เย่ซิวเหลือบมองผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หานเฟิงเธอดูอ่อนโยนและเหมือนจะว่าง่าย ผิวขาวผ่องดั่งหิมะ และมีดวงตาฉ่ำน้ำถ้าอยู่บนเตียง คงให้อารมณ์ที่แตกต่างออกไปไม่น้อยทีเดียวแต่เย่ซิวส่ายหัว "คู่ควงหญิงของคุณเทียบกับของผมไม่ได้ ไม่ว่าจะเรื่องหน้าตาหรือบุคลิก"หานเฟิงมองไปที่เวินหว่านเอ๋อร์ซึ่งยังคงหน้าแดงอยู่ ท่าทางหญิงสาวเหมือนกำลังรอให้คนไปครอบครองนี่เป็นความงามที่หาได้ยากอย่างแท้จริง ขนาดด้วยสถานะของเขา ความงามระดับนี้เองเขาก็ยังเล่นผ่านมือมาไม่มากนัก“งั้นฉันเพิ่มเงินให้อีกหนึ่งหมื่นล้านบาท”เขาไม่คิดว่าเย่ซิวจะดื่มได้มากกว่านี้แล้วเย่ซิวยิ้ม "ตกลง!"ตอนนี้เขาขาดเงินอยู่พอดี การสร้างสวนยาเป็นเหมือนหลุมดำไร้ก้น เขาจึงไม่รังเกียจเลยว่าจะเงินจะมากขึ้นกว่านี้การแข่งขันเริ่มต้นอีกครั้งเย่ซิวดื่มหนักมาก และไม่ให้โอกาสหานเฟิงได้หยุดพักหายใจ เขาดื่มไปขวดแล้วขวดเล่า ซึ่งทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องตะลึงอ้าปากค้างโดยเฉพาะคู่ควงหญิงไม่กี่คนพวกนั้น เมื่อเห็นชายที่กล้าหาญองอาจแบบนี้ พวกเธอก็อดไม่ได้ที่เธอรู้สึกหวั่นไหว “อ้วก!!”หานเฟิงอาเจียนออกมาในที่สุด แต่เขาไม่ได้อาเจียนใส่คู่คว
สำหรับเขาแล้ว เย่ซิวได้อยู่ในสายตาสักนิดฉีตังกั๋วหัวเราะเบา ๆ และสั่งให้คนนำโต๊ะเสริมเข้ามาหลังจากที่เขานั่งลง ฉีตังกั๋วก็พูดกับเย่ซิวว่า “นี่คือสวีอิงที่เพิ่งกลับมาจากประเทศจ้านอิงตี้”“เด็กคนนี้น่าทึ่งมาก เขาเริ่มต้นกิจการด้วยสองมือเปล่า และในเวลาเพียงห้าปี เขาก็กลายเป็นหนึ่งในสิบคนที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศจ้านอิงตี้แล้ว”“กลับมาคราวนี้ จะเน้นกลับมาตั้งตัวในประเทศแล้ว”เย่ซิวยังคงไม่พูดอะไร มองทุกอย่างอย่างเงียบ ๆ อยากจะดูว่าสุนัขจิ้งจอกเฒ่าเหล่านี้คิดจะทำอะไรกันแน่สวีอิงพูดอย่างสุภาพว่า "ชมกันเกินไปแล้วครับ อยู่ต่อหน้าคุณ ผมไม่นับว่าเป็นอะไรทั้งนั้น"สมาชิกทั้งหกคนของหอการค้าต่างก็พึงพอใจกับสวีอิงมากเมื่อเทียบกับทัศนคติที่แสนพยศของเย่ซิว สวีอิงนั้นทั้งถ่อมตัวและสุภาพฉีตังกั๋วพูดว่า "ฉันรู้ดีว่าความสามารถของนายนั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน เพราะฉะนั้นไม่ต้องสุภาพมากเกินไปนักหรอก"จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่เย่ซิว "นี่คือเย่ซิว พวกนายทำความรู้จักกันไว้สิ"“อืม” สวีอิงเพียงพยักหน้าให้เย่ซิวชนิดที่แทบจะมองไม่ออกเมื่อพิจารณาจากคำพูดและท่าทางของเขา ดูออกว่าเขาไม่เห็นเย่ซิวอยู่ในสายตาเลย
เปลือกตาของผู้หญิงคนนั้นตกลง และเสียงของเธอก็แผ่วเบามาก "ได้โปรดให้ทางรอดแก่ฉันด้วยเถอะนะคะ ถ้าฉันไม่กลับไปกับคุณในคืนนี้ จะต้องเกิดเรื่องขึ้นกับที่บ้านของฉันและบ้านสามีฉันอย่างแน่นอนและฉัน มีโอกาสสูงมากที่จะตาย”“โอ้?” เย่ซิวถามอย่างสงสัย “อธิบายมาให้ฟังหน่อยสิ”“นี่คือกฎค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นก้มศีรษะลงอีกเล็กน้อย "ครอบครัวสามีของฉัน ใช้ความพยายามอย่างมากในการส่งฉันมาเพื่อรับความโปรดปรานจากคุณหาน... "หลังจากได้ยินคำอธิบายของผู้หญิงคนนี้แล้ว เย่ซิวก็หัวเราะเยาะที่แท้เธอก็เพิ่งจะแต่งงานเมื่อวานนี้แต่สามีของเธอยังไม่ได้แตะต้องเธอเลย เธอยังคงเป็นสาวพรหมจรรย์ครบถ้วนเหตุผลในการทำเช่นนี้ก็เพราะหานเฟิงชอบภรรยาของคนอื่น และครอบครัวสามีของผู้หญิงคนนี้เองก็มีเจตนาที่จะประจบประแจงเขา“งั้นไปกันเถอะ ขึ้นรถ”ผู้หญิงคนนั้นแสดงสีหน้าขอบคุณหลังจากขึ้นรถแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็นั่งลงอย่างเชื่อฟัง ดูเขินอายเล็กน้อยหากมองใกล้ ๆ จะเห็นว่าเธอดูสง่างามและอ่อนหวานมาก ระหว่างคิ้วของเธอให้อารมณ์ของสาวจากเจียงหนานที่จะดูโศกเศร้าเล็กน้อยถ้าเพิ่มสถานะเป็นภรรยา ก็จะยิ่งดึงดูดความสนใจของคนที่มีรสนิยมพิเ
“เธอต้องรับสิ่งนี้ไว้ เพราะมันเป็นสินสอดในอนาคตที่ฉันจะมอบให้กับเธอ!”หลิ่วเมิ่งอิ๋นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เธอก้มหน้างุด ไม่กล้ามองเย่ซิวและได้แต่พูดอึก ๆ อัก ๆ ว่า "พี่ชาย...คุณ...คุณกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ..."เย่ซิวยกแขนข้างหนึ่งขึ้นโอบไหล่ของหลิ่วเมิ่งอิ๋น และอีกข้างโอบไหล่ของเซี่ยซิ่วซิ่ว "พวกเธอทั้งคู่เป็นผู้หญิงของผม ใครก็หนีไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!"น้ำเสียงนั้นครอบงำอย่างมาก แต่หญิงสาวทั้งสองกลับมีความสุขมากเมื่อได้ยินเช่นนี้นี่ถือเป็นคำสัญญาของเย่ซิวที่ให้ต่อพวกเธอทั้งสองคนแทนที่จะกลับบ้าน เขาพาพวกเธอไปที่บริษัทโดยตรงณ ใจกลางเมืองของเมืองหลวง สถานที่นี้มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากอาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มาเยือน หลิ่วเมิ่งอิ๋นจึงตกตะลึงมากมีอาคารหลายแห่งที่เธอเคยเห็นผ่านทางโทรทัศน์เท่านั้น“นั่นคือตึกอวิ๋นติ่ง ได้ข่าวว่าค่าเช่าเดือนละหนึ่งพันล้านเลย จริงไหม?”เย่ซิวยิ้มและพูดว่า "น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่อาคารนั้นตอนนี้เป็นของฉันแล้ว"หลิ่วเมิ่งอิ๋นอุทาน ดวงตาโตของเธอเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่โลภเย่ซิวจับมือของพวกเธอแล้วเดินเข้าไป
ไม่ว่าเจ้านายคนใหม่ที่เข้ามาจะเป็นใคร พวกเขาก็ล้วนต่อต้านทั้งหมดด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถปกป้องผลประโยชน์ของตนเองได้และพวกเขาก็ไม่กลัวด้วยว่าเจ้านายคนใหม่จะโกรธแม้ว่าคุณจะโกรธ แล้วจะยังไงล่ะ?ถ้าไม่มีพวกเขา ครึ่งหนึ่งของบริษัทก็จะเป็นอัมพาตในทันที!คนเหล่านี้จึงมั่นใจเป็นอย่างมากเย่ซิวจิบชาแล้วพูดอย่างสบายอารมณ์ "แล้วถ้าฉันดึงดันจะมอบตำแหน่งให้ทั้งสองคนนี้ให้ได้ล่ะ?"“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการลาออก”“ถูกต้อง ฉันก็จะลาออกด้วย!”“ขอร้องเถอะครับเจ้านาย ได้โปรดถอนคำสั่งกลับไปด้วย พวกเราพนักงานเก่าไม่อยากเห็นบริษัทถูกทำลายจริง ๆ !”…… พวกเขาแต่ละคนพูดด้วยอารมณ์ความรู้สึกเปี่ยมล้น หากเปลี่ยนเป็นคนนอกที่ไม่รู้แล้วมาเห็นฉากนี้เข้า คงได้คิดว่าพวกเขาจงรักภักดีต่อบริษัทอย่างมากเซี่ยซิ่วซิ่วและหลิ่วเมิ่งอิ๋นต่างก็มองไปที่เย่ซิวด้วยสีหน้ากังวลเย่ซิวกวาดตามองผู้คนที่ยืนหยัดเพื่อต่อต้านทีละคน ๆ แล้วยิ้ม "เอาล่ะ ผมอนุมัติการลาออกของพวกคุณ”“ทุกคนช่างสมกับที่เป็นผู้อาวุโสของบริษัท คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทก่อนใดอื่นทั้งหมด”“ในเมื่อพวกคุณเสนอตัวที่จะลาออกด
ด้วยการที่มีสาวเพิ่มมาสองคนอย่างกะทันหัน ภายในห้องก็มีชีวิตชีวาขึ้นทันทีไป๋อวี้เจี๋ยสามารถลุกจากเตียงมาเดินได้แล้วรอยแผลไหม้ที่มือของลู่เสวี่ยเอ๋อร์ก็หายดีแล้วเช่นกัน ใบหน้าของเธอจึงแสดงความมั่นใจอีกครั้งเมื่อเห็นเซี่ยซิ่วซิ่วและหลิ่วเมิ่งอิ๋นนอกจากจะรู้สึกมีความสุขแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกเศร้าโศกข้างกายเย่ซิวมีสาวสวยมากขึ้นเรื่อย ๆเมื่อไป๋อวี้เจี๋ยและหลิวอวิ้นเห็นเด็กผู้หญิงทั้งสอง พวกเธอก็พลันตกใจมากผิวของทั้งคู่ช่างไร้ที่ติ ราวกับหยกขาวบริสุทธิ์ยิ่งกว่านั้นพวกเธอยังงดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์โดยเฉพาะหลิ่วเมิ่งอิ๋น ด้วยหน้าอกที่น่าประทับใจของเธอซึ่งโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ ทำให้เหล่าสาว ๆ รู้สึกประหม่าอย่างมากมัน 'น่าเกรงขาม' เกินไป'การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น' ที่เย่ซิวกังวลนั้นดูเหมือนจะไม่เกิดขึ้นสาว ๆ เหล่านี้มีนิสัยที่แตกต่างกัน เมื่อมารวมตัวกันก็พูดคุยกันไม่หยุดหย่อนแต่เย่ซิวไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเขามาที่นี่ หรือว่าทุกคนเข้ากันได้อย่างราบรื่นจริง ๆอย่างไรก็ตาม วันดี ๆ ของเขากำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้าที่โต๊ะอาหารเย็น เมื่อทุกคนเกือบจะกินข้าวกันเสร็จแล้ว ไป๋อวี้เจี
ทันใดนั้นเย่ซิวก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี และความโกรธเล็กน้อยในใจของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยอย่างไรก็ตาม เขายังคงบีบคางของเธอแล้วเอ่ยว่า "ห้ามทะเลาะกันอีก อีกไม่กี่วัน หลังจากที่คุณหายดีแล้ว คุณก็กลับบ้านได้"โอ้"ไป๋อวี้เจี๋ยเชื่อฟัง เธอกลอกตาไปมา ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่เย่ซิวไม่สนใจและชี้ไปที่เตียง "ไปนอนตรงนั้น ผมจะฝังเข็มให้"ไป๋อวี้เจี๋ยกะพริบตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ "รับทราบค่ะนายท่าน ไม่ต้องทำเบา ๆ นะคะ"ความโกรธของเย่ซิวปะทุขึ้นอีกครั้งทันที……ในร้านอาหารเล็ก ๆ ภายในห้องส่วนตัว มีคนนั่งอยู่สามคนหากเวินหว่านเอ๋อร์อยู่ที่นี่ เธอคงจะจำคนสามคนนี้ได้ทันที เพราะหนึ่งในนั้นคือมือขวาซึ่งเป็นที่ปรึกษาของเธอเอง อีกสองคนคือคู่แข่งตัวฉกาจของเธออย่าง หนานหวัง[footnoteRef:0]และตาวหวัง[footnoteRef:1] [0: หนานหวัง ชื่อนี้เป็นฉายา ราชาแห่งแดนใต้] [1: ตาวหวัง ชื่อนี้เป็นฉายา ราชาแห่งมีด] หนานหวังเป็นผู้ชายที่ดูอ่อนโยน ในขณะที่ตาวหวังมีหน้าตาที่ดุร้าย สวมเสื้อแขนสั้นและกล้ามเนื้อปูดโปนที่ปรึกษาเทไวน์ลงในแก้วให้สองคนนั้น และพูดด้วยใบหน้าเศร้าหมอง "คุณสองคน ผมมีข้อเ
บุคคลที่ที่ปรึกษาให้ไปจัดการวางทุ่นระเบิดนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของหนานหวังมานานแล้วในห้องส่วนตัว ที่ปรึกษายืนขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ"เวินหว่านเอ๋อร์กำลังจะพยักหน้า แต่จู่ ๆ ความรู้สึกถึงวิกฤตอันรุนแรงก็แล่นเข้ามาในหัวใจของเธอนี่คือความสามารถที่เธอได้มาในฐานะจอมยุทธระดับเจ็ดร่างกายของเธอเริ่มหมุนเวียนกำลังภายในอันทรงพลัง และกระจายไปทั่วร่างกายโดยสัญชาตญาณเมื่อการหมุนเวียนพลังใกล้จะเสร็จสิ้น เปลวเพลิงก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าในขอบเขตการมองเห็นของเธอ และเสียงระเบิดในหูเกือบจะทำให้แก้วหูของเธอแตกตู้ม ตู้ม ตู้ม!ลานบ้านไร่ทั้งหมดถูกระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ!ตาวหวังและหนานหวังจ้องมองอย่างตั้งใจไปที่เปลวเพลิงที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็เห็นเงาดำพุ่งออกมาจากด้านในตาวหวังตะโกน "ตามไป!"“อย่าปล่อยให้นางนั่นหนีไปได้!”ทั้งสองคนรีบออกไปก่อน ตามมาด้วยยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ที่อยู่ข้างหลังพวกเขา"อัก!"ในขณะที่เวินหว่านเอ๋อร์ที่กำลังวิ่งอยู่นั้น เธอก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก และการมองเห็นของเธอก็มืดลงเสื้อผ้าของเธอขาดรุ่งริ่ง และผิวหนังที่เผยออกมาก็ไหม้เกรียมเป
“รู้…แล้ว...”เฉินเยียนจือตอบเสียงแผ่วเบาอย่างที่ใคร ๆ ว่ากันไว้ คนเลวต้องเจอกับคนที่เลวยิ่งกว่า คนแบบเธอ มีแต่ต้องเจอคนที่โหดเหี้ยมกว่าเท่านั้น ถึงจะถูกกำราบอยู่หมัด“ในเมื่อเข้าใจแล้ว ลองเรียกคำว่านายท่านให้ฉันฟังหน่อยสิ”เย่ซิวไม่ได้หลงเชื่อว่าเธอจะยอมสยบง่าย ๆ สิ่งที่เธอแสดงออกตอนนี้มีแต่จะเป็นการยอมจำนนแบบชั่วคราวเท่านั้นและก็จริงตามคาด สีหน้าของเฉินเยียนจือพลันแข็งกระด้างขึ้นมาอีกครั้ง“หืม ไม่อยากพูดงั้นเหรอ” เย่ซิวแกล้งทำหน้าบึ้ง “แสดงว่าบทเรียนเมื่อกี้ยังเบาเกินไปสินะ”เฉินเยียนจือถึงกับสั่นไปทั้งตัว เรื่องเมื่อกี้ยังคงเป็นฝันร้ายที่เธอไม่อยากเผชิญซ้ำอีก“นาย…ท่าน...”สองคำนั้นหลุดออกจากปากเธอด้วยความรู้สึกอัปยศเกินบรรยายเย่ซิวยิ้ม แล้วบิดแหวนผนึกของจากนิ้วของเธอออกมา “เปิดมันซะ”เฉินเยียนจือรู้ว่าขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำตามอย่างว่าง่ายเย่ซิวใช้พลังจิตสำรวจภายในทันที ด้านในมีทั้งศิลาวิญญาณจำนวนมาก สมุนไพรหายาก และโอสถล้ำค่า รวมมูลค่าแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าสิบล้านศิลาวิญญาณเย่ซิวเก็บทั้งหมดเอาไว้โดยไม่ลังเลเฉินเยียนจือเจ็บใจจนแทบร้องไห้ทรัพยากรจำนวนมหาศา
“ฉัวะ!!”สายฝนสีเลือดโปรยปรายลงมาทั่วฟ้าเย่ซิวฉีกสัตว์วิญญาณของเฉินเยียนจือเป็นชิ้น ๆ อย่างไม่ลังเลจากนั้นเตะเข้าหน้าอกเธอเข้าเต็มรักร่างของเธอลอยละลิ่วไปกระแทกกับเนินเขาอย่างรุนแรงเสียงกระดูกหักดังทั่วร่าง ไม่รู้ว่าหักไปกี่จุดเฉินเยียนจือมองเย่ซิวที่ลอยตัวอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น“ไอ้สารเลว แกตายแน่ แกต้องตาย ฉันไม่มีวันปล่อยแกไปเด็ดขาด!!!”ถึงจะเจ็บปางตาย เธอก็ยังไม่หยุดอาฆาต ใจคิดแต่จะแก้แค้นให้ได้ในภายหลัง“เพียะ ๆ ๆ”เย่ซิวไม่ใช่คนที่จะใจอ่อนให้กับคนอย่างเธอเขาตบซ้ายทีขวาที เพียงพริบตาก็ฟาดไปกว่าร้อยครั้งแรงฝ่ามือแต่ละครั้ง ทำให้ใบหน้าที่เคยสวยงามของเธอบวมช้ำจนดูไม่ได้ความแค้นในใจของเธอระเบิดออกจนแทบปิดไม่อยู่ ดวงตาแดงก่ำราวกับจะสังหารได้ทุกสิ่งเธอไม่เคยถูกปฏิบัติแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่เด็กก็เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อแม่และแฟนหนุ่มถูกตามใจทุกอย่างราวกับแตะต้องไม่ได้ แต่วันนี้กลับโดนกระทืบจนแทบจำหน้าตัวเองไม่ได้เย่ซิวเห็นสภาพเธอก็รู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ยังไม่ยอมแพ้ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องปรานีอีกต่อไปเขาควักโอสถสองเม็ดออกมา แล้วยัดใส่ปาก
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