“แล้วอย่างที่สอง วันนี้ฉันมีสอบ ฉันส่งข้อสอบก่อนเวลาแล้วก็้เพิ่งจะกลับบ้านมา เป็นยังไง? ฉันเก่งไหม? ชมฉันหน่อยสิ”เย่ซิวเอ่ยตอบเสียงเรียบ “แม้ว่าผมจะอ่อนกว่าคุณ แต่ในด้านนิสัยและความคิด คุณยังห่างไกลจากผมมากเลยนะ”หลัวอีอีนั่งข้างเย่ซิว กลิ่นกายของเธอส่งกลิ่นหอมอบอวลดูเหมือนจะเป็นกลิ่นของสบู่เหลวหรืออาจเป็นกลิ่นตัวของเธอเอง ซึ่งเป็นกลิ่นที่หอมมาก“นายว่า ฉันควรเลือกเรียนคณะอะไรดี?” หลัวอีอีกระพริบตาถาม“ก็ต้องดูว่าคุณชอบอะไรสิ”หลัวอีอีเอ่ยขึ้นว่า “ฉันคิดว่านายพูดถูก ฉันควรพยายามเรียนรู้ให้มากขึ้น เพื่อให้ประชาชนชั้นล่างมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะฉะนั้น ฉันก็เลยตัดสินใจที่จะเดินตามเส้นทางของคุณพ่อกับคุณปู่!”เธอเอ่ยคำพูดนี้อย่างจริงจัง เย่ซิวมองไปที่ดวงตาบริสุทธิ์ของเธอ เหมือนมีแสงไฟที่ส่องประกายในดวงตาลึก “คุณแน่ใจนะ?”หลัวอีอีพยักหน้าอย่างหนักแน่น“ดี ในเมื่อคุณคิดได้แบบนี้ อย่างนั้น ผมก็จะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับคุณ!พูดจบ เย่ซิวก็วางมือหนึ่งไว้ที่ไหล่ของหลัวอีอีทันใดนั้น ใบหน้าของหลัวอีอีก็เริ่มแดงขึ้น ดวงตาของเธอเปล่งประกายเหมือนสายน้ำไหล เธอเอ่ยเบา ๆ “อย่าทำแบบนี้นะ…ในบ
เมื่อสิ่งสกปรกบนร่างกายของเธอถูกน้ำสะอาดชำระล้างออกไป ก็เผยให้เห็นผิวของหลัวอีอีที่เต็มไปด้วยความยืดหยุ่นและความเงางาม เหมือนกับการเกิดใหม่หลัวอีอีมองดูผิวของตัวเองด้วยความตกใจเมื่อใช้มือสัมผัสก็รู้สึกนุ่มนวลจนไม่อยากปล่อยมือ“พระเจ้า นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?”หลัวอีอีรู้สึกตกใจนี่เหมือนกับการเกิดใหม่อีกครั้งเธอยืนอยู่หน้ากระจก มองตัวเองตอนนี้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหล “นี่มันนางฟ้าชัด ๆ ชอบมาก ชอบจริง ๆ”เธอยังคงโพสท่าทางต่าง ๆ ที่หน้ากระจก ยิ่งดูยิ่งชอบ“ฉันนี่สวยมาตั้งแต่เกิดจริง ๆ ถ้าฉันออกไปข้างนอกแบบนี้ มีเหรอพวกหนุ่ม ๆ จะไม่คลั่งไคล้ฉัน…โอ๊ย!!”ทันใดนั้น เธอก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาเพราะมัวแต่หลงระเริงกับความภูมิใจในตนเอง ดังนั้น จึงทำให้เธอเหยียบพลาดและลื่นล้มลง การล้มครั้งนี้ทำให้หลังทั้งแผ่นช้ำไปหมด หลัวอีอีจึงไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้เป็นเวลานานขณะที่อยู่ข้างนอก เย่ซิวได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว จึงลุกขึ้นทันทีและเดินไปที่ห้องของหลัวอีอี เขายืนอยู่หน้าห้องน้ำแล้วเอ่ยถามว่าเธอว่า “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”เสียงของหลัวอีอีสั่นเครือเหมือนกำลังจะร้องไห้ “ฮือ ๆ
หลัวฮุ่ยหมิ่นรู้สึกโกรธเป็นอย่างมากทันทีที่เข้าไปในบ้าน เธอก็เดินตรงไปที่ห้องของหลัวอีอีแกร็ก!เมื่อประตูห้องเปิดออก หลัวฮุ่ยหมิ่นก็ถึงกับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเธอเห็นอะไรน่ะหรือ?เธอเห็นว่าเย่ซิวอยู่กำลังทำ…“พวกเธอทำอะไรกันนะ!”หลัวฮุ่ยหมิ่นกรีดร้องออกมาเสียงดัง ทำให้ชายหญิงในห้องหันมองมาพร้อมกัน“กรี๊ด!”หลัวอีอีก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างดัง ตอนนี้สถานการณ์ที่ถูกอาของเธอเห็นเข้าช่างหน้าอายและอึดอัดสุด ๆ มีเพียงเย่ซิวเท่านั้นที่ยังคงใจเย็น เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบว่า ”เมื่อกี้เธออาบน้ำแล้วลื่นล้ม ผมก็เลยช่วยพยุงเธอออกมา”หลัวฮุ่ยหมิ่นรีบวิ่งเข้ามา และก็เห็นว่าหลังของหลัวอีอีมีรอยช้ำจริง ๆ เธอจึงแอบถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ จากนั้น ก็ผลักเย่ซิวออกไป “เอาล่ะ ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง นายรีบออกไปเถอะ ชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกัน”เย่ซิวเดินออกจากห้องไปหลัวฮุ่ยหมิ่นรีบปิดประตูห้องและเดินไปหาหลัวอีอี พร้อมเอ่ยตำหนิว่า “ทำไมเธอถึงกลับบ้านก่อนเวลา อีกทั้งยังให้ผู้ชายเห็นเรือนร่างของเธอแบบนี้อีก? ถ้าข่าวลือถูกแพร่กระจายออกไป ใครจะกล้ามาขอเธอแต่งงาน?”หลัวอีอีหันไปพูด “เขาไม่
เพียงแค่ตื่นนอนขึ้นมา หวังซงต้องการคนจำนวนมากมาคอยรับใช้มีคนคอยสวมเสื้อผ้าให้ บีบยาสีฟัน หยิบรองเท้าและเตรียมน้ำยาบ้วนปากให้เขาเป็นต้น หลังจากการดำเนินชีวิตที่หรูหรา เขาจึงไปนั่งที่โต๊ะอาหารและเริ่มทานอาหารเช้าราคานับหมื่นบาทข้าง ๆ เขา มีคนรับใช้ยืนอยู่และรายงานสถานการณ์ของแต่ละบริษัทให้เขาฟังตอนนี้ที่หวังซงสนใจมากที่สุดคือบริษัทสตาร์รี่สกายเมื่อได้ยินว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา บริษัทสตาร์รี่สกายดำเนินงานไปได้อย่างราบรื่น สีหน้าของเขาก็พลันมืดมนลง และเขาก็ปล่อยเสียงฮึดฮัดเย็นชาออกมา“หึ! ไอแก่หลัวเฟิง แก่แล้วทำไมไม่ตาย ๆ ไปซะ ทำไมจู่ ๆ ถึงหายดีได้! ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ไอเด็กเย่ซิวนั่น มันคงจบเห่ไปแล้ว!”คนรับใช้ไม่กล้าปริปากพูดอะไรมาก ได้แต่เงียบไว้หวังซงจ้องมองด้วยสายตาเป็นประกาย ทันใดนั้น ความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้น ริมฝีปากแสยะยิ้มเย็นชา “นายคิดว่า ถ้าฉันสั่งให้คนไปใส่ยาพิษในอาหารของพวกคนงานที่ไซต์ก่อสร้างจะเป็นยังไง!”เขาพบว่า ก่อนหน้านี้ตัวเองมุ่งเป้าไปที่เย่ซิวผิดทางไม่จำเป็นต้องเล่นงานกลุ่มบริษัท การโจมตีคนที่อยู่ต่ำกว่าก็ได้ผลเหมือนกันอีกทั้ง การโจมตีคนที่อยู่ต่ำ
หวังซงตะโกนเสียงดังลั่น จนสูญเสียการควบคุมตัวเองไปหลัวเฟิงโบกมือสั่งการ “จับเขาไป!”ในเมื่อจอมยุทธ์เหล่านั้นไม่กล้าลงมือ หวังซงก็ไม่สามารถขัดขืนได้อีกต่อไป มือของเขาถูกจับและถูกคุมตัวขึ้นรถเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วสื่อมวลชนต่าง ๆ รีบพุ่งเข้ามาเหมือนกับฉลามที่ได้กลิ่นคาวเลือดในขณะเดียวกัน พ่อของหวังซงและหวังเฟิงก็ได้รับข่าวสารนั้นทันทีแม้ว่าเขาจะตกใจ แต่ยังสามารถคงความสงบได้อยู่“มีสองเรื่องที่ฉันจะให้พวกแกไปจัดการ เรื่องแรก ไปซื้อสื่อเพื่อกดกระแสข่าวนี้ให้ลดลงซะ ทำให้แน่ใจว่าราคาหุ้นของบริษัทจะไม่ผันผวนมากเกินไป”“เรื่องที่สอง ไปสืบมาให้ได้ว่าใครเป็นคนทรยศลูกชายฉัน ฉันจะทำให้มันแหลกเป็นผุยผงเลยคอยดู!”แม้ว่าหวังเฟิงจะก้าวลงจากตำแหน่งไปแล้ว แต่เส้นสายและอิทธิพลของเขายังคงอยู่ลูกน้องที่ได้รับคำสั่งก็รีบไปดำเนินการทันทีจากนั้น หวังเฟิงก็เริ่มโทรศัพท์ในแวดวงราชการ เขายังมีเส้นสายอยู่อีกมากมายในตอนนี้ ทั้งกลุ่มบริษัทกำลังเผชิญกับวิกฤตหนักเขาไม่สามารถปล่อยเรื่องนี้ไปได้ จึงต้องใช้เส้นสายที่มีอยู่ทั้งหมดหลังจากโทรศัพท์ไปเป็นสิบ ๆ สาย หว
เขาทำการปรุงยาโอสถชีวาอาสัญด้วยวิธีเดิม และให้พี่เฟิงกินเข้าไปทันใดนั้น ก็มีเสียงดังขึ้นทั่วร่างของเขา ร่างกายของเขาพุ่งสูงขึ้นเกือบถึงสองเมตร!ในการเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญสามประการประการแรก กำลังภายในเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ระดับห้าจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบเท่า!ประการที่สอง เส้นพลังลมปราณทั้งแปดในร่างกายทั้งหมดถูกเปิดออก เชื่อมต่อกันเป็นวงจรซึ่งกำลังภายในจะไหลเวียนไม่หยุดและสามารถรองรับการต่อสู้เป็นระยะเวลานานประการที่สาม คือ การถือกำเนิดของพลัง!ซึ่งพลังนั้นมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้แต่มีอยู่จริง พลังที่แข็งแกร่งสามารถทำให้คู่ต่อสู้หวาดกลัวก่อนที่จะสู้ กัน และจะบรรลุผลสำเร็จในการชนะโดยที่ไม่ต้องต่อสู้พี่เฟิงได้ทะลวงระดับแล้ว!แม้ว่าเขาจะมีข้อบกพร่องเมื่อเทียบกับปรมาจารย์ที่ฝึกฝนมาอย่างหนักด้วยตนเองแต่ก็ถือว่าเขาเป็นปรมาจารย์อยู่ดี!มันเป็นระดับที่สามารถบดขยี้จอมยุทธ์ระดับห้าได้!เมื่อสัมผัสถึงพลังที่แข็งแกร่งในตัวเอง พี่เฟิงรู้สึกตื่นเต้นจนพูดไม่ออก“ปรมาจารย์... ฮ่าฮ่าฮ่า... ผมกลายเป็นปรมาจารย์แล้ว...ไม่นึกเลยว่าผมจะมีวันนี้ ขอบคุณเจ้านายที่มอบชีวิตใ
