เย่ซิวลงมาจากรถเป็นคนแรกเขาเปลี่ยนรูปลักษณ์และรูปร่างของตัวเองจนกลายเป็นชายวัยกลางคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งการทำเช่นนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนจากหกตระกูลใหญ่เห็นเขาแล้วเกิดความตื่นตระหนกจนแตกกระเจิงหนีไปคนละทิศละทางเฉินหลานและหวังซวงก็ก้าวลงจากรถตามกันมา ก่อนจะมองไปยังรีสอร์ตที่อยู่ไม่ไกลด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและความตื่นเต้นนี่แหละคือความเหลื่อมล้ำในขณะที่หลายคนยังต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด กลับมีบางคนใช้ชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อราวกับอยู่กันคนละโลกเย่ซิวเงยหน้าขึ้นมองไปยังรีสอร์ตในระยะไกล เขาเห็นไอหมอกสีแดงและดำลอยอยู่เหนือรีสอร์ตสายตาของผู้บำเพ็ญตนเป็นเซียนอย่างเขารู้ดีว่าสิ่งนี้เป็นตัวแทนของความชั่วร้ายและบาปที่ฝังลึก“หยุดอยู่ตรงนั้น! พวกแกเป็นใคร?!”ทั้งสามคนยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ก็ถูกพบตัวแล้ว บอดี้การ์ดยามคนหนึ่งได้ตะโกนออกมาเป็นภาษาท้องถิ่นแต่ไม่มีใครหยุดเดินทั้งนั้น พวกเขาเดินตรงไปข้างหน้าต่ออย่างไม่แยแสบรรดาบอดี้การ์ดแต่ละคนมองด้วยสายตาเยือกเย็นราวกับหมาป่าดุร้ายที่จับจ้องพวกเขาทั้งสามคนเมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในระยะห้าร้อยเมตรจากประตู หนึ่งในบอดี้การ์ดก็ต
หนึ่งในนั้นตะโกนลั่นใส่พวกเย่ซิว “พวกแกเป็นใคร? กินหัวใจหมีตับเสือมาหรือไงถึงกล้ามาก่อเรื่องถึงที่นี่?!”เย่ซิวไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาเพียงยกมือขวาขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยดวงตาเยือกเย็นไร้ความรู้สึก “ฉันมองเห็นบาปที่ฝังลึกอยู่ในตัวพวกแก ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของวิญญาณนับไม่ถ้วนพวกแกมันเป็นคนที่เต็มไปด้วยบาปมหันต์ ลงนรกไปสำนึกผิดซะเถอะ!”ทุกคนต่างมองเยี่ยซิวด้วยสายตาเหมือนมองคนบ้าวินาทีต่อมา ความหวาดกลัวที่ไร้จุดสิ้นสุดก็เข้าครอบงำจิตใจของพวกเขาพร้อมกับที่เย่ซิวยกมือขึ้น น้ำแข็งแหลมคมจำนวนมากประมาณหนึ่งร้อยแท่งก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเหนือศีรษะของเขาแม้สองสาวจะเคยประจักษ์ในพลังอันมหัศจรรย์ของเย่ซิวมาก่อน แต่ก็ยังต้องตะลึงเมื่อได้เห็นภาพนี้อีกครั้งสำหรับจอมยุทธ์ที่เหลือยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในหัวของพวกเขาตอนนี้มีเพียงความคิดเดียว คือหนี หนีให้ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้พวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายที่ลอยฟุ้งมาจากน้ำแข็งแหลมเหล่านั้นเมื่อเห็นพวกนั้นวิ่งหนีแตกกระเจิงราวกับฝูงนกที่ถูกไล่ เย่ซิวจึงดีดนิ้วเบา ๆน้ำแข็งแหลมคมกว่าร้อยแท่งพุ่งแหวกอากาศออกไปด้วยความเร็วราวสายฟ้า โจมตีเ
บรรดาหนุ่มสาวที่ถูกเรียกว่าผู้มีพรสวรรค์จากหกตระกูลใหญ่ต่างมองเย่ซิวและพรรคพวกด้วยสายตาเย้ยหยันพวกเขาคุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้ดีก่อนหน้านี้ก็เคยมีพวกที่ไม่รู้จักความตายมาหาเรื่องพวกเขาเหมือนกันและจุดจบของพวกนั้นก็ไม่พ้นต้องตายอย่างอนาถทุกครั้งไปและพวกเขาคิดว่าสถานการณ์ในครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกันทว่าไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าศัตรูในครั้งนี้ที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นไม่ใช่มดตัวเล็ก ๆ ที่ไร้ทางสู้ แต่กลับเป็นมังกรผู้ทรงอำนาจที่แผดคำรามเหนือเก้าชั้นฟ้ารอบกายของเย่ซิวเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร เขาหันไปสั่งสองสาวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “กำจัดพวกที่สมรู้ร่วมคิดกับความชั่วเหล่านี้ให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว”พูดจบ เขาก็ยื่นมือทั้งสองข้างไปแตะบนไหล่ของพวกเธอเขาส่งพลังวิญญาณเข้าไปในร่างของสองสาวเพื่อช่วยยกระดับพลังของพวกเธอขึ้นชั่วคราวจนถึงจอมยุทธ์ระดับแปดเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่างกาย ทั้งสองคนก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาอย่างยิ่งพวกเธอพุ่งทะยานเข้าโจมตีศัตรูอย่างดุดันราวกับเสือดุร้ายสองตัวที่เพิ่งลงจากภูเขาในบรรดายอดฝีมือเหล่านั้น คนที่เก่งที่สุดกลับเป็นเพียง
คนอื่น ๆ ก็รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว“ใช่ ๆ ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลาย พวกท่านต้องการเงินเท่าไหร่ก็ว่ามาเลย”“หนึ่งพันล้านบาทพอไหม? ถ้าไม่พอสองพันล้านหรือสามพันล้านก็ได้!”“หรือว่าพวกท่านต้องการอย่างอื่นก็พูดมาได้ทุกอย่างเลย”……ก่อนหน้านี้พวกเขายโสโอหังเพียงใด ตอนนี้กลับดูน่าสมเพชเพียงนั้นเย่ซิวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ปล่อยตัวคนที่พวกแกจับไว้ทั้งหมด”คนท้องถิ่นเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ เย่ซิวไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาถูกทำร้ายอีกต่อไปแต่คำพูดนี้กลับทำให้หลี่อีอีกับพรรคพวกกลับมาฮึกเหิมขึ้นอีกครั้งทันใดนั้นพวกเขาต่างคว้าตัวคนท้องถิ่นที่ถูกล่ามด้วยโซ่เหล็กไว้แน่น พร้อมทั้งข่มขู่เย่ซิวอย่างดุดัน“ที่แท้ก็เป็นจอมยุทธ์จริง ๆ สินะ!”“ไม่น่าเชื่อว่าในยุคนี้จะยังมีสิ่งที่เรียกว่าจอมยุทธ์อยู่ ช่างเปิดหูเปิดตาเสียจริง!”“ตอนนี้พวกแกรีบไสหัวไปซะ ไม่งั้นฉันจะฆ่าพวกมันให้หมด!”พวกเขากลับมาใจกล้าอีกครั้ง พร้อมทั้งแสดงความยโสโอหังออกมาสุดขีดเฉินหลานและหวังซวงมองพวกเขาด้วยสายตาราวกับกำลังมองคนโง่เขลาใกล้ตายแล้วแท้ ๆ แต่ยังโง่ได้ขนาดนี้อีกเหรอ?บางทีอาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเติบโตมาชีวิต
สุดท้ายก็เหลือเพียงหลี่อีอีที่ยังมีชีวิตอยู่เธอย่อมตกอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างมาก คนทั้งคนเกือบจะพังทลายลงแล้วความสามารถของเธอไม่ดี แต่เนื่องจากเธอเก่งมากในการทำให้ผู้อาวุโสมีความสุข เธอจึงเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดในตระกูลหลี่ และถูกเรียกว่าเจ้าหญิงน้อยตอนนี้เธอนึกถึงโอกาสเดียวที่จะมีชีวิตรอดได้ นั่นก็คือร่างกายของตัวเองเธอยกมือไปข้างหลังโดยไม่ลังเล และดึงซิปของชุดราตรีลงจากนั้นเรือนร่างที่ขาวราวหยกซึ่งไร้ที่ติก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเย่ซิวเธอรู้สึกอัปยศมาก แต่ไม่กล้าที่จะแสดงออกมาในขณะนี้ น้ำตาที่ยังไม่แห้งติดอยู่บนใบหน้า และเธอก็ร้องขอความเมตตาจากเย่ซิว“ฉันไม่อยากตาย ขอร้องปล่อยฉันไปเถอะค่ะ ฉันสามารถมอบเรือนร่างของตัวเองให้กับคุณได้ฉันยังไม่เคยถูกผู้ชายคนไหนสัมผัสมาก่อน ฉันสะอาดมาก”เย่ซิวมองเธอด้วยสายตาที่เย็นชาที่สุดผู้หญิงคนนี้มีทุนอยู่บ้างจริง ๆอาศัยแค่การขายเรือนร่างนี้ แม้ว่าในอนาคตจะล้มละลาย แต่ไปทำงานที่สถานบันเทิง ตราบเท่าที่ขยันสักหน่อย ก็จะสามารถกลายเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยได้น่าเสียดายที่เย่ซิวไม่มีความตั้งใจที่จะไว้ชีวิตเธอกับผู้หญิงที่ใจสกปรกยิ่งกว่าคูน้ำเหม
......ขณะนี้ผู้ถืออำนาจของหกตระกูลใหญ่กำลังรวมตัวกันอยู่ในห้องใต้ดินลับพวกเขานั่งอยู่ที่โต๊ะเจรจาตัวยาว กำลังเจรจากับเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากประเทศปิงจือผู้นำตระกูลของหกตระกูลใหญ่มีความทะเยอทะยานมาก ไม่เต็มใจที่จะควบคุมแค่ประเทศเล็ก ๆ และยากจนแบบนี้พวกเขาต้องการผนวกรวมประเทศเล็ก ๆ อื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงด้วย นี่จึงต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในหมู่ทรัพยากรทั้งหมดอาวุธเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ที่สุดหลังจากการเจรจาอันดุเดือด ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ตกลงราคากันได้มูลค่าของธุรกรรมในครั้งนี้มีค่าประมาณแปดแสนล้านบาทอีกทั้งยังมีอาวุธหนักอีกจำนวนมากพวกเขาเองก็ไม่กลัวที่จะดึงดูดความสนใจหรือความไม่พอใจจากประเทศใหญ่ ๆ ต่อให้ประเทศเล็ก ๆ แบบนี้จะเปิดศึกกัน ประเทศใหญ่ ๆ เหล่านั้นก็จะไม่สนใจมากนักก็เหมือนกับช้างที่เดินไปตามถนน ย่อมไม่สนใจจิ้งหรีดสองตัวที่ห้ำหั่นกันอยู่ข้าง ๆ“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้พวกเราร่วมมือกันอย่างมีความสุข”ฉีตังกั๋วเป็นคนแรกที่ยกแก้วขึ้นทุกคนหัวเราะ หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาแล้วดื่มให้หมดในรวดเดียวจากนั้นฉีตังกั๋วก็พูดถึงอีกเรื่องหนึ่ง“ก่อนหน้านี้ที่เราเสนอไปว่าจะขอให้ปรมาจ
“กรี๊ดดด!!!”เสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาจากในวิลล่าหลังหนึ่งที่เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ในห้องใดห้องหนึ่ง ฉีฉู่กลิ้งไปมาบนพื้นไม่หยุดใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยสีหน้าดุร้าย เธอฉีกเสื้อผ้าบนร่างอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้แต่ผิวหนังของตัวเองเพียงชั่วพริบตาเลือดสด ๆ ก็อาบไปทั้งร่างดูน่ากลัวอย่างยิ่งภายในห้องยังมีผู้หญิงอีกห้าคน ทุกคนล้วนสวมเสื้อกาวน์สีขาว ในมือถือเข็มฉีดยาขนาดใหญ่อยู่ผู้หญิงสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะและอ่านข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ร้องอุทานด้วยความทึ่งอยู่ตลอดเวลา“ข้อมูลที่ส่งจากชิปที่ฝังอยู่ในร่างกายของเธอแสดงให้เห็นว่าความเร็วในการหลอมรวมนั้นเร็วมาก”“ความคืบหน้าดีดไปถึงสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว โอ้สวรรค์ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคนที่สามารถหลอมยีน 'นาคราช' ได้ขนาดนี้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เช่นนี้”“ตอนนี้ฉันรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ฉู่เธอจะกลายเป็นคนแรกของเราที่มีความก้าวหน้าในการหลอมเกินยี่สิบเปอร์เซ็นต์ไหม?”“ไม่ต้องถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์หรอก ขอแค่ถึงสิบห้าเปอร์เซ็นต์ และให้แน่ใจว่าร่างกายเธอจะไม่พังทลาย นั่นก็ถือว่าประสบความสำเร็จในก้าวแรกแล้ว!”ในระหว่างที่พวกเธอสนทนากัน ฉีฉูฉู่
ในขณะนี้ดวงตาของฉีฉูฉู่เปลี่ยนเป็นรูม่านตาแนวตั้งเหมือนกับงู ทำให้ผู้คนรู้สึกสั่นกลัวหลังจากที่เปลี่ยนมาอยู่ในรูปลักษณ์นี้ เลือดของเธอก็เย็นลงเช่นกัน“เกี่ยวกับที่ว่าจะแข็งแกร่งกว่านี้ได้อย่างไร แผนปัจจุบันของเราคือรอและสังเกตไปสักพัก หลังจากที่คุณคุ้นเคยกับพลังอย่างสมบูรณ์แล้ว เราสามารถฉีดยีนครั้งที่สอง เพราะยิ่งระดับการหลอมรวมสูงเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ”ฉีฉูฉู่พยักหน้า“ตอนนี้ลองดูสิว่าคุณสามารถกลับร่างเป็นมนุษย์ได้ไหม”ฉีฉูฉู่หลับตาลงหลังจากนั้นไม่นาน ร่างกายเธอก็เปลี่ยนไปก่อนอื่นเกล็ดงูบนผิวหนังค่อย ๆ จางหายไปทีละชิ้นจากนั้นหางงูก็หายไป และขาเรียวยาวของเธอก็กลับคืนมาต้นขากลมและปลีน่องตรง ขาวราวหิมะและเนียนใสดุจคริสตัลถ้าพวกคลั่งเรียวขามาเห็นขาคู่นี้ จะต้องคลั่งไคล้อย่างแน่นอนเธอตัวสูงขึ้นด้วย ตอนนี้สูงอย่างน้อยหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรแล้วสรีระที่โค้งเว้าทั้งตัว สมบูรณ์และสวยงาม ไม่มีไขมันส่วนเกินแม้แต่นิดเดียวเธอยังมีเส้นกล้ามหน้าท้องที่น่ามองอีกด้วยโดยเฉพาะในบางจุด เรียกว่าเสร็จสิ้นการพัฒนาครั้งที่สองแล้วสรุปเป็นประโยคเดียวนั่นก
“รู้…แล้ว...”เฉินเยียนจือตอบเสียงแผ่วเบาอย่างที่ใคร ๆ ว่ากันไว้ คนเลวต้องเจอกับคนที่เลวยิ่งกว่า คนแบบเธอ มีแต่ต้องเจอคนที่โหดเหี้ยมกว่าเท่านั้น ถึงจะถูกกำราบอยู่หมัด“ในเมื่อเข้าใจแล้ว ลองเรียกคำว่านายท่านให้ฉันฟังหน่อยสิ”เย่ซิวไม่ได้หลงเชื่อว่าเธอจะยอมสยบง่าย ๆ สิ่งที่เธอแสดงออกตอนนี้มีแต่จะเป็นการยอมจำนนแบบชั่วคราวเท่านั้นและก็จริงตามคาด สีหน้าของเฉินเยียนจือพลันแข็งกระด้างขึ้นมาอีกครั้ง“หืม ไม่อยากพูดงั้นเหรอ” เย่ซิวแกล้งทำหน้าบึ้ง “แสดงว่าบทเรียนเมื่อกี้ยังเบาเกินไปสินะ”เฉินเยียนจือถึงกับสั่นไปทั้งตัว เรื่องเมื่อกี้ยังคงเป็นฝันร้ายที่เธอไม่อยากเผชิญซ้ำอีก“นาย…ท่าน...”สองคำนั้นหลุดออกจากปากเธอด้วยความรู้สึกอัปยศเกินบรรยายเย่ซิวยิ้ม แล้วบิดแหวนผนึกของจากนิ้วของเธอออกมา “เปิดมันซะ”เฉินเยียนจือรู้ว่าขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำตามอย่างว่าง่ายเย่ซิวใช้พลังจิตสำรวจภายในทันที ด้านในมีทั้งศิลาวิญญาณจำนวนมาก สมุนไพรหายาก และโอสถล้ำค่า รวมมูลค่าแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าสิบล้านศิลาวิญญาณเย่ซิวเก็บทั้งหมดเอาไว้โดยไม่ลังเลเฉินเยียนจือเจ็บใจจนแทบร้องไห้ทรัพยากรจำนวนมหาศา
“ฉัวะ!!”สายฝนสีเลือดโปรยปรายลงมาทั่วฟ้าเย่ซิวฉีกสัตว์วิญญาณของเฉินเยียนจือเป็นชิ้น ๆ อย่างไม่ลังเลจากนั้นเตะเข้าหน้าอกเธอเข้าเต็มรักร่างของเธอลอยละลิ่วไปกระแทกกับเนินเขาอย่างรุนแรงเสียงกระดูกหักดังทั่วร่าง ไม่รู้ว่าหักไปกี่จุดเฉินเยียนจือมองเย่ซิวที่ลอยตัวอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น“ไอ้สารเลว แกตายแน่ แกต้องตาย ฉันไม่มีวันปล่อยแกไปเด็ดขาด!!!”ถึงจะเจ็บปางตาย เธอก็ยังไม่หยุดอาฆาต ใจคิดแต่จะแก้แค้นให้ได้ในภายหลัง“เพียะ ๆ ๆ”เย่ซิวไม่ใช่คนที่จะใจอ่อนให้กับคนอย่างเธอเขาตบซ้ายทีขวาที เพียงพริบตาก็ฟาดไปกว่าร้อยครั้งแรงฝ่ามือแต่ละครั้ง ทำให้ใบหน้าที่เคยสวยงามของเธอบวมช้ำจนดูไม่ได้ความแค้นในใจของเธอระเบิดออกจนแทบปิดไม่อยู่ ดวงตาแดงก่ำราวกับจะสังหารได้ทุกสิ่งเธอไม่เคยถูกปฏิบัติแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่เด็กก็เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อแม่และแฟนหนุ่มถูกตามใจทุกอย่างราวกับแตะต้องไม่ได้ แต่วันนี้กลับโดนกระทืบจนแทบจำหน้าตัวเองไม่ได้เย่ซิวเห็นสภาพเธอก็รู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ยังไม่ยอมแพ้ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องปรานีอีกต่อไปเขาควักโอสถสองเม็ดออกมา แล้วยัดใส่ปาก
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