จากข้อความของเจ้าของโลงศพคนก่อนกล่าวไว้ เขาสร้างอักขระเคลื่อนย้ายเหล่านี้ไว้ที่ฝาโลงศพเก่าแก่ ในช่วงที่มนุษย์ใช้กระสุนเงินไล่ล่ากวาดล้างแวมไพร์และกำลังเริ่มโครงการสร้างเขตปลอดแวมไพร์ขึ้นมา
นางคาดว่ารุ่นพี่แวมไพร์ผู้นี้คงจะถูกมนุษย์กำจัดก่อนที่จะหาแวมไพร์สาวบริสุทธิ์มาทดลองใช้โลงศพเทเลพอร์ตนี้ จึงไม่เคยมีแวมไพร์คนไหนรับรู้ถึงช่องทางนำไปสู่แหล่งอาหารอันโอชะในสถานที่ใหม่ และหากเจ้าของโลงมีชีวิตอยู่เขาก็จะได้รู้ว่าการคาดเดาของเขานั้นกำลังจะเป็นจริงในรุ่นของนาง
มนุษย์สร้างอาณาเขตปลอดแวมไพร์ที่ปิดกั้นด้วยกระจกหนา มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและยังสามารถคิดค้นการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ให้เติบโตได้ในระยะเวลาอันสั้น พวกเขามีอาหาร มีเทคโนโลยี ใช้ชีวิตตัดขาดจากแวมไพร์โดยสิ้นเชิงอยู่ในเรือนกระจกขนาดมหึมา ในขณะที่ส่งผู้พิทักษ์ออกมากวาดล้างแวมไพร์ไปพร้อมๆ กัน
แวมไพร์รุ่นก่อนหน้านางยังพอค้นหามนุษย์ที่หลงเหลืออยู่ในโลกภายนอกได้บ้าง อย่างเช่นตัวนางเองก็ถูกแวมไพร์กัดเมื่ออายุได้ 12 ปี เมื่อนางเติบโตขึ้นจำนวนมนุษย์ที่อยู่โลกภายนอกเขตก็ลดน้อยลงไปจนแทบไม่เหลือ มีเพียงสัตว์ที่ถูกแวมไพร์ปล่อยให้แพร่พันธุ์อยู่ภายนอกไว้ดื่มเลือดให้คลายความกระหายได้เท่านั้น
และในที่สุดก็มาถึงยุคที่มนุษย์คิดค้นวิธีการรักษาแวมไพร์ให้กลับเป็นคนปกติได้ขึ้นมาได้ และนางก็เป็นหนึ่งในแวมไพร์หลายร้อยคนที่ถูกนำตัวมาทดลองเป็นรุ่นแรก หากยารักษาประสบความสำเร็จ โลกมนุษย์ก็จะไม่เหลือแวมไพร์อีกเลยในไม่ช้า
“ฮ่าๆๆ เยี่ยมไปเลย ทีนี้ข้าก็จะเป็นแวมไพร์คนเดียวในสถานที่แห่งนี้ ข้าจะมีเลือดมนุษย์สดๆ ให้ดื่มกินทั้งวันทั้งคืนไม่หวาดไม่ไหว!” หญิงสาวแลบลิ้นเลียริมฝีปากอีกครั้ง แต่อันที่จริงนางก็ทำท่าไปอย่างนั้นล่ะ นางไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะมีความกระหายเลือดเลยสักนิด
“รออีกสามปี พอหมดฤทธิ์ยาข้าต้องรีบดื่มเลือดมนุษย์ก่อนจะครบกำหนด 6 เดือน ทีนี้ข้าก็จะกลับมามีพลังเหมือนเดิม!!"
ยาที่นางถูกฉีดเข้าไปในร่างกายยังยั้งความกระหายเลือด รวมทั้งระงับพลังทุกอย่างของแวมไพร์เอาไว้ได้เป็นเวลา 3 ปี และเมื่อครบกำหนด 3 ปี ภายใน 6 เดือนต่อจากนั้นหากแวมไพร์ไม่ได้ดื่มเลือดมนุษย์เลย ก็จะกลับกลายเป็นมนุษย์ได้โดยสมบูรณ์
ฉู่หลิงเพิ่งจะถูกฉีดยามาเมื่อเช้า แล้วก็ถูกจับใส่โลงจับยัดเข้าไปในห้องควบคุมพิเศษภายในสถาบันวิจัย ประตูห้องควบคุมจะถูกเปิดออกโดยตั้งเวลาเอาไว้ 3 ปี 6 เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้แวมไพร์หาทางหนีออกมาดื่มเลือดได้
แต่เป็นเพราะความซุกซนของนางทำให้เสี้ยนตำมือ เลือดแวมไพร์สาวพรหมจรรย์เปิดการทำงานของอักขระบนฝาโลงแล้วก็ส่งนางมาที่นี่นั่นเอง หญิงสาวสรุปเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว
หญิงสาวผลักประตูห้องหินออกมาหากลุ่มเด็กชายหญิงตัวกระเปี๊ยกอีกครั้งด้วยท่าทางเบิกบานใจสุดฤทธิ์
“ข้ารู้แล้วล่ะว่าข้ามาจากไหน ว่าแต่ที่นี่คือที่ไหนหรือ”
“เราอยู่ในป่านอกเมืองสือเจีย เพียงแค่ข้ามลำธารไปไม่ไกลก็ถึงบ้านของพวกเราที่เรียกว่าหอหงไถ พี่สาวอยากไปกับพวกเราหรือไม่ แล้วที่นี่เป็นบ้านของท่านเช่นนั้นหรือเจ้าคะ" เจียวจูกล่าวพลางมองไปที่ประตูหิน
เจียวจ้านไม่ได้มีมารยาทเท่ากับพี่สาวของตน เขาวิ่งไปที่ประตูหินที่พี่สาวคนสวยเดินออกมาเมื่อครู่อย่างอยากรู้อยากเห็น
“เอ๋ ทำไมเปิดไม่ได้เล่า?” เด็กชายใช้ทั้งมือทั้งเท้า ทั้งแผ่นหลังพยายามดันประตูหินที่เมื่อครู่พี่สาวผลักออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีแล้วก็ยังไม่สามารถทำให้ผนังหินอันแข็งแกร่งนี้ขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย
“พวกเจ้าลองไปช่วยเขาดูสิ” ฉู่หลิงก็ไม่เข้าใจเช่นกัน หากว่าตนยังมีพลังพิเศษของแวมไพร์อยู่ก็ไม่แปลก เพราะพละกำลังตนมีมากกว่ามนุษย์อยู่แล้ว แต่นางถูกระงับพลังด้วยฤทธิ์ยาอยู่เรี่ยวแรงก็เท่ากันกับมนุษย์ปกติ เหตุใดระหว่างนางกับเด็กชายจึงมีความสามารถในการเปิดประตูหินต่างกัน
เด็กชายในกลุ่มมีอยู่ 3 คน พวกเขามีอายุใกล้เคียงกับเจียวจ้าน อาสาไปช่วยสหายของตนทันที
“เปิดไม่ได้” เด็กชายสี่คนพยายามอยู่หลายครั้งจนใบหน้าแดงก่ำ ก็ยังเปิดไม่ได้
“ไม่ต้องลองแล้วล่ะ กลับมานี่เถิด” ฉู่หลิงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ นางเข้าใจว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับการปกป้องโลงศพโบราณโลงนั้น และน่ามีเพียงสายเลือดแวมไพร์ที่สามารถเข้าใกล้โลงศพได้นั่นเอง
“เล่าเรื่องเมืองสือเจียกับหอหงไถบ้านเจ้าให้ข้าฟังสักหน่อยสิ แล้วพวกเจ้าทั้งหมดนี่เป็นพี่น้องกันหรือไง พ่อแม่ก็ช่างขยันเหลือเกินเนาะ" หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น อย่างน้อยก็ควรจะรู้สถานการณ์ของสถานที่ที่นางจะกลายมาเป็นผู้ล่าอันดับหนึ่งในเวลาอีกไม่กี่ปี
“พวกเราไม่ได้เป็นพี่น้องกันทั้งหมด แต่ก็มีบางคนที่เป็นพี่น้องแท้ๆ กันอย่างข้าและน้องชายเจียวจ้าน” เจียวจูในฐานะพี่ใหญ่เริ่มอธิบายเรื่องราวในฝั่งของตนออกมาทีละน้อย
สถานที่แห่งนี้คือเมืองสือเจีย แคว้นต้าหยวน เป็นหนึ่งใน 17 แคว้นใหญ่บนแผ่นดิน ชายป่าแห่งนี้รวมทั้งหอหงไถอยู่นอกเขตกำแพงเมืองสือเจียบนอำเภอซิ่งอันซึ่งมีเขตแดนติดกับกำแพงเมืองจึงมีความเจริญพอสมควร
ที่แท้เด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้ลำพังในหอนางโลมหงไถ ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน
หอคณิกาหงไถถูกก่อตั้งจากการลงทุนร่วมกันของขุนนางหลายคน เมื่อสามปีก่อนขุนนางเหล่านั้นต่างก็ถูกจับกุมในคดียักยอกทรัพย์และคดีร้องเรียนอีกหลายคดีจนถูกยึดทรัพย์สินและถูกจองจำ หอหงไถซึ่งเป็นของส่วนรวมของขุนนางหลายคนจึงถูกยึดไปเป็นของทางการ
หอหงไถจำต้องปิดตัวลงไปเพราะทางการจะเลี้ยงดูหรือเปิดกิจการหาเงินเข้าหลวงก็ไม่เหมาะ แม่เล้าและนางโลมทุกคนได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ และเลือกทิ้งบุตรชายหญิงซึ่งไม่ได้ตั้งใจให้เกิดแต่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในหอหงไถในฐานะแรงงานได้เปล่าเอาไว้ ด้วยหวังจะออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่หรือทำงานหาเงินโดยไม่มีภาระติดตัว
ฉู่หลิงนั่งฟังเจียวจูเล่าเหตุการณ์ไปพลางก็เพ้อฝันไปพลาง เด็กพวกนี้เป็นกำพร้า!! นั่นหมายความว่าอะไรเล่า!! หมายความว่าพวกเขาไม่มีผู้ปกครองมาคอยดูแลชีวิตและความปลอดภัย อีกไม่นานนางก็เลือกจับกินพวกเขาได้สบายๆ เลยใช่หรือไม่!!
“พี่สาวท่านน้ำลายไหลแล้วขอรับ” เด็กชายตัวผอมแห้งคนหนึ่งเดินเข้ามาเช็ดน้ำลายที่มุมปากให้พี่สาวคนงาม
“พี่สาวมาอยู่กับพวกเราเถิดเจ้าค่ะ ท่านก็ไม่มีครอบครัวเหมือนพวกเราใช่หรือไม่” หลิ่วจีเด็กหญิงตัวน้อยไม่เคยเห็นสตรีคนใดงดงามเท่าพี่สาวเสียสติตรงหน้านี้มาก่อนเลย ยิ่งมองนางก็ยิ่งอยากอยู่ใกล้พี่สาวคนงามผู้นี้
เจียวจ้านส่งสัญญาณเรียกให้พี่น้องมาสุมหัวรวมตัวกันอีกรอบภายนอกอุโมงค์
“พวกเรา ถึงพี่สาวจะสติไม่ค่อยดีแต่นางงามมากนะ ปล่อยนางไปก็อาจถูกคนชั่วร้ายข่มเหงรังแกเอาอีก พวกเราช่วยกันเลี้ยงนางไว้ก่อนเถิด” ร่างผ่ายผอมหลายร่างจูงมือกันไปแอบกระซิบกระซาบเบาๆ แต่เสียงของพวกเขาก็ยังดังพอให้อีกฝ่ายได้ยินชัดเจน
‘เด็กมนุษย์บ้า!! ข้าก็แค่ไม่ได้เห็นอาหารโอชะเช่นพวกเจ้ามานานก็เท่านั้นเองย่ะ!' ฉู่หลิงบ่นอุบอิบอยู่ในใจ รีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำลายข้างมุมปาก
ก้อนเนื้อขาวๆ 10 ก้อนอยู่เบื้องหน้าแวมไพร์สาว แต่ตอนนี้เขี้ยวนางก็ไม่มี จะไปเจาะคอดูเลือดผู้ใดได้ คงต้องอดทนเลี้ยงดูเด็กมนุษย์ผอมแห้งพวกนี้ให้เติบโตอ้วนพีผลิตเลือดเนื้อเยอะไว้ให้นางดื่มกินในอนาคต ระหว่างรอให้ยาหมดฤทธิ์นางก็อาศัยอยู่ในหอหงไถร่วมกับเด็กๆ ไปก่อนก็แล้วกัน หญิงสาวคิดในใจ
ท่าทางล้วงมือคลำหาเขี้ยวในปากของฉู่หลิง รวมกับนางพยายามเช็ดน้ำลายข้างริมฝีปากแดงที่ไหลย้อยลงมาบนพื้น ครู่หนึ่งพี่สาวคนงามก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับมองพวกตนด้วยสายตาพิลึกพิลั่น ทำให้เด็กๆ ยิ่งเวทนาสงสารฉู่หลิงยิ่งกว่าเดิม
“ข้าขอโทษ..ข้าขอโทษ เจ้าเชื่อข้าเถิด ข้าก็จะปกป้องพวกเขาเช่นกัน แต่ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้ฉู่หลิง” โจวเฉิงเปิดเผยคำพูดออกมาจากหัวใจจริงๆเจียวจ้านเข้าใจเจตนาดีของโจวเฉิงเช่นกัน และเขาเองก็ยินดีด้วยซ้ำที่โจวเฉิงเลือกทำเช่นนี้ พวกเขาต้องพลัดพรากจากพี่น้องทั้ง 6 มีพี่สาวฉู่หลิงอยู่กับพวกตนอีกคนก็ยังดีกว่า“เรากลับไปที่จวนกันเถิด” เจียวจ้านสั่งน้องที่เหลือ แล้วเดินออกจากอุโมงค์ไปพร้อมกับผู้พิทักษ์ชุดสีม่วงคนอื่น ๆ ที่รับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดด้วยกันโจวเฉิงปล่อยให้หญิงสาวระบายความเศร้าโศกออกมาเต็มที่อยู่อีกเนิ่นนาน เขาไม่กล้าปล่อยมือออกจากร่างงามแม้เพียงเสี้ยวอึดใจด้วยเกรงว่าฉู่หลิงจะหนีไปหาพี่น้องปีศาจดูดเลือดของนาง“ข้ารู้ว่าท่านหวังดี พวกเขาจากไปไกลแล้ว ปล่อยข้าเถิด” ฉู่หลิงเลิกล้มความตั้งใจเดิม อย่างไรนางก็ยังมีน้องอีก 13 คนและท่านยายเฉินอยู่ที่นี่“ไม่ปล่อย เจ้าดื่มเลือดข้าก่อน” ชายหนุ่มลูบฝ่ามือไปที่คมดาบจนเกิดบาดแผล ก่อนจะยื่นมือเปื้อนเลือดส่งให้หญิงสาวฉู่หลิงปรายตามองเลือดสีแดงสดบนฝ่ามือของอีกฝ่ายสายตาหยามหยัน“ข้าไม่ดื่มเลือดจากมือท่าน ก่อนจะกลับเป็นมนุษย์ให้ข้าได้กัดผู้พิทักษ์สักครั้
ฉู่หลิงรอน้องทั้งหกกับกลุ่มของมู่เจียเหยียนอยู่ภายในจวนผู้ตรวจการพิเศษอีกสามวันพวกเขาก็ยังไม่กลับมาจนหญิงสาวเริ่มร้อนใจ“ท่านยาย ข้าสังหรณ์ใจว่าพวกเขาจะกลับเข้าไปอยู่ในถ้ำ ข้าจะกลับไปดูสักครั้ง ฝากเด็กๆ ทางนี้ด้วยนะเจ้าคะ” ฉู่หลิงยังไม่กลายร่างเป็นมนุษย์ นางมีสัมผัสบางเบาเป็นครั้งคราวว่าเจียวจูกับคนอื่น ๆ อยู่ใกล้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงยังไม่กลับมา“พี่หลิงหลิง ข้าไปด้วยขอรับ” เจียวจ้านกับเด็กคนอื่น ๆ ได้ยินคำพูดของฉู่หลิงกับท่านยายเฉินเข้าพอดี พวกเขารีบรุมล้อมมาข้างตัวฉู่หลิงจนอีกฝ่ายแทบจะหมดแรงจากพลังของผู้พิทักษ์ที่ยืนรายล้อมรอบตัว“ไปสิ ไปด้วยกัน หากพวกเขาอยู่ที่นั่นก็จะได้ใช้เลือดของพวกเจ้าในการแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้พอดี” หญิงสาวยิ้มรับคำอบอุ่นเดินทางมาถึงเขตลำธารสายเล็กที่ทุกคนเคยมาจับปลาด้วยกัน ฉู่หลิงก็รู้สึกถึงตัวตนของปีศาจดูดเลือดชัดเจนยิ่งขึ้นและยิ่งมั่นใจว่าน้องที่เหลือยังคงอยู่ในถ้ำ และไม่แน่ว่ามู่เจียเหยียนกับพวกฉีฟ่งก็จะอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน“พี่เจียวจู ทำไมไม่กลับไปหาพวกเรา เรารอมาสองวันแล้วนะเจ้าคะ” ตงเหม่ยวิ่งเข้าไปหาเจียวจูก่อนผู้ใด “มือปราบมู่ ท่านอาฟ่ง เด
“ช้าก่อน!! พวกที่หลบหนีไปในตอนนี้อย่างไรพวกมันก็ต้องเลือกหาที่หลบซ่อนตัวเป็นอันดับแรก ยังไม่สร้างความเดือดร้อนให้เราค้นหาได้ง่ายเป็นแน่” ท่านยายเฉินก้าวออกมาอีกคนหนึ่งสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง“เราต้องกลับไปที่จวนผู้ตรวจการกันสักครู่ แม้เราจะไม่ต้องดื่มกินอาหาร แต่เรายังมีความกระหายอยู่ ที่นั่นมีกระต่าย!”หวังหยวนอยากจะตบมือดังๆ ให้ท่านยายเฉินเสียเหลือเกินที่ออกหน้าเป็นตัวแทนของคนในหมู่บ้าน พวกเขากระหายเลือดจริงๆ นั่นล่ะ สู้กันมาครึ่งค่อนคืนจนถึงเช้ากลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งไปทั่วเมืองสือเจีย พวกตนได้แต่ข่มกลั้นความกระหายเอาไว้จนเขี้ยวสั่นแล้วที่จวนผู้ตรวจการก็มีสิ่งที่พวกเขาต้องการโดยไม่ต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใด กระต่ายอ้วนพี 4 คอก แบ่งๆ กันดื่มก็ยังพอช่วยดับกระหายให้มีแรงสู้ต่อไปได้อีกหน่อยพอพูดถึงกระต่ายแวมไพร์สาวก็รู้สึกปวดไส้หิวกระหายขึ้นมาบ้างแล้ว นางพยักหน้าตอบรับท่านยายเฉินครั้งหนึ่ง กลุ่มปีศาจดูดเลือดที่มีทั้งทหาร ชาวบ้านและเด็กๆ ก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วทางทิศของอำเภอซิ่งอัน“ใต้เท้า นาง..มือปราบมู่..เด็กๆและชาวบ้าน?” ผู้พิทักษ์ฝ่ายตรวจการพิเศษที่ยังไม่รู้เรื่องของชาวอำเภอซ
“ท่านลุง ท่านป้า ข้าเองเจียวจ้าน!” เจียวจ้านกับฝานเจิ้งสลับกันตะโกนร้องเรียกหาสองสามีภรรยาไม่หยุดพวกเขารู้ดีว่าชาวบ้านได้รับคำเตือนให้ซ่อนตัวให้มิดชิด แต่หากยังไม่ได้เห็นคนทั้งสองกับตาว่าปลอดภัย เด็กชายทั้งสองคนก็ยังไม่วางใจอยู่ดี“เจียวจ้าน ฝานเจิ้ง! มาทำอะไรที่นี่! เข้ามาหลบในนี้ก่อนเร็วเข้า!” เถ้าแก่หลี่โผล่หน้าออกมาจากเตาดินเผาขนาดใหญ่ กวักมือเรียกเด็กชายทั้งสองให้เข้ามาซ่อนตัวด้วยความร้อนใจ“พวกท่านปลอดภัย ข้าดีใจเหลือเกินขอรับ” เจียวจ้านถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เวลานี้มีปีศาจที่บุกรุกเข้ามาด้านในมากขึ้นแล้ว ระหว่างทางพวกเขายังได้สังหารพวกมันไปหลายคนเลยทีเดียว“เจ้าสองคนเข้ามาในนี้ก่อนเร็วเข้า อย่าชักช้าอยู่” เถ้าแก่หลี่เร่งเด็กชายทั้งสอง ด้านนอกเริ่มมีเสียงกรีดร้องของผู้คนดังเข้ามาใกล้ทุกทีแล้วเจียวจ้านกับฝานเจิ้งยิ้มแห้งให้สองสามีภรรยา ดูเอาเถิดเตาดินเผาแม้จะมีขนาดใหญ่ แต่พอมีคนสองคนเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ก็ไม่สามารถบดบังร่างพวกเขาได้มิดชิด เท้าของเถ้าแก่หลี่ที่เต็มไปด้วยขี้เถ้าก็ยังโผล่พ้นออกมาด้านนอกอยู่เลย แล้วจะให้เขาสองคนเข้าไปข้างในอีกได้อย่างไรกันขณะนั้นเองปีศาจดูดเลื
เห็นความตั้งใจจริงของทุกคนฉู่หลิงก็ยินยอมแต่โดยดี เอาจริงก่อนจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้นางก็ไม่คิดฝันมาก่อนว่าการย้อนเวลามาครั้งนี้จะมีมนุษย์ตัวเป็นๆ มายื่นคอให้นางกัดโดยไม่ต้องล่าทหารและชาวบ้านร้อยกว่าชีวิต เข้าแถวมาทีละคนเพื่อให้ฉู่หลิงดื่มเลือดพวกเขา แวมไพร์สาวรู้สึกอิ่มจนพุงกาง สุดท้ายก็ต้องให้หวังหยวนมาช่วยแบ่งเบาภาระเพิ่มอีกคน เพราะทุกคนในที่นี้มีเพียงหวังหยวนเพียงผู้เดียวที่เคยได้ลิ้มลองเลือดมนุษย์ไปแล้ว นางไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาแปดเปื้อนเพิ่มขึ้นอีก“พร้อมกันแล้วใช่หรือไม่” แวมไพร์สาวกระโดดขึ้นไปอยู่บนกำแพงจวน ส่งเสียงคำรามและปลุกระดมความฮึกเหิมให้กับเหล่าสาวกเบื้องล่าง“แฮ่!!!” ทหารชาวบ้านและเด็กๆ ที่กลายเป็นปีศาจดูดเลือดทั้งหมด แยกเขี้ยวกางเล็บส่งเสียงคำรามตอบกลับ สตรีชาวบ้านบางคนอย่างเช่นนางจวงหญิงอ้วนที่ไม่เคยกระโดดพ้นยอดหญ้า รีบทดลองปีนป่ายขึ้นกำแพงก่อนจะหัวเราะชอบใจชักชวนให้สตรีคนอื่น ๆ ทดลองตามอย่างบ้าง“เราจะช้าไม่ได้แล้ว ระหว่างทางพวกท่านค่อยๆ ปรับสภาพร่างกายกันเอาเองก็แล้วกัน อ้อ! ทุกคนตัดต้นไผ่ติดมือกันไปให้มากที่สุดด้วย ไป!!” แม้จะไม่เข้าใจว่าฉู่หลิงให้พวกตนตัดต้นไผ่ไ
“พวกเขาเป็นปีศาจดูดเลือดก็จริง แต่พวกเขาอยู่ฝ่ายเรา เรื่องนี้ข้าจะอธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจภายหลัง” โจวเฉิงรีบหันเหความสนใจของคนทั้งห้ากลับมาที่ตนเองอีกครั้งผู้พิทักษ์ทั้งห้าคนหันมองหน้ากันไปมา คำกล่าวของโจวเฉิงก็คล้ายว่าจะจริง ปีศาจดูดเลือดทุกคนที่พวกตนเห็นอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นทหารและเด็กที่อยู่ในจวนผู้ตรวจการมาก่อนทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีท่าทีจะเข้ามาโจมตีแต่อย่างใดแต่นี่มันแปลกประหลาดเกินไปหรือไม่ ในตำนานหรือตำราไม่เคยมีบันทึกมาก่อนว่าสายเลือดผู้พิทักษ์กับปีศาจดูดเลือดจะร่วมงานกันได้อย่างสันติ!“ไม่เคยเห็นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” หนึ่งในห้ายักไหล่ขึ้นมา เป็นอันสรุปว่าพวกเขายินยอมเชื่อคำของโจวเฉิงซึ่งเป็นผู้นำ“ทำไมพวกเจ้าทั้งห้าจึงมาทางนี้ ใช่ว่าเวลานี้ควรช่วยกันปิดทางแพร่กระจายของเหล่าปีศาจดูดเลือดไม่ให้ลุกลามไปยังเขตเมืองอื่นอยู่หรอกหรือ” “คนของเราแบ่งกำลังไปสกัดเส้นทางไปเมืองทั้งสามโดยรอบเอาไว้แล้วขอรับ จุดศูนย์รวมของพวกมันเวลานี้กระจายอยู่เป็นกลุ่มในเขตเมืองสือเจียมากที่สุด และเวลานี้พวกมันพุ่งเป้าไปที่กำแพงเมืองเป็นจำนวนมาก พวกเรากำลังจะตามไปสนับสนุนที่เมืองสือเจียเลยแวะมารายงานท่านก