เฉิงเฟิงมีรอยยิ้มพอใจปรากฏอยู่บนใบหน้าก่อนหน้านี้เขามักจะถูกหลิวหยางกดขี่อยู่เสมอแต่วันนี้ ในที่สุดเขาก็สามารถพลิกสถานการณ์ได้เขากดฝ่ามือลงอย่างแรง!แคร่ก! แคร่ก!เสียงกระดูกหักดังต่อเนื่อง ทำให้กระดูกของหลิวหยางถูกบีบแตกเป็นชิ้น ๆ หลิวหยางเจ็บจนเหงื่อเย็นไหลท่วมตัวจากนั้น เฉิงเฟิงก็ปล่อยพลังอันที่น่ากลัวออกมาทันที“ระดับปรมาจารย์!”หลิวหยางตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ “นี่แกเป็นปรมาจารย์จริง ๆ เหรอ!”เขารู้สึกเหมือนหัวของเขามีเสียงดังอื้ออึงนี่เป็นเรื่องราวที่ยากจะเหลื่อเชื่อ เพราะเหตุใดคนที่มีความสามารถต่ำกว่าตน ถึงทะลวงระดับปรมาจารย์ได้ในเวลาอันสั้น?เฉิงเฟิงยกมือขึ้นและรวบรวมกำลังภายในอย่างต่อเนื่อง “เอาล่ะ ตายซะเถอะ!”“เดี๋ยวก่อน” เย่ซิ่วยกมือขึ้นพรางพูด “อย่าเพิ่งฆ่าเขา ถามเขาก่อนว่าเขามีทรัพย์สินทั้งหมดเท่าไหร่”เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามมีความแข็งแกร่งมากกว่าเฉิงเฟิง ดังนั้น คาดว่าทรัพย์สินของเขาน่าจะมากกว่าเฉิงเฟิง“ครับ เจ้านาย!” เฉิงเฟิงหันไปโค้งคำนับเย่ซิว จากนั้นก็ตบไปที่ใบหน้าหลิวหยางหนึ่งครั้ง“บอกมา ถ้ากล้าปกปิดข้อมูลแม้แต่นิดเดียว ฉันฆ่านายแน่!”หากการที่เฉิงเฟิ
ทรัพย์สินของศิษย์น้องหลิวหยางก็มีประมาณแปดถึงเก้าพันล้านไหนจะบวกกับของเฉิงเฟิง เย่ซิวเข้ามาที่เมืองหวู่เพียงไม่กี่วัน ก็สามารถทำกำไรได้มากกว่าสองหมื่นล้านความเร็วในการทำเงินแบบนี้ถือว่าสุดยอดมากส่วนการโอนทรัพย์สินทั้งหมดนั้น มีเฉิงเฟิงเป็นคนช่วยจัดการเย่ซิวติดตามการแถลงข่าวของหลัวเฟิงและหุ้นของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เซิ่งต้าหลังจากที่หลัวเฟิงเปิดเผยหลักฐานต่าง ๆ ทางด้านบริษัทอสังหาริมทรัพย์เซิ่งต้าก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักบริษัทอื่น ๆ ในตลาดก็ฉวยโอกาสเข้ามากดดันบริษัทอสังหาริมทรัพย์เซิ่งต้าอย่างหนักตอนนี้หวังเฟิงกำลังตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เส้นสายที่เขาเคยมีก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่นิดเดียวไม่สิ ควรจะเอ่ยว่าหลัวเฟิงนั้นตัดการติดต่อทุกช่องทาง มีความตั้งใจที่จะสู้จนถึงที่สุดเมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะมีความสามารถมากเพียงใด แต่หากไม่สามารถติดต่อเขาได้ ก็จะไม่มีทางทำอะไรเขาได้“บ้าจริง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้!”หวังเฟิงเดินไปเดินมาในห้อง ตะโกนด้วยความโกรธแม้จะเป็นผู้ที่มีทักษะบ่มเพาะกำลังภายใน แต่ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถสงบสติได้เลยลูกชายถูกจับ บริษัทก็ถูกโจมตี
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน