ตามคำอธิบายของเย่ซิว โครงการนี้สามารถสร้างรายได้ให้เธออย่างน้อยหนึ่งหมื่นล้านบาท หลินซวงจึงตอบตกลง และบอกว่าจะมาเมืองหลวงเพื่อพูดคุยกับเย่ซิวด้วยตนเองหลังจากวางสายโทรศัพท์ แล้วเย่ซิวก็มองไปที่ชายคนที่เดินเข้ามาหาเขาซึ่งรอบตัวแผ่กลิ่นอายอันตราย“ฉันแนะนำให้แกอยู่ให้ห่างจากเธอ!” ชายคนนั้นขู่ "ไม่อย่างนั้นจุดจบของแกจะเลวร้ายอย่างแน่นอน!"เย่ซิวถามอย่างสงสัย "คุณหมายถึงใคร?"“ผู้หญิงคนเมื่อกี้นี้ไง!” เขาพูดอย่างเย็นชา “เธอเป็นของฉัน ใครก็ตามที่กล้าเข้าใกล้เธอจะต้องตาย อย่าหาว่าฉันที่ไม่เตือนแก!”หลังจากพูดอย่างนั้น กลิ่นอายที่ชั่วร้ายอย่างยิ่งก็ปะทุออกมาจากร่างของเขาเมื่อคิดว่าตัวเองข่มขู่ให้เย่ซิวกลัวสำเร็จแล้ว เขาจึงหันหลังกลับและจากไปเย่ซิวส่ายหัวและไม่ได้สนใจมันอีกระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็โทรออกอีกสองสามครั้งเซี่ยซิ่วซิ่วและคนอื่น ๆ ออกเดินทางแล้ว และจะมาถึงสนามบินในตอนเที่ยงวันพรุ่งนี้เฉิงเฟิงจะมาถึงพรุ่งนี้เช่นกัน แต่จะช้ากว่านิดหน่อยเมื่อเวลาหกโมงเย็น เวินหว่านเอ๋อร์ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูบ้านของเย่ซิวตรงเวลา เธอลงจากรถมาทักทายเขาก่อนเมื่อเย่ซิวเห็นชุดของเธอ เขาก็อ
เมื่อเขายืนอยู่เคียงข้างเวินหว่านเอ๋อร์ ถือเป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างลงตัว ทำให้ใคร ๆ ต่างก็รู้สึกอิจฉาพ่อบ้านหนุ่มคนนั้น พาทั้งสองคนขึ้นไปที่ชั้นบนสุด เสิร์ฟของว่างและผลไม้ จากนั้นโค้งคำนับแล้วถอยออกไปเวินหว่านเอ๋อร์หยิบองุ่นขึ้นมา ปอกเปลือกยื่นไปที่ปากของเย่ซิว เธอดูอ่อนโยนอย่างมากบ่ายวันนี้ เธอฝึกครึ่งแรกของฝ่ามือมหาวัชระที่เย่ซิวสอนที่บ้านวิชาสายนอกอันทรงพลังนี้เหมาะกับเธอเป็นอย่างมาก หลังจากฝึกแค่สองสามครั้ง ความแข็งแกร่งของเธอก็เพิ่มขึ้นมหาศาลหลังจากที่ได้เห็นผลลัพธ์ของทักษะฝ่ามือนี้ด้วยตัวเองแล้ว เธอก็คาดหวังครึ่งหลังของมันมากดังนั้น นอกจากเรือนร่างของเธอเองแล้ว เวินหว่านเอ๋อร์จึงตัดสินใจใช้ทุกสิ่งที่ตัวเองมีเพื่อรับใช้คนตรงหน้า เพื่อที่เธอจะได้รับทักษะที่เหลือนี้มาฝึกโดยเร็วที่สุดเย่ซิวกินองุ่นในคำเดียว กวาดสายตามองไปรอบ ๆ และยกมุมปากขึ้น "ยังไม่มากันเลยแฮะ หรือกำลังเตรียมข่มขู่ฉันอยู่?"เวินหว่านเอ๋อร์พูดว่า "คุณชาย โปรดอย่าโกรธไปเลยค่ะ”“หอการค้าไป๋ชวนนั้นน่าสะพรึงกลัวมาก ความมั่งคั่งของสมาชิกทุกคนไม่ได้ด้อยไปกว่าความมั่งคั่งของประเทศขนาดกลางประเทศหนึ่งสักนิด”
