ดวงตาของเขาเป็นประกายผู้พิทักษ์กระบี่คนนี้ดูแล้วมีพลังแข็งแกร่งมากจากนั้นเธอก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงต่อหน้าเย่ซิว “คารวะนายท่าน”เย่ซิวประคองเธอให้ลุกขึ้นแล้วยิ้ม “เธอมีชื่อหรือยัง”“ไม่มีชื่อเจ้าค่ะ นายท่านช่วยมอบนามให้ด้วย”เย่ซิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เอาอย่างนี้ งั้นต่อจากนี้ไปเธอชื่อเจี้ยนจีแล้วกัน”“ขอบคุณนายท่านที่มอบนามให้”“ตอนนี้พลังของเธออยู่ระดับไหนแล้ว?”น้ำเสียงของเจี้ยนจีเย็นชาราวกับน้ำแข็งไม่ใช่ว่าเธอไม่พอใจอะไรเย่ซิว แต่เป็นเพราะธรรมชาติของเธอเป็นเช่นนั้น“เรียนนายท่าน ตัวตนอย่างพวกเราสามารถแบ่งระดับได้เป็น ต่ำ กลาง สูง สุดยอด และระดับสีทองเนื่องจากโลหิตของนายท่านมีระดับสูงมาก ข้าน้อยจึงเป็นระดับสีทองสูงสุดพลังของข้าน้อยจะเชื่อมโยงกับนายท่าน นายท่านแข็งแกร่งเพียงใด ข้าน้อยก็จะแข็งแกร่งเท่านั้น”เย่ซิวประหลาดใจ ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้แต่สิ่งที่ทำให้เย่ซิวตกใจยิ่งกว่าคือ เจี้ยนจีสามารถหลอมรวมจิตวิญญาณแห่งกระบี่ขึ้นมาได้การหลอมรวมจิตวิญญาณแห่งกระบี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์เท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยวาสนา ความพยายาม และปัจจัยอื่น ๆ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้
เสียงกรีดร้องโหยหวนและเจ็บปวดดังก้องอยู่ในห้องนานกว่าสองชั่วโมง ก่อนจะค่อย ๆ เงียบหายไปจากนั้นเย่ซิวก็สลายค่ายกล แล้วกลับไปนั่งบนเก้าอี้อย่างสงบหลินปิงรีบเผ่นหนีออกไปอย่างลนลานศิษย์หญิงที่อยู่ข้างนอกถึงได้รีบพุ่งเข้ามาเมื่อเห็นเย่ซิวนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีสบาย ๆ พวกเธอก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี“พวกเธอบุกเข้ามาทำอะไร?” เย่ซิวทำท่าทางราวกับว่าเขาเป็นเจ้าของที่นี่ “ออกไปให้หมด”ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบารมีอันน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากตัวเย่ซิว หรือเพราะก่อนที่หลินปิงจะจากไปไม่ได้สั่งให้พวกเธอลงมือกับเขาพวกเธอจึงได้แต่มองหน้ากัน แล้วก็ยอมถอยออกไปอย่างว่าง่ายพร้อมกับปิดประตูให้เรียบร้อยอีกด้านหนึ่ง หลินปิงลากสังขารที่บาดเจ็บของตนมายังสถานที่ที่มีการป้องกันแน่นหนาที่สุดของสำนักศตะบุปผา แล้วคุกเข่าลงที่หน้าประตูใบหน้าของเธออาบไปด้วยน้ำตา “ท่านอาจารย์ โปรดให้ความเป็นธรรมกับศิษย์ด้วย ไอ้คนที่ชื่อเย่ซิวมัน...มัน...”ภายในห้องเงียบสนิท ผ่านไปเนิ่นนานถึงจะมีเสียงเย็นชาดังขึ้นมา“รู้แล้ว ออกไปได้”หลินปิงเงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านอาจารย์ เย่ซิวมันทำกับศิษย์ขนาดนั้น อาจารย์จะปล
