหล่อปืนใหญ่ถูกเก็บไว้ในวัง เป็นสิ่งที่ราชวงศ์สั่งห้ามผลิตออกมา”
จินเซียงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนคลี่ยิ้มบาง ๆ “อืม งั้นวันนี้พอแค่นี้เถอะ อีกสองวันเราต้องออกเดินทางแล้ว พี่จะพาไปดูโรงเตี๊ยมที่ท่านแม่ยกให้”
“เจ้าค่ะ” เผยอิงตอบเบา ๆ แววตาที่มองอีกฝ่ายสะท้อนทั้งความเชื่อมั่นและความอ่อนโยน นางอาจเป็นแม่ทัพผู้แข็งแกร่ง แต่เมื่ออยู่กับ จินเซียงก็สามารถวางเกราะป้องกันลงได้อย่างสิ้นเชิง
“มาเถอะ” จินเซียงดับเชิงเทียนในห้อง ความสว่างพลันถูกแทนด้วยเงามืดอันอบอุ่น เผยอิงเอนกายซุกลงในอ้อมแขน แขนแกร่งโอบรัดแน่นราวกับป้องกันไม่ให้สิ่งใดมาพรากไปได้
เสียงลมภายนอกพัดแรงเตือนถึงพายุสงครามที่กำลังใกล้เข้ามา แต่ภายในห้องเล็กนั้นกลับมีเพียงลมหายใจอุ่นที่สอดประสาน และความรู้สึกมั่นคงที่ต่างมอบให้แก่กันและกัน
เช้าวันต่อมา ทั้งคู่เดินไปบอกกล่าวผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลว่าจะออกไปดูงานที่โรงเตี๊ยม เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ทั้งคู่ก็ออกจากจวนไปด้วยกัน ทันทีที่ปรากฏกาย เหล่าบรรดาบุรุษมากมายต่างพากันมองตามด้วยสายตาไม่วางตา ไม่เว้นแม้แต่สตรีบางคนก็ยังเผลอใจให้กับความสง่างาม และความผูกพันที่ทั้งคู่มีต่อกัน
“อะไรนะ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ออกไปกันสองคน ไม่ชวนข้าเลยหรือ” อี้หลันบ่นกับสาวใช้
“เจ้าค่ะ เพิ่งออกไปเมื่อครู่เจ้าค่ะ”
“พี่รองอย่าโวยวายเลย เรายังมีเรียนช่วงบ่ายอยู่นะ” ฟางเอ้อร์รีบเอ่ยเตือนพี่สาวของตน
“หึ! เจ้าลืมแล้วหรือว่านางกำลังจะไปที่ชายแดน ไม่รู้ว่าจะกลับมาตอนไหน แถมเดินทางเกือบสิบวัน…หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้”
“ท่านเอาเวลาไปห่วงว่าที่สามีของท่านเถอะ ข้าได้ข่าวว่าเขาเข้าหอนางโลมบ่อยกว่าหายใจอีกเสียอีก” ฟางเอ้อร์ยกคิ้วล้อเลียน
“เจ้าปากร้ายจริง ข้าหาแบบพี่ใหญ่ดีกว่า!”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้น ถิงถิงที่ยืนฟังอยู่พูดขึ้น “พวกท่านรีบเรียนเถอะ ตอนเย็นได้ข่าวว่าท่านจินเซียงจะทำอาหารเอง ถ้าเรียนและทำการบ้านไม่เสร็จ อย่าหาว่าข้าไม่เตือนนะ”
“ถิงถิง!” สองสาวรีบตั้งหน้าตั้งตาเรียนในทันที ประหนึ่งกำลังใกล้วันทดสอบจอหงวน
“ถิงถิง!” สองสาวรีบตั้งหน้าตั้งตาเรียนและทำการบ้านอย่างสุดชีวิต
******
ทางด้านคู่รัก ทั้งคู่กำลังเดินตรวจดูอาคารที่ถูกลื้อบางส่วนออก ความโล่งกว้างเผยให้เห็นโครงสร้างที่กำลังจะถูกสร้างขึ้นใหม่ ช่างหลายคนกำลังช่วยกันทำความสะอาดและจัดเรียงวัสดุ นายช่างที่เห็นเจ้านายมาก็รีบตรงเข้ามารายงานความคืบหน้า
แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือแถวต้นไม้ที่หน้าตาคล้ายมะพร้าวและตาล จินเซียงหยุดยืนมองก่อนจะยกมือห้ามทันที
“ท่านห้ามตัดพวกมันเด็ดขาด”
“คุณหนูรู้จักด้วยรึขอรับ?” นายช่างเอ่ยอย่างแปลกใจ
“ของดีเลยล่ะ ไปเรียกคนมาช่วยข้าเก็บพวกมันหน่อย”
ไม่นานคนงานก็มารวมตัว นางสาธิตวิธีปีนและเก็บลูกอย่างคล่องแคล่ว เสียงหัวเราะและความตื่นเต้นดังขึ้นรอบตัว เผยอิงยืนกอดอกมองด้วยสายตาที่อ่อนโยน ริมฝีปากยกยิ้มจาง ๆ ได้เห็นคนรักในมุมที่ทั้งจริงจังและน่ารัก
“ขอบใจพวกท่านมาก ไว้พรุ่งนี้ข้าจะให้คนเอาขนมมาให้” จินเซียงยิ้มตอบ ก่อนจะเก็บลูกตาลกับมะพร้าวใส่ตะกร้าอย่างพึงพอใจ แม้ไม่เข้าใจว่าพวกมันขึ้นในอากาศแบบนี้ได้อย่างไร
หลังตรวจงานเสร็จ ทั้งคู่พากันเดินเล่นในตลาด แวะเลือกวัตถุดิบสำหรับอาหารเย็น พ่อบ้านและสาวใช้ที่รู้เวลาก็มารอที่หน้าตลาดเพื่อช่วยถือของ บางคนแยกตัวไปซื้อของตามรายการที่นางกำหนด
“คุณหนู วันนี้มีเมนูอะไรหรือขอรับ?” พ่อบ้านถามพลางยกตะกร้า
“ยังไม่บ่ายเลย ท่านก็ถามแล้วรึเจ้าค่ะ?” จินเซียงหันมายิ้มแซว
“คุณหนูอย่าล้อเล่นสิขอรับ ข้าตื่นเต้นแทบแย่”
“เอาน่า เดี๋ยวก็รู้เอง” นางหัวเราะเบา ๆ “พวกท่านเอาของไปเก็บที่รถม้าแล้วบอกให้คนรีบส่งกลับจวนด้วย เดี๋ยวพวกเราไปทานอาหารกันมื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง”
“ขอบคุณคุณหนูมากขอรับ” พ่อบ้านเป็นตัวแทนเหล่าคนใช้ กล่าวด้วยความปลื้ม
เผยอิงเหลือบตามองคนรัก “อาเซียง เราจะไปที่ร้านของเหมยซีใช่ไหม?”
“อืม ใช่แล้ว อีกอย่างจะได้ชวนนางมาทานอาหารเย็นด้วย”
“ก็ดี เช่นนั้นไปกันเถอะ”
“ก็ได้” ทั้งหมดพากันไปที่ร้านของเหมยซี
หลังทานอาหารเสร็จ ทั้งคู่ก็พากันกลับมาที่จวน เผยอิงถูกเรียกกลับไปพบทหารที่ถือสารจากชายแดนที่มารออยู่ที่จวน จินเซียงจึงใช้เวลาเกือบสองชั่วยามปรุงอาหารเพื่อเลี้ยงทุกคน
หลังทานอาหารเสร็จก็พากันกลับมาที่จวน เผยอิงแยกตัวไปทำงานเพราะมีทหารถือสารจากชายแดนมา
จินเซียงใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วยามในการทำอาหารเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของทุกคน อาหารที่ชอบกันมากที่สุดคือไก่ทอดกรอบและข้าวโพดย่างเนยเป็นที่ชื่นชอบอย่างมาก กลิ่นหอมมันยั่วยวนแม้แต่คนที่ไม่ถูกกับนางยังต้องยอมทานอย่างเอร็ดอร่อย
ในอนาคตนางมีแผนที่จะสนับสนุนให้ตระกูลปลูกข้าวโพดและมันหวานหลากหลายชนิดที่สามารถซื้อได้จากระบบ เผื่ออนาคตจำเป็นต้องใช้และอีกเหตุผลคือส่งให้ร้านอาหารในอนาคต
อาหารทยอยถูกส่งออกไปเป็นชุด ๆ เสียงหัวเราะและการชื่นชมดังมาจากเรือนต่าง ๆ เมื่อถึงตาของผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูล จินเซียงก้าวเข้ามาพร้อมคารวะ
“ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
“ได้ยินว่าหลานเขยทำอาหารได้อร่อยยิ่งนัก วันนี้เราคงได้ลิ้มรสอาหารเสียที” เทียนเซาพูดพลางกลั้นยิ้มเมื่อเห็นอาหารเรียงรายตรงหน้า
“ท่านปู่เชิญก่อนเจ้าค่ะ แต่อย่าทานมากไปเพราะยังมีขนมหวานตามมาอีก” นางยิ้มบาง ๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดี ดีมาก ลงมือกันเถอะ”
เสียงหัวเราะร่าเริงดังขึ้น ทุกคนลงมือกินกันด้วยความเพลิดเพลิน ขณะที่บางคนในเรือนทำได้เพียงนอนกลืนน้ำลายเพราะกลิ่นอาหารหอมโชยมาจนทำให้คนเจ็บสามารถลุกจากเตียงได้
เมื่อมื้อหลักสิ้นสุด ขนมครกร้อน ๆ หน้าตาคล้ายฝาหอยถูกยกเข้ามา กลิ่นกะทิหอมหวานอบอวลจนใคร ๆ เผลอกลืนน้ำลาย
“ลูกเซียง เจ้าบอกพวกแม่ได้รึไม่ว่านี่คืออะไร” หลอหลันถามด้วยความสงสัย
“เจ้าค่ะ มันคือขนมครก ทำจากแป้งผสมกับน้ำกะทิจากลูกมะพร้าว เชิญท่านแม่ลองชิม”
เหมยซีที่งนั่งอยู่หันมองจนคอเคล็ดเพราะไม่คิดว่าจินเซียงจะทำขนมครกเป็นของหวาน ทั้งที่มะพร้าวนั้นหายากมาก
คำแรกที่เข้าปากก็ทำให้หลอหลันเคลิบเคลิ้ม “อืม~ หอม หวาน…เหมาะกับปลายหนาวจริง ๆ” ยังไม่ทันไรจานก็มันวับหมดเกลี้ยง
“ของแม่หายไปไหนหมดแล้ว!” หลอหลันเบิกตากว้าง
“เจ้ากินหมดเองแล้วต่างหาก” เสียงหัวเราะดังรอบโต๊ะ
“ท่านพี่ ถ้าท่านไม่กิน ข้าขอเถอะนะ”
“ไม่ได้!” เอี้ยซ่งรีบยกจานหนีทันที
จินเซียงหัวเราะเบา ๆ “ไม่ต้องแย่งกันเจ้าค่ะ ในครัวยังมีอีก เดี๋ยวลูกให้สาวใช้ทำเพิ่ม”
เพียงเท่านั้นสาวใช้จากเรือนอื่น ๆ ก็พากันเดินไปแจ้งความประสงค์แก่พ่อบ้าน พ่อบ้านรีบเดินบอกจินเซียงถึงสิ่งที่สาวใช้เรือนอื่นขอมา
“ฝากท่านจัดการด้วยน่ะเจ้าค่ะ แล้วให้คนยกมาเพิ่มด้วยรวมถึงน้ำในโถที่แช่อยู่ในน้ำแข็ง ท่านก็เอามาให้ข้าด้วยน่ะ”
“ขอรับ” พ่อบ้านหันเดินออกไปพร้อมสาวใช้หลายคน
“น้ำอะไรกัน หลานย่า” ฮูหยินเฒ่าหันมาถาม
จินเซียงยิ้ม “รับรองว่าท่านย่าต้องชอบแน่นอนเจ้าค่ะ”
ไม่นาน น้ำตาลสดหอมหวานก็ถูกยกเข้ามาในจอก น้ำสีน้ำตาลใสส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ จนทุกคนพากันหันมอง
“กลิ่นนี้มัน…” เหมยซีพึมพำด้วยความตกใจ
“เจ้าคิดว่าอะไรล่ะ” จินเซียงยกคิ้วหยอก
“น้ำตาลสด!?” เหมยซีตื่นเต้นมาก “มันหอมและหวานมาก เรื่องรสชาตินั้นดีมากทีเดียว”
เอี้ยซ่งถึงกับแทบหันคอจนเคล็ด “น…น้ำตาลหรอกหรือ เจ้าเอามาทำเครื่องดื่ม!” เอี้ยซ่งมองน้ำสีน้ำตาลขุนในจอกของตน
“ท่านพ่อ ท่านปู่ อย่าได้กังวลเจ้าค่ะ ข้าได้มันมาจากเจ้านี่” จินเซียงหยิบลูกตาลออกมาโชว์
“ลูกตาล?” ฮูหยินเฒ่าทำตาโต
“เจ้าค่ะ เนื้อด้านในเอามาทำขนมได้ ส่วนช่อของมันให้น้ำตาลสดนี่แหละ”
“หลานเขย น้ำตาลถือเป็นสิ่งหายากและมีราคาพอกันกับเกลือและพริกไท แต่เอามาทำเช่นนี้มันจะดีรึ” หยางเทียนเซาถาม
“ท่านต้องชิม...” จินเซียงยิ้มแล้วกระดกหมดแก้ว “เย็นชื่นใจ”
ทุกคนต่างก็พากันจิบแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “อร่อยเกินไปแล้ว”
ยังไม่ทันจะจบ ขนมตาลก็ถูกยกเข้ามาอีก กลิ่นหวานอุ่นลอยอบอวลทั่วห้อง จนทำให้หลายคนถึงกับกลืนน้ำลาย
“ขนมตาล!” เหมยซีอุทาน
“ใช่แล้ว รีบทานเถอะ” จินเซียงยิ้มอย่างภาคภูมิ
มื้อนั้นทั้งจวนเต็มไปด้วยความครึกครื้น อาหารทุกอย่างหมดลงอย่างรวดเร็ว จนแม้แต่สาวใช้เรือนอื่น ๆ ก็ยังมิวายมาขอเพิ่ม แต่ก็ต้องพากันผิดหวังเพราะวัตถุดิบหมดเกลี้ยงแล้ว
สองวันต่อมาก็ถึงวันเดินทาง จินเซียงกับเผยอิงบังคับม้าคู่กันนำหน้าขบวนทหาร ความเร็วของฝีเท้าม้าพาเอาฝุ่นลอยเป็นทางยาวไปตามถนน เด็กหนุ่มหญิงสาวที่ยืนอยู่สองข้างทางหยุดมองอย่างตื่นตา ใครเล่าจะไม่หันมาดูเมื่อเห็นรองแม่ทัพคนใหม่คือหญิงสาวผู้งดงามและแม่ทัพหญิงผู้เก่งกาจคู่นี้ ขี่ม้าเคียงกัน
ทหารหลายคนยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเปลี่ยนตัวรองแม่ทัพ แต่หน่วยที่อยู่ใกล้ชิดรู้ดีและหลีกเลี่ยงจะเอ่ยถึง บ่อยครั้งความจริงมักถูกเก็บเป็นความลับเพื่อความสงบระหว่างขบวน ยกเว้นเพียงสายตาที่เต็มไปด้วยการยอมรับจากผู้ใต้บังคับบัญชา พวกเขารู้ว่าเหตุผลนั้นหนักแน่นเพียงใด
ครั้งนี้รัชทายาทร่วมทางมาด้วยในฐานะแม่ทัพใหญ่ จินเซียงสังเกตเห็นว่าองค์รัชทายาทมองเผยอิงเป็นระยะ ๆ แม้ทั้งคู่จะสวมหน้ากากครึ่งหน้าไว้ แต่ลางสังหรณ์บางอย่างยังคงทิ่มแทงใจ แต่ก็ยังไม่มีเวลาคิดมาก
การเดินทางกินเวลาเกือบสิบเอ็ดวัน กองทัพมาถึงเมืองชายแดน ทางเหนือ ‘เหอเป่ย’ ป้อมปราการแรกที่ต้องยืนหยัดเพื่อกีดกันพวกนอกด่านไม่ให้ล่วงลงมายังเป่ยจิงและจงหยวน
จินเซียงขึ้นตรงกับเผยอิงเพียงผู้เดียว ทั้งสองพักในกระโจมใกล้กัน กระโจมมีกองไฟอ่อน ๆ เสียงลมกลางราตรีพัดผ่านเต็นท์ทำให้เห็นไฟเชิงเทียนเต้นระริก เผยอิงหยิบแผนที่มาวางตรงกลาง มือของสองคนบังแผนที่ไว้ท่ามกลางแสงเทียน
“เจ้าคิดว่าพวกมันจะบุกลงมาทางไหน” จินเซียงยืนมองแผนที่
“แย่จัง อาหารทหารไม่ค่อยดีเลย” พลทหารคนหนึ่งบ่นเมื่อเดินผ่าน
“กองทัพใหญ่ก็มักเป็นแบบนี้แหละ” เผยอิงตอบพลางชี้จุดบนแผนที่ด้วยนิ้วเรียว “จางเจียนโขว ตรงนี้ไง”
จินเซียงพินิจแผนที่ “นั่นด่านเก่า ทำไมเจ้าเห็นว่าพวกมันมาทางนั้น”
เผยอิงเอียงหน้า “แนวนี้ใกล้เหอเป่ยที่สุด ถ้าด่านนี้แตก พวกซีเซียจะยึดเหอเป่ยก่อน แล้วค่อยทะยานไปเซียโจว น่าเป็นห่วงมากจึงเห็นควรวางกำลังที่นี่”
“ก็จริงอยู่ แต่สุดท้ายก็ต้องรอรัชทายาทตัดสิน” จินเซียงพูดด้วยความกังวล “ข้าคิดว่าคนบางคนคงหวังสร้างผลงานเพื่อหวังได้สิ่งตอบแทน”
เผยอิงเก็บแผ่นที่ ดับไฟเชิงเทียน “พรุ่งนี้ต้องไปลาดตระเวนแต่เช้า รีบพักเถอะ”
ทั้งสองนอนเคียงกันบนผ้านวมหลายชั้น จินเซียงเลือกไม่ขึ้นเตียงแม่ทัพเพราะรู้สึกไม่มั่นใจในตรรกะความปลอดภัย ใกล้เผยอิงแล้วใจสงบกว่า
รุ่งขึ้น จินเซียงพาทหาร 500 นายออกลาดตระเวนตามแนวชายป่า กำลังที่ได้รับมานั้นไม่แน่นอน มีม้า 50 ตน พลธนู 150 ดาบ 300 ส่วนที่เหลือเป็นทหารเกณฑ์ที่จับดาบยังลำบาก นางรู้ตัวดีว่า ถ้าถูกซุ่มโจมตีจริง ๆ ทัพอาจแตกได้
“ท่านรองแม่ทัพ ทำไมเราไม่เดินตามแผนที่ละขอรับ?” ทหารม้านายหนึ่งทัก
จินเซียงสั่งทันควัน “ตั้งกระบวนเป็นสี่เหลี่ยม ดาบหอกอยู่นอก ตั้งโล่ ธนูอยู่ข้างใน ม้าอยู่ตรงกลาง เจ้าสองคนขึ้นไปบนต้นไม้นั่นเฝ้าดู” คำสั่งออกมาเป็นระบบ แม้ทหารจะงุนงงแต่ก็ปฏิบัติตาม
“เกิดอะไรขึ้นขอรับ”
เมื่อทุกอย่างเข้าที่ เธอกระซิบบอกนายกอง “มีคนอยากให้ข้าตาย”
คำพูดทำให้บรรยากาศเงียบ ทุกคนสบตามองกัน “ท่านรองแม่ทัพ...นี่มันพวกซีเซียนะขอรับ”
“ใช่ พวกมันอยากส่งเราไปตาย” เธอตอบเรียบ ๆ “ถ้าข้าช้ากว่านี้ พวกเจ้าอาจไม่ได้กลับบ้าน”
นายกองชะงัก ก่อนจะถามแผนการ
“แล้วแบบนี้ทำอย่างไรดีขอรับ”
จินเซียงยิ้มมุมปาก แล้วแนะชัดเจน “ให้พวกสองคนนั้นลงมา เราจะไปหมู่บ้านใกล้ ๆ แล้วจำไว้ ถ้าถามไม่รู้ จงถามเมียของเจ้า” จินเซียงจดจำได้จากแผนที่ที่ดูเมื่อคืน ห่างจากตรงนี้ไม่มากมาหมู่บ้านอยู่ใกล้ด่าน
'คนกลัวเมียนี่เอง'
สายลมอุ่นพัดผ่านไปตามตรอกอาคารบ้านเรือนในย่านตลาดหลังท่าเรือ บนหลังคาอาคารรอบ ๆ เรือนหลังหนึ่งมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังเฝ้าจับตามองอยู่เด็กสาวสองคนเดินฮัมเพลงเป็นจังหวะสบาย ๆ เข้ากับบรรยากาศอบอุ่นและกลิ่นของน้ำทะเล ทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ของเรือนหลังใหญ่ที่สุดในตรอกนี้ มีคนคุ้มกันสองคนยืนเฝ้าอยู่“เจ้าหนู ถ้าไม่มีอะไรอย่ามายืนขวางประตู!” ผู้คุ้มกันตะโกนใส่“ที่นี่คือเรือนของผู้ใดกัน ถึงมีคนคุ้มกันที่เป็นถึงจอมยุทธ์เช่นนี้” เด็กสาวถามด้วยความสงสัย“พวกเจ้าดูไปก็ใช้ได้เลยนิ ถ้ายอม.... เล่นกับพวกข้าบางทีอาจยอมให้เข้า... ก็...”ผัวะ! ตุ้บ! พูดไม่ทันจบ... พวกมันก็ถูกตีจนสลบแล้วถูกมัดมือมัดเท้าก่อนจะโดนหิ้วตัวออกไปอย่างรวดเร็ว“เจอรึยัง” ไต้เจียงหันไปถามชายคนหนึ่งที่โผล่ออกมาจากเงามืด“ขอรับ ที่คุกใต้ดินมีคนถูกจับไว้สิบห้าคน แล้วก็... อื้ม...”ไต้เฉียวหันมองหน้าคนพูดอย่างตั้งคำถาม “แล้วก็อะไร พูดมา”“ขอรับคุณหนูใหญ่... คือว่ามีทาสจำนวนมากถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินอีกแห่งขอรับ”สองสาวพี่น้องมองหน้ากันด้วยสายตาเย็นชา เพราะกฎหมายเรื่องค้าทาสนั้นถูกยกเลิกไปตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ ที่ทรงส
สายลมอุ่น ๆ พัดโชยเข้ามาในหน้าต่างห้องทำงานชั้นบนสุดของหอการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าซ่ง เด็กสาวสองคนกำลังนั่งเล่นไพ่รับลมชมวิวเมือง ไต้เฉียวกับไต้เจียง สองพี่น้องผู้เป็นคุณหนูของหอการค้า ที่นับวันยิ่งมีความคล้ายกับผู้เป็นแม่ไต้เฉียวนั้นจะคล้ายกับจินเซียงมากที่สุด ไต้เจียงนั้นจะออกไปทางเผยอิงผู้เป็นมารดา สองคนนี้จะแตกต่างกันตรงสีผิวและดวงตาเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่หาตัวยากมากที่สุด พวกนางขึ้นชื่อเรื่องการซ่อนตัวเป็นที่สุด ส่วนน้อยจะได้เห็นหน้าพวกนาง“ท่านแม่ไปไหนกัน” ไต้เจียงหันไปถามเลขาหน้าห้องของจินเซียง “ไม่ทราบเจ้าค่ะคุณหนู ท่านประธานออกไปแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ”“ไปกับท่านแม่หรอ”“เจ้าค่ะ ฮูหยินไปด้วย”“พี่ใหญ่เอาไงต่อดี แม่ไม่อยู่”“ไปเดินเล่นกันหน่อยเป็นไง เดี๋ยวต้องไปรับองค์หญิงน้อยอีก เบื่อพวกองค์ชายมาก” ไต้เฉียวบ่นอย่างเบื่อหน่าย ทุกวันนี้อีกฝ่ายมักหาเรื่องเข้าหาตลอด“คุณหนู อีกสองวันมีงานเลี้ยงตระกูลหวาง ของพระสนมหวางหลงเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าจะเข้าร่วมไหมเจ้าค่ะ” ไต้เฉียวมองหน้าคนพูดอย่างรู้เจตนา“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู”“หลานเจ้าหรือคนในตระกูลให้เอามาให้พวกเรา”“ปะ..เป็นคุณ
เช้าวันต่อมา ทั้งสองสาวจีนพาเพื่อนชาวไทยผู้ที่ไม่ได้นอนหลับทั้งคืนไปเดินชมหมู่บ้าน ความเหนื่อยล้าสะสมไม่ได้ทำให้ความกระหายใคร่รู้ของมีมี่ลดลงเลยพวกเธอเข้าไปไหว้หอบรรพบุรุษตามคำแนะนำของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน บรรยากาศภายในเงียบสงัด มีมี่เดินไปตามทางเดินแคบ ๆ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อสายตาปะทะกับภาพวาดเก่าแก่บนกำแพงภาพวาดนั้นคือเงาหญิงสาวในชุดโบราณที่เธอเห็นซ้อนทับอยู่ในความฝันเมื่อคืน!“นั่นใครกัน?” มีมี่ถามเสียงแผ่ว“คนเฒ่าคนแก่เล่ากันว่า ภาพนี้คือภาพของผู้ก่อตั้งหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน ตั้งแต่ยุคราชวงศ์ซ่งนู่นเลย”“เก่าเหมือนกันเนอะ ภาพยังคมชัดเหมือนพึ่งถ่ายเลย” มีมี่ยิ้มแห้ง ๆ มองดูรูปบนกำแพง เธอรู้สึกเหมือนกำลังมองใบหน้าของตัวเองในอดีต“พวกเราก็คิดเหมือนกัน มา ๆ ไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ” สองสาวลากตัวมีมี่ขึ้นรถเพื่อไปยัง อุทยานประวัติศาสตร์ ที่เคยเป็นหมู่บ้านเก่าแก่หลายร้อยปีซึ่งถูกทิ้งร้างไว้กลางป่า นี่คือหมู่บ้านเริ่มแรกที่เคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดมีมี่ที่เดินตามสาวจีนทั้งสองอยู่หลังสุดนั้น พยายามสลัดความคิดเรื่องภาพวาดออกไป เธอสูดหายใจลึกเพื่อเรียกสติแต่แล้ว... สายตาของ
อากาศร้อนระอุของเดือนเมษายนพัดปะทะหน้าของหญิงสาวที่ยืนอยู่ในชานชาลารถไฟของสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ความร้อนที่แผดเผาไม่ได้ช่วยลดความตื่นเต้นผสมความหวาดระแวงในอกของมีมี่เลยแม้แต่น้อย เสียงประกาศตามสายดังขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยที่อื้ออึงของคนที่มารอ เสียงประกาศไทยสลับกับเสียงอังกฤษ‘ผู้โดยสารที่จะไปกับขบวนนี้ขอให้เตรียมตัว รถไฟจะเข้าเทียบชานชาลาที่ 2 อีกสิบนาที’มีมี่ยิ้มให้กับตัวเองแล้วสำรวจดูความเรียบร้อย เมื่อไม่ลืมอะไรก็เดินไปยืนรอตรวจตั๋วขึ้นรถไฟ เจ้าหน้าที่มองตั๋วแล้วยิ้มให้ก่อนจะให้พนักงานอีกคนช่วยขนของไปไว้ที่ห้องโดยสาร“เดินทางคนเดียวหรอค่ะ เห็นจองห้องนอนคู่ไว้ทั้งห้อง”“คะ เลยจองไว้ทั้งสองเตียง”“เดินทางไกลเลยน่ะค่ะ ลาวต่อจีนคงเหนื่อยน่าดู ถึงแล้วค่ะ ขอให้สนุกกับการเดินทาง” พนักงานพามาถึงหน้าห้องที่จองไว้ ก่อนจะยิ้มให้แล้วเดินจากไปมีมี่รู้สึกแปลกใจกับคำถามของพนักงานคนนี้มาก รู้สึกว่าถูกจับจ้องจนเกินความจำเป็น แต่ก็ไม่ทันจะถาม อีกฝ่ายก็เดินไปไกลแล้วกระเป๋าสองใบวางไว้ที่พื้น มีมี่ทิ้งตัวลงนั่งข้างหน้าต่างมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ในห้องโดยสารส่วนตัวที่จองไว้ทั้งสองเตียงนั้
เสียงผู้คนเดินสัญจรไปมา สลับกับเสียงคอมเพรสเซอร์แอร์จากอาคารใหญ่ในย่านสุขุมวิท หญิงสาวผมสั้นประบ่าในชุดพนักงานออฟฟิศสวมแว่นกันแดด หน้าตาของเธอนั้นอยู่ในระดับที่เรียกว่าสาวสวยคนหนึ่งสำหรับออฟฟิศบริษัทใหญ่ที่เธอทำงาน“หัวหน้า! พวกเราไปกินข้าวที่ไหนดี” เสียงพนักงานรุ่นน้องถาม ทว่าคนตรงหน้าก็หันกลับมา“สาว ๆ พวกเรามีงานด่วน บอสแจ้งว่าลูกค้าชาวจีนตกลงคุยงานที่โรงแรมเชอราตัน เดี๋ยวไปกินข้าวที่นู่นเลย”“หัวหน้า! คุณคงไม่หลอกพาพวกเราไปขายใช่ไหม” รุ่นน้องถามอย่างระแวง“กินไม่กิน!”“กิน ๆ !” สองสาวรีบเดินคล้องแขนรุ่นพี่คนสวยไปที่ลานจอดรถซูซูกิฮัตสเลอร์สีชมพูจอดอยู่ในลานจอดรถใต้ตึกใหญ่ มีมี่จอดรถแล้วจัดเสื้อผ้า “พวกเราระ...” สองสาวกะพริบตาถี่ ๆ เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่สาวนั้นเตรียมตัวเสร็จแล้ว และกำลังเดินไปเปิดท้ายรถเพื่อเอาเอกสารและปริ้นสัญญาที่จะใช้ในวันนี้ออกมา“พี่มีออฟฟิศในรถด้วยหรอค่ะ”“เผื่อไว้ พวกเธอเร็วหน่อยจะเที่ยงแล้ว” มีมี่พูดจบก็เอาเอกสารใส่แฟ้มแล้วปิดท้ายรถ “ป่ะ พี่เสร็จละ”พอถึงหน้าภัตตาคารก็แจ้งกับพนักงานว่าได้นัดไว้กับชาวจีน “ฉัน มีมี่ คนที่จะมาคุยเรื่องสัญญาวันนี้ค่ะ ทางนี้คือรุ่น
หลังจากที่จินเซียงไปถึงเมืองหลวงของเผ่ามองก้าร์แล้ว นางก็ตรงไปหาข่านสูงสุดของเผ่าเพื่อพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมนำตัวคนผิดที่ถูกองค์ชายสี่จับมาส่งมอบอย่างเป็นทางการ ทำให้สงครามของทุกเผ่ายุติลงในเวลาอันรวดเร็ว เพราะชนเผ่าอื่นต่างเกรงกลัวในพลังอำนาจและอิทธิพลที่มองก้าร์มีต่อ “อันเตรีย” หรือ “จินเซียง”นางใช้เวลาในแถบทุ่งหญ้าเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือน จับจอมธนูผู้มีฝีมือและเป็นมือขวาของข่านแห่งมองก้าร์ มาสอนลูกสาวทั้งสองยิงธนูบนหลังม้าอย่างเข้มงวดจินเซียงมักตั้งกระโจมพักกลางทุ่งกับครอบครัว กินข้าวชมดาวเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตอันวุ่นวายของนาง แต่รอบ ๆ กระโจมกลับมีแต่คนของมองก้าร์มาคอยคุ้มกันห่าง ๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อสตรีผู้มีอำนาจล้นฟ้าคนนี้“ท่านแม่~ เมื่อไหร่เราจะกลับอ่ะเจ้าค่ะ” ไต้เฉียวงอแงเล็กน้อย“ช่าย~” ไต้เจียงเสริมทัพ ทั้งสองพี่น้องต่างเรียกร้อง แต่กลับนอนหนุนตักแม่สบาย“ไม่กี่วันก็กลับแล้ว แม่พาพวกเจ้ามาเที่ยวไง” จินเซียงลูบผมลูกสาวด้วยความอ่อนโยน“น้องเจียงง่วงแย้ว” ไต้เจียงที่นอนหนุนตักเผยอิงอยู่เริ่มงอแง“รอดูดาวตกก่อนสิคนดี... เขาว่าถ้าอธิษฐานอะไรก็จะสมปรารถนา” จินเซ







