‘สังคมมนุษย์สัตว์’ คือนิยามของโลกนี้ ทุกผู้ทุกคนมีวิวัฒนาการมาจากสัตว์ประเภทใดประเภทหนึ่งโดยมีพื้นฐานคล้ายคลึงกับมนุษย์ พัฒนาสังคมระหว่างสัตว์กินพืชและสัตว์กินเนื้อมาจนเข้าสู่ยุคสมัยสุขสงบซึ่งสิ่งประดิษฐ์เดินหน้าไกลขึ้นจากประวัติศาสตร์ ผู้คนเริ่มตั้งหมู่บ้านเวลาผ่านไปกลายเป็นพระนครอันใหญ่โต ก่อเกิดเศรษฐกิจการเมืองโดยมีคนตัวเล็กตัวน้อยเป็นฟันเฟืองช่วยกันขับเคลื่อนและนั่นคือสังคมมนุษย์สัตว์
การสืบสายพันธุ์ยังคงมีต่อไปตามสัญชาตญาณ กระนั้นหากมีการประสมข้ามสายพันธุ์เลือดที่เข้มกว่าจะเป็นผู้อยู่รอดโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย และนั่นอาจเป็นชนวนของการซื้อขายซึ่งแม่พันธุ์ชั้นดี
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เสียงตะหลิวโลหะกะเทาะกับขอบกระทะใบโตซึ่งเต็มไปด้วยเม็ดข้าวเคลือบไข่ไก่สีทองเนียนละเอียดพร้อมด้วยเนื้อหมูสับและต้นหอมซอยสีเขียวเพิ่มสารอาหาร กลิ่นควันหอมโชยคละคลุ้งไปทั่วครัวไฟซึ่งถูกปลูกไว้หลังเรือนไม้ใหญ่โตของคนมีฐานะ นอกระแนงไม้รายล้อมไปด้วยสวน ปลูกพืชผักสวนครัวและต้นไม้น้อยใหญ่ออกดอกออกผลตามฤดูกาล
มืออย่างหญิงชราขึ้นฝ้ากระ พักจากการจับตะหลิวมาจับผ้าพาดบนคอซับเหงื่อไคล ใบหน้าสูงอายุประดับขนนกสีดำอย่างอีกาเงยขึ้นทอดสายตามองไปยังแฝดน้อยสองคนซึ่งถือกระจาดผักที่พึ่งเก็บมาสด ๆ วิ่งมาทางเธอ
คุณป้าอีกากลั้วหัวเราะในลำคอกับความซุกซนนั้นพลางยกกระทะขึ้นมาวางพักบนผ้าชื้นเหนือกระเบื้องแผ่นเก่า ก่อนจะค่อย ๆ รับสองกระจาดสานใบเล็กขึ้นมาแล้วจึงลูบหัวเป็นรางวัล
“เด็ก ๆ แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าวิ่ง”
เสียงทุ้มอ่อนกล่าวตำหนิบุตรของตน ใบหูประดับขนสั้นนุ่มนิ่มพร้อมเขาน้อยบนศีรษะกับหางอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งกำลังกดลงเป็นสัญญาณของความไม่พอใจ
เด็ก ๆ เห็นมารดาออกโรงดุจึงพากันไปหลบหลังคุณป้าแม่ครัว ทำเอาคนเป็นแม่หรี่ตามองเด็กทั้งสอง เขาว่าตัวเองบอกไปมากกว่ายี่สิบรอบแล้วว่าให้เด็ก ๆ สำรวมกิริยาตั้งแต่รู้ว่าจะต้องมาอยู่ในเขตเรือนหลังนี้
“เอาเถอะจ้ะลูกเปลว ให้เด็ก ๆ วิ่งเล่นให้สมวัยสักหน่อยไม่เป็นอะไรหรอก”
“แต่ตอนวิ่งเด็ก ๆ ถือกระจาดผักด้วยนะจ๊ะ ฉันกลัวลูกทำเสียของ”
“ไม่เป็นไร ถ้าเสียของตกพื้นค่อยไปเก็บมาใหม่ สวนนี้อย่างไรก็เหลือเฟือ”
“ป้าจำเนียนใจดีกับพวกฉันเกินไปแล้วนะจ๊ะ”
“ถ้าไม่ใจดีแล้วใจร้ายก็ลำบากพวกเธอสิ มีกันอยู่สามแม่ลูกไม่คุ้นสถานที่”
“อย่างไรก็ขอบคุณป้ามากเลยนะจ๊ะที่เอ็นดูพวกฉัน”
“ไม่เป็นไรเลยลูก เอ้า ตักไปเยอะ ๆ จะได้อิ่ม ๆ”
แม่โคนมอมยิ้มรับจานสังกะสีสามใบมาจัดเรียงข้างหม้อข้าวใบโต เปิดออกมาก็ส่งกลิ่นหอมฉุย มือสีน้ำผึ้งจับด้ามทัพพีคดข้าวแต่พอกิน อิงตามสรีระลูกน้อยวัยสี่ขวบทั้งสอง ที่ถึงโดนแม่ดุไปก็ยังวิ่งเล่นจับผีเสื้อกันได้อยู่
เรือนงามหลังนี้ไม่ใช่ของพวกเขา แต่เป็นของเจ้าหนี้ผู้กุมชะตาชีวิตครอบครัวของเขาเอาไว้ด้วยเงินที่ถูกยืมไปมากกว่าห้าแสนบาทรวมดอกเบี้ย
หากเทียบตามราคาวัตถุแล้ว ชาหวานหนึ่งแก้วในสภากาแฟมีราคาห้าสิบสตางค์แดง ก๋วยเตี๋ยวมีราคาถ้วยละสามบาท และหากเป็นข้าราชการชั้นสูงมีงานเป็นหลักเป็นแหล่งทำพร้อมสวัสดิการแล้วไซร้ เงินเดือนจะตกอยู่ประมาณหลักร้อยปลาย ๆ ไม่ถึงพัน ทว่าพ่อของเด็ก ๆ กลับมีหนี้สินถึงหลักแสนโดยไร้ซึ่งงานอย่างเป็นกิจจะลักษณะรองรับการจะหาเงินจำนวนนั้นมาคืนขั้นต่ำเดือนละหนึ่งร้อยยังยากเลย
ดังนั้นการส่งตัวสมาชิกในครอบครัวมาขัดดอกรับใช้เจ้าหนี้จึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ นับจากวันแรกที่ก้าวเข้ามาเวลาก็เดินมาบรรจบครบเดือนพอดี
โคนมในผ้าเกาะอกตัวเก่าและผ้าถุงสั้นพอดีเข่าเมื่อคดข้าวเสร็จจึงทยอยหยิบจานกลับมาวางบนแคร่นอกเขตครัว จัดแจงหยิบช้อนก้นหอยวางให้ ทว่าก่อนที่จะเดินกลับไปเอาจานส่วนของตัวเองเขากลับไม่เห็นลูกน้อยวิ่งเล่นอยู่แล้ว
“ปิ่นกับเปี่ยมเขาเดินตามคุณผู้ชายไปแล้วจ้ะลูก”
“ตายจริง!? อีกแล้วเหรอ”
ด้วยว่าเป็นกังวล ละสายตาไปครู่เดียวหายตัวไปกันอีกแล้ว
เขาพยายามบอกเด็ก ๆ ไม่ให้หลงตามชายคนนั้นไป ทว่าไม่ทันไรจากที่หวาดกลัวหน้าดุ ๆ ของเจ้าหนี้ หลังได้รับขนมของหวานในวันแรกก็เทใจให้เสียเต็มประดา จนบางทีเมื่อเขาละสายตาออกห่าง สองแฝดชายหญิงก็พากันจูงมือไปตามขนมของล่อแล้ว
พึ่งรู้จักกันไม่เท่าไรถึงแม้จะยังไม่ลงมือทำอะไรกระนั้นการให้ลูกอยู่กับคนแปลกหน้าก็ยังอันตรายอยู่ดี ในตอนนี้เขาจึงละมือจากครัววิ่งออกมายังหน้าประตูหวังจะรั้งตัวลูกเอาไว้
“แม่เปลวดูนี่สิจ๊ะ! ฉันได้ปลาตะเพียนสานมาด้วย!”
“ฉันก็ได้ตะกร้อมาเล่นด้วยนะจ๊ะ!”
“อีกแล้ว แม่บอกว่าอย่าไปรบกวนคุณผู้ชายเขาไงจ๊ะ เอาไปคืนเลย”
“แต่ฉันเลือกชิ้นที่ราคาถูกที่สุดแล้วนะจ๊ะ”
เป็นเด็กหญิงที่โต้เถียงกับมารดา เปลวมองลูกปิ่นออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เขารู้ดีว่าลูกสาวตัวเองมีนิสัยดื้อดึงช่างพูดมาแต่ไหนแต่ไรจึงตอบความในใจออกมาอย่างไม่เกรงกลัว ส่วนลูกชายที่ยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่พูดอะไรทว่ามือก็ยังกุมลูกตะกร้อแน่นเหมือนไม่อยากให้เอาไปคืน แต่อย่างไรถึงเป็นของเล่นเศษสตางค์เขาก็ไม่อยากหยิบยืมเพิ่มหรอก
“ปิ่นจำที่แม่บอกได้ใช่ไหมจ๊ะ ว่าถ้าเรายิ่งใช้เงินเยอะพ่อก็จะยิ่งเหนื่อย ดังนั้นเราต้องทำยังไงจ๊ะ”
“ต้องประหยัดจ้ะ...”
“เก่งมาก ไหนร้านอยู่ไหน เดี๋ยวแม่เอาไปคืนให้นะ”
“ไม่ต้อง ฉันซื้อให้”
เสียงทุ้มต่ำแว่วมาจากนอกเขตรั้วไม้ ปรากฏเป็นชายร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตเครื่องแต่งกายมีราคาซึ่งกำลังหิ้วถุงขนมมากมายติดมือมาด้วย ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าของขบเคี้ยวพวกนั้นซื้อมาสำหรับใคร
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะคุณธรรศ คุณซื้อของให้พวกฉันมาเยอะแล้ว ฉันเกรงใจจ้ะ”
ว่าแล้วก็รวบเก็บของเล่นของลูก ๆ มาไว้ในมือ เห็นว่ายังสะอาดสะอ้านดีจึงคิดว่าน่าจะเอาไปคืนได้โดยไร้ซึ่งปัญหา แต่เหล่าขนมนี่สิ
“เอาไปเถอะ มันไม่เกี่ยวหนี้ เด็กวัยนี้มีของเล่นสักหน่อยจะเป็นอะไรไป”
“อย่างไรหักจากเงินฉันก็ได้จ้ะ”
“ไม่หัก ก็บอกอยู่ว่าให้ ไม่เกี่ยวกับหนี้”
คุณผู้ชายเริ่มเปล่งเสียงดุกดสายตาข่มมองลงมา หากเขายังคงดื้อแพ่งมีหวังทำเจ้าตัวไม่พอใจมากกว่าจนมันอาจส่งผลต่อการชำระหนี้
“ขอบคุณมากเลยนะจ๊ะ...เด็ก ๆ ขอบคุณคุณผู้ชายเขาเร็ว”
“ขอบคุณจ้ะ!”
สองแฝดประสานเสียงยิ้มดีใจก่อนจะหยิบของเล่นใหม่ของตัวเองคืนแล้วจึงวกกลับไปเห่อของกับคุณป้าจำเนียนยังครัวไฟ ทิ้งแม่โคนมเอาไว้กับเจ้าหนี้สองคน
คุณผู้ชายภูวธรรศ เหมบำรุง ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซ้ำยังเป็นเจ้าของตลาดใหญ่ เจ้าของเรือนและเจ้าของเงินหลักแสนของพวกเขา แม้มีหน้าตาดุประกอบกับไม่ค่อยยิ้มให้เห็นแต่เจ้าหนี้คนนี้ใจดีจนน่าสงสัยตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามา
ในเวลานั้นเขาตั้งมั่นเอาไว้ว่าจะปกป้องลูกน้อยทั้งสองเอาไว้ให้ได้แม้ตัวเองจะถูกโขกสับอย่างไรก็ตาม เพราะมันก็เป็นที่รู้กันว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้นั้นใครจะเป็นผู้ถูกกดขี่ ทว่าเมื่ออยู่มาเรื่อย ๆ หลายวันหลายสัปดาห์เจ้าหนี้ของเขากลับไม่แสดงนิสัยคุกคามออกมาแม้สักนิด ไม่ใช้ทำงานหนักแล้วยังจิตใจดีกับเด็ก ๆ มักซื้อของซื้อขนมให้ตลอด ไหนจะเงินเดือนที่อีกฝ่ายรับปากว่าจะให้ด้วยเหตุที่ว่าเขาช่วยงานป้าจำเนียน ทั้งที่มันอยู่นอกขอบข่ายแท้ ๆ
ทว่านั่นคือสิ่งที่เขาหวาดกลัวเหลือเกิน ไม่แน่การที่เขามาทำดีออกเงินให้แบบนี้ หนี้ของพวกเขาอาจพอกพูนขึ้นโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นว่าสุดท้ายพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้รับอิสระไปตลอดชีวิต
“เอาขนมไปด้วย เด็กวัยนี้ต้องกินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ”
“จ้ะ ขอบคุณมากเลยนะจ๊ะ...”
แม่โคนมรับขนมถุงโตมาจากมือคุณชาย ก้มหัวปลก ๆ ซ้ำยิ่งดูปริมาณกับชนิดขนมก็ยิ่งหน้าซีด ขนมในซองเงินเหล่านี้ราคาแพงหูฉี่ที่หากเป็นเขาเมื่อก่อนเด็ก ๆ จะถูกอนุญาตให้กินได้เดือนละครั้งเท่านั้นแถมยังได้แค่ถุงเล็กเท่าฝ่ามือ แต่ที่คุณผู้ชายซื้อมาให้มันใหญ่กว่านั้นหลายเท่าซ้ำยังเยอะแยะไปหมด ยิ่งทำเขาเกรงใจปนกังวลเข้าไปอีก
“ขะ...คุณผู้ชาย หักเงินเดือนส่วนของฉันไปเลยก็ได้จ้ะ ฉันไม่อยากติดหนี้บุญคุณ”
“ถ้าไม่อยากติดหนี้บุญคุณก็ตั้งใจทำงานบ้าน”
“จ้ะ…”
เปลวไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดไปมากกว่านี้จึงน้อมรับคำ และมันเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ยิ่งมันมีมากขึ้นเขาก็ต้องพูดจาระวังปากเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่รู้ว่าคุณธรรศที่ได้ฟังเขาพูดคำเดิม ๆ จะอารมณ์เสียเหวี่ยงมาเมื่อไหร่ก็เป็นได้
แม่โคนมเดินกลับมาพร้อมถุงขนมมากมายที่บางอย่างทั้งชีวิตนี้เขาก็ไม่เคยได้กินเสียด้วยซ้ำ ทว่าคิดในแง่บวกลูก ๆ ก็จะได้มีของดี ๆ กินไม่ต้องตกระกำลำบากอดมื้อกินมื้อเหมือนที่ผ่านมา
“กินเสร็จก็ไปขอบคุณคุณผู้ชายเขาอีกรอบด้วยนะ เข้าใจไหมจ๊ะ”
“จ้ะ!”
สองแฝดที่ยังไม่หายเห่อของเล่นใหม่กินไปก็จับ ๆ ของเล่นจักสานไป ตรงข้ามกับเขาที่ใจยังระแวงปรับตัวยากลำบากอยู่เลย
เพราะมาอยู่ได้แค่เดือนเดียว เขาไม่รู้นิสัยลึกตื้นหนาบางของคุณผู้ชายในตอนนี้ เขาเชื่อว่าทุกการกระทำล้วนมีเหตุผลมารองรับเสมอ แต่เพราะเขาไม่รู้ถึงมัน เขาจึงยังคลางแคลงใจอยู่แบบนี้
เขาได้แต่เก็บความคิดมากนั้นเอาไว้ในใจ แค่ให้เด็ก ๆ มารู้ว่าพ่อแม่เป็นหนี้ก้อนโตเขาก็รู้สึกผิดในฐานะผู้ให้กำเนิดแล้ว หากลูกมารู้ถึงความคิดเขาอีก ไม่รู้มันจะส่งผลต่อพฤติกรรมเด็กหรือเปล่า อย่างน้อยแม้ผ้าขาวจะเปื้อนฝุ่นไปบ้างแต่เขาก็พยายามจะปกป้องและปัดมันออกเท่าที่แม่คนนี้จะทำได้
หน้าที่ของเขาหลังจากลงมือช่วยทำอาหารสำหรับคนงานกรรมกรให้พี่คนงานยกขึ้นกระบะ ก็ขึ้นมาทำความสะอาดเรือนปัดกวาดเช็ดถู รดน้ำต้นไม้ และงานจิปาถะอื่น ๆ ช่วยแม่บ้านคนเดียวของเรือนหลังนี้ เขาได้ยินว่าก่อนเขาจะมาเคยมีพ่อบ้านวัยรุ่นช่วยอยู่แต่ตอนนี้พวกเขาถูกย้ายออกไป แม้จะเหนื่อยไปบ้างแต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ตราบใดที่เขายังใช้ชีวิตอยู่ในเขตเรือนหลังนี้ ดอกเบี้ยก็จะไม่เพิ่มขึ้น
ตกเย็นช่วงพลบค่ำหลังพวกเขาสามแม่ลูกอาบน้ำด้วยกันเสร็จก็พากันเอาตัวลงเตียง พวกเขาได้รับห้องเก็บของเก่าใต้ถุนเรือนเป็นที่ซุกหัวนอน แม้คับแคบแต่สะอาดสะอ้านกว่าที่คิด เห็นครั้งแรกแทบไม่ต้องทำความสะอาดเลย
“แม่จ๋า...”
“หือ? เปี่ยมมีอะไรลูก”
เด็กชายจับชายผ้าเกาะอกสีดินดอนผืนเก่าของมารดาพลางอ้าปากหาวด้วยความง่วงงุน เปลวที่เอื้อมมือไปจะดับเทียนจึงหันลงมาประคบประหงมลูกน้อย
“พ่อกอบจะมาหาเราอีกเมื่อไหร่เหรอจ๊ะ...?”
“ฉันก็คิดถึงพ่อจ้ะ...”
เด็กหญิงที่นอนอยู่ด้านขวากล่าวเสริมพร้อมกำผ้าผวยเนื้อบางแน่นขนัด คนเป็นแม่จึงปวดใจที่จะกล่าว เพราะแบบนี้เขาจึงอยากปลดหนี้ให้ได้ไวที่สุดแม้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
“พ่อเขาพึ่งมาเมื่อสามวันที่แล้วเอง รออีกประมาณสี่อาทิตย์นะลูกนะ”
แม่โคนมลูบกลุ่มผมเด็กน้อยทั้งสองซึ่งนอนขนาบข้างใต้แสงเทียนอันริบหรี่และสายลมเย็นที่ผ่านเข้ามาตามร่องประตู ความรู้สึกแห้งผากแบบนี้สงสัยคงจะใกล้หน้าหนาวแล้ว คงต้องตระเตรียมเย็บผ้าห่มให้หนาขึ้นสักหน่อย หากไม่ติดพนันหรือหยิบยืมคนอื่นไปทั่วตอนนี้พวกเขาคงจะมีกินมีใช้อยู่บ้างแล้ว ไม่ต้องมาลำบากกายใจอยู่แบบนี้
“ตอนนี้อยู่กับแม่...กอดแม่ไปก่อนนะ...”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
คุณชายภูวธรรศในมาดเคร่งขรึมเดินลงมาเข้าต๊อมอาบน้ำอาบท่าหลังเห็นว่าสามแม่ลูกพากันเข้าไปในห้องนอนแล้ว เจ้าของเรือนวางตะเกียงเจ้าพายุไว้บนชั้นปูนก่อ ตักขันราดทำความสะอาดเนื้อตัวที่พึ่งออกไปทำงานมาหมาด ๆ แววตาสีไพฑูรย์คมกริบเหม่อลอยด้วยว่าในหัวกำลังคิดสะระตะถึงบางสิ่งบางอย่าง ก่อนจะผลิยิ้มมุมปากออกมาชวนให้รอยแผลบากบนหน้ากรามยกขึ้น
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์สัตว์แต่ก็หาได้มีหูหางตามชาติกำเนิดด้วยว่าเข้า ‘พิธีซ่อนสังขาร’ ซึ่งเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์มีสถานะไม่ต่างจากพิธีไหว้ครูหรือเจิมหน้าผาก เป็นการปกปิดรูปเดรัจฉานไม่ให้ใครรู้ถึงตัวตน นอกจากจะไม่มีหางให้มาเกะกะแล้วยังสะท้อนถึงผู้มีฐานะดี เพราะข้าวของแต่ละอย่างในพิธีล้วนมีราคา
ชายร่างกำยำเดินกะจะกลับขึ้นเรือนไปผลัดผ้าเข้านอนพลางตวัดหางตาส่องตะเกียงมองไปยังห้องน้อยใต้ถุนเรือน คิดอยู่เพียงครู่แล้วจึงค่อยก้าวเหยียบขั้นบันไดสาวเท้าเข้าห้องนอนของตน
แม้จะซ่อนหูหางไว้แล้วแต่จะเรียกกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่ออยู่ในห้องส่วนตัวบนร่างหนาของชายสักยันต์จึงปรากฏเป็นใบหูสีขาวและหางยาวลายพร้อยสีดำซึ่งกระดิกไปมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเทตัวลงเตียงดีดดิ้นไปมาอย่างไม่รักษามาด พร้อมกรีดร้องอยู่ในใจ
‘วันนี้น้องเปลวก็น่ารักอีกแล้ว!’ ไหนจะเด็ก ๆ วัวน้อยอีก เพราะมีแม่น่ารักแบบนี้อย่างไรล่ะ เด็ก ๆ ถึงได้น่าอุ้มชูตามไปด้วย ถ้ารู้ว่าจะดีใจกับของเล่นจักสานแบบนี้เขาน่าจะเหมามาให้ทั้งร้าน
ตอนวิ่งมาดูลูกด้วยความเป็นห่วงก็น่ารัก ตอนมองเขาอย่างเกรงใจเป็นกังวลก็น่ารัก ไม่ว่าจะมองมุมไหนทำอะไรหรือแค่ยืนหายใจน้องเปลวก็น่ารักไปหมด
ในตอนที่รู้ว่าตัวเองมีโอกาสได้เป็นเจ้าหนี้ของบ้านน้องโคนมเขาก็ตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่าจะรับแม่ลูกสามคนมาดูแลเป็นอย่างดี แต่อย่างไรจะประเจิดประเจ้อมากก็ไม่ได้เดี๋ยวจะหมดความน่าเชื่อถือเอา เขาจึงต้องคอยเก็บอาการสงวนท่าทีไว้
ทีแรกเขาว่าจะไปสุดทางซื้อของมาปรนเปรอทุกสิ่งอย่างอยู่หรอก แต่มันติดตรงที่แม่โคนมเขาระแวงไปเสียหมด ซ้ำที่เขาซื้อของให้เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่อยากได้กลัวว่ามันจะไปเพิ่มหนี้สิน เขาคิดว่าเป็นแบบนี้ต่อไปคงจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด เก๊กท่าเป็นเจ้าหนี้แล้วค่อยตีเนียนซื้อของให้
อย่างไรเจ้าตัวเขาก็มีผัวเป็นตัวเป็นตน เขาไม่อยากเข้าไปทำลายครอบครัวใครหรอก แล้วหากคนอย่างผัวน้องเปลวมาเห็นเขาเป็นแบบนี้คงจะต้องคิดวางแผนชั่วเป็นแน่ อย่างน้อยให้เงินยืมจ่ายหนี้เล็กหนี้น้อยแล้วรวมมาที่เขาคนเดียวโดยไม่คิดดอกเบี้ยเพิ่มเขาว่ามันก็เป็นข้อเสนอที่ดีเกินกว่าจะหาได้จากที่ไหนแล้ว
จะว่าไปขนมที่ซื้อให้วันนี้เด็ก ๆ จะชอบไหมนะ จะกินหมดกันไปหรือยัง แล้วน้องเปลวจะได้กินด้วยหรือเปล่านะ ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องไปแอบดูเสียหน่อย แล้วก็ต้องบอกป้าจำเนียนว่าให้ทำรายการอาหารที่ใส่เนื้อสัตว์เยอะ ๆ เด็กพวกนั้นจะได้โตไว ๆ
จนตอนนี้หูหางสีขาวฟูฟ่องก็ยังคงกระดิกส่ายไปมาอย่างอารมณ์ดีด้วยใบหน้าเปรมปรีดิ์ของคุณชายผู้มากมีเงินทอง หากใครมาเห็นคงคิดว่าผีเข้าเป็นแน่
เฉลิม × ม่วงอีกไม่นานเด็ก ๆ ในการดูแลของเขาก็จะจบการศึกษาจากโรงเรียนประจำที่ส่งไปพระนคร โดยแต่เดิมตัวเขาเป็นเด็กที่มาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และเด็กพวกนั้นก็นับเป็นประหนึ่งน้องชายน้องสาวต่างสายเลือดที่อายุห่างจากเขาไปเยอะโข แต่อย่างไรเขาในฐานะพี่ใหญ่ก็อยากจะหาโอกาสมามอบให้เด็กเหล่านั้น ไม่ต้องให้มาตกระกำลำบากเช่นตัวเองเขาจับพลัดจับผลูจนได้มาทำงานในเครือเหมบำรุงและได้รับความช่วยเหลือจากคุณธรรศโดยการหยิบยืมเงินเพื่อส่งเด็ก ๆ ทั้งหมดเข้าโรงเรียนรวมถึงการบำรุงรักษาสถานรับเลี้ยงที่เขาเติบโตมา ส่วนคนไหนเป็นสุคนธ์ถึงเขาจะไม่สามารถจ้างครูสอนรายบุคคลได้แต่อย่างน้อยก็มีอาจารย์ช่วยกันสอนสั่งดูแลถึงสองคนต่อเด็กห้าสิบกว่าคนมันไม่เชิงว่าเขาเป็นหนี้เจ้านายอย่างคุณภูวธรรศ แต่เป็นเขาเองที่อยากให้เจ้านายหักเงินรายเดือนคืนกลับไป แม้มันจะเล็กน้อยเท่าหยิบมือแต่เขาในตอนนี้ก็คืนมันไปจนหมดแล้ว กระนั้นด้วยบุญคุณที่เจ้านายมอบให้ในตอนที่เขายังไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง ตอนที่ยังคงแต่งตัวซอมซ่อเหมือนหนูข้างถนน เขาจึงตั้งมั่นตั
วันนี้เนื่องจากเป็นวันเรียนจบของลูกเปรมซึ่งเข้าสู่วัยรุ่นอย่างเต็มตัว พ่อเสือจึงลางานละหน้าที่หนึ่งวันสำหรับพาครอบครัวมาทานมื้อค่ำในตัวเมืองซึ่งเป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ นับเป็นเรื่องปกติของที่บ้านที่จะพาเด็ก ๆ มาฉลองในแต่ละช่วงเวลาสำคัญของชีวิตแม้เปรมจะเป็นสุคนธ์ไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนทั่วไปได้อย่างพี่เปี่ยมพี่ปิ่นแต่ก็ถือว่าเรียนจบหลักสูตรตามที่อาจารย์ซึ่งจ้างมาครบหมดแล้วตอนนี้ลูก ๆ ของเขาโตขึ้นกันเร็วเสียน่าใจหายเผลอแป๊บเดียวปิ่นเปี่ยมก็อายุสิบหกเริ่มทำงานช่วยพ่อธรรศกันแล้ว กระนั้นผลลัพธ์กลับออกมาตรงกันข้ามเสียอย่างนั้น กลายเป็นว่าปิ่นที่เคยพูดจาเจื้อยแจ้วนั้นสุขุมขึ้น แต่อย่างไรความมั่นใจในตัวเองที่พ่อธรรศมอบให้ผ่านการใช้เวลาร่วมกันก็ยังคงฝังลึก มีหลายครั้งที่ลูกสาวคนนี้แสดงมุมตลก ๆ ออกมา ในขณะเดียวกันเปี่ยมซึ่งเคยเป็นเด็กขี้อายเมื่อโตเป็นหนุ่มกลับเป็นคนแสดงออกชัดเจนพูดจาเถรตรง และมั่นใจในการพูดมากขึ้นบนโต๊ะอาหาร“เปรมกินอันนี้ไหม เดี๋ยวพี่ตักให้”“กินจ้ะ”ภาพพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวแบบนี้ช่าง
เนื่องจากปิ่นเปี่ยมก็โตขึ้นแล้ว สามีจึงเห็นว่าควรหาพื้นที่ส่วนตัวให้อย่างน้อยก็เป็นห้องนอนเล็ก ๆ ให้ฝึกใช้ชีวิตด้วยตัวเองส่วนเปรมด้วยว่าพึ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนยังคงต้องนอนห้องเดียวกันกับพวกเขาอยู่ แต่ก็มีอยู่หลายวันเหมือนกันที่พวกเราห้าคนมานอนด้วยกัน จะนับเป็นส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้ในตอนนี้ปิ่นเปี่ยมขึ้นป.๒ และก็มีบางวันที่เลิกเรียนกลับมาเย็นเนื่องจากมีกิจกรรมของทางโรงเรียนเขา ในขณะเดียวกันนี่ก็เป็นอีกครั้งที่มีกินเลี้ยงคนงาน ครัวจึงถูกใช้งานอย่างเต็มอัตราโดยมีพี่ม่วงพี่เฉลิมมาช่วยอย่างที่เคยเป็น กว่าจะวางมือจากตะหลิวเช็ดล้างทำความสะอาดพื้นครัวก็ปาไปเกือบหกโมง ลูก ๆ จึงอาบน้ำอาบท่าขึ้นไปทำการบ้านกันก่อนแล้ว ไหนจะได้ยินว่าง่วงเพราะเล่นกีฬามา สงสัยคงต้องขึ้นไปดูน้ำในเหยือกด้านบนเสียหน่อยว่าพอหรือเปล่า“ขอบคุณที่มาช่วยนะจ๊ะพี่ม่วง”“ผมต้องมาช่วยอยู่แล้วครับ”พี่ม่วงมอบยิ้มให้หลังพี่เฉลิมเดินมายกหม้อไปขึ้นท้ายรถ ส่วนพี่ธรรศตอนนี้พึ่งกลับมาจากการออกไปสะสางเรื่องหนี้กับผัวเมียสองคนนั้นนิดหน่อย จะว่าไปหลังจากวันนั้นเขาก็ไม่ได้เห็นหน้าพี่กอบกับคุณ
เนื่องจากเขาสนิทกับพี่ม่วงเป็นทุนเดิมเพราะคุยกันถูกคอถึงเรื่องเด็ก ๆ ที่ได้โอกาสและเงินสนับสนุนจากพี่ธรรศให้ไปเรียนไกลถึงพระนครซึ่งใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าที่นั่นการศึกษายอดเยี่ยมแค่ไหน จนตอนนี้เด็ก ๆ เหล่านั้นก็กลับมาช่วยงานของสามีภายใต้การดูแลของพี่ม่วงพี่หนูตัวเล็กเคยเล่าว่าเด็ก ๆ ตัวสูงกันมาก ซึ่งพอได้มาทำงานร่วมกันเขาจึงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเด็กพวกนั้นก็เป็นที่น่าเอ็นดู รับฟังคำแนะนำ ไหนจะขยันขันแข็งหนักเอาเบาสู้จนมีหลายครั้งที่หากกำไรงาม เขามักจะปันส่วนให้เด็ก ๆ เอาไปกินเลี้ยงหรือไม่ก็เก็บหยอดกระปุกเผื่ออยากจะเอาไปต่อยอดสานฝันเขาอยากหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองจึงเก็บหอมรอมริบเงินเดือนในสมัยที่ยังทำงานประหนึ่งคนใช้ในช่วงเป็นหนี้มาซื้ออุปกรณ์ทำอาหาร และเอาเงินไปจ่ายค่าแผงของพี่ธรรศที่แม้ในเริ่มแรกเจ้าตัวจะอิดออดขอไม่รับแต่เขาก็บอกจุดประสงค์ชัดเจน จนในที่สุดเจ้าพี่ก็ยอมให้กันในช่วงแรกนั้นดำเนินไปได้ด้วยดี แม้มีชะงักไปบ้างเพราะมันคาบเกี่ยวตอนตั้งท้องน้องเปรมแต่สุดท้ายเขาก็พาตัวเองมาขายได้บ้างเป็นบางครั้งบางคราว เพราะพี่ธรรศเอาบทบาทสามีภรรยา
“ใต้ท้องทะเลอุดมไปด้วยชาวเมืองปลา...”ย้อนกลับไปในระยะเวลาก่อนที่เขาจะแต่งงาน มันเป็นช่วงที่กุมภีร์กำลังสอนเด็ก ๆ อ่านหนังสือโดยเริ่มจากการเรียนตัวอักษร สระ วรรณยุกต์ตามมาด้วยการคัดลายมือ และการฝึกอ่านต่าง ๆ โดยนอกจากแบบเรียนแล้ว ก็มีหนังสือภาพหนังสือนิทานที่ชักจูงความสนใจของสองแฝดได้เพราะมีภาพประกอบสวยงามคนเป็นแม่อย่างเปลวเมื่อลูก ๆ หยิบหนังสือมาให้อ่านก่อนนอนมีหรือจะปฏิเสธ ทั้งพี่ธรรศก็ให้การสนับสนุนการเรียนการสอน ออกไปตระเวนหาซื้อหนังสือนิทานมาตั้งไว้สูงชะลูด ไม่รู้ว่าจะอ่านพวกมันจบก่อนเด็กน้อยโตเลยวัยหรือเปล่าในทุกคืนสองแฝดจะทำข้อตกลงเลือกหนังสือนิทานเล่มใหม่หรือเล่มเดิมที่สนใจวิ่งดุ๊ก ๆ เอามาให้แม่วัวอ่าน ยอมรับเลยว่าช่วงเวลาที่ได้ใช้ไปกับลูกในทุกคืนแม้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของวันแต่มันช่างมอบความสุขให้เขามากมายเหลือเกิน และวันนี้เด็ก ๆ ก็เลือกหนังสือนิทานเรื่อง ‘พระราชาใต้มหาสมุทร’ มาให้เขาอ่าน คงเพราะมีหน้าปกวาดแต่งแต้มสีฟ้าสดใสพร้อมเหล่าสัตว์ทะเลหน้าตาแปลก ๆ เต็มไปหมด อ่านไปเรื่อย ๆ เรื่องราวจะกล่าวถึงพระราชาที่เคยสั่งงานทุกค
ในขณะที่พี่ธรรศช่วงนี้ต้องออกไปทำงานต่างจังหวัดเป็นเวลาสามวัน เขาในฐานะที่ไม่ได้ออกไปไหนก็ต้องทำงานบ้านงานเรือน ทั้งเดี๋ยวนี้พี่ธรรศก็มักจะไหว้วานเขาให้ตรวจสอบบัญชีไปก่อนระหว่างรอรับสมัครพนักงานคนใหม่เข้ามา เป็นงานที่หนักเอาการเพราะระหว่างวันเขาต้องคอยดูแลเด็ก ๆ โดยเฉพาะเจ้าเปรมที่ร้องไห้งอแงอยู่แทบจะตลอด บางครั้งก็ร้อนเกิน หนาวเกิน ขับถ่าย หิวข้าว หิวนม แม้จะพยายามทำอาหารรสอ่อนให้ทานแต่ลูกชายคนนี้จนอายุได้สองขวบปีก็ยังต้องเอามาเข้าเต้าบ้างเปลวคิดจะให้ลูกเสือตัวน้อยหัดกินผักตั้งแต่เด็กจะได้ทานอะไรได้หลากหลายเหมือนพี่ ๆ คิดสะระตะไปมาตอนนี้ก็นอนหลับปุ๋ยกันไปหมดสามคน ในที่สุดความวุ่นวายในวันหยุดก็เพลาลงเสียทีคนเป็นแม่อย่างเปลวจึงได้เวลาหาอะไรกินเป็นมื้อเที่ยง แล้วจึงรีบมาเปลี่ยนผ้าปูเตียงประจำเดือนยังห้องพ่อแม่ เขาในตอนนี้ไว้ผมยาวลงมาจนสามารถถักเป็นเปียได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทีแรกด้วยความไม่ชินจึงมีความคิดที่จะตัดสั้นดังเดิม ทว่าก็ทำได้แค่คิดเพราะงานอะไรล้วนยุ่งไปหมด อยู่ไปอยู่มาก็ชินเสียแล้ว*แกร๊ก* เสียงกลอนประตูเปิดออก เปลวที่กำลังวุ่นอย