ทันใดนั้นเย่ซิวก็ยื่นมือขวาออกไปหาเธอ ในฝ่ามือเกิดแรงดูดมหาศาลร่างของหลินปิงลอยถอยหลังไปอย่างควบคุมไม่ได้ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันทีเธอยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว ร่างก็ตกอยู่ในมือของเย่ซิวแล้วหลินปิงโกรธจัด “คุณจะทำอะไร? ปล่อยฉันนะ!”พูดพลางแส้ยาวก็ปรากฏขึ้นในมืออีกครั้ง เธอตวัดมันกลับหลังฟาดไปยังเย่ซิวอย่างแรงเย่ซิวคว้าแส้นั้นไว้ได้อย่างง่ายดาย ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็แย่งมันมาจากมือของหลินปิงได้ส่วนมืออีกข้างก็บีบเข้าที่ต้นคอเธอ“จู่ ๆ ก็ตีฉันเกินมาเป็นร้อยที แล้วคิดจะจากไปง่าย ๆ แบบนี้เหรอ”“ฉันตีแล้วจะทำไม นายจะทำอะไรฉันได้!” หลินปิงจ้องเย่ซิวเขม็ง “ถ้ากล้าแตะต้องฉันก็ลองดูสิ รับรองว่านายได้เจอดีแน่!”เย่ซิวหัวเราะออกมาเขาไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเธอเลย แต่ผู้หญิงคนนี้กลับลงมืออำมหิต ถือโอกาสล้างแค้นส่วนตัวไม่พอ ยังจะมาอวดดีอีก คิดว่าเขาเป็นพวกยอมคนหรือไง!การยอมอ่อนข้อให้ตลอดไม่ใช่สไตล์ของเย่ซิวเขาโยนแส้ยาวในมือทิ้งไป แล้วใช้มือนั้นคว้าคอเสื้อของหลินปิงไว้ ก่อนจะออกแรงกระชาก“รนหาที่ตาย!”ในดวงตาของหลินปิงปลดปล่อยจิตสังหารที่ท่วมท้นออกมา พยายามดิ้นรนให้หลุดจากการควบค
เย่ซิวจ้องหลินปิงอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ไหนบอกว่าผมเป็นคนที่อาจารย์ของคุณต้องการตัวไม่ใช่เหรอ คุณกล้าทำอะไรผมรึไง?”หลินปิงแค่นเสียงเย็นชา “นี่เป็นคำสั่งของท่านอาจารย์เอง ถ้าคุณอยากจะพบท่าน อยากมีคุณสมบัติพอที่จะปรนนิบัติท่าน ก็ต้องผ่านบททดสอบทั้งสามข้อตามที่ท่านตั้งไว้ให้ได้เสียก่อน”เย่ซิวส่ายหน้า “ผมไม่สนใจจะปรนนิบัติเธอหรอก อันที่จริง ผมไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะได้เจอเธอรึเปล่า”“เรื่องนี้คุณตัดสินใจเองไม่ได้ ท่านอาจารย์บอกไว้ว่าถ้าไม่ผ่านบททดสอบทั้งสามข้อ ก็ไปตายซะ”เย่ซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แล้วบททดสอบแรกคืออะไรล่ะ?”หลินปิงก้มลงมองแส้ในมือของเธอบนพื้นผิวของแส้เส้นนี้เต็มไปด้วยหนามแหลมคมที่สะท้อนแสงเย็นเยียบ“นี่คือสมบัติเวทมนตร์ชั้นเลิศ สร้างขึ้นจากเส้นเอ็นของมังกรเจียวที่มีอายุกว่าหนึ่งพันปีจากนั้นนำไปแช่แข็งในดินแดนที่หนาวเหน็บที่สุดเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี แล้วแช่ในยาพิษนับหมื่นชนิดอีกห้าสิบปีไม่ใช่แค่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อร่างกาย แต่ยังสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อจิตวิญญาณด้วยถ้าคุณทนการเฆี่ยนของฉันได้ครบหนึ่งพันครั้ง ก็ถือว่าคุณผ่านบททดสอบแรก”เย่ซิวพยักหน้าแล้ว
“พลังหยางแกร่งกล้ามาก”“อ๊า ฉันจะเมาอยู่แล้ว ทำไมถึงมีผู้ชายที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ได้นะ อยากได้เขาจัง”“อิจฉาเจ้าสำนักจังเลย จะได้ฝึกวิชากับพี่ชายที่สุดยอดขนาดนี้ ฮือ ๆ ๆ...”……เย่ซิวหน้าเครียดจนหน้าผากขึ้นเป็นเส้น ๆ ผู้หญิงพวกนี้ไม่เคยเห็นผู้ชายหรือยังไงกัน?“พวกเธอยืนทำอะไรกันตรงนี้? ไม่ต้องไปฝึกวิชากันแล้วหรือไง? ไสหัวไปให้หมด!”ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังขึ้นบรรดาผู้หญิงรีบหยุดลวนลามเย่ซิวแล้วแยกย้ายกันออกไปผู้หญิงคนหนึ่งในชุดกระโปรงยาวสีฟ้าน้ำแข็งเดินเข้ามา เธอสูงมาก คาดว่าน่าจะสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ใบหน้าเย็นชาเหมือนน้ำแข็งกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวเธอนั้นเย็นเยียบอย่างยิ่ง ทุกที่ที่เธอเดินผ่าน แม้แต่พื้นดินก็ยังถูกแช่แข็งเป็นน้ำแข็งบาง ๆ“คารวะศิษย์พี่ใหญ่”“สวัสดีค่ะ ศิษย์พี่ใหญ่”……ศิษย์หญิงเหล่านั้น พอเห็นผู้หญิงคนนี้ก็หลีกหนีราวกับเจออสรพิษ“พวกเธอไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง? รีบกลับไปฝึกวิชาของตัวเองซะ!”พวกเธอไม่กล้าโอ้เอ้ รีบแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางก่อนจะไป พวกเธอยังมองเย่ซิวอย่างอาลัยอาวรณ์ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบแบบเย่ซิว พวกเธอไม่เค
ในรถไม่ได้กว้างขวางนักเขาเบียดอยู่กับไป๋เหลียน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีการสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวกันร่างกายของไป๋เหลียนค่อนข้างเย็น รูปร่างของเธอนุ่มนิ่มและไม่หนักเลย คาดว่าน่าจะหนักไม่ถึงสี่สิบห้ากิโลกรัมด้วยซ้ำไป๋เหลียนพิงไหล่ของเย่ซิว เป่าลมหายใจร้อนรดต้นคอของเขาเบา ๆ “พี่เย่คะ อึดอัดไหม? ถ้าอึดอัดก็นั่งบนตักฉันได้นะ”เย่ซิวพูดเรียบ ๆ “เก็บวิชาเสน่หาของคุณไปเถอะ ฝีมือยังไม่ถึงขั้น ใช้กับผมไม่ได้ผลหรอก”ไป๋เหลียนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะปิดปากหัวเราะคิกคัก “พี่เย่ตลกจังเลยค่ะ ฉันไม่เชื่อหรอก คนเขาทั้งสวยทั้งน่ารักขนาดนี้ คุณไม่มีทางทนไหวอยู่แล้ว”มือของเธอก็เริ่มอยู่ไม่สุขทันใดนั้น ร่างของเย่ซิวก็ปล่อยจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวออกมา ทำให้ไป๋เหลียนตัวแข็งทื่อในทันที“ตอนนี้ผมอาจจะยังสู้สำนักศตะบุปผาของพวกคุณไม่ได้ก็จริง แต่ถ้าจะฆ่าคุณละก็...ผมกล้าพอแน่ ไม่เชื่อก็ลองดู”สีหน้าของไป๋เหลียนย่ำแย่ลงอย่างถึงที่สุดเหมยกุยเองก็ไม่กล้าขยับตัวทำอะไรผิดปกติ ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถไปเงียบ ๆ บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมาเป็นเม็ดละเอียดจิตสังหารของผู้ชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้วเมื่อ