ตรงหน้าของเฟยอวี่คือแท่นหินทรงกลม ตรงกลางปักไว้ด้วยกระบี่เล่มหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยสนิมและฝุ่นหนาเตอะดูเผิน ๆ แล้วไม่น่าจะมีอะไรพิเศษ แต่มีเพียงเฟยอวี่เท่านั้นที่รู้ถึงที่มาของกระบี่เล่มนี้“กระบี่เพลิงวิญญาณ เมื่อครั้งอดีตได้มีแม่ทัพผู้หนึ่งพ่ายศึก จึงใช้ดวงวิญญาณของตนหล่อหลอมเป็นกระบี่เล่มนี้และมันก็ถูกผนึกไว้เป็นพันปี หากถูกดึงออกมาเมื่อไหร่ โลกจะต้องสั่นสะเทือนเมื่อนั้น ทั้งยังไร้เทียมทาน”เฟยอวี่หยิบน้ำเต้าขวดเล็กจากเอวก่อนจะเปิดฝาแล้วยื่นไปทางกระบี่เล่มนั้น จากนั้นก็มีเลือดสด ๆ ไหลทะลักออกมาราวกับสายน้ำราดรดลงบนตัวกระบี่กระบี่เพลิงวิญญาณดูดกลืนเลือดสดอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดหย่อนราวกับมีชีวิตสนิมบนพื้นผิวค่อย ๆ หลุดร่อนออก ฝุ่นละอองที่เกาะแน่นถูกชะล้างจนเผยประกายแสงเจิดจ้า ร้อนแรงดังตะวันกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงมหาศาลปรากฏขึ้นตรงหน้ากระแสความร้อนที่แผ่พุ่งออกมาทำให้เฟยอวี่ต้องถอยหลังไปหลายก้าว ดวงตาคู่งามจ้องมองมันโดยไม่กะพริบขาของเฟยอวี่สั่นสะท้านเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากคุกเข่าคารวะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกระบี่ที่สามารถปลดปล่อยจิตอำนาจแห่งราชันเช่นนี้ห
เหล่าสาวใช้รีบออกไปเตรียมการทันทียี่สิบนาทีต่อมา กองกำลังลับกลุ่มหนึ่งก็เร่งเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อคุ้มกันเฟยอวี่มุ่งหน้าไปยังสำนักโอสถ……หลายวันต่อมา เย่ซิวก็เดินออกจากห้องลับตนเองเขาเรียนรู้วิชาเวทย์ทรงพลังเพิ่มขึ้นอีกกว่าสิบชนิดผิวกายของเขาเปล่งประกายราวกับหยกเนื้อดีร่างกายแข็งแกร่ง พลังบำเพ็ญลึกล้ำ จิตวิญญาณมั่นคง ไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อยขณะที่เขาออกมาก็พบว่าเซี่ยซิ่วซิ่วและลู่เสวี่ยเอ๋อร์ก็ออกมาด้วยเช่นกันแต่ละคนมีพลังงานไหลเวียนอยู่เต็มเปี่ยม แววตาเปล่งประกายทุกคนต่างก้าวเข้าสู่ระดับสร้างรากฐานปราณขั้นสมบูรณ์แล้วหลังจากถูกเย่ซิวตำหนิไปเมื่อครั้งก่อน พวกเธอทุกคนก็ทุ่มเทบำเพ็ญแบบเอาเป็นเอาตายในที่สุดพวกเธอก็สามารถทำตามที่เย่ซิวกำหนดไว้ได้สำเร็จเมื่อเห็นพวกเธอสามารถมาถึงจุดนี้ได้ เย่ซิวก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมากเขาดึงพวกเธอทั้งหมดมาที่เขตที่พักส่วนตัว แล้วให้พวกเธอนั่งขัดสมาธิบนพื้นเริ่มจากให้เซี่ยซิ่วซิ่วทะลวงเป็นคนแรกเย่ซิวเตรียมโอสถทุกชนิดที่จำเป็นไว้เรียบร้อยแล้วเพียงครึ่งชั่วโมงต่อมา แสงสีทองก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าภายใต้การช่วยเหลือของเขา
เซี่ยซิ่วซิ่วกลืนแก่นพลังกลับเข้าไปในร่าง ก่อนจะพูดขึ้นก่อนใคร “พวกเธอ ตอนบำเพ็ญกันก่อนหน้านี้เคยโดนเขารังแกกันบ้างไหม?”“เคย” ทุกคนตอบพร้อมกันทันทีโดยไม่ได้นัดหมายเซี่ยซิ่วซิ่วหัวเราะคิกคัก “ตอนนี้พวกเราก็ทะลวงเข้าสู่ระดับจินตานกันหมดแล้ว ความสามารถทุกด้านก็ก้าวหน้าไปเยอะ ฉันว่าถ้าเราร่วมมือกันบำเพ็ญกับเขาอีกครั้งก็น่าจะชนะได้สักทีสิน่า”คำพูดนี้สะท้อนความในใจของทุกคนเสียเหลือเกินทุกครั้งที่บำเพ็ญก่อนหน้านี้ เย่ซิวก็มักเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์อยู่เสมอพวกเธอฝันมาตลอดว่าสักวันหนึ่งจะสามารถเอาชนะเขาได้อย่างเด็ดขาดสักครั้งแต่สุดท้าย ทุกครั้งที่ปะทะกับเย่ซิวผู้ซึ่งแทบจะไร้เทียมทาน พวกเธอก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้และต้องยอมแพ้อย่างหมดรูปแต่ตอนนี้ทุกคนทะลวงขั้นพร้อมกัน อีกทั้งพลังของพวกเธอก็เพิ่มขึ้นไปอีกระดับพวกนธอเริ่มรู้สึกว่าโอกาสมาถึงแล้ว และความกระตือรือร้นก็เริ่มพลุ่งพล่านขึ้นในใจเย่ซิวส่ายหัวเบา ๆ เจ้าเด็กพวกนี้ไม่เคยเรียนรู้จากบทเรียนเก่า ๆ เลยจริง ๆดูเหมือนว่าเขาจะต้องมอบบทเรียนที่ลึกซึ้งให้พวกเธออีกสักรอบเสียแล้วขณะที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ เย่ซิวก็เหลือบไปมองด้านนอกก
ยังพูดไม่ทันจบ ฝ่ามือหนัก ๆ ก็ฟาดลงบนใบหน้าอย่างจังคนที่ลงมือไม่ใช่เย่ซิว แต่เป็นเฟยอวี่ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “ใครอนุญาตให้เธอพูดจาไร้มารยาทกับคุณชายเย่ รีบไสหัวออกไปซะ”สาวใช้รู้สึกน้อยใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก จึงได้แต่ก้มหน้าถอยออกไปเงียบ ๆเย่ซิวโบกมือให้หวังซวงออกไปด้วยตอนนี้ในห้องรับรองเหลือเพียงเขากับเฟยอวี่แค่สองคนเท่านั้นเฟยอวี่ก้าวเข้ามาใกล้เย่ซิวอย่างช้า ๆเมื่อเข้ามาใกล้จนถึงระยะที่กลิ่นหอมจากตัวเธอลอยมาแตะจมูกของเย่ซิว มันก็กระตุ้นประสาททุกเส้นของเขาทันทีเฟยอวี่ลดท่าทีลงต่ำ เสียงของเธออ่อนโยนและนุ่มนวล“คุณชายเย่ ฉันยอมรับว่าเมื่อก่อนเป็นความผิดของฉันเองแต่ท่านเป็นคนใจกว้าง อย่าได้ถือสาหญิงสาวตัวเล็ก ๆ อย่างฉันเลยได้ไหมคะ?”เย่ซิวหัวเราะ “เธอเนี่ยนะบอกว่าตัวเองเป็นหญิงสาวตัวเล็ก ๆ”“ก็ตอนนี้ฉันอ่อนแอจริง ๆ นี่นา” เฟยอวี่กระพริบตาเบา ๆดวงตากลมโตเปล่งประกายราวกับส่งสัญญาณบางอย่างไปให้เย่ซิวเสื้อไหล่ของเธอที่ ‘บังเอิญ’ เลื่อนลงจนเผยให้เห็นผิวขาวเนียนน่าหลงใหลจากนั้นเธอก็คุกเข่าลงตรงหน้าเย่ซิว ก่อนจะยื่นมือเล็ก ๆ ออกมานวดขาของเขาอย่างแผ
ในเสี้ยววินาทีที่เย่ซิวจับกระบี่เพลิงวิญญาณไว้ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวอันไร้ขอบเขตพลังกระบี่ที่เต็มไปด้วยความดุดัน มุ่งทะลวงฟ้าทลายดิน พร้อมกับความร้อนแรงที่สามารถเผาทำลายทุกสรรพสิ่งบนโลกแม้แต่ร่างกายที่แข็งแกร่งของเย่ซิวก็ยังรู้สึกว่ามันแทบจะต้านทานไม่ไหวแต่ในวินาทีต่อมา วิญญาณก่อกำเนิดทั้งห้าธาตุในร่างของเขาก็สั่นไหวพลังเพลิงอันมหาศาลจากกระบี่เพลิงวิญญาณถูกดูดกลืนเข้าไปจนหมดสิ้นข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวิญญาณก่อกำเนิดทั้งห้าธาตุก็คือมันสามารถแปลงพลังจากธาตุหนึ่งไปเป็นอีกธาตุหนึ่งได้ไม่ว่าจะเป็นการแปรเปลี่ยนไฟให้กลายเป็นน้ำ ดิน ไม้ หรือพลังธาตุอื่น ๆดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าพลังทั้งห้าธาตุจะสูญเสียความสมดุลต่อให้มีพลังมหาศาลแค่ไหน เย่ซิวก็สามารถรับมันไว้ได้ทั้งหมดเขาถอยหลังไปช้า ๆ แล้วดึงกระบี่เพลิงวิญญาณออกจากร่างของเฟยอวี่จนหมดเฟยอวี่ทรุดตัวลงกับพื้นทันทีด้วยเหงื่อที่ท่วมไปทั้งร่างเมื่อผนึกถูกปลด พลังของเธอก็กลับคืนมาเองตามธรรมชาติเส้นผมที่ถูกเผาจนหมดก็เริ่มงอกขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็วหางทั้งเก้าของเธอก็ปรากฏขึ้นมาโดยที่เธอควบคุมไม่ได้ภา
น่าเสียดาย ความคิดของเธอดี แต่ไม่มีทางเป็นจริงได้เย่ซิวคว้าคอเธอไว้แน่น “เธอเป็นคนเจ้าเล่ห์เกินไป ฉันไว้ใจไม่ได้จริง ๆ”คอของเฟยอวี่ถูกบีบแน่น เธอรับรู้ถึงจิตสังหารจากเย่ซิว เก้าหางที่อยู่ด้านหลังตึงเกร็งตรงแน่วไม่มีทางทำตัวให้น่าสงสารได้อีก เธอฝืนยิ้มก่อนพูดว่า “คุณชายเย่ คุณคิดมากเกินไปแล้ว ต่อหน้าพลังที่เหนือกว่าขนาดนี้ ฉันจะไปก่อเรื่องอะไรได้ล่ะถ้าคุณกลัวว่าฉันจะเล่นตุกติกจริง ๆ ตอนนี้ฉันสามารถประกาศให้โลกรู้ได้เลยว่าประเทศอ่ายเหรินยอมสยบต่อสำนักโอสถโดยสมบูรณ์”ผู้หญิงคนนี้กล้าลงทุนจริง ๆแต่เย่ซิวกลับไม่สนใจการยอมสยบของประเทศอ่ายเหรินเลยสักนิดเขาไม่ได้ปล่อยมือ ซ้ำยังบีบแน่นขึ้นใบหน้าของเฟยอวี้แดงก่ำจนแทบจะระเบิด หายใจแทบไม่ออกตอนนี้เธอไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะต่อต้านเย่ซิวเย่ซิวเห็นว่าโชคชะตาของชาติที่โอบล้อมอยู่รอบตัวเธอยังคงหนาแน่นอยู่ไม่น้อยผู้หญิงคนนี้ก็มีฝีมืออยู่เหมือนกันเดิมที ประเทศอ่ายเหรินถูกเขาทำให้แตกกระจัดกระจายแต่เพียงไม่นาน เธอกลับทำให้พลังโชคชะตาของชาติของประเทศอ่ายเหรินกลับมารวมตัวได้อีกครั้งการเผชิญหน้ากับคนแบบนี้ ต่อให้ฆ่าทิ้งตรง ๆ ก็ยังต้อ
เมื่อสูญเสียระดับพลังไปจนหมดสิ้น ร่างของเฟยอวี่ก็ค่อย ๆ หดตัวลงขนาดร่างกายเล็กลงเรื่อย ๆ จนสุดท้ายกลายเป็นลูกสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กขนาดเท่าฝ่ามือเย่ซิวนั่งยอง ๆ ลงแล้วหิ้วมันขึ้นมาดวงตาของลูกจิ้งจอกตัวน้อยใสบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง มองเย่ซิวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสน"นี่มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าถอยหลังกลับไปสู่ร่างดั้งเดิม?"เย่ซิวส่งพลังจิตเข้าไปตรวจสอบภายในร่างของเธออย่างละเอียดพบว่าตอนนี้เธอไม่มีพลังปีศาจแม้แต่น้อย และจิตวิญญาณก็กลายเป็นเหมือนจิ้งจอกธรรมดาทั่วไปเย่ซิวค้นหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในความทรงจำของตนเอง และไม่นานก็เข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งปีศาจบางตัวที่มีพรสวรรค์สูง หรือมีสายเลือดที่สูงส่งหากได้รับความกระทบกระเทือนหรือบาดเจ็บร้ายแรง อาจเข้าสู่สภาวะปกป้องตัวเองโดยสัญชาตญาณพวกมันจะถอยกลับไปสู่ร่างดั้งเดิมของตนเองเมื่ออยู่ในร่างนี้ บาดแผลทั้งหมดที่ได้รับมาก่อนหน้าจะถูกลบล้างจนหมดสิ้นกระบวนการนี้คล้ายกับการเวียนว่ายตายเกิดในตำนานแม้ว่าจิตวิญญาณยังคงเป็นดวงเดิม แต่ทุกอย่างใน 'ชีวิตก่อน' จะถูกลืมเลือนไปทั้งหมดหลังจากพิจารณาอย่างละเอียด เย่ซิวก็มั่นใจว่าเ
ตอนนี้เป็นเวลายามดึก ท้องฟ้ามีดวงจันทร์เต็มดวงแขวนอยู่สูงลิบเย่ซิวจารึกวิชาอักขระป้องกันรอบห้อง เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันจากนั้นร่างของเขาพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งสู่ดวงจันทร์!อีกครั้งที่เขามาถึงดวงจันทร์ทันทีที่มาถึง เย่ซิวก็เห็นชายคนเดิมที่สวมเกราะและถือหอกยาวในมือเมื่อศัตรูพบหน้ากัน ความโกรธก็พวยพุ่ง ไม่พูดคำใดให้เปลืองเวลา ทั้งสองเข้าห้ำหั่นกันทันทีตู้ม!เย่ซิวเหวี่ยงหมัดออกไปปลายหอกของอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาอย่างดุดันหมัดปะทะกับปลายหอก เย่ซิวมั่นคงราวภูผา ไม่ไหวติงแม้แต่น้อยในขณะที่หอกของชายคนนั้นโค้งงอเป็นเส้นโค้งที่เกินจริงจากนั้นหอกก็ดีดกลับตรงอย่างรุนแรง แรงสะท้อนทำให้ร่างของชายคนนั้นถูกซัดกระเด็นไปไกลกว่าพันเมตรมือที่จับหอกสั่นระริก ดวงตาที่มองเย่ซิวเผยให้เห็นความหวาดหวั่นเย่ซิวแค่นเสียงหัวเราะเย็นชาครั้งก่อนหมอนี่ฉวยโอกาสตอนที่เขายังอยู่แค่ระดับวิญญาณก่อกำเนิด แถมยังอยู่ในสภาพอ่อนแอ ไล่ล่าเขาอย่างไม่ลดละ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เก่งกาจอะไรนักหัวใจของเขาเต้นแรงดั่งฟ้าคำราม โลหิตพลุ่งพล่าน ก้าวเดินราวมังกรคำรามพยัคฆ์คำรน ดึงพลังร่างกายสู่ขีดสุด
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน