ถ้าเย่ซิวบ้าบิ่นถึงขั้นมาที่ประเทศของพวกเขาจริง ๆ ล่ะก็ พวกเขาก็มีวิธีจัดการให้ตายหรือพิการได้ตามใจชอบเพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่คิดจะอยากอยู่ที่นี่ต่อเขาเอ่ย “ดี นี่แกพูดต่อหน้าคนทั้งโลกเองนะ ถ้าไม่มาจริงก็จะกลายเป็นตัวตลกให้คนทั้งโลกดู เพราะงั้นเราจะไปเดี๋ยวนี้เลย!”เทพยุทธ์สำหรับประเทศอ่ายเหรินแล้ว ไม่ว่าจะนำไปทำการวิจัยหรือนำไปใช้งานในทางอื่น ๆ ก็ล้วนเป็นประโยชน์มหาศาลส่วนเรื่องตามหาหญิงสาวที่มีร่างกายพิเศษนั้นก็ยังมีคนอื่นที่รับหน้าที่นี้อยู่ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมาอยู่ในโรงยิมแห่งนี้คำพูดของเย่ซิวทำให้เกิดกระแสถกเถียงในโลกออนไลน์อีกครั้ง ชาวเน็ตมากมายต่างแสดงความคิดเห็นกันรัว ๆ ไม่ให้เขาไป“อย่าไปเชียวนะ คนแคระพวกนี้เจ้าเล่ห์สุด ๆ”“ถ้านายไปคงถูกเล่นงานแน่ ๆ”“ไม่ใช่ว่าทุกประเทศจะมีมารยาทแบบประเทศเราหรอกนะ”“คนเป็นหมื่นเลยนะ ขอร้องอย่าไปเลย”“เผ่านี้ตั้งแต่โบราณกาลก็ต่ำช้าไร้ยางอาย ชำนาญการใช้เล่ห์เหลี่ยมสกปรก นายอย่าไปเลย”……เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างก็รู้ว่าคนพวกนี้เป็นอย่างไรเย่ซิวหันไปมองเวินหว่านเอ๋อร์ “คุณส่งคนไปส่งพวกเขาทั้งหมด และต้องเห็นกับตาว่าพวกเขาออกไปหมดแล้วเท
สินค้าทุกรายการของทางบริษัทขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่กี่นาที แถมยอดขายก็พุ่งสูงกว่าปกติหลายเท่าเหล่าชาวเน็ตกระตือรือร้นอย่างมาก เย่ซิวในฐานะวีรบุรุษของเหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับความรักจากชาวเน็ตนับไม่ถ้วนเว็บไซต์ทางการถึงกับล่ม สินค้าทุกชิ้นในช่องทางการขายทั้งหมดถูกขายจนหมดเกลี้ยงเพียงแค่วันนี้วันเดียวเย่ซิวก็ทำรายได้เข้ากระเป๋ากว่าหนึ่งหมื่นล้านและเป็นกำไรทั้งหมด ผลลัