จิ้งโม่และมู่ฉีกลับที่พักของพวกตนทันที หลังจากออกมาจากค่ายทหาร ในจดหมายจิ้งโม่เขียนไว้อย่างละเอียด รวมถึงเรื่องที่เจียงหยวนกำลังออกเดินทางไปรอเจ้านาย อาจจะเป็นที่เมืองชางโจว เมื่อภารกิจสำเร็จทั้งสองจึงไปดื่มฉลองกันเล็กน้อยตามประสาบุรุษ
ด้านแม่ทัพใหญ่ที่กลับมาถึงจวนในยามเซิน ได้สั่งให้พ่อบ้านเจียงไปแจ้งที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าว่า เย็นนี้เขาจะพาฮูหยินไปรับสำรับเย็นที่นั่น และบอกให้แม่ครัวเตรียมอาหารไว้มากกว่าเดิมสักหน่อย ก่อนที่ตัวของแม่ทัพใหญ่จะกลับไปชำระล้างร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปพบฮูหยินที่ไม่ยอมออกจากจวนมาหลายปี
มู่เสียสาวใช้คนสนิทของจางฮูหยิน เมื่อเห็นว่านายท่านของจวน มาพบนายหญิงของตนเร็วกว่าทุกวัน จึงจะเข้าไปบอกเจ้านายแต่ว่านางถูกนายท่านเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน
“มู่เสีย”
“คารวะนายท่านเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่ต้องไปรายงานน้องหญิง แต่ไปเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ดูชุดที่มีสีสันสดใสสักเล็กน้อยก็แล้วกัน วันนี้ข้าจะพานางไปรับอาหารเย็นที่เรือนท่านแม่” แม่ทัพใหญ่สั่งงานกับมู่เสีย ก่อนจะเข้าไปหาฮูหยินของตน ที่ยังคงมีสีหน้าไร้ชีวิตชีวาเช่นทุกวัน
“เอ่อ เจ้าค่ะนายท่าน” มู่เสียทำท่าคล้ายมีคำถาม แต่ก็ต้องหยุดเอาไว้และแยกตัวไปทำตามคำสั่งเจ้านาย
เมื่อสั่งงานสาวใช้อย่างมู่เสียแล้วแม่ทัพใหญ่จึงเข้าในห้องนั่งเล่น ซึ่งมีฮูหยินของตนที่ยามนี้รางกายซูบผอมลงไปมาก นั่งพักผ่อนอยู่บนตั่งนอนเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง พอเห็นสตรีที่รักเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้แม่ทัพใหญ่เจ็บปวดใจเสียเหลือเกิน พาลนึกโกรธคนบ้านรองที่ทำให้ฮูหยินของเขาต้องกลายเป็นคนอมทุกข์
ตึก ตึก ตึก
“มู่เสียเจ้าช่วยไปบอกแม่ครัวว่าวันนี้ยกสำรับมาไม่ต้องมาก ข้าไม่รู้สึกหิวเท่าใดนัก ให้แบ่งส่วนของข้าให้เจ้าแทนก็แล้วกัน” จางฮูหยินคิดว่าคนที่เดินเข้ามาคือมู่เสีย ไม่คิดว่าจะเป็นสามีของตน
“หากเจ้าทานน้อยลง วันนี้พี่คงไม่บอกข่าวดีกับเจ้าแน่อวี้เอ๋อร์” แม่ทัพใหญ่เอ่ยเย้าแหย่ฮูหยินของตน
“ขวับ! ท่านพี่เหตุใดวันนี้ถึงกลับเร็วได้เจ้าคะ หรือว่าให้อาหยวนรับหน้าที่ดูแลการฝึกทหารแทนอีกแล้ว”
“ที่พี่กลับจวนเร็วเพราะมีเรื่องดีเกิดขึ้นกับพวกเรา และพี่อยากจะบอกเจ้ากับท่านแม่พร้อมกัน ถึงได้มารับเจ้าอย่างไรเล่า”
“มีเรื่องดีเกิดขึ้นกับพวกเราหรือเจ้าคะ เอ่อ หรือว่าท่านพี่ไปทำสตรีคนไหนตั้งครรภ์ แล้วจะรับเข้าจวนใช่ไหมเจ้าคะ” จางฮูหยินคิดไปไกล
“หึ ๆ ๆ เจ้าคิดไปถึงไหนกันอวี้เอ๋อร์ ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นจวนของเราคงมีเรือนหลังมากมายไปแล้ว หากเจ้าอยากรู้ว่าคือเรื่องอะไร ก็รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ก่อนเถิด”
“ทำไมฟังแล้วมีลับลมคมในแปลก ๆ เจ้าคะ บอกตอนนี้เลยมิได้หรือเจ้าคะท่านพี่”
“ไม่ได้หรอก เจ้าค่อยฟังพร้อมกับท่านแม่จะดีกว่า แล้วพวกเราก็รับสำรับที่เรือนท่านแม่เสีย เพราะพี่สั่งพ่อบ้านเจียงให้ไปแจ้งท่านแม่ไว้แล้วว่า วันนี้พวกเราจะทานอาหารเป็นเพื่อนท่านแม่” แม่ทัพใหญ่ใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางอยากรู้ของฮูหยิน ภายในใจได้แต่ภาวนาขอให้หญิงสาวที่ฟู่หลงเหยียนพบเจอนั้น เป็นบุตรสาวของพวกเขาจริง ๆ เถิด
“ก็ได้เจ้าค่ะ” จางฮูหยินจำต้องทำตามคำขอของสามี
แม่ทัพใหญ่นั่งรอเพียงสองเค่อกว่า ๆ ฮูหยินของตนก็ออกมา พร้อมกับสวมชุดที่เขาสั่งมู่เสียให้เตรียมไว้ จากนั้นจึงประคองฮูหยินค่อย ๆ เดินไปยังเรือนชุ่ยฮวาของมารดา ที่ยามนี้นั่งจิบชารอบุตรชายอยู่ในห้องรับแขกของเรือน
“มากันแล้วหรืออากุ่ย” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยทักบุตรชายและลูกสะใภ้
“ลูกคารวะท่านแม่ขอรับ”
“ลูกสะใภ้คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”
“ไปนั่งที่เก้าอี้คุยกันดี ๆ เถิดอาอวี้ยิ่งไม่แข็งแรงอยู่” ฮูหยินผู้เฒ่าสงสารลูกสะใภ้อยู่ไม่น้อย เพราะนางอยากมีบุตรสาวที่น่ารักสักคนมาก
“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ”
“อืม แม่ได้ยินว่าเจ้าให้พ่อบ้านเจียงบอกแม่ครัวทำอาหารมากกว่าทุกวัน มีเรื่องดี ๆ อันใดเกิดขึ้นกับตระกูลเจียงของเราหรืออากุ่ย” ผ่านมาหลายปีหากไม่ใช่วันไหว้บรรพบุรุษจะไม่มีการทำอาหารเยอะเช่นนี้
“เจียงเล่อเจ้ากับพ่อบ้านเจียงคอยตรวจรอบ ๆ เรือน แม่นมฮวนรบกวนท่านให้สาวใช้ออกไปอยู่ที่สวนดอกไม้ด้วย” แม่ทัพใหญ่ไม่อาจวางใจใครได้หากต้องพูดเรื่องสำคัญ
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
แม่นมฮวนที่สั่งให้สาวใช้ทั้งหมดออกไปด้านนอกเสร็จ จึงกลับมาคอยดูแลฮูหยินผู้เฒ่าในห้องเช่นเดิม ส่วนเจียงเล่อกับพ่อบ้านเจียงคอยเดินตรวจรอบ ๆ เรือนป้องกันมิให้ใครมาแอบฟัง
“อากุ่ยนี่มันเรื่องอะไรกันแน่ถึงได้เข้มงวดเพียงนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจกับการกระทำของบุตรชาย
“ท่านแม่อย่าได้เข้าใจผิดที่ข้าทำเช่นนี้ แค่ป้องกันคนจากบ้านรองเท่านั้นขอรับ เนื่องจากเรื่องที่ข้าจะบอกกับท่านแม่และอวี้เอ๋อร์นั้น เป็นความลับแต่ก็เป็นข่าวดีสำหรับพวกเราด้วยเช่นกัน” แม่ทัพใหญ่รีบอธิบายให้มารดาของตนเข้าใจ ว่าสิ่งที่ทำลงไปมีสาเหตุมาจากอะไร
“หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดมา เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับบ้านรองโดยตรง ไม่ว่าจะผ่านไปนานกี่ปีสตรีนางนั้นก็ไม่เคยปล่อยวาง จนอายุล่วงเลยมาถึงป่านนี้แล้ว ก็ยังอยากมีอำนาจเหนือข้าเช่นเดิม ไม่พอยังสั่งสอนบุตรหลานให้มีความคิดเหมือนกับนางอีก” ฮูหยินผู้เฒ่านึกถึงสตรีผู้เป็นอนุของสามีที่ได้มาเพราะแผนสกปรกของนางผู้นั้น
“ท่านพี่เจ้าคะท่านบอกข้ากับท่านแม่มาเถิด แท้จริงแล้วมันคือเรื่องอะไรกันแน่ ท่านถึงได้ระวังตัวมากแม้อยู่ในเรือนของท่านแม่”
“ได้ก่อนอื่นขอให้ท่านแม่กับอวี้เอ๋อร์ ตั้งสติให้ดีเรื่องที่ข้าจะบอกต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับเยี่ยนเอ๋อร์ เมื่อยามเฉินของวันนี้มีคนของอาเหยียนมาขอพบอาหยวนกับข้าที่ค่ายฝึกทหาร พวกเขามาเพื่อสอบถามเกี่ยวกับกุญแจหยกอายุยืนของตระกูลเจียง เพราะว่าอาเหยียนพบสตรีนางหนึ่งที่เมืองเฉียนโจวและนางมีหยกชิ้นนี้อยู่กับตัว นอกจากนี้นางยังพูดอีกว่าจะมาตามหาครอบครัวที่เมืองหลวง”
“อากุ่ย!!/ท่านพี่!!” ทั้งฮูหยินผู้เฒ่าและจางฮูหยิน อุทานเรียกแม่ทัพใหญ่ขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“ท่านพี่แต่เยี่ยนเอ๋อร์ตาย หลังจากที่ข้าคลอดนางออกมาแล้วนะเจ้าคะ คนที่มากับหมอตำแยยังพาร่างของนางมาให้ข้าดูด้วยซ้ำ แล้วเรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือเจ้าคะว่านางจะยังมีชีวิตอยู่” จางฮูหยินเห็นกับตาของนางเองว่าบุตรสาวไม่หายใจแล้ว
“นั่นน่ะสิอากุ่ย พวกเรานำร่างของเยี่ยนเอ๋อร์นอนในโลงศพด้วยตนเอง เรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้พวกเขาจำผิดหรือไม่อากุ่ย” ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังไม่เชื่อว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้
“คราแรกข้าก็ไม่เชื่อ จนกระทั่งคนของอาเหยียนตั้งข้อสังเกตถึงการตายของเยี่ยนเอ๋อร์ หากนางได้เติบโตเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนแม่ทัพเช่นข้า แน่นอนว่าทั้งเชื้อพระวงศ์จากตำหนักทั้งหลาย รวมถึงตระกูลขุนนาง ย่อมต้องการเกี่ยวดองกับข้าผ่านทางบุตรสาวมิใช่หรือ ถ้าไม่มีเยี่ยนเอ๋อร์สักคนแล้วใครกัน ที่จะเรียกความสนใจจากคนเหล่านั้น” แม่ทัพใหญ่บอกถึงความสงสัยถึงการตายของบุตรสาว
“จะเป็นใครไปไม่ได้ เพราะในวันนั้นสะใภ้บ้านรองก็คลอดบุตรสาวเช่นกัน หรือเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับพวกขี้อิจฉาใช่ไหมอากุ่ย”
“คะ คะ คนบ้านรองวางแผนสังหารเยี่ยนเอ๋อร์ของข้างั้นหรือ ฮึก ๆ ทำไมกันนางเพิ่งจะคลอดออกมาจากท้องของข้า พวกเขาจิตใจอำมหิตเกินไปแล้ว ฮือ ๆ เยี่ยนเอ๋อร์ลูกแม่” จางฮูหยินยังคงทำใจกับเรื่องนี้ไม่ได้ ตลอดเวลานับสิบกว่าปีนางเอาแต่โทษตนเอง
“ฮูหยินเจ้าคะทำใจดี ๆ ไว้ก่อนนะเจ้าคะ ถ้าเป็นอย่างที่นายท่านพูดมาแสดงว่าหญิงสาวคนนั้น อาจจะเป็นคุณหนูที่ยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ ก็ได้นะเจ้าคะ” มู่เสียรีบเข้าไปปลอบใจเจ้านาย ที่ยังเสียใจกับการตายของบุตรสาว
“ใช่แล้วอวี้เอ๋อร์ คนของอาเหยียนคิดว่าหมอตำแยนั่น น่าจะทำการสลับร่างเด็กทารก เอาร่างเด็กทารกที่ตายแล้วมาให้เจ้าดู ส่วนเยี่ยนเอ๋อร์ตัวจริงหมอตำแยเป็นคนพานางไป แต่ตัดใจทำร้ายนางไม่ได้ จึงเก็บนางไว้และเลี้ยงดูจนเติบโต และด้วยความรู้สึกผิดหมอตำแยจึงยอมเล่าความจริง ทำให้เยี่ยนเอ๋อร์อยากเดินทางมาเมืองหลวงตามหาพวกเราอย่างไรเล่า” แม่ทัพใหญ่พูดปลอบใจฮูหยินของตน
“ลูกสะใภ้พวกเราคิดไปในทางที่ดีไว้ก่อนเถิดนะ รอให้นางมาถึงเมืองหลวงก็จะได้รู้แล้วว่าใช่เยี่ยนเอ๋อร์หรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าปลอบใจลูกสะใภ้และปลอบใจตนเองในคราวเดียวกัน
“ฮึก เจ้าค่ะท่านแม่”
“ถือเสียว่าพวกเรายังมีความหวัง และที่อาหยวนไม่กลับมาที่จวน เพราะข้าให้ออกเดินทางไปรอขบวนของอาเหยียนกลางทาง เผื่อว่านางจะติดตามมาด้วย แต่สิ่งที่สำคัญในตอนนี้คือท่านแม่กับอวี้เอ๋อร์ ต้องบำรุงร่างกายให้มากหน่อย หากว่านางคือเยี่ยนเอ๋อร์จริง ๆ ระวังจะไม่มีแรงพูดคุยเล่นกับนางนะ” แม่ทัพใหญ่อ้างเรื่องนี้เพื่อให้สตรีทั้งสองคนทานอาหารให้มากขึ้น
“ท่านแม่ที่ท่านพี่พูดมาก็ถูก ระหว่างนี้พวกเราต้องบำรุงร่างกายกันแล้วนะเจ้าคะ เกิดว่าเยี่ยนเอ๋อร์แข็งแรงมากกว่าคงจะถูกนางกลั่นแกล้งแน่ ๆ เจ้าค่ะ” จางฮูหยินนึกอยากเห็นหญิงสาวคนนั้นเสียแล้ว
“ได้ ๆ แม่ฟังพวกเจ้า เช่นนั้นวันนี้ก็ทานข้าวให้มากหน่อยเถิดนะ”
“แม่นมฮวนประคองท่านแม่ไปที่ห้องอาหารเถิด”
“เจ้าค่ะนายท่าน”
“พวกเราก็ไปกันเถิดฮูหยิน จากนี้ไปเจ้าต้องยิ้มให้มากนะรู้ไหม ยามที่เยี่ยนเอ๋อร์กลับมาจะได้เห็นว่าท่านแม่ของนาง ยามที่มีรอยยิ้มนั้นงดงามน่ามองมากเพียงใด พี่คิดว่าเยี่ยนเอ๋อร์จะต้องเหมือนเจ้าแน่ ๆ” แม่ทัพใหญ่ตกหลุมรักจางฮูหยินก็เพราะรอยยิ้มที่งดงามของนาง
“ท่านพี่ละก็รีบตามท่านแม่ไปได้แล้วเจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง ที่เห็นจางฮูหยินเริ่มจะกลับมายิ้มได้ บรรยากาศการทานอาหาร ในเรือนชุ่ยฮวาของบ้านหลัก ช่างอบอุ่นและไม่เครียดพูดคุยเรื่องทั่วไปไม่ติดขัด แต่มันช่างขัดกับอารมณ์ของคนบ้านรองสกุลเจียงยิ่งนัก
บรรยากาศบนโต๊ะทานอาหารของบ้านรองตระกูลเจียง ยามนี้เต็มไปด้วยความน่าอึดอัดเพราะในใจของแต่ละคน ต่างมีแผนการอยากมีอำนาจบารมีมากกว่าเดิมยิ่งตัวของเจียงซูลี่ ที่ทุกวันนี้ใช้เงินหมดไปกับการซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับ เมื่อได้รู้ว่าจากปากบิดาว่าจินกุ้ยเฟยสนใจในตัวนางอยากจะทาบทาม ให้เป็นพระชายารองอีกคนขององค์ชายหก คนในจวนจึงไม่มีใครขัดใจไม่ว่า เจียงซูลี่อยากได้อะไรล้วนตามใจทุกอย่าง
“อาฉินเรื่องที่จินกุ้ยเฟยพูดกับเจ้าเกี่ยวกับลี่เอ๋อร์ พระนางจะกราบทูลกับฝ่าบาทเมื่อใดรึ พวกเราจะได้เตรียมตัวล่วงหน้าไว้ก่อน ยามที่ได้ฤกษ์อภิเษกจะได้ไม่ฉุกละหุกจนเกินไป” ฮูหยินผู้เฒ่าอิ๋นถามกับบุตรชายเพียงคนเดียวของตน
“คงไม่เกินสองสามวันนี้ขอรับท่านแม่ คนของจินกุ้ยเฟยบอกกับข้าอย่างนั้น เนื่องจากระยะนี้ฝ่าบาทมีฎีกาจากพวกขุนนางท้องถิ่นหลายฉบับ จึงมิได้เสด็จไปที่ตำหนักของจินกุ้ยเฟย แต่พระนางรับปากไว้แล้วย่อมไม่ผิดจากที่พูดไว้แน่นอน ท่านแม่วางใจเถิดขอรับ” เจียงกุ้ยฉินยามนี้มีตำแหน่งเป็นรองเจ้ากรมขุนนาง หากว่าเขามิใช่น้องชายของแม่ทัพใหญ่เจียง มีหรือที่จินจือคงจะยอมให้จินกุ้ยเฟยดึงมาเป็นพวก เพื่อใช้ประโยชน์เกี่ยวกับแผนการดึงกำลังทหารของตระกูลเจียง
“ก็ดีหากภายหน้าเจ้าช่วยสนับสนุนองค์ชายหก ขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรได้ บ้านรองของเราจะมีอำนาจเหนือบ้านหลักเสียที ข้าไม่อยากเห็นนางเฟยซิ่นเชิดหน้าชูคออยู่เหนือข้าเช่นทุกวันนี้อีกต่อไปแล้ว”
“ท่านแม่อดใจรออีกสักนิดเถิดเจ้าค่ะ เชื่อฝีมือของท่านพี่แม้ว่าลี่เอ๋อร์จะได้เป็นพระชายารองขององค์ชายหก แต่แค่ตำแหน่งนี้ก็เสริมบารมีให้ท่านแม่ดูสูงส่งกว่านางแก่บ้านหลักเป็นไหน ๆ เพราะพวกมันไม่มีหลานสาว เพื่อแต่งกับเชื้อพระวงศ์เหมือนกับท่านแม่อย่างไรล่ะเจ้าคะ” เย่จือเหมยลูกสะใภ้ที่เจียงกุ้ยฉินหามานั้น มีนิสัยคล้ายคลึงกับมารดาของตนอย่างมาก
“จริงด้วยเจ้าค่ะท่านย่า หลานเห็นสภาพที่ไม่น่ามองของพวกนาง คิดว่าอีกไม่นานพวกมันก็น่าจะตาย โดยที่พวกเราไม่ต้องลงมือก็ได้เจ้าค่ะ อี๋ แค่นึกภาพหลานก็ทานอะไรไม่ลงแล้วนะเจ้าคะท่านย่า” เจียงซูลี่ทำท่าทางขยะแขยงคนบ้านหลักดั่งเป็นของสกปรกก็มิปาน
“ท่านแม่ข้าก็เบื่อขี้หน้าคนบ้านหลักเต็มทีเช่นกันขอรับ แต่ว่าข้ากำลังคิดหาวิธีจะส่งคนเข้าไปที่บ้านหลัก เพื่อหาทางจัดการกับพวกมันทั้งสี่คนให้ตกตายภายในสามเดือน หากพวกมันยังอยู่ใต้เท้าจินคงลงมือตามแผนไม่สะดวกนัก ข้าคิดว่าจะส่งสตรีเข้าไปเป็นสาวใช้ และจัดการวางยาพิษนางแก่นั่นพร้อมลูกสะใภ้ หนามยอกอกของข้ากับท่านแม่จะได้หายไปเสียทีขอรับ” เจี้ยกุ้ยฉินเตรียมแผนการนี้มาสักพักแล้ว
“ฮึ ให้พวกมันตายทั้งหมดในเร็ววันได้ยิ่งดี พวกเราจะได้กลายเป็นบ้านหลักแทนและทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมกลายมาเป็นของเราทั้งหมด ข้าจะใช้สมบัติของพวกมันเสวยสุขให้ดู ฮ่า ๆ ๆ” ฮูหยินผู้เฒ่าอิ๋นนับวันรอที่จะได้ครอบครองตระกูลเจียงอย่างเต็มตัวเสียที
แต่เจียงกุ้ยฉินยังไม่รู้ว่ายามนี้ ที่จวนพระราชทานของบ้านหลัก แม่ทัพใหญ่ได้สั่งการเจียงเล่อและพ่อบ้าน ให้ทหารและบ่าวที่ฝึกฝนไว้คอยจับตาดูคนในจวนอย่างใกล้ชิด หากพบว่าใครมีพิรุธให้จับตัวไปไต่สวนทันที ไม่ว่าใครเสนอขายตัวมาเป็นบ่าว ห้ามผู้ใดรับเข้ามาเด็ดขาดถ้าพบว่าใครกล้าขัดคำสั่งลงโทษโบยทันทียี่สิบไม้ และขายออกไปทันที
นับว่าบ่าวไพร่ในจวนของแม่ทัพใหญ่ยังรู้จักเลือกนาย ไม่สร้างปัญหาให้กับเจ้าของจวน และยังช่วยกันเฝ้าระวังคนแปลกหน้าอยู่เสมอ
เมื่อคนที่เจียงกุ้ยฉินส่งไป ไม่สามารถเข้าไปในจวนบ้านหลักได้ ทำเอาเจียงกุ้ยฉินโมโหถึงขั้นทำลายข้าวของ ลงโทษบ่าวไพร่ด้วยความรุนแรงอย่างไร้เหตุผล แต่กระนั้นก็ยังไม่ล้มเลิกความคิด เขายังคงหาหนทางวางแผนเพื่อกำจัดพี่ชายต่างแม่คนนี้ให้ได้
แต่ที่มากไปกว่านั้นคือเรื่องของเจียงหยวน ที่ออกเดินทางได้ไปถึงหูเสนาบดีจิน จากคนที่คอยจับตาดูสองพ่อลูก แม้จะไม่รู้ว่าเจียงหยวนจะไปที่ใด เสนาบดีจินยังสั่งให้คนติดตามไป และจ้างพวกนักฆ่าที่มีฝีมือตามไปกำจัดเจียงหยวนกลางทางเสีย
ฟู่หลงเหยียนและเจียงหยวนยังคงซ่อนตัวอยู่ พวกเขาอยากรู้ว่าสองพี่น้องจะรับมือคนพวกนี้ เพื่อหาทางเอาตัวรอดอย่างไร “พวกเจ้าเอาตัวเด็กสองคนนั่นลงมา อย่ามัวชักช้ายืดยาด หากงานไม่สำเร็จละก็ จะกลายเป็นพวกเราที่ต้องตายแทน” ซานถูลงไปยืนรอยังจุดที่เลือกไว้ สำหรับการขุดหลุมฝังเจียงข่ายเหวินและฟู่เจียฉี“ถุ้ย!! อย่าเอามือสกปรกของเจ้ามาถูกตัวน้องสาวข้า” เจียงข่ายเหวินตะคอกลูกน้องซานถูทันที เมื่อมือหยาบนั้นกำลังจะดึงตัวฟู่เจียฉี ออกไปจากอ้อมกอดของตน“เหวินเกอไม่ต้องกลัวนะ ฉีเอ๋อร์จะปกป้องท่านเองเจ้าค่ะ” ฟู่เจียฉีมิใช่เด็กหญิงตัวน้อยขี้แย เพราะมีบิดาคอยสอนให้เข้มแข็งมีสติ ถึงจะเป็นเด็กแต่เมื่อมีสติก็สามารถเอาตัวรอดได้“ฮ่า ๆ ๆ ลูกพี่ดูเจ้าเด็กสองคนนี่สิ ช่างเป็นญาติพี่น้องที่รักกันดีเสียเหลือเกิน” เกาจิ่งหัวเราะกับท่าทางของฟู่เจียฉี“เหอะ ก็คงเห็นตัวอย่างจากบิดมารดากระมัง เร็ว ๆ ๆ พาตัวลงจากรถม้าได้แล้ว ยังต้องขุดหลุมอีกพวกเจ้าอย่าลืมสิ” ซานถูเร่งลูกน้องของตนให้ทำตามคำสั่งขณะที่เกาจิ่งหันไปพูดคุยกับซานถู ฟู่เจียเฟยได้หยิบห่อยาพิษที่บิดาเพิ่งมอบให้ ก่อนจะแบ่งให้เจียงข่ายเหวินอีกสองห่อ เด็กชายมองหน้า
ณ จวนตระกูลเจียงหลังจากอวี้จิ่นออกเรือนแต่งเข้าตระกูลฟู่ ลูกสะใภ้ของตระกูลเจียงอย่างจ้าวเจียเฟย ก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย ซึ่งในอนาคตเขาขคือผู้สืบทอดตระกูลเจียงต่อจากบิดา ชื่อของหลานชายฮ่องเต้ผู้เป็นเสด็จตา ประทานนามให้ว่า ‘ข่ายเหวิน’ หมายถึง ผู้ชนะและมีความรู้ และชื่อนี้ก็เข้ากับลักษณะนิสัยของเจ้าตัวน้อยได้เป็นอย่างดีนอกจากมารดาจะเป็นที่โปรดปรานแล้ว เมื่อให้กำเนิดหลานชายย่อมได้รับความโปรดปราน ไม่ต่างจากผู้เป็นมารดาเช่นกัน สร้างความอิจฉาริษยาให้กับองค์ชายองค์หญิงที่มีหลานให้กับฮ่องเต้ องค์ชายองค์หญิงที่รู้จักประมาณตน จะอบรมสั่งสอนบุตรของตนให้รักญาติพี่น้อง แต่สำหรับคนที่จิตใจดำมืดเกินเยียวยา ย่อมสั่งสอนและปลูกฝังความริษยาลงในจิตใจของบุตร ตระกูลเจียงมีทายาทแล้ว ทางด้านตระกูลฟู่จะไม่มีได้อย่างไร หลังจากเจียงข่ายเหวินอายุได้สองหนาว อวี้จิ่นแต่งเข้าจวนฟู่ได้ครึ่งปีก็ตั้งครรค์ และให้กำเนิดบุตรสาวนามว่าฟู่เจียฉี หากจะกล่าวว่าญาติผู้พี่เจียงข่ายเหวินหล่อเหลาตั้งแต่เยาว์วัย ญาติผู้น้องอย่างฟู่เจียฉีจะน้อยหน้าได้หรือ เด็กหญิงเกิดมาพร้อมกับดวงหน้ารูปหยดน้ำ จมูกโด่งได้รูปรับกับใบหน้า ริ
หลังจากตระกูลฟู่และตระกูลเจียง ได้แลกหนังสือหมั้นหมายของบุตรชายบุตรสาว ข่าวลือเรื่องทั้งสองตระกูลจะเกี่ยวดองกัน ก็แพร่กระจายไปตามร้านรวงต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว คนที่อวยพรให้ทั้งสองสุขสมก็มีอยู่มาก คนที่อิจฉาริษยาก็มีไม่น้อย ล้วนเป็นสตรีที่ยังไม่ออกแต่แล้วอย่างไรในเมื่อฟู่หลงเหยียนมิได้สนใจ พวกนางก็เป็นได้แค่เศษฝุ่นที่ลอยไปกับสายลมเท่านั้น เพราะในสายตาของฟู่หลงเหยียน ไม่เคยละไปจากคู่หมั้นที่เริ่มจะเปล่งประกายความงามหลังจากนั้นอีกสามเดือนต่อมา ปรากฏว่าองค์หญิงใหญ่ตั้งครรภ์ อย่างที่อวี้จิ่นเคยบอกพวกเขาเอาไว้จริง ๆ เจียงหยวนแอบไปพบน้องสาว เพราะเขาอยากรู้ว่าเด็กในครรภ์องค์หญิงใหญ่ เป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง เขาจะได้เตรียมรับมือบุตรคนได้ถูก พอได้รู้ว่าตนเองจะได้บุตรชาย การวางแผนเลี้ยงดูจึงถูกคิดขึ้นทันทีตั้งแต่อวี้จิ่นกลายเป็นคู่หมั้นของหัวสำนักตรวจการ หากไม่มีภารกิจลับและออกเดินทางไปต่างเมือง ข้างกายของอวี้จิ่นย่อมมีบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำ นามว่าฟู่หลงเหยียนอยู่กับนางเสมอ จนเหล่าบุรุษที่มั่นใจว่าตนเองหน้าตาหล่อเหลา ต้องวิ่งหาที่หลบแทบไม่ทัน แค่ฟู่หลงเหยียนจ้องมองพวกเขาก็หายไม่ออกกันแล้วทุก
ฟู่หลงเหยียนพาอวี้จิ่นกลับมาส่งที่จวน ภายหลังที่พลุถูกจุดจนหมดเรียบร้อยแล้ว ด้วยตอนมาร่วมงานเขานั่งรถม้า ยามนี้จำเป็นต้องยืมเจ้าเสี่ยวหงกลับจวนไปก่อน และค่อยนำมันมาคืนอวี้จิ่นทีหลังอวี้จิ่นยืนส่งฟู่หลงเหยียนขี่เจ้าเสี่ยวหง จนแผ่นหลังของเขาหายลับไปจากสายตา ถึงได้เดินเข้าจวนอย่างอารมณ์ดี ทำให้คนเดินตามหลังอย่างตงลู่กับเฟยอิน เอ็นดูกับท่าทางที่เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวเขินอาย อยากจะหัวเราะแต่ต้องอดกลั้นเอาไว้แต่พอมาถึงเรือนของตนอวี้จิ่นพบว่า เป่าจูสาวใช้ของพี่สะใภ้ กำลังเดินไปมาชะเง้อมองหาใครอยู่ “หืม นั่นใช่พี่เป่าจูสาวใช้ของพี่สะใภ้ใช่ไหมพี่เฟยอิน”“ใช่จริง ๆ ด้วยเจ้าค่ะคุณหนู ว่าแต่นางมาทำอะไรที่เรือนของท่าน ยามนี้มิใช่ต้องอยู่รอรับใช้องค์หญิงใหญ่หรอกรึ?”เป่าจูเมื่อเห็นอวี้จิ่นกลับมาที่เรือน จึงสาวเท้าไปหานางดั่งพายุ สร้างความงุนงงจนอดคิดไม่ได้ว่า จะเกิดเรื่องอันใดที่เรือนของพี่ชายตนหรือไม่“คุณหนูเจียงในที่สุดท่านก็กลับมาเสียทีเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของเป่าจูดูร้อนรนแปลก ๆ“พี่เป่าจูท่านมารอพบข้ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่เจ้าคะ”“คือบ่าวมารอพบคุณหนูที่นี่ เพราะมีเรื่องจะรบกวนท่านจริง ๆ เจ้าค่ะ”“พี่เ
ซีอ๋องอยู่ร่วมงานเลี้ยงชนะสงครามเท่านั้น อีกสองวันต่อมาจึงออกเดินทางพร้อมหีบยาจำนวนมาก ยังมีเมล็ดพันธุ์ผักที่อวี้จิ่นใจดีมอบให้อีกหนึ่งหีบ ที่สำคัญทรงอยากกลับไปชำระความ กับสตรีชั่วที่ปองร้ายบุตรชายเพียงคนเดียวของตน ซึ่งตอนนี้นางกำลังตั้งตนเป็นเจ้าของตำหนักอ๋อง จนลืมไปว่านางเป็นแค่ชายารองเท่านั้นข่าวลือที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เรื่องฤกษ์มหามงคลที่มีขึ้น ในอีกสามสัปดาห์ต่อจากนี้ ทำเอาวังหลวงวุ่นวายจนเวียนหัว เพื่อเตรียมงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงใหญ่ พระธิดาคนโปรดของฮ่องเต้ให้ออกมาดีที่สุด ห้ามขาดตกบกพร่องแม้แต่นิดเดียวส่วนตระกูลเจียงถือว่าโชคดีมาก ที่อวี้จิ่นได้บอกมารดาไว้ก่อนหน้านี้ ทุกอย่างในจวนจึงพร้อมต้อนรับสะใภ้ใหญ่ หลังจบงานเลี้ยงวันถัดมายามปลายยามเฉิน ขบวนสินสอดนับร้อยหีบผูกด้วยผ้าสีแดง พร้อมสามหนังสือหกพิธีการนำไปส่งมอบให้กับฮองเฮา ก็ทยอยออกจากจวนตระกูลเจียงมุ่งหน้าไปยังวังหลวงทันทีชาวบ้านสองข้างทางต่างหยุดมอง และเริ่มพูดถึงเรื่องสมรสพระราชทานอีกครั้ง ตระกูลใดที่รอจัดงานพร้อมแม่ทัพเจียง ต่างเร่งจัดเตรียมข้าวของเรือนหอ อาหารการกินที่ต้องใช้เลี้ยงแขกในงาน เผื่อว่าการแต่งงานในฤก
หลังจากหวาอานส่งจดหมายกลับไปยังเหอหยาง เมื่อแม่ทัพเสียนมู่ได้อ่านเนื้อหาในจดหมาย จึงนำกำลังทหารบางส่วนมุ่งหน้าไปยังจวนซีอ๋อง เพื่อรับตัวซื่อจื่อมาดูแลเป็นการชั่วคราว คราแรกพระชายารองไม่ยินยอม แต่พอได้เห็นป้ายผู้แทนของซีอ๋อง ที่อยู่ในมือของแม่ทัพเสียนมู่แล้ว ถึงได้ยอมปล่อยซื่อจื่อให้แม่ทัพเสียนมู่พาตัวกลับจวนส่วนเจ้าของคำสั่งที่พักอาศัยในจวนแม่ทัพใหญ่ ได้เห็นแปลงผักที่หลากหลายก็เกิดความสนใจ ซีอ๋องคิดว่าหากกองทัพหรือราษฎรที่เหอหยาง สามารถปลูกพืชผักได้เช่นจวนแม่ทัพใหญ่ ย่อมมีเสบียงสำรองมากพอยามฤดูเหมันต์มาเยือน ทุกคนต้องผ่านความอดอยากได้แน่เมื่อซีอ๋องถามกับบ่าวไพร่เรื่องการปลูกผัก คำตอบที่ได้ก็เกี่ยวกับบุตรสาวแม่ทัพใหญ่อีกแล้ว จนกระทั่งได้มานั่งพูดคุยเรื่องการค้า ซีอ๋องจึงถือโอกาสสอบถามอวี้จิ่นเรื่องผักที่ปลูกด้วยเสียเลย“คุณหนูเจียงเรื่องสัญญาการค้ายาสมุนไพร เปิ่นหวางยินดีทำตามข้อเสนอของเจ้า เพียงแต่ว่ามีอีกเรื่องที่เปิ่นหวางอยากรู้”“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ยอมทำการค้า กับร้านยาเล็ก ๆ ของหม่อมฉันเพคะ ว่าแต่ท่านอ๋องทรงอยากทราบเรื่องอันใดหรือเพคะ”“เปิ่นหวางอยากถามเกี่ยวกับวิธีปลูกผัก ให้ไ