เย่ซิวเพียงเอ่ยคำตอบเดียวว่ารอเฉย ๆ ก็พอแล้วเฉินอิ๋งอิ๋งแค่นเสียงหึ และไม่หันไปมองเขาอีกความจริงเธอไม่ได้คาดหวังอะไรจากเขาเลย ทั้งหมดก็แค่ม้าตายก็ต้องจับมารักษาเท่านั้นเองเพียงไม่นานก็ถึงเวลาที่นัดหมายไว้ พระหนุ่มชุดขาวกลับมาอีกครั้งเขาเปิดประตูห้องขัง มองเย่ซิวแล้วเอ่ยว่า “โยมเย่ซิว ถึงเวลาแล้ว ช่วยแสดงผลลัพธ์ของการฝึกฝนให้เห็นหน่อยเถิด”เย่ซิวยิ้มบาง “ท่านอาจารย์จงดูให้ดี และอย่าตกใจก็แล้วกัน”ตูมเย่ซิวตวัดฝ่ามือออกไปหนึ่งครั้งเพื่อแสดงวิชาฝ่ามือวัชระปราบมารออกมาอย่างเต็มพิกัดด้านหลังของเขาปรากฏรูปเคารพพระโพธิสัตว์โกรธเกรี้ยวในสภาพแข็งแกร่งราวของจริงอีกครั้งพระในชุดขาวที่เดิมทีดูสงบนิ่งถึงกับสะดุ้งตกใจ ร้องออกมาด้วยความตะลึงว่า “เป็นไปได้ยังไง?!”แววตาของเย่ซิววาบเย็นเฉียบ ก่อนจะฉวยจังหวะที่อีกฝ่ายเสียสมาธิชั่วขณะ ตัดสินใจเปิดฉากโจมตีอย่างดุดันต่อเนื่องเด็ดขาดตลอดเวลากว่าหนึ่งวันที่ผ่านมา เย่ซิวกลืนโอสถกว่าหนึ่งแสนเม็ด สะสมพลังวิญญาณไว้ในร่างกายจำนวนมหาศาล“ตรึง ๆ ๆ!!”เขาใช้เทพวิชาวาจาศักดิ์สิทธิ์ต่อเนื่องถึงสิบสองครั้ง ทำให้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของพระชุดขาว
“โยมเย่ซิวอยากเดิมพันอย่างไรหรือ?”“ง่ายมาก ท่านถ่ายทอดวิชาฝ่ามือวัชระปราบมารให้ผมถ้าผมฝึกจนสำเร็จได้ภายในสองวัน ท่านต้องปลดตรวนที่ผนึกพลังผมออก แต่ถ้าผมทำไม่ได้ ผมจะยอมเป็นศิษย์ของท่าน คิดว่าไงครับ”“ได้ งั้นก็ตกลงตามนี้”พูดจบ พระหนุ่มก็ใช้ปลายนิ้วชี้แตะไปที่หน้าผากของเย่ซิว จากนั้นก็ถ่ายทอดเนื้อหาทั้งหมดของฝ่ามือวัชระปราบมารให้เขาหลังจากเย่ซิวรับวิชาเสร็จ พระหนุ่มจึงปลดตรวนที่ผนึกพลังของเขา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน“งั้นอีกสองวันข้างหน้า อาตมาจะมาทดสอบผลลัพธ์การฝึกของโยมเย่ซิวอีกครั้ง”“ขอให้ท่านอาจารย์เดินทางโดยสวัสดิภาพ”ไม่นาน ห้องขังก็กลับมาเงียบสงัดห้องขังนี้นอกจากนักโทษแล้วก็ไม่มีพระรูปใดคอยเฝ้าดูแลคาดว่าต่อให้พวกเขาเปิดประตูออกไปได้ ข้างนอกก็คงยังมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ารอรับมืออยู่ จึงไม่จำเป็นต้องห่วงว่าจะมีใครหลบหนีได้เฉินอิ๋งอิ๋งมองเย่ซิวด้วยแววตาเยาะเย้ย “นึกว่านายจะเป็นคนมีฝีมือ ไม่นึกว่าจะเป็นแค่กระดูกอ่อนเท่านั้นเอง”เย่ซิวไม่ใส่ใจคำประชดประชันของเธอ เขาลุกขึ้นแล้วเริ่มฝึกฝ่ามือวัชระปราบมารทันทีพระหนุ่มรูปนั้นเดาผิดเสียแล้วร่างกายของเย่ซิวนั
น่าแปลกใจไม่น้อยที่เฉินอิ๋งอิ๋งก็ขอหมั่นโถวเพิ่มอีกสองลูกเช่นกัน เธอใช้แม่น้ำที่ไหลผ่านมาล้างคราบฝุ่น แล้วค่อย ๆ กัดกินทีละคำเย่ซิวก็เคี้ยวหมั่นโถวแข็ง ๆ ไปพลาง สายตาก็เหลือบมองสำรวจทัศนียภาพรอบข้างไปด้วยเขาไม่เคยมาแถวนี้มาก่อน จึงไม่รู้เลยว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนเมื่อกินเสร็จแล้ว กรงขังนักโทษก็ถูกคลุมด้วยผ้าดำอีกครั้ง แล้วขบวนก็ออกเดินทางต่อไปสุดท้ายพอถึงช่วงเย็น ขบวนก็เดินทางมาถึงวัดร้างทรุดโทรมแห่งหนึ่งทว่าทันทีที่ทุกคนเดินผ่านม่านพลังบาง ๆ เข้าไป ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแท่นวิหารทองเหลืองสว่างไสวเรียงรายอยู่ทั่วบริเวณ พระสงฆ์เดินผ่านไปมานับไม่ถ้วน เสียงระฆังวัดดังไม่ขาดสาย“คารวะท่านเจ้าอาวาส”พระสงฆ์จำนวนมากพากันค้อมกายทำความเคารพต่อหน้าพระหนุ่มรูปงามผู้นำขบวนเขานำตัวเย่ซิวและคนอื่น ๆ ไปคุมขังด้วยตนเองในมือข้างหนึ่งถือบาตรสีทอง ภายในเต็มไปด้วยของเหลวสีทองที่ไม่รู้ว่าคืออะไร อีกมือหนึ่งถือพู่กันเขาใช้ของเหลวสีทองเขียนอักขระลงบนประตูกรงแต่ละบานโดยเริ่มจากกรงนักโทษกรงแรก แสงสีทองแวบผ่าน กรงแต่ละห้องก็แข็งแรงแน่นหนายิ่งขึ้นเหนือกรงแต่ละบานยังมีรูปปั้นพระโพธิ
ขบวนม้ากลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางผ่านพื้นที่รกร้างว่างเปล่าไร้ผู้คนม้าเหล่านี้เป็นม้าวิญญาณที่มีสายเลือดมังกรวารีอยู่เล็กน้อย สามารถเดินทางได้พันลี้ต่อวันพวกมันแต่ละตัวลากจูงกรงนักโทษหนึ่งคันกรงนักโทษเหล่านั้นแบ่งเป็นสิบช่อง ในแต่ละช่องขังนักโทษไว้หนึ่งคนเย่ซิวก็นั่งอยู่ในนั้นด้วยตรงข้ามเขาคือเฉินอิ๋งอิ๋งหญิงสาวคนนี้ทั้งมือและเท้าล้วนถูกใส่โซ่ตรวน ทั่วร่างยังถูกแปะด้วยยันต์วัชระเจ็ดแปดแผ่นเพื่อผนึกพลังทั้งหมดของเธอเอาไว้เย่ซิวเองก็สภาพไม่ต่างกันนักความจริงแล้วเขายังมีวิธีแก้ผนึกในร่างของตัวเองได้เพียงแต่พระหนุ่มคนนั้นซึ่งดูภายนอกเหมือนอายุยังน้อย แต่ที่จริงอายุห้าถึงหกร้อยปีแล้ว มีพลังระดับรวมกายาขั้นสูงหากเขาแสดงพิรุธขึ้นมา เกรงว่าจะถูกลากไปผ่าร่างศึกษาแน่ ๆเย่ซิวมองเฉินอิ๋งอิ๋งที่มีสีหน้าหมองหม่น แล้วเอ่ยอย่างจนปัญญา “เธอไปทำอะไรให้คนเขาแค้นนักหนา? ถึงได้ยกพรรคยกพวกมาจัดการเธอขนาดนี้ แถมยังลากฉันซวยไปด้วยอีก”เฉินอิ๋งอิ๋งเหลือบตามามองเขาแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรจากแววตาของเธอ เย่ซิวจับได้ถึงความหงุดหงิดบางอย่างคาดว่าเธอเองก็คงไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้เหมือน
แม้แต่พระหนุ่มผู้นำกลุ่ม ในดวงตาก็ยังแวบผ่านแววเคลิบเคลิ้มไปชั่วครู่หนึ่ง“นางปีศาจ กล้าดีอย่างไรถึงคิดล่อลวงอาตมา อยากตายนักใช่ไหม!”เขารู้สึกตัวในที่สุด ก่อนจะตวาดออกมาอย่างเกรี้ยวกราดดุจฟ้าคำรามเลือดสด ๆ ซึมออกจากมุมปากเล็กน้อย จากนั้นก็ลงมือด้วยความเดือดดาล“ฝ่ามือวัชระปราบมาร!”ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยพลังอันน่าเกรงขามพุ่งลงมาทางเฉินอิ๋งอิ๋งอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงพุทธมนต์ที่แว่วก้อง กลางฝ่ามือมีอักขระ 卍 หมุนวนไม่หยุด พุทธพลังกลิ้งไหลราวมหาสมุทรใบหน้าเย็นชาเฉินอิ๋งอิ๋งราวน้ำแข็ง ก่อนที่เธอจะเผยพลังระดับรวมกายาขั้นกลางออกมาทันที และพุ่งขึ้นไปปะทะโดยตรงเสียงระเบิดจากทั้งสองฝ่ายสะเทือนเลื่อนลั่นทั่วฟ้าหลินปิงตะโกนเสียงใส “พวกเราทุกคนลุยพร้อมกันกับฉันเลย ให้พวกพระหัวโล้นพวกนี้ได้เห็นถึงความเก่งกาจของพวกเรา!”ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างดุเดือดในทันทีด้านล่าง เย่ซิวเดินออกจากห้องพอดี เขาไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้แน่นอนว่าเขาไม่มีทางช่วยสำนักศตะบุปผาแน่ เพียงแค่มองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความสนใจเท่านั้นเขายังไม่สามารถล่วงเกินทั้งสองฝ่ายได้สำนักวัชระ ก็เป็นสำนักระดั
ตูม!จู่ ๆ ด้านนอกสำนักศตะบุปผาก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมาจากนั้น แสงทองเจิดจ้าก็สาดส่องปกคลุมทั่วทั้งสำนักศตะบุปผาต้นกำเนิดของแสงเหล่านั้นมาจากชายหนุ่มศีรษะโล้นสวมจีวรจำนวนหนึ่ง แต่ละคนยืนลอยตัวอยู่กลางอากาศ ประนมมือ พร้อมกับสวดมนต์เป็นภาษาสันสกฤตโบราณเสียงสวดเหล่านั้นแฝงไว้ด้วยพลังสั่นสะเทือนที่น่าสะพรึง เพียงพริบตาเดียว สำนักศตะบุปผาก็ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงเหล่าศิษย์หญิงส่งเสียงตะโกนพร้อมกับทะยานร่างขึ้นกลางอากาศ เมื่อเห็นกลุ่มคนตรงหน้า สีหน้าของพวกเธอพลันเปลี่ยนไปทันที“คนของสำนักวัชระ”“พวกแกคิดจะทำอะไร?!”……“อะมิตาพุธ”พระหนุ่มรูปงามผิวขาวสะอาดตาที่เป็นผู้นำกลุ่มเปล่งเสียงสวดเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “พวกโยมฝึกวิชามาร ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ เป็นที่รังเกียจของผู้เดินทางธรรม วันนี้พวกเรามาเพื่อปราบมารชำระมวลมนุษย์”“พูดได้น่าฟังดีนี่” หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดูแคลน “พวกแกก็ใช่ว่าจะดีอะไร ออกตระเวนหลอกล่อให้คนเข้าไปเข้าร่วมกับพวกแก ยังจะมีหน้ามาด่าเราอีก”พระรูปนั้นสีหน้านิ่งสงบดุจบ่อน้ำลึก “พวกอาตมาเพียงแต่ชี้นำทางสว่างให้กับผู้มีปัญญาเท่านั้น