พลังงานอันแข็งแกร่งพลุ่งพล่านขึ้นภายในร่างกายอย่างไร้ที่มาวิญญาณก่อกำเนิดหมุนเวียนอย่างบ้าคลั่ง ดูดซับพลังมหาศาลเหล่านี้เข้าไปพลังเหล่านี้มาจากร่างแยกทั้งห้าธาตุเจ้าสำนักทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการบ่มเพาะร่างแยกเหล่านี้ของดีสารพัดถูกนำมาใช้เพียงแค่สองเดือนเท่านั้น ระดับพลังของร่างแยกทั้งห้าก็ทะลุถึงระดับสร้างรากฐานปราณขั้นสมบูรณ์แล้วแน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เย่ซิวเป็นผู้ปลดล็อกมันออกมาตอนนี้ร่างแยกทั้งห้ากำลังแช่อยู่ในบ่อของเหลวที่อัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณเย่ซิวดูดซับพลังเหล่านี้เข้ามา แล้วค่อย ๆ คลายผนึกออกทีละเล็กทีละน้อย……ห่างออกไปจากสำนักอวิ้นหลิงราวห้าถึงหมื่นหกพันลี้ มีอีกหนึ่งสำนักระดับเจ็ดที่ชื่อว่า สำนักปีศาจโลหิตวันหนึ่ง มีสายเลือดเหนียวข้นพลุ่งพล่านพวยพุ่งออกมาจากในสำนัก ดึงดูดความสนใจของเหล่าศิษย์นับไม่ถ้วนทันที“กลิ่นพลังนี้…ศิษย์พี่หญิงหงอีออกจากการปิดด่านแล้ว”“แข็งแกร่งเหลือเกิน นี่ต้องเป็นเพราะเธอฝึกคัมภีร์ปีศาจโลหิตจนลึกซึ้งถึงขั้นสูงแล้วแน่ ๆ ถึงได้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้”“ศิษย์พี่หญิงหงอีช่างแข็งแกร่งนัก เพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่เดือนก็แซงหน้าหลายคน
เย่ซิวคว้าข้อมือของเธอไว้ทันทีแรงที่ใช้ฟาดเมื่อครู่ไม่ได้รุนแรงนัก และไม่ได้ใช้พลังด้วย เป็นเพียงแรงจากร่างกายล้วน ๆเย่ซิวมองใบหน้าที่แสดงความไม่พอใจของเธอ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “อย่าโกรธเลยน่า ผมไม่สนใจจะแต่งงานกับลูกสาวคุณหรอก แต่ถ้าเป็นคุณล่ะก็ ผมสนใจมากทีเดียว”คำพูดประโยคนั้นทำให้จิตสังหารอ่อน ๆ ที่หลัวเวยเวยปล่อยออกมาจางหายไปในพริบตาแรงในมือของเธอหมดลงในทันทีเธอแสร้งโกรธเพื่อปิดบังความสับสนวุ่นวายในใจของตัวเอง “พูดอะไรเพ้อเจ้อแบบนั้น เชื่อไหมว่าฉันสามารถฆ่านายให้ตายตรงนี้ได้เลย”เย่ซิวคลายมือเธอออก แล้วหยิบขวดโอสถออกจากอกเสื้อก่อนจะยื่นให้ “โอสถแบบที่คุณพูดถึงคราวก่อน ผมกลั่นเสร็จแล้ว เอาไปให้เพื่อนของคุณได้เลย”สีหน้าของหลัวเวยเวยเปลี่ยนเป็นยินดีทันทีหลัวเวยเวยรีบคว้าขวดโอสถมาทันที โดยไม่สนใจจะแกล้งทำเป็นโกรธต่อเธอเปิดฝาออกแล้วยกขึ้นดมเบา ๆ ที่ปลายจมูกกลิ่นของมันตรงกับที่บันทึกไว้ในตำราไม่มีผิดแต่พอดูจำนวนด้านใน เธอก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “มีแค่เม็ดเดียวเองเหรอ?”“ให้เพื่อนของคุณลองใช้ดูก่อน ถ้าได้ผลดี ผมจะกลั่นเพิ่มให้ แล้วก็…” จากนั้นน้ำเสียงเย่ซิวก็เปลี่ยนเล็กน้
ภรรยาเจ้าสำนักสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ถึงกลิ่นอายความเป็นชายที่แผ่ออกมาจากตัวเย่ซิว ซึ่งรุนแรงกว่าผู้ชายทั่วไปไม่รู้กี่เท่าทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวโดยไม่มีเหตุผล และยังเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยขึ้นมาในใจเธออยู่ระดับถอดจิตขั้นสมบูรณ์และความห่างชั้นระหว่างเธอกับเย่ซิวก็ไม่ได้ห่างกันมากเท่าไหร่แต่หากต้องประลองกันจริง ๆ เย่ซิวมั่นใจว่าตัวเองสามารถกดเธอไว้ได้แน่ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อยเธออ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เย่ซิวกลับชิงพูดขึ้นก่อน “ก่อนอื่น ผมมีคำถามหนึ่งที่อยากรู้”ภรรยาเจ้าสำนักรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “คำถามอะไร”“คุณชื่ออะไร?”จนถึงตอนนี้ เย่ซิวก็ยังไม่รู้แม้แต่ชื่อของเธอเลยภรรยาเจ้าสำนักแค่นเสียงหึ พร้อมเผยอริมฝีปากแดงเล็กน้อย “เจ้าเด็กบ้านี่ ไม่มีมารยาทเลยนะ ทำไม หรือนายคิดจะเรียกชื่อฉันตรง ๆ ไปตลอดเลยงั้นเหรอ”“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ!” เย่ซิวเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาแฝงแววเอาแต่ใจ จากนั้นก็ดึงเธอเข้ามากอดไว้แน่นในอ้อมแขน “รีบบอกมาสิว่าคุณชื่ออะไร”ภรรยาเจ้าสำนักทั้งโกรธทั้งลนลาน พยายามดิ้นสุดแรงแต่เย่ซิวแรงเยอะมาก สลัดยังไงก็ไม่มีท
เฉินเยียนจือลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นภาพของเย่ซิวกำลังใช้เคล็ดวิชาโลกีย์หลอมเซียนกับตนเองแต่แทนที่จะโกรธ เธอกลับให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ไม่นานนัก อาการมึนเมาก็จางหายไปจนหมดพอได้รู้สึกถึงพลังในร่างที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด เธอก็รู้สึกดีใจอย่างสุดซึ้งในใจของเธอถึงกับคิดขึ้นมาว่าถ้ารู้จักเย่ซิวเร็วกว่านี้สักหน่อย หรือรู้ว่าเขามีความสามารถมหัศจรรย์เช่นนี้หากได้ฝึกกับเขาสักปีหนึ่ง ป่านนี้เธออาจก้าวเข้าสู่ระดับถอดจิตไปแล้วก็ได้หลังจากฝึกเสร็จ เย่ซิวนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบ ๆ แล้วเริ่มกลั่นพลังวิญญาณส่วนเกินในร่างให้มั่นคงการฝึกเพียงครั้งเดียวกลับเทียบเท่ากับการเพิ่มพลังบำเพ็ญถึงร้อยปีส่วนร่างกายของเฉินเยียนจือก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนองที่แตกต่างออกไปเช่นกันไม่อย่างนั้น เธอก็คงไม่มีทางบรรลุถึงระดับวิญญาณก่อกำเนิดได้ภายในเวลาอันสั้นขนาดนี้แม้จะมีแรงส่งจากเย่ซิวช่วยอยู่เบื้องหลังเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะตัวของเฉินเยียนจือเองเธอพิงศีรษะลงบนไหล่ของเย่ซิวอย่างว่าง่าย เส้นผมยุ่งเหยิงเล็กน้อยเธอสูดดมกลิ่นกายของเย่ซิวอย่างเงียบ ๆ ในใจรู้สึกอิ่มเอมและพอใจอย่างล้นเหลือหลังจากเย
เมื่อเห็นว่าเย่ซิวยังคงนิ่งสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ภรรยาเจ้าสำนักก็ถึงกับตกตะลึง ทั้งประหลาดใจทั้งรู้สึกเหลือเชื่อ“อะไรกัน นายยังไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ ฉันไม่เชื่อหรอก วันนี้ฉันต้องล้มนายให้ได้”พูดจบเธอก็ลุกขึ้น และหยิบไหเหล้าใหญ่ออกมาอีกสิบไหเธอแบ่งออกมาห้าไหวางตรงหน้าเย่ซิว ด้วยสีหน้าทะมัดทะแมงเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม “วันนี้ต้องตัดสินแพ้ชนะกันให้ได้”เธอไม่เคยแพ้ใครเรื่องดื่มเหล้ามาก่อนแต่ตอนนี้กลับถูกเด็กหนุ่มอย่างเย่ซิวทิ้งห่าง ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย ต้องเอาคืนให้ได้ถึงจะสาแก่ใจเย่ซิวเองก็ไม่พูดพร่ำให้เสียเวลา ในใจเขาก็เริ่มเกิดแรงกระตุ้นอยากเอาชนะเช่นกันเขาต้องทำให้หญิงสาวผู้ยั่วยวน แถมยังมีรูปร่างงดงามเย้ายวนผู้นี้เมาจนหมดสภาพให้ได้ จะได้รู้ว่าเขาเก่งกาจแค่ไหน“อึก ๆ อึก ๆ…”เหล้าไหแล้วไหเล่าถูกกรอกลงท้องอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดแอลกอฮอล์ยังไม่ทันจะแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เย่ซิวก็ใช้ยุทธวิธีขจัดมันออกไปเสียก่อนส่วนที่มีประโยชน์ก็ถูกร่างกายดูดซึมเข้าไปเสริมความแข็งแกร่ง ขณะที่สิ่งเจือปนทั้งหลายก็ถูกขับออกจากร่างกายในทันทีร่างกายของเย่ซิวนั้นแข็งแกร่งผิดมนุษย์ไ
ภรรยาเจ้าสำนักจัดอาหารเต็มโต๊ะ ทั้งสีสัน กลิ่นหอม และรสชาติดูสมบูรณ์แบบไปหมดเฉินเยียนจือนั่งอยู่ข้างเย่ซิว ส่วนภรรยาเจ้าสำนักนั่งตรงข้ามเขาสถานการณ์แบบนี้ถือเป็นพรจากสวรรค์ที่ชายหนุ่มในสำนักไม่รู้กี่คนฝันถึงแต่ไม่กล้าคิดไกลเลยทีเดียวภรรยาเจ้าสำนักยิ้มละไม ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ลองชิมดูหน่อยสิว่าชอบหรือเปล่า”เย่ซิวหยิบตะเกียบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปาก แล้วเปล่งเสียงชมทันที “ยอดเยี่ยม รสชาติชั้นเลิศ ฝีมือทำอาหารนี้เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับสวรรค์เลยทีเดียวครับ”คำพูดนี้ไม่ใช่การประจบแต่อย่างใด เพราะฝีมือการทำอาหารของเธอดีจริง ๆ ไม่ด้อยไปกว่าฝีมือของเย่ซิวเองเลยเฉินเยียนจือยื่นอาหารให้เย่ซิวไปพลาง ก่อนจะเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอนอยู่แล้ว บอกให้รู้ไว้ด้วยนะ เมื่อก่อนคนตามจีบพ่อฉันเยอะมากเลยล่ะแต่ก็เพราะแม่ฉันทำอาหารเก่งถึงขั้นไร้ที่ตินี่แหละ ถึงได้ฝ่าด่านบรรดาผู้หญิงที่มารุมจีบพ่อฉัน แล้วคว้าหัวใจเขามาได้สำเร็จ”เย่ซิวได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองภรรยาเจ้าสำนักด้วยความแปลกใจ ที่แท้ก็มีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วยสินะแม้ภายนอกภรรยาเจ้าสำนักจะยิ้มแย้มอยู่ แต่ในส่วนลึกของดวงตากลับแฝงไปด้วย
เย่ซิวรู้สึกได้ทันทีว่ามีพลังจากหมู่ดาวที่มองไม่เห็นเหนือท้องฟ้าแผ่ลงมา สัมผัสกระทบยังร่างกายของเขาพลังแห่งเอกภพนี้ไม่เพียงแต่เสริมสร้างร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ยังสามารถขัดเกลาจิตวิญญาณของเขาได้ในระดับหนึ่งอีกด้วยดูเหมือนพลังแห่งเอกภพนี้จะไร้จุดสิ้นสุดอีกด้วยกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือร่างกายของเย่ซิวสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างต่อเนื่องได้ไม่รู้จบด้วยเกล็ดมังกรปฐมกาลที่เขาครอบครองบวกกับพลังแห่งเอกภพนี้ ทำให้เย่ซิวมีหนทางในการแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าคนอื่นถึงสองทางหนึ่งคือช่วยเสริมสร้างร่างกาย อีกหนึ่งคือช่วยเพิ่มระดับพลังบำเพ็ญตอนนี้ต่อให้เขานอนหลับพักผ่อนทั้งวันโดยไม่ทำอะไร พลังของเขาก็ยังคงเพิ่มขึ้นขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่เย่ซิวไม่ใช่คนขี้เกียจตรงกันข้าม เขามุ่งมั่นและขยันฝึกฝนมากกว่าคนทั่วไปเสียด้วยซ้ำด้วยเหตุนี้ อัตราการเติบโตของเขาจึงน่าหวาดกลัวอย่างยิ่งเมื่อดูเวลาแล้ว เย่ซิวก็ออกเดินทางไปหาเฉินเยียนจือภรรยาของเจ้าสำนักได้สั่งผู้ใต้บังคับบัญชาไว้แล้วว่าหากใครพบเย่ซิวให้ปล่อยเข้าไปได้เลยโดยไม่ต้องตรวจสอบอะไร“มาแล้วเหรอ”พอเย่ซิวมาถึงหน้าประตู เฉินเยียนจือก็
เย่ซิวเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง ไม่ได้ปฏิเสธ เพียงพยักหน้าเบา ๆ “ไปเตรียมน้ำก่อนเถอะ”“เจ้าค่ะ รอประเดี๋ยวนะเจ้าคะ”เสี่ยวโหรวรีบวิ่งไปเปิดน้ำอุ่นในห้องน้ำ โรยกลีบดอกไม้ลงในอ่างอาบน้ำจำนวนมาก จากนั้นก็ไปที่ห้องของเย่ซิว เพื่อเลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบายให้เขาชุดหนึ่งครึ่งชั่วโมงต่อมา เย่ซิวก็นอนเอนกายอยู่ในอ่างอาบน้ำเสี่ยวโหรวนั่งยองอยู่ด้านหลังเขา ใช้มือเล็กนุ่มนิ่มทั้งสองข้างค่อย ๆ นวดบ่าให้เขาด้วยแรงกดพอดีไม่เบาไม่แรงเกินไป“เมื่อก่อนเคยเรียนนวดเหรอ?” เย่ซิวเอ่ยถาม“เคยเรียนมานิดหน่อยค่ะ” เสี่ยวโหรวตอบด้วยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย “ท่านแม่เคยให้ข้าเรียนรู้ไว้ บอกว่าหากวันหนึ่งพบอันตราย อย่างน้อยถ้ามีทักษะติดตัวก็จะมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น”เย่ซิวเข้าใจในทันที สิ่งที่เรียกว่าทักษะติดตัวที่เสี่ยวโหรวเอ่ยถึงนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่แค่การนวดเท่านั้นมันรวมไปถึงการเอาใจ และการปรนนิบัติผู้ชายด้วยฝีมือการนวดของเสี่ยวโหรวนั้นดีจริง ๆแค่เพียงนวดไปไม่กี่ครั้งก็ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาได้แล้วเย่ซิวหลับตาพริ้ม ร่างกายที่ผ่านศึกมานับไม่ถ้วนในมิติพิเศษตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เริ่มรู้สึกได้ถึ
“ต่อให้ไปอยู่ในสำนักระดับหก ก็สามารถเป็นศิษย์หลักได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว”……ในพริบตาเดียว เฉินเยียนจือก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกคน เธอเองก็อยากจะบอกเหลือเกินว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะเย่ซิวแต่เพราะคำสาบานด้วยเลือดที่เคยให้ไว้ เธอจึงไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเย่ซิวได้แม้แต่นิดเดียวจึงทำได้เพียงอธิบายออกไปว่าเป็นเพราะโชคดี เลยได้สมบัติสวรรค์อันล้ำค่ามาครอบครองโดยบังเอิญเท่านั้นแน่นอนว่าคนที่ดีใจที่สุดก็ต้องเป็นภรรยาเจ้าสำนัก ลูกสาวของเธอโดดเด่นขนาดนี้ เธอก็มีหน้ามีตาไปด้วยแต่แล้วเธอก็พลันนึกขึ้นได้ “แล้วอู๋ซวงล่ะ ทำไมไม่เห็นเขากลับมาด้วยกันล่ะลูก?”ทันทีที่พูดถึงหนานกงอู๋ซวง สีหน้าของเฉินเยียนจือก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา น้ำเสียงของเธอแข็งกร้าวและเต็มไปด้วยความอาฆาต “เขาตายอยู่ในนั้นแล้วค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสและภรรยาเจ้าสำนักต่างพากันตะลึง“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เขาไปตายอยู่ในนั้นได้ยังไง?!”“รีบบอกพวกเรามาเร็วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง!”เฉินเยียนจือแค่นเสียงเย็นชา “พวกท่านฟังให้ดี เรื่องมันมีอยู่ว่า…”จากนั้นเธอก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นออกมา โดยไม่ม