เย่ซิวมองผู้หญิงที่ไม่เคยลงรอยกับเขาคนนี้ “ฉันบอกอาจารย์ของเธอไปแล้วนะ จากนี้ไปเธอมีหน้าที่คอยดูแลปรนนิบัติฉันโดยเฉพาะ”“เพ้อเจ้อ ท่านอาจารย์ไม่มีทางยอมในเรื่องแบบนี้แน่นอน” หลินปิงถึงกับสบถด้วยความโกรธ “หลีกไป ฉันจะไปหาท่านอาจารย์เอง”เย่ซิวหยิบตราที่เฉินอิ๋งอิ๋งให้เขาออกมา แล้วโบกให้เธอดูตรงหน้า “นี่เป็นของที่อาจารย์เธอให้ฉันมา เธอน่าจะรู้นะว่ามันหมายถึงอะไร”เมื่อเห็นตรา ร่างของหลินปิงถึงกับสั่นสะท้านจากนั้นก็ร้องกรี๊ดออกมาเสียงแหลม “ไม่มีทาง ไม่มีทางเด็ดขาด ท่านอาจารย์จะยกฉันให้คนเลวแบบนายได้ยังไง”เธอไม่อาจยอมรับความจริงได้เลย“ถอยไป ฉันจะไปถามท่านอาจารย์ให้รู้เรื่อง”อารมณ์ของหลินปิงปะทุขึ้นจนถึงขีดสุด แถมร่างกายยังแผ่จิตสังหารออกมาอย่างชัดเจนแต่ก่อนที่เธอจะได้ลงมือ เสียงของเฉินอิ๋งอิ๋งก็ดังขึ้นข้างหูของเธอ“เขาพูดถูกแล้ว จากนี้ไปเธอต้องคอยปรนนิบัติเขา”สีหน้าของหลินปิงซีดเผือดในทันที ดวงตาเริ่มเอ่อคลอด้วยน้ำตา “ท่านอาจารย์ ทำไมกัน? ทำไมกันล่ะคะ?! ฉันไม่ใช่ลูกศิษย์ที่อาจารย์รักที่สุดเหรอ ทำไมถึงผลักฉันลงไปในนรกแบบนี้”เรื่องนี้สร้างความกระทบกระเทือนให้กับเธออย่างรุ
เฉินอิ๋งอิ๋งเช็ดริมฝีปากเบา ๆ “ถือว่านี่คือคำขอบคุณของฉันก็แล้วกัน ถ้าไม่มีนาย พลังของฉันก็คงไม่มีทางเพิ่มขึ้นได้ขนาดนี้ในเวลาอันสั้นหรอก”ตอนนี้ต่อให้เธอจะกลับไปยังสำนักสหัสราคะโดยไม่ต้องพึ่งแม่ของตัวเอง ก็ยังสามารถเป็นผู้อาวุโสได้ด้วยตัวเองแถมยังไม่ใช่ผู้อาวุโสลำดับล่างอีกด้วยเย่ซิวเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าเฉินอิ๋งอิ๋งจะทำเรื่องแบบนั้นผ่านไปสักพัก เขาจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ ระหว่างเราก็ถือว่าเคลียร์กันแล้วใช่ไหม งั้นฉันไปได้หรือยัง”เฉินอิ๋งอิ๋งยกยิ้มมุมปาก “ขอโทษด้วยนะ นายยังไปไม่ได้ จากนี้ไปนายต้องอยู่ข้างกายฉันตลอดเวลาเพื่อช่วยฉันฝึกฝน”เย่ซิวขมวดคิ้ว “เธอนี่มันคนอกตัญญูชัด ๆ”“ไม่หรอก เมื่อกี้ฉันก็ตอบแทนนายไปแล้วไม่ใช่เหรอ”เย่ซิว “...”โถ่ นี่สินะ จุดที่รออยู่จริง ๆเย่ซิวถึงกับพูดไม่ออกเขาลูบตรงจุดที่เธอตบไปก่อนหน้านี้ จนถึงตอนนี้ยังรู้สึกเจ็บอยู่เลยพลังของผู้หญิงคนนี้ยังเหนือกว่าเขาอยู่ขั้นหนึ่ง ในตอนนี้จะต่อต้านก็ทำไม่ได้แต่ถ้าเย่ซิวทะลวงเข้าสู่ระดับปฐมญาณได้เมื่อไหร่ เขาก็จะสามารถสลัดการควบคุมของเธอได้เช่นกันในเมื่อไม่สามารถต่อต้านได้ในระยะนี้ เย่ซิวก็เล
เมื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สามสำเร็จ วิชาโลกีย์หลอมเซียนก็ยกระดับขึ้นไปอีกขั้นสมดุลระหว่างเขากับเฉินอิ๋งอิ๋งก็พังทลายลงในพริบตา“อ๊า…”เธอร้องเสียงเล็ก ๆ ออกมาอย่างตกใจ รู้สึกได้ว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกแล้วความหวาดกลัวผุดขึ้นมาในใจอย่างมิอาจควบคุมหรือว่าเย่ซิวกำลังใช้วิชาที่ทรงพลังยิ่งกว่าเธอ และจะดูดกลืนพลังบำเพ็ญที่เธอฝึกฝนมานานหลายปีไปทั้งหมด?!แต่ทิศทางของเหตุการณ์กลับไม่ได้เป็นไปตามที่เธอคิดไว้เย่ซิวไม่ได้ดูดกลืนพลังบำเพ็ญหรือพลังชีวิตของเธอ แต่กลับก่อให้เกิดกระแสพลังหมุนเวียนที่แข็งแกร่งมหาศาลขึ้นกระแสพลังนี้โคจรผ่านร่างของทั้งสองคน และทุกครั้งที่โคจรผ่าน พลังของทั้งคู่ก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เฉินอิ๋งอิ๋งเบิกตากว้างด้วยความมึนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ไม่นาน เธอก็ไม่สามารถคิดเรื่องพวกนี้ได้อีกแล้วตอนนี้จิตใจเธอจดจ่ออยู่กับการซึมซับพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างพุ่งพรวดของตนเองเธอไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนเย่ซิวรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งหลังจากที่วิชาโลกีย์หลอมเซียนเข้าสู่ระดับใหม่ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพหรือระดับพลัง ก็ล้วนยกระดับขึ้นทั้งหมดพ
เย่ซิวเข้าใจดีว่าสิ่งที่เธอเตรียมมาทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้เขาทนได้นานขึ้นอีกสักหน่อย แต่เขาเองก็มั่นใจในตัวเองไม่น้อยตามที่เฉินอิ๋งอิ๋งสั่งไว้ เย่ซิวนอนลงบนเตียงที่สร้างจากศิลาสุริยัน ทันใดนั้นก็มีพลังความร้อนไหลซึมเข้าสู่ร่างกายหากได้อยู่บนเตียงเช่นนี้นานพอ ก็จะเป็นผลดีต่อการเพิ่มพูนพลังของตนเองเช่นกันจากนั้นก็เห็นเฉินอิ๋งอิ๋งประสานมือร่ายอาคม และใช้วิชาสุดแกร่งที่เธอฝึกฝนมานานหลายปี หมอกสีชมพูจำนวนมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากรูขุมขนของเธอ ก่อนจะรวมตัวกลายเป็นอักขระโบราณจำนวนนับไม่ถ้วน ห่อหุ้มร่างของเธอเอาไว้แล้วก็…เพียงแค่เริ่มต้น เย่ซิวก็รู้สึกตกตะลึงไม่น้อยวิชาที่เฉินอิ๋งอิ๋งฝึกนั้นช่างทรงพลังเกินคาด ราวกับจะสูบพลังของเขาไปจนหมดสิ้นเพียงชั่วพริบตาเขาไม่อาจชะล่าใจแม้แต่น้อย จึงรีบเร่งหมุนเวียนวิชาโลกีย์หลอมเซียนขึ้นมาต้านทานทันที กลายเป็นแรงต่อต้านที่สมน้ำสมเนื้อกับอีกฝ่ายเฉินอิ๋งอิ๋งเองก็ตกใจไม่น้อย สีหน้าสงบนิ่งในตอนแรกหายวับไปในพริบตา “วิชาอะไรของนาย? ทำไมถึง…” เธอไม่เคยพบเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลยวิชาที่เธอฝึกนั้นเป็นเคล็ดวิชาที่ได้มาจากถ้ำของยอดฝีมือคนหน
เย่ซิวดื่มชาหมดถ้วยแล้ววางลง “ตั้งใจฟังอยู่”“ช่วงแรก ฉันจะดูดซับเพียงพลังหยางบริสุทธิ์และพลังปราณโลหิตอันแข็งแกร่งของพวกเขานำมันเข้ามาในร่างกายเพื่อใช้ในการบำเพ็ญ คนที่จับมาได้ในช่วงหลายปีนี้ล้วนใช้วิธีนี้ในการฝึกฝน”เย่ซิวเผยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นนั่นก็หมายความว่า ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่น่ะสิ ในความคิดของเขา นี่ช่างน่าเหลือเชื่อเจ้าสำนักของสำนักสายบำเพ็ญคู่ที่จริงยังบริสุทธิ์อยู่ เรื่องแบบนี้พูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อแต่พอนึกถึงแม่สาวน้อยหลินปิง เย่ซิวก็พอจะเข้าใจได้บางทีวิชาที่อาจารย์และศิษย์คู่นี้ฝึกฝนอาจจะเป็นวิชาเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากศิษย์ทั่วไป“ส่วนวิธีที่สอง ก็คือการหลอมรวมหยินหยาง”ดวงตาของเย่ซิวเป็นประกาย “ถ้าอย่างนั้น ก็หมายความว่าตอนนี้คุณยัง...”เฉินอิ๋งอิ๋งพยักหน้า ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ใช่ เป็นอย่างที่คุณคาดเดานั่นแหละ”เย่ซิวรู้สึกสนใจขึ้นมา “แล้วคุณเตรียมจะใช้วิธีไหนกับผมล่ะ”แม้ภายนอกจะดูผ่อนคลาย แต่แท้จริงแล้วเขากำลังสั่งสมพลังภายในร่างกายอยู่อย่างต่อเนื่องพร้อมที่จะระเบิดการโจมตีที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินออกมาได้ทุกเมื่อในระยะที่ใก
“ชี่ ๆ ๆ…”ชั่วพริบตาที่มือดุจหยกของเฉินอิ๋งอิ๋งสัมผัสกับภาพร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นมา มือของเธอแดงก่ำและปรากฏรอยไหม้เธอนิ่วหน้าเล็กน้อย บนมือปรากฏหมอกสีชมพูชั้นหนึ่งปกคลุมไว้ แล้วยื่นออกไปคว้าอีกครั้ง“ชี่ ๆ ๆ!”ม่านหมอกนั้นก็ถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็วเช่นกันยิ่งไปกว่านั้น บนภาพร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์ยังเกิดแรงกระแทกอันน่าสะพรึงกลัว ผลักเธอให้ถอยไปเล็กน้อยพร้อมกันนั้นก็มีเสียงเย็นชาดังออกมาจากภาพร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์“เธอไม่มีคุณสมบัติที่จะครอบครองพวกเรา”“ถ้ายังคงบีบคั้นต่อไป พวกเราก็เหลือแค่ทางเดียวคือระเบิดตัวเอง ถึงตอนนั้นต่อให้เธอจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรอดไปโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ไตร่ตรองให้ดี”…… “น่าสนใจ”เฉินอิ๋งอิ๋งดึงมือกลับ ไม่ได้พยายามจะสัมผัสภาพร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์อีกดวงตาที่แฝงไปด้วยพลังอันลึกลับคู่หนึ่งจับจ้องมาที่เย่ซิว “บททดสอบสามด่านผ่านไปแล้ว ตามฉันมา”ร่างของเธอไหววูบ หายไปจากที่นี่ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมพิเศษเป็นสิ่งนำทาง เพื่อให้เย่ซิวตามไปได้เย่ซิวเก็บภาพร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์แล้วตามเธอไปเหาะเหินตามไปตลอดท