ไม่รู้ว่าเธอสบถด่าเย่ซิวในใจไปกี่รอบแล้วช่วงเย็น ทั้งสามคนก็ลงจากภูเขาก่อนจากไป เย่ซิวหยิบน้ำพลังวิญญาณผสมกับน้ำแร่บนภูเขารดลงบนพื้นดินที่เคยเป็นสนามรบอีกไม่นาน พืชพรรณเขียวชอุ่มจะงอกขึ้นมาและปกปิดร่องรอยการต่อสู้ทั้งหมดเซี่ยชิงชิงคล้องแขนเย่ซิวด้วยใบหน้าสดใสร่าเริงผิวพรรณเธอดูชุ่มชื้นเปล่งปลั่งเหมือนเป็นคนละคนเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ หลังจากที่เย่ซิวช่วยคลายปมในใจลงแล้ว เสน่ห์ของเธอก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดส่วนหญิงสาวจากสำนักหุ่นเชิดเดินตามอยู่เงียบ ๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะสิ่งที่เธอได้ยินก่อนหน้านั้นทำให้รู้สึกอึดอัดไม่น้อยจนตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกเหมือนเสียงนั้นยังก้องอยู่ในหูอยู่เลย…เมื่อมาถึงที่จอดรถ เย่ซิวก็เข้าไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ และให้เซี่ยชิงชิงเป็นคนขับรถแทนส่วนหญิงสาวจากสำนักหุ่นเชิดนั่งเบาะหลังอย่างไม่เต็มใจนักหลังจากรถเคลื่อนตัวแล้ว เย่ซิวก็เอ่ยถามโดยไม่หันกลับไปมอง “เธอชื่ออะไร?”“อวิ๋นเหยา”“เล่าเกี่ยวกับวิชาหุ่นเชิดของสำนักเธอให้ฟังหน่อยสิ ฉันค่อนข้างสนใจน่ะ”ก่อนหน้านี้ที่เห็นศิษย์พี่ของอวิ๋นเหยาใช้วิชาหุ่นเชิดนั้นช่างเหมือนจริงจนน่าท
เขาบำเพ็ญตนร่วมกับหญิงสาวทั้งหลายตั้งแต่สองทุ่มครึ่งจนถึงตีห้าด้วยความช่วยเหลือจากโอสถฟื้นฟูขนาดเล็ก ในที่สุดทุกคนก็ก้าวเข้าสู่จอมยุทธ์ระดับเก้าได้สำเร็จระดับนี้หากเป็นในสมัยโบราณ พวกเธอสามารถเป็นแม่ทัพใหญ่หรือแม้แต่อ๋องก็ยังได้เลยตอนนี้ลู่เสวี่ยเอ๋อร์ ไป๋อวี้เจี๋ย เซี่ยซิ่วซิ่ว และหลิ่วเมิ่งอิ๋นต่างก็แข็งแกร่งถึงระดับนี้กันหมดแล้วหากเปรียบเทียบกับกองทัพสมัยใหม่ พวกเธอทั้งสี่ก็เปรียบเสมือนหน่วยรบพิเศษที่มีกองกำลังชั้นยอดจำนวนสี่กองพันหญิงสาวทั้งสี่คนหลับสนิทไปแล้วด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอย่างสงบ มุมปากยิ้มเล็กน้อยราวกับกำลังฝันถึงสิ่งดี ๆ ที่ไม่อาจล่วงรู้ได้เย่ซิวเองก็ตั้งใจจะพักผ่อนสักหน่อยเช่นกันแต่ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์บนโต๊ะก็สั่นขึ้นมาเขาลุกจากเตียงมาหยิบดู ปรากฏว่าเป็นสายจากชูตงเย่ซิวเดินออกไปรับสายที่ระเบียง น้ำเสียงของชูตงที่ดังมาจากปลายสายแฝงไปด้วยความหวาดกลัวและสะอื้นเบา ๆ “ที่บ้านฉันเกิดเรื่องแล้ว คุณช่วยมาหาฉันหน่อยได้ไหม? ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”“รอผมก่อนนะ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”โดยไม่ถามไถ่ถึงสาเหตุ เย่ซิววางสายแล้วรีบสวมเสื้อผ้า จากนั้นก็กระโดดลงจากระเบียง
ชูตงยอมแพ้ให้กับสายตาจับผิดของเย่ซิว ก่อนจะย่นจมูกอย่างขัดใจ “โอเค ๆ ฉันยอมรับก็ได้ เธอคือรูมเมตใหม่ที่ฉันเพิ่งหามา”เย่ซิวหัวเราะออกมาด้วยความโมโห “คุณนี่มันอัจฉริยะด้านการหาเงินจริง ๆ”“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันเก่งมากเลยนะ”“ผมไม่ได้ชมคุณเสียหน่อย”“แล้วจะดุทำไมเนี่ย น่ารำคาญจริง ๆ”เย่ซิวบีบแก้มเนียนนุ่มของเธอเบา ๆ “คุณขัดสนขนาดนั้นเลยเหรอ?”“อย่าบีบสิ มันเจ็บนะ” ชูตงปัดมือเขาออกพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “คิดว่าทุกคนจะรวยล้นฟ้าแบบคุณหรือไง? พวกเราคนธรรมดาก็ต้องกินอยู่อย่างประหยัดและเก็บเงินเพื่อวางดาวน์บ้านสักหลัง คุณไม่มีทางเข้าใจหรอก”เย่ซิวมีบ้านในชื่อตัวเองตั้งหลายหลัง จะมอบให้เธอสักหลังก็ยังได้แต่เขาไม่พูดแบบนั้นเพราะกลัวว่าความภาคภูมิใจในตัวเองของผู้หญิงคนนี้จะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเขากับเธอดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเป็นอีกวิธีหนึ่งแทน “ผมมีข้อเสนอ ผมสามารถขายบ้านหลังนี้ให้คุณในราคาพิเศษได้นะแต่มีเงื่อนไขว่าคุณต้องชนะการเลือกตั้งตำแหน่งผู้จัดการในสัปดาห์หน้า และผมมีภารกิจหนึ่งที่ต้องการให้คุณทำ”ชูตงตาเป็นประกายทันที “ลดราคาเท่าไหร่?”“ลดสิบห้าเปอร์เซ็นต์”เธอหน้าหม
“จริง...เหรอ?” ชูตงมองเย่ซิวด้วยสายตาสงสัย “ทำไมฉันรู้สึกว่ามันฟังดูแปลก ๆ ยังไงไม่รู้”เย่ซิวพยายามกลั้นขำ “แปลกตรงไหน ลองทบทวนสิ่งที่ผมพูดไปอีกครั้งสิว่ามันมีตรงไหนที่ผิดหรือเปล่า”ชูตงเอียงศีรษะครุ่นคิดพลางทบทวนคำพูดของเย่ซิวอีกครั้งและพบว่ามันไม่มีอะไรผิดจริงใบหน้าของเธอเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ ก่อนจะเอ่ยด้วยความกระอักกระอ่วน “เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม? อย่างเช่นให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณ”“ข้าวที่คุณจะเลี้ยงจะอร่อยกว่าที่ผมทำเหรอ?”ประโยคเดียวทำเอาเธอพูดไม่ออกจนต้องกลอกตา “งั้นคุณอยากได้อะไรล่ะ?”เย่ซิวโน้มหน้าเข้าไปใกล้ บ่งบอกได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มหัวใจของชูตงเต้นรัว ความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อนถาโถมเข้ามาในใจหลังจากต่อสู้กับความคิดในหัวอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็แตะใบหน้าของเย่ซิวเบา ๆ เหมือนแมลงปอแตะผิวน้ำเย่ซิวเผยรอยยิ้ม นี่ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่สำหรับเขาจากนั้นเขาก็ดึงเธอเข้ามากอดแน่นในอ้อมแขน“ว้าย!” ชูตงร้องเสียงหลง “คุณจะทำอะไรน่ะ? ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”เย่ซิวก้มมองเธอ “ก็ค่าตอบแทนไง”“ไม่เอา อื้อ…”ชูตงพยายามดิ้นรนสุดกำลังเพื่อหลุดจากอ้อมแขนของเขา แต่
ท่าทางนั้นทำให้เย่ซิวแทบอดใจไม่ไหว อยากจะกลืนกินเธอทั้งตัวแต่เขาก็ยังอดกลั้นไว้ เพราะความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม เขาไม่ควรทำให้ทุกอย่างพังพินาศ“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เราจะได้ไปบริษัทพร้อมกัน”พูดจบ เย่ซิวก็เดินออกจากห้องของเธอพร้อมปิดประตูให้เรียบร้อยชูตงยกมือขึ้นกุมหน้าอกพร้อมกับหายใจหอบหนัก ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย? ทำไมใจเต้นแรงขนาดนี้ แถมยังไม่กล้ามองหน้าเขาอีก”เธอส่ายหัวแรง ๆ พยายามสลัดไล่ความคิดสับสนออกไปจากหัวให้หมดเธอลุกจากเตียงก่อนจะเดินเท้าเปล่าไปยังตู้เสื้อผ้าและเปิดออก วันนี้จะใส่ชุดอะไรดีนะ?สุดท้ายเธอก็เลือกเสื้อสีดำกับกระโปรงลายจุดเธอค่อย ๆ ถอดชุดนอนออกแต่เพิ่งถอดออกได้ไม่นาน ประตูก็เปิดผางออกมาจู่ ๆ เย่ซิวก็ยื่นหน้าเข้ามา “ลืมเอามือถือออกมาด้วยน่ะ”“กรี๊ด!”ชูตงร้องลั่นพลางรีบคว้าชุดมาปิดตัวแบบลนลาน ยกมือปิดบนปิดล่างอย่างไม่รู้จะปิดส่วนไหนก่อนดีสุดท้ายเธอก็ย่อตัวลงแทน “ไอ้ลามก ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”เย่ซิวกระแอมเบา ๆ “ผมไม่เห็นอะไรเลย”แน่นอนว่านั่นเป็นคำโกหก ที่จริงเขาเห็นหมดทุกอย่างแล้วเขาเดินไปหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้องไ
ชูตงที่กำลังโกรธจัดเพิ่มพลังต่อสู้ขึ้นเป็นสองเท่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกเย่ซิวจับกดลงกับโซฟาได้อย่างง่ายดายากนั้นเธอก็ถูกกดลงบนโซฟา โดนตีไปสองที“ไอ้บ้า ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ มันเจ็บนะ”“ถ้าไม่ปล่อย ฉันจะตะโกนแล้วนะ”“ฉันขอโทษ ประธานเมตตาฉันเถอะ ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว”เย่ซิวยกมือขึ้นพร้อมจะลงโทษอีกครั้ง “เรียกว่าพี่เย่สิ แล้วผมจะปล่อยคุณไป”ชูตงเม้มปากแน่น เธอไม่มีวันพูดคำน่าอายแบบนั้นออกไปแน่แต่ลังเลได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น เธอก็ร้องออกมาอีกครั้งเมื่อเย่ซิวทำท่าจะเอาฝ่ามือฟาดลงมา“ฉันยอมแล้ว พี่เย่ ฉันผิดไปแล้ว”รูมเมตที่ยืนดูอยู่ถึงกับตะลึง ก่อนจะคิดในใจว่าเล่นอะไรกันเนี่ยเย่ซิวปล่อยมือจากชูตง หญิงสาวกระโดดลุกขึ้นจากโซฟาถอยหลังอย่างรวดเร็ว พลางลูบตรงที่ถูกเย่ซิวตี สีหน้าดูเหมือนอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตามันต้องบวมแน่ ๆ แล้วถ้ามีคนเห็นจะทำยังไงดีล่ะรูมเมตกระแอมเบา ๆ “ได้เวลาไปทำงานแล้ว ฉันไปก่อนนะคะ ไว้เจอกันนะ”เธอรู้สึกว่าคนสองคนนี้น่าจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่อาจพูดได้แน่ ๆ เลยตัดสินใจรีบหนีไปดีกว่าชูตงมองดูสีหน้าของรูมเมตก็รู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิด แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายย
เมื่อมาถึงบริษัท เย่ซิวดูรอบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปอีกชั้นหนึ่งและพบกับจวงเสี่ยวหยิงที่กำลังทำงานอยู่ตอนนี้เธอได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาสองขั้น แม้จะยังเรียนอยู่ แต่เธอก็เริ่มให้ความสำคัญกับงานมากขึ้นจนมีห้องทำงานเล็ก ๆ เป็นของตัวเองทั้งหมดนี้เป็นผลจากความสามารถของเธอเอง เย่ซิวไม่ได้ใช้เส้นสายช่วยเธอเลย“พี่มาที่นี่ได้ยังไงคะ” จวงเสี่ยวหยิงเห็นเย่ซิวก็รีบลุกจากที่นั่งด้วยความดีใจ ก่อนจะวิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทางร่าเริงเย่ซิวลูบหัวเธอเบา ๆ “แวะมาดูว่าน้องสาวของพี่แอบอู้งานหรือเปล่าน่ะสิ”จวงเสี่ยวหยิงย่นจมูกอย่างน่ารัก “ไม่มีทางค่ะ หนูขยันจะตาย”เธอดึงเย่ซิวให้นั่งลงที่เก้าอี้ ก่อนจะรินชาให้แล้วถามว่า “พี่มาที่นี่เพราะจะมาเจาะเลือดหนูใช่ไหมคะ”เย่ซิวพยักหน้าอย่างไม่คิดจะปิดบังอะไรเขาเจาะเลือดเธอไปหลายครั้งแล้ว และการวิจัยก็มีความคืบหน้าอย่างมากอีกแค่ครั้งเดียวก็น่าจะพัฒนาสารอาหารที่ช่วยเร่งการเจริญเติบโตและเพิ่มคุณภาพของเครื่องยาสมุนไพรได้สำเร็จเย่ซิวหยิบเข็มฉีดยาออกมาจากแหวนผนึกของจวงเสี่ยวหยิงนั่งลงพร้อมถลกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นผิวขาวเนียนเย่ซิวปักเข็มลงไปในเส้นเลือดข
“หนูอยาก…ลองจูบดูค่ะว่ามันจะรู้สึกยังไง”คำพูดนี้ทำเอาเย่ซิวถึงกับอึ้งไป ไม่คิดว่าจวงเสี่ยวหยิงจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของเย่ซิวเธอก็รีบอธิบายทันที “คือหนูเห็นในอินเทอร์เน็ตบอกว่าการจูบทำให้คนรู้สึกดี…แถมยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย ก็เลย…”เย่ซิวหมดคำจะพูด เขาเคาะหน้าผากเธอเบา ๆ ก่อนเอ่ย “เลิกเชื่ออะไรเพี้ยน ๆ จากอินเทอร์เน็ตได้แล้ว เรื่องพวกนี้ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สักหน่อย ตั้งใจทำงานเถอะ พี่ไปล่ะ”แม้ว่าจวงเสี่ยวหยิงจะน่ารักแค่ไหน แต่เย่ซิวก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรกับเธอในตอนนี้จวงเสี่ยวหยิงแอบกำหมัดแน่น “หนูไม่ยอมแพ้หรอก สักวันหนูต้องจูบพี่ให้ได้”ทันใดนั้นเธอก็ขมวดคิ้วก่อนจะยกมือขึ้นนวดขมับเบา ๆ “แปลกจัง ทำไมช่วงนี้ถึงรู้สึกกระสับกระส่ายนักนะ ไม่สบายใจเลย เหมือนกำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นกับฉันยังไงไม่รู้…”……ณ สนามบินทางตอนเหนือของเมืองหลวง วันนี้มีผู้โดยสารกลุ่มหนึ่งที่ดูแปลกตาเดินทางมาถึงพวกเขามีส่วนสูงเฉลี่ยเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบห้าเซนติเมตรแต่ร่างกายแข็งแรงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อพวกเขาบางคนหวีผมแสกกลาง บางคนหวีผมเสยไปด้านหลังเรียบกริบ ทุกคนล้วนสวมชุดสูทหรูหร
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน