อีกด้านสองสหายต้นเรื่องก็ร้อนใจอยู่ไม่น้อย ชายขาเป๋ลุกขึ้นมายืนเคียงข้างกับสหายแขนเดียวของตน พลางส่งสายตามองกันไปมาคล้ายว่ากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง
“เอาล่ะ ครั้งนี้ถือว่าเป็นคราวซวยของพวกเราสองคนก็แล้วกัน เนื้อจะเข้าปากเสืออยู่แล้วเชียว!! พวกเจ้ารีบไสหัวไปให้พ้นหน้าพวกเราเดี๋ยวนี้เลย” ชายแขนเดียวมองไปยังร่างงามด้วยความเสียดาย แต่ดูจากจำนวนคนแล้ว ให้ต่อสู้กันจริงๆ พวกเขาสองคนอาจจะสู้ไม่ไหว และหากเรื่องไปถึงเจ้าหน้าที่ทางการเมื่อใดพวกตนจะเดือดร้อนกว่าเก่า เขาย่อมไม่กล้าเสี่ยง
“ปากเสือ เหอะ!! ปากหมาสิไม่ว่า ดูตัวเองด้วยจ้า สภาพ!!” ฉู่หลิงสวนกลับอย่างอดไม่ได้ นางเคยแต่ข่มขู่ดูแคลนผู้อื่น ถูกเอาเปรียบอย่างไร้ทางสู้เช่นนี้รู้สึกอับอายจนอยากกลับโลงศพจะแย่แล้ว
หลิ่วจีเด็กหญิงวัย 8 ขวบถึงกับต้องกระตุกข้อมือพี่สาวแปลกหน้าเอาไว้เป็นการห้ามปราม อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่สองคนเชียวนะ แล้วเจ้าหน้าที่ทางการน่ะ จะมาช่วยพวกเราจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้
“ใครกันแน่ที่ต้องไปให้พ้น เจ้าสองคนจะลองดูไหมเล่าว่าพวกเราจะหาคนมาขับไล่พวกเจ้าออกจากป่านี้ไปได้หรือไม่” เจียวจูไม่ยอมแพ้ หากสองคนนี้ยังอยู่ต่อไปพวกนางคงจะมาหาเก็บของป่าไปกินได้ลำบากเป็นแน่
สองสหายผงะถอยหลังเสียอาการไปเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางไม่กลัวเกรงของเด็กหญิงตัวจ้อย และเริ่มรู้สึกว่านางคงจะมั่นใจไม่น้อยว่าจะจัดการกับพวกตนเองได้
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!” พวกเขามองไปยังฉู่หลิงอีกครั้งด้วยความเสียดาย สะบัดใบหน้าโสมมเดินหลบเลี่ยงกลุ่มเด็กๆ ไปอีกทาง ตั้งใจว่าจะออกจากป่าแห่งนี้ไปให้เร็วที่สุดตนเป็นเพียงคนร่อนเร่ มีหรือจะกล้ายุ่งวุ่นวายกับเด็กจากหอหงไถที่มีเบื้องหลังเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ
“ถุย!! ฝากแล้วมาเอาคืนด้วยเล่า!” ฉู่หลิงพ่นน้ำลายตามหลังคนโฉดชั่วทั้งสอง
“พี่สาว” หลิ่วจีกระตุกแขนรั้งตัวนางเอาไว้อีกครั้ง น้ำตาที่คลอเต็มสองเบ้าตาใกล้จะหยดลงมารอมร่อ
เสียงร้องขอเบาหวิวราวกับลูกแมวหมดแรง ทำให้ฉู่หลิงเลิกใช้สายตาอาฆาตแค้นมองไปที่มนุษย์สองคนนั้นแล้วหันมามองเด็กๆ ที่ยืนอยู่รอบตัวแทน
“เจ้าใช้การได้เลยทีเดียว หากพบเจอกันเร็วกว่านี้ข้าจะให้เจ้าเป็นสมุนมือหนึ่งของข้า” หญิงสาวตบไหล่เจียวจูเบาๆ สองครั้ง เด็กมนุษย์ผู้นี้กล้าหาญ เสียดายเหลือเกินที่ตนกัดใครไม่ได้ในเวลานี้
“เอาล่ะ หากผู้พิทักษ์ตามมาก็บอกเขาได้เลยว่าข้าจะไปลงโลงแล้ว ถือว่าพวกเจ้ามีบุญคุณข้าจะเตือนสักหน่อย พวกเจ้ารีบกลับเข้าเขตไปเสียหากมีแวมไพร์ได้กลิ่นพวกเจ้าแล้วจะลำบาก”
หญิงสาวกล่าวจบก็เดินอาดๆ แหวกเถาวัลย์ปากอุโมงค์เตรียมจะกลับไปนอนในโลงตามเดิม
“เดี๋ยวนะ!! ข้าควรจะอยู่ในสถาบันวิจัยภายในเขตปลอดแวมไพร์ไม่ใช่หรือ แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน"
หญิงสาวหันกลับมาหากลุ่มเด็กมอมแมมทั้งสิบคนอีกครั้ง เพิ่งจะสังเกตว่าเสื้อผ้าหน้าผม เครื่องแต่งกายของคนชั่วสองคนเมื่อครู่กับเด็กเหล่านี้ก็แปลกประหลาดเหมือนกัน สถานที่ที่นางยืนอยู่นี่ก็แปลก ตกลงเรื่องราวมันยังไงกันแน่
“ทางเข้าเขตอยู่ตรงไหน หรือหอสังเกตการณ์หงไถอยู่ตรงไหน ข้าออกมาอยู่ในป่านี้ได้อย่างไรกัน พวกเจ้ารีบพาข้ากลับไปที่หอหงไถก่อน ข้าถูกฉีดยาแล้วพวกเจ้าไม่ต้องกลัว” หญิงสาวเดินกลับมาถามเจียวจูเด็กหญิงที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มและดูเหมือนจะเป็นผู้นำของเด็กๆ เพิกเฉยกับเรื่องเสื้อผ้าและทรงผมแปลกๆ ของเด็กมนุษย์กลุ่มนี้ไปชั่วคราว
“เอ๋! ข้าเปิดฝาโลงออกมาเองไม่ใช่หรือ โลงก็อยู่ในห้องหินแห่งนั้น ช่วงเวลาไม่เกิน 5 นาทีเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครแบกโลงข้าออกมาไกลถึงนอกเขตนี่” นางมั่นใจว่าตนเองไม่ได้อยู่ภายในเขตปลอดแวมไพร์ที่ทันสมัยและสะอาดหมดจดอย่างแน่นอน
โลกภายนอกแม้จะเหลือเพียงตึกสูงระฟ้าที่ถูกทิ้งร้างตั้งตระหง่านอยู่ทั่วเมือง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีพื้นที่ป่าหรือสวนสาธารณะ ต่างกับภายในเขตปลอดแวมไพร์ที่ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งสังเคราะห์ทั้งหมด ดินที่เข้าปากนางไปขณะที่ดิ้นรนต่อสู้กับไอ้ตัวเหม็นสองคนนั้น บ่งบอกได้ชัดว่าเป็นดินจริงจากโลกภายนอก ไม่ใช่ดินสังเคราะห์ลอกเลียนแบบแต่อย่างใด
หญิงสาวชักเท้ากลับไปทางปากอุโมงค์อีกครั้ง เตรียมจะไปดูโลงศพของตนให้เห็นกับตา
“ที่แท้นางก็เป็นหญิงเสียสติ” เจียวจ้านทำสัญญาณให้สหายทุกคนล้อมวงเข้าหากัน กระซิบกระซาบกันเบาๆ
“ข้าคิดว่านางเป็นคนหลงทางมาเสียอีก จะได้ชวนนางไปอยู่กับพวกเรา เสียดายจัง” หลิ่วจีเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวคนงามแล้วส่งเสียงแมวป่วยออกมาอีกครั้งด้วยความอาลัย นางปรารถนาให้มีสตรีสักคนเข้ามาอยู่ในหอหงไถ จะได้มาช่วยดูแลพวกตนเหมือนกลุ่มพี่สาวที่เคยอยู่ที่นั่น
“นี่!! ข้าได้ยินที่พวกเจ้าคุยกันนะ ข้าไม่ได้บ้า” ฉู่หลิงหันมาตวาดลั่น
กลุ่มเด็กสิบคนรีบกลับมายืนตรงด้วยท่าทางปกติ พยักหน้าหงึกหงักโดยพร้อมเพรียงกัน คนเขาบอกว่าตัวเองไม่บ้านั่นล่ะคือบ้า!!
“ตกลงหอสังเกตการณ์หงไถที่พวกเจ้าอยู่นั่นอยู่ที่ไหนกัน พาข้าไปได้หรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ” หลิ่วจีรีบตอบกลับเปลี่ยนสีหน้าเป็นสดใสขึ้นทันใด
“รอข้าเดี๋ยว เดี๋ยวข้ากลับไปดูโลงข้าสักหน่อย” ฉู่หลิงขอตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้ง ว่านางได้ก้าวออกมาจากโลงศพของตนเองจริงหรือไม่
“พี่สาวช้าก่อน ข้างในนั้นมันมืด เดี๋ยวพวกเราจุดคบไฟให้ท่านถือติดมือไปด้วย” เจียวจ้านรีบตะโกนบอก ภายในใจก็เต้นกระหน่ำรุนแรง อย่าบอกนะว่าพี่สาวผู้นี้พักอาศัยอยู่ในโลงศพ!!
แวมไพร์สาวหยุดคิดชั่วครู่ก่อนจะตอบตกลง หากเป็นตอนที่ตนเองยังมีพลังอันแข็งแกร่งในฐานะแวมไพร์ นางสามารถมองเห็นทุกสิ่งอย่างในความมืดได้อย่างชัดเจน แต่เวลานี้ไม่ใช่แล้ว หากอยากจะตรวจสอบให้ละเอียดสักหน่อย มีไฟไปด้วยก็คงจะดีไม่น้อย
“ทำอะไรกันน่ะ ไม่มีใครพกไฟแช็กมาสักคนเลยหรือไง” หญิงสาวเริ่มหงุดหงิดเมื่อเห็นเด็กชายตัวผอมกร่อง ใช้หินสองก้อนตีกันอยู่หลายที แต่ก็ยังไม่สามารถจุดไฟลงบนหญ้าแห้งให้ลุกติดขึ้นมาได้
“นี่เรียกว่าหินเหล็กไฟ เอามันมากระทบกันก็จะเกิดประกายไฟ ท่านรออีกเดี๋ยวเดียวเท่านั้นขอรับ” เด็กชายอธิบายตอบกลับด้วยความสุภาพ
กว่าฉู่หลิงจะได้คบไฟที่เด็กๆ ฉีกชายเสื้อผ้าบนร่างกายมาพันเข้ากับปลายไม้แล้วจุดมันจากกองหญ้าแห้งที่เพิ่งก่อติด ก็กินเวลาไปอีกพักใหญ่ นางรับคบไฟแล้วกำชับให้เด็กๆ เข้าไปรอนางอยู่ที่ปากอุโมงค์
“พวกเจ้าเดินหลบเข้ามาซ่อนตัวด้านในก่อน ที่นี่ยังไม่ปลอดภัยเวลานี้ข้าเองก็ช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้ด้วยนะ”
เด็กชายหญิงสิบคนซึ้งใจจนน้ำตาแทบจะร่วง นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีผู้ใดเคยคิดห่วงพวกเขาเช่นนี้ ทุกคนจึงเดิมตามฉู่หลิงไปอย่างว่าง่าย น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
หญิงสาวใช้มือผลักบานประตูหินทางเข้าถ้ำลับไปพร้อมกับคบไฟในมือ ทันทีที่นางเข้ามาประตูหินก็ปิดกลับไปดังเดิม
ฉู่หลิงเลื่อนคบไฟไปสำรวจที่ฝาโลงเป็นอันดับแรก นางนอนเหงาๆ อยู่ในโลงก็เลยใช้เล็บตะกายฝาโลงศพซึ่งทำจากไม้ ตั้งใจจะส่งเสียงกวนประสาทหมอและผู้ดูแลจากสถาบันวิจัยให้รำคาญเล่น แต่นางลืมไปว่าตนเองไม่ได้มีเล็บแหลมคมยาวเฟื้อยอีกต่อไป นิ้วมืออ่อนนุ่มของตนจึงถูกเสี้ยนไม้ฝาโลงแทงสวนเข้าไปจนเลือดไหล
“ใช่แล้ว ข้าก็อยู่ในโลงนี้มาตั้งแต่ต้น ยังมีรอยเลือดติดเศษไม้แตกที่ฝาโลงด้านในอยู่เลย” หญิงสาวรำพันออกมา ใช้นิ้วลูบคลำร่องรอยเลือดจางๆ ที่หลงเหลืออยู่
“เอ๋..” หญิงสาวสะดุดตาเข้ากับความเปลี่ยนแปลงบางอย่างบนฝาโลง ซึ่งก่อนหน้านี้นางนอนจ้องอยู่นานก็ไม่เห็น
รูปทรงอักขระเวทที่แวมไพร์ทุกคนสามารถอ่านได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับข้อความชุดหนึ่งที่อ่านได้ใจความว่า โลงศพนี้เป็นโลงศพเก่าแก่ที่ตกทอดต่อกันมาจากแวมไพร์สายเลือดแท้เมื่อหลายร้อยปีก่อน
เจ้าของโลงศพรุ่นหลังในยุคก่อนที่มนุษย์จะสร้างเขตปลอดแวมไพร์ขึ้นมา ได้สร้างอักขระเวทไว้ที่ฝาโลงใบนี้เพื่อเตรียมการไว้ภายหน้า หากในอนาคตแวมไพร์ถูกกำจัดและจวนเจียนจะสูญพันธุ์ ก็ให้ใช้เลือดของแวมไพร์สาวพรหมจารีหยดลงที่ฝาโลง อักขระเวทจะส่งโลงพร้อมกับคนในโลงไปยังที่ใดที่หนึ่ง เพื่อก่อกำเนิดสายพันธุ์แวมไพร์สืบต่อไปไม่ให้สูญหายไปจากโลก
“อื้อฮือ ถึงกับสร้างโลงศพเทเลพอร์ต” ฉู่หลิงอึ้งงันตาค้างกับความสามารถอันล้ำลึกของแวมไพร์รุ่นพี่
“ข้าขอโทษ..ข้าขอโทษ เจ้าเชื่อข้าเถิด ข้าก็จะปกป้องพวกเขาเช่นกัน แต่ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้ฉู่หลิง” โจวเฉิงเปิดเผยคำพูดออกมาจากหัวใจจริงๆเจียวจ้านเข้าใจเจตนาดีของโจวเฉิงเช่นกัน และเขาเองก็ยินดีด้วยซ้ำที่โจวเฉิงเลือกทำเช่นนี้ พวกเขาต้องพลัดพรากจากพี่น้องทั้ง 6 มีพี่สาวฉู่หลิงอยู่กับพวกตนอีกคนก็ยังดีกว่า“เรากลับไปที่จวนกันเถิด” เจียวจ้านสั่งน้องที่เหลือ แล้วเดินออกจากอุโมงค์ไปพร้อมกับผู้พิทักษ์ชุดสีม่วงคนอื่น ๆ ที่รับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดด้วยกันโจวเฉิงปล่อยให้หญิงสาวระบายความเศร้าโศกออกมาเต็มที่อยู่อีกเนิ่นนาน เขาไม่กล้าปล่อยมือออกจากร่างงามแม้เพียงเสี้ยวอึดใจด้วยเกรงว่าฉู่หลิงจะหนีไปหาพี่น้องปีศาจดูดเลือดของนาง“ข้ารู้ว่าท่านหวังดี พวกเขาจากไปไกลแล้ว ปล่อยข้าเถิด” ฉู่หลิงเลิกล้มความตั้งใจเดิม อย่างไรนางก็ยังมีน้องอีก 13 คนและท่านยายเฉินอยู่ที่นี่“ไม่ปล่อย เจ้าดื่มเลือดข้าก่อน” ชายหนุ่มลูบฝ่ามือไปที่คมดาบจนเกิดบาดแผล ก่อนจะยื่นมือเปื้อนเลือดส่งให้หญิงสาวฉู่หลิงปรายตามองเลือดสีแดงสดบนฝ่ามือของอีกฝ่ายสายตาหยามหยัน“ข้าไม่ดื่มเลือดจากมือท่าน ก่อนจะกลับเป็นมนุษย์ให้ข้าได้กัดผู้พิทักษ์สักครั้
ฉู่หลิงรอน้องทั้งหกกับกลุ่มของมู่เจียเหยียนอยู่ภายในจวนผู้ตรวจการพิเศษอีกสามวันพวกเขาก็ยังไม่กลับมาจนหญิงสาวเริ่มร้อนใจ“ท่านยาย ข้าสังหรณ์ใจว่าพวกเขาจะกลับเข้าไปอยู่ในถ้ำ ข้าจะกลับไปดูสักครั้ง ฝากเด็กๆ ทางนี้ด้วยนะเจ้าคะ” ฉู่หลิงยังไม่กลายร่างเป็นมนุษย์ นางมีสัมผัสบางเบาเป็นครั้งคราวว่าเจียวจูกับคนอื่น ๆ อยู่ใกล้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงยังไม่กลับมา“พี่หลิงหลิง ข้าไปด้วยขอรับ” เจียวจ้านกับเด็กคนอื่น ๆ ได้ยินคำพูดของฉู่หลิงกับท่านยายเฉินเข้าพอดี พวกเขารีบรุมล้อมมาข้างตัวฉู่หลิงจนอีกฝ่ายแทบจะหมดแรงจากพลังของผู้พิทักษ์ที่ยืนรายล้อมรอบตัว“ไปสิ ไปด้วยกัน หากพวกเขาอยู่ที่นั่นก็จะได้ใช้เลือดของพวกเจ้าในการแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้พอดี” หญิงสาวยิ้มรับคำอบอุ่นเดินทางมาถึงเขตลำธารสายเล็กที่ทุกคนเคยมาจับปลาด้วยกัน ฉู่หลิงก็รู้สึกถึงตัวตนของปีศาจดูดเลือดชัดเจนยิ่งขึ้นและยิ่งมั่นใจว่าน้องที่เหลือยังคงอยู่ในถ้ำ และไม่แน่ว่ามู่เจียเหยียนกับพวกฉีฟ่งก็จะอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน“พี่เจียวจู ทำไมไม่กลับไปหาพวกเรา เรารอมาสองวันแล้วนะเจ้าคะ” ตงเหม่ยวิ่งเข้าไปหาเจียวจูก่อนผู้ใด “มือปราบมู่ ท่านอาฟ่ง เด
“ช้าก่อน!! พวกที่หลบหนีไปในตอนนี้อย่างไรพวกมันก็ต้องเลือกหาที่หลบซ่อนตัวเป็นอันดับแรก ยังไม่สร้างความเดือดร้อนให้เราค้นหาได้ง่ายเป็นแน่” ท่านยายเฉินก้าวออกมาอีกคนหนึ่งสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง“เราต้องกลับไปที่จวนผู้ตรวจการกันสักครู่ แม้เราจะไม่ต้องดื่มกินอาหาร แต่เรายังมีความกระหายอยู่ ที่นั่นมีกระต่าย!”หวังหยวนอยากจะตบมือดังๆ ให้ท่านยายเฉินเสียเหลือเกินที่ออกหน้าเป็นตัวแทนของคนในหมู่บ้าน พวกเขากระหายเลือดจริงๆ นั่นล่ะ สู้กันมาครึ่งค่อนคืนจนถึงเช้ากลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งไปทั่วเมืองสือเจีย พวกตนได้แต่ข่มกลั้นความกระหายเอาไว้จนเขี้ยวสั่นแล้วที่จวนผู้ตรวจการก็มีสิ่งที่พวกเขาต้องการโดยไม่ต้องไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใด กระต่ายอ้วนพี 4 คอก แบ่งๆ กันดื่มก็ยังพอช่วยดับกระหายให้มีแรงสู้ต่อไปได้อีกหน่อยพอพูดถึงกระต่ายแวมไพร์สาวก็รู้สึกปวดไส้หิวกระหายขึ้นมาบ้างแล้ว นางพยักหน้าตอบรับท่านยายเฉินครั้งหนึ่ง กลุ่มปีศาจดูดเลือดที่มีทั้งทหาร ชาวบ้านและเด็กๆ ก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วทางทิศของอำเภอซิ่งอัน“ใต้เท้า นาง..มือปราบมู่..เด็กๆและชาวบ้าน?” ผู้พิทักษ์ฝ่ายตรวจการพิเศษที่ยังไม่รู้เรื่องของชาวอำเภอซ
“ท่านลุง ท่านป้า ข้าเองเจียวจ้าน!” เจียวจ้านกับฝานเจิ้งสลับกันตะโกนร้องเรียกหาสองสามีภรรยาไม่หยุดพวกเขารู้ดีว่าชาวบ้านได้รับคำเตือนให้ซ่อนตัวให้มิดชิด แต่หากยังไม่ได้เห็นคนทั้งสองกับตาว่าปลอดภัย เด็กชายทั้งสองคนก็ยังไม่วางใจอยู่ดี“เจียวจ้าน ฝานเจิ้ง! มาทำอะไรที่นี่! เข้ามาหลบในนี้ก่อนเร็วเข้า!” เถ้าแก่หลี่โผล่หน้าออกมาจากเตาดินเผาขนาดใหญ่ กวักมือเรียกเด็กชายทั้งสองให้เข้ามาซ่อนตัวด้วยความร้อนใจ“พวกท่านปลอดภัย ข้าดีใจเหลือเกินขอรับ” เจียวจ้านถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เวลานี้มีปีศาจที่บุกรุกเข้ามาด้านในมากขึ้นแล้ว ระหว่างทางพวกเขายังได้สังหารพวกมันไปหลายคนเลยทีเดียว“เจ้าสองคนเข้ามาในนี้ก่อนเร็วเข้า อย่าชักช้าอยู่” เถ้าแก่หลี่เร่งเด็กชายทั้งสอง ด้านนอกเริ่มมีเสียงกรีดร้องของผู้คนดังเข้ามาใกล้ทุกทีแล้วเจียวจ้านกับฝานเจิ้งยิ้มแห้งให้สองสามีภรรยา ดูเอาเถิดเตาดินเผาแม้จะมีขนาดใหญ่ แต่พอมีคนสองคนเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ก็ไม่สามารถบดบังร่างพวกเขาได้มิดชิด เท้าของเถ้าแก่หลี่ที่เต็มไปด้วยขี้เถ้าก็ยังโผล่พ้นออกมาด้านนอกอยู่เลย แล้วจะให้เขาสองคนเข้าไปข้างในอีกได้อย่างไรกันขณะนั้นเองปีศาจดูดเลื
เห็นความตั้งใจจริงของทุกคนฉู่หลิงก็ยินยอมแต่โดยดี เอาจริงก่อนจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้นางก็ไม่คิดฝันมาก่อนว่าการย้อนเวลามาครั้งนี้จะมีมนุษย์ตัวเป็นๆ มายื่นคอให้นางกัดโดยไม่ต้องล่าทหารและชาวบ้านร้อยกว่าชีวิต เข้าแถวมาทีละคนเพื่อให้ฉู่หลิงดื่มเลือดพวกเขา แวมไพร์สาวรู้สึกอิ่มจนพุงกาง สุดท้ายก็ต้องให้หวังหยวนมาช่วยแบ่งเบาภาระเพิ่มอีกคน เพราะทุกคนในที่นี้มีเพียงหวังหยวนเพียงผู้เดียวที่เคยได้ลิ้มลองเลือดมนุษย์ไปแล้ว นางไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาแปดเปื้อนเพิ่มขึ้นอีก“พร้อมกันแล้วใช่หรือไม่” แวมไพร์สาวกระโดดขึ้นไปอยู่บนกำแพงจวน ส่งเสียงคำรามและปลุกระดมความฮึกเหิมให้กับเหล่าสาวกเบื้องล่าง“แฮ่!!!” ทหารชาวบ้านและเด็กๆ ที่กลายเป็นปีศาจดูดเลือดทั้งหมด แยกเขี้ยวกางเล็บส่งเสียงคำรามตอบกลับ สตรีชาวบ้านบางคนอย่างเช่นนางจวงหญิงอ้วนที่ไม่เคยกระโดดพ้นยอดหญ้า รีบทดลองปีนป่ายขึ้นกำแพงก่อนจะหัวเราะชอบใจชักชวนให้สตรีคนอื่น ๆ ทดลองตามอย่างบ้าง“เราจะช้าไม่ได้แล้ว ระหว่างทางพวกท่านค่อยๆ ปรับสภาพร่างกายกันเอาเองก็แล้วกัน อ้อ! ทุกคนตัดต้นไผ่ติดมือกันไปให้มากที่สุดด้วย ไป!!” แม้จะไม่เข้าใจว่าฉู่หลิงให้พวกตนตัดต้นไผ่ไ
“พวกเขาเป็นปีศาจดูดเลือดก็จริง แต่พวกเขาอยู่ฝ่ายเรา เรื่องนี้ข้าจะอธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจภายหลัง” โจวเฉิงรีบหันเหความสนใจของคนทั้งห้ากลับมาที่ตนเองอีกครั้งผู้พิทักษ์ทั้งห้าคนหันมองหน้ากันไปมา คำกล่าวของโจวเฉิงก็คล้ายว่าจะจริง ปีศาจดูดเลือดทุกคนที่พวกตนเห็นอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นทหารและเด็กที่อยู่ในจวนผู้ตรวจการมาก่อนทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีท่าทีจะเข้ามาโจมตีแต่อย่างใดแต่นี่มันแปลกประหลาดเกินไปหรือไม่ ในตำนานหรือตำราไม่เคยมีบันทึกมาก่อนว่าสายเลือดผู้พิทักษ์กับปีศาจดูดเลือดจะร่วมงานกันได้อย่างสันติ!“ไม่เคยเห็นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” หนึ่งในห้ายักไหล่ขึ้นมา เป็นอันสรุปว่าพวกเขายินยอมเชื่อคำของโจวเฉิงซึ่งเป็นผู้นำ“ทำไมพวกเจ้าทั้งห้าจึงมาทางนี้ ใช่ว่าเวลานี้ควรช่วยกันปิดทางแพร่กระจายของเหล่าปีศาจดูดเลือดไม่ให้ลุกลามไปยังเขตเมืองอื่นอยู่หรอกหรือ” “คนของเราแบ่งกำลังไปสกัดเส้นทางไปเมืองทั้งสามโดยรอบเอาไว้แล้วขอรับ จุดศูนย์รวมของพวกมันเวลานี้กระจายอยู่เป็นกลุ่มในเขตเมืองสือเจียมากที่สุด และเวลานี้พวกมันพุ่งเป้าไปที่กำแพงเมืองเป็นจำนวนมาก พวกเรากำลังจะตามไปสนับสนุนที่เมืองสือเจียเลยแวะมารายงานท่านก