เวินหว่านเอ๋อร์รู้สึกซาบซึ้งใจในตัวเย่ซิวมากเขาไม่ได้มองเธอว่าเป็นทาสหรือคนรับใช้ของเขาเลยจริง ๆอุปนิสัยของเธอคือ คุณเคารพฉันหนึ่งคืบ ฉันก็จะเคารพคุณกลับหนึ่งศอกยกมือขึ้นไปกระตุกแขนเสื้อของเย่ซิวเบา ๆ จากนั้นกระซิบเสียงเบาว่า "คุณชายคะ ไม่เป็นไรหรอก ฉันยืนได้"เย่ซิวตบหลังมือของเธอเบา ๆ แล้วมองตรงไปที่ชายที่กำลังคุกคามเขา “ถ้าคุณไม่ยอมให้เธอนั่งลง งั้นวันนี้ผมจะหักขาทั้งสองข้างของคุณทิ้งซะ!"คนเหล่านี้ตั้งใจมาสาย พวกเขาแค่อยากจะใช้วิธีนี้แสดงถึงอำนาจของตัวเอง เพื่อให้ได้เปรียบในการเจรจาไม่ใช่เหรอ?ถ้าเขาไม่ทำอะไรเลย ในแง่ของอำนาจ จะกลายเป็นว่าด้อยกว่าพวกเขาในทันทีชายคนนั้นมองเย่ซิวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ทั้งคู่ไม่มีใครยอมใคร“พอแล้ว” กระทั่งบรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้น จู่ ๆ ชายที่อายุมากที่สุดในกลุ่มก็พูดขึ้นว่า “ทุกคนสามัคคีกันไว้ดีที่สุด ใครก็ได้ ไปยกเก้าอี้มาเพิ่มอีกตัวหนึ่ง”เมื่อชายชราคนนี้เข้ามาแทรกแซง ความขัดแย้งพลันก็ถูกแก้ไขมีคนยกเก้าอี้เข้ามา เวินหว่านเอ๋อร์จึงนั่งลงข้าง ๆ เย่ซิว มองไปที่เขาด้วยสายตาที่ยากจะอธิบายได้ผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ มองเวินหว่านเอ๋อร์อย
ขณะที่สติของเธอเริ่มไม่ชัดเจนแล้ว และกำลังภายในไม่สามารถกดฤทธิ์ของแอลกอฮอล์และยาในร่างกายได้อีกชายชราทั้งหกคนนี้ก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เป็นเหมือนกับพยัคฆ์ฉีกยิ้มที่สามารถฆ่าคนให้ตายอย่างไร้ซุ่มเสียงเห็นว่าเธอกำลังจะดื่มอีกครั้ง เย่ซิวก็ลุกขึ้นแล้วผลักเธอลง "เธอพักเถอะ ฉันต่อเอง"เขาปลดปล่อยกำลังภายในเข้าไปในร่างของเธอแล้วขับสิ่งผิดปกติในร่างของเวินหว่านเอ๋อร์ออกไปอย่างเงียบ ๆประหนึ่งถูกน้ำเย็นรดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทันใดนั้นเธอก็ตื่นตัวมากยิ่งขึ้นอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ถูกเย่ซิวหยุดไว้ "พักเถอะ"เขามองไปที่สุนัขจิ้งจอกเฒ่าทั้งหกด้วยท่าทางสงบ และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม "พวกคุณกล้าดื่มกับผมไหมล่ะ ผมดื่มแก้วใหญ่ ส่วนพวกคุณครึ่งแก้วก็พอ"เขาตัดสินใจแล้วที่จะให้บทเรียนแก่ชายชราทั้งหกคนนี้ทั้งหกคนมองหน้ากัน และพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัวพวกเขาล้วนมองออกว่าเย่ซิวเป็นม้าพยศที่ปราบให้เชื่องไม่ได้ง่าย ๆถ้าคุณคิดที่จะกำราบให้มันเชื่อฟัง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องลบคมเขี้ยวของมันให้ทื่อก่อน หลิวหั่วหัวเราะเบา ๆ และพูดขึ้นว่า "ถ้าอย่างนั้น ฉันจะเริ่มเป็นคนแรก"เขาปรบมือ ก็มีคนข้างในยกไวน์หลายส
เย่ซิวเหลือบมองผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หานเฟิงเธอดูอ่อนโยนและเหมือนจะว่าง่าย ผิวขาวผ่องดั่งหิมะ และมีดวงตาฉ่ำน้ำถ้าอยู่บนเตียง คงให้อารมณ์ที่แตกต่างออกไปไม่น้อยทีเดียวแต่เย่ซิวส่ายหัว "คู่ควงหญิงของคุณเทียบกับของผมไม่ได้ ไม่ว่าจะเรื่องหน้าตาหรือบุคลิก"หานเฟิงมองไปที่เวินหว่านเอ๋อร์ซึ่งยังคงหน้าแดงอยู่ ท่าทางหญิงสาวเหมือนกำลังรอให้คนไปครอบครองนี่เป็นความงามที่หาได้ยากอย่างแท้จริง ขนาดด้วยสถานะของเขา ความงามระดับนี้เองเขาก็ยังเล่นผ่านมือมาไม่มากนัก“งั้นฉันเพิ่มเงินให้อีกหนึ่งหมื่นล้านบาท”เขาไม่คิดว่าเย่ซิวจะดื่มได้มากกว่านี้แล้วเย่ซิวยิ้ม "ตกลง!"ตอนนี้เขาขาดเงินอยู่พอดี การสร้างสวนยาเป็นเหมือนหลุมดำไร้ก้น เขาจึงไม่รังเกียจเลยว่าจะเงินจะมากขึ้นกว่านี้การแข่งขันเริ่มต้นอีกครั้งเย่ซิวดื่มหนักมาก และไม่ให้โอกาสหานเฟิงได้หยุดพักหายใจ เขาดื่มไปขวดแล้วขวดเล่า ซึ่งทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องตะลึงอ้าปากค้างโดยเฉพาะคู่ควงหญิงไม่กี่คนพวกนั้น เมื่อเห็นชายที่กล้าหาญองอาจแบบนี้ พวกเธอก็อดไม่ได้ที่เธอรู้สึกหวั่นไหว “อ้วก!!”หานเฟิงอาเจียนออกมาในที่สุด แต่เขาไม่ได้อาเจียนใส่คู่คว
สำหรับเขาแล้ว เย่ซิวได้อยู่ในสายตาสักนิดฉีตังกั๋วหัวเราะเบา ๆ และสั่งให้คนนำโต๊ะเสริมเข้ามาหลังจากที่เขานั่งลง ฉีตังกั๋วก็พูดกับเย่ซิวว่า “นี่คือสวีอิงที่เพิ่งกลับมาจากประเทศจ้านอิงตี้”“เด็กคนนี้น่าทึ่งมาก เขาเริ่มต้นกิจการด้วยสองมือเปล่า และในเวลาเพียงห้าปี เขาก็กลายเป็นหนึ่งในสิบคนที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศจ้านอิงตี้แล้ว”“กลับมาคราวนี้ จะเน้นกลับมาตั้งตัวในประเทศแล้ว”เย่ซิวยังคงไม่พูดอะไร มองทุกอย่างอย่างเงียบ ๆ อยากจะดูว่าสุนัขจิ้งจอกเฒ่าเหล่านี้คิดจะทำอะไรกันแน่สวีอิงพูดอย่างสุภาพว่า "ชมกันเกินไปแล้วครับ อยู่ต่อหน้าคุณ ผมไม่นับว่าเป็นอะไรทั้งนั้น"สมาชิกทั้งหกคนของหอการค้าต่างก็พึงพอใจกับสวีอิงมากเมื่อเทียบกับทัศนคติที่แสนพยศของเย่ซิว สวีอิงนั้นทั้งถ่อมตัวและสุภาพฉีตังกั๋วพูดว่า "ฉันรู้ดีว่าความสามารถของนายนั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน เพราะฉะนั้นไม่ต้องสุภาพมากเกินไปนักหรอก"จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่เย่ซิว "นี่คือเย่ซิว พวกนายทำความรู้จักกันไว้สิ"“อืม” สวีอิงเพียงพยักหน้าให้เย่ซิวชนิดที่แทบจะมองไม่ออกเมื่อพิจารณาจากคำพูดและท่าทางของเขา ดูออกว่าเขาไม่เห็นเย่ซิวอยู่ในสายตาเลย
เปลือกตาของผู้หญิงคนนั้นตกลง และเสียงของเธอก็แผ่วเบามาก "ได้โปรดให้ทางรอดแก่ฉันด้วยเถอะนะคะ ถ้าฉันไม่กลับไปกับคุณในคืนนี้ จะต้องเกิดเรื่องขึ้นกับที่บ้านของฉันและบ้านสามีฉันอย่างแน่นอนและฉัน มีโอกาสสูงมากที่จะตาย”“โอ้?” เย่ซิวถามอย่างสงสัย “อธิบายมาให้ฟังหน่อยสิ”“นี่คือกฎค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นก้มศีรษะลงอีกเล็กน้อย "ครอบครัวสามีของฉัน ใช้ความพยายามอย่างมากในการส่งฉันมาเพื่อรับความโปรดปรานจากคุณหาน... "หลังจากได้ยินคำอธิบายของผู้หญิงคนนี้แล้ว เย่ซิวก็หัวเราะเยาะที่แท้เธอก็เพิ่งจะแต่งงานเมื่อวานนี้แต่สามีของเธอยังไม่ได้แตะต้องเธอเลย เธอยังคงเป็นสาวพรหมจรรย์ครบถ้วนเหตุผลในการทำเช่นนี้ก็เพราะหานเฟิงชอบภรรยาของคนอื่น และครอบครัวสามีของผู้หญิงคนนี้เองก็มีเจตนาที่จะประจบประแจงเขา“งั้นไปกันเถอะ ขึ้นรถ”ผู้หญิงคนนั้นแสดงสีหน้าขอบคุณหลังจากขึ้นรถแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็นั่งลงอย่างเชื่อฟัง ดูเขินอายเล็กน้อยหากมองใกล้ ๆ จะเห็นว่าเธอดูสง่างามและอ่อนหวานมาก ระหว่างคิ้วของเธอให้อารมณ์ของสาวจากเจียงหนานที่จะดูโศกเศร้าเล็กน้อยถ้าเพิ่มสถานะเป็นภรรยา ก็จะยิ่งดึงดูดความสนใจของคนที่มีรสนิยมพิเ
“เธอต้องรับสิ่งนี้ไว้ เพราะมันเป็นสินสอดในอนาคตที่ฉันจะมอบให้กับเธอ!”หลิ่วเมิ่งอิ๋นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เธอก้มหน้างุด ไม่กล้ามองเย่ซิวและได้แต่พูดอึก ๆ อัก ๆ ว่า "พี่ชาย...คุณ...คุณกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ..."เย่ซิวยกแขนข้างหนึ่งขึ้นโอบไหล่ของหลิ่วเมิ่งอิ๋น และอีกข้างโอบไหล่ของเซี่ยซิ่วซิ่ว "พวกเธอทั้งคู่เป็นผู้หญิงของผม ใครก็หนีไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!"น้ำเสียงนั้นครอบงำอย่างมาก แต่หญิงสาวทั้งสองกลับมีความสุขมากเมื่อได้ยินเช่นนี้นี่ถือเป็นคำสัญญาของเย่ซิวที่ให้ต่อพวกเธอทั้งสองคนแทนที่จะกลับบ้าน เขาพาพวกเธอไปที่บริษัทโดยตรงณ ใจกลางเมืองของเมืองหลวง สถานที่นี้มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากอาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มาเยือน หลิ่วเมิ่งอิ๋นจึงตกตะลึงมากมีอาคารหลายแห่งที่เธอเคยเห็นผ่านทางโทรทัศน์เท่านั้น“นั่นคือตึกอวิ๋นติ่ง ได้ข่าวว่าค่าเช่าเดือนละหนึ่งพันล้านเลย จริงไหม?”เย่ซิวยิ้มและพูดว่า "น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่อาคารนั้นตอนนี้เป็นของฉันแล้ว"หลิ่วเมิ่งอิ๋นอุทาน ดวงตาโตของเธอเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่โลภเย่ซิวจับมือของพวกเธอแล้วเดินเข้าไป
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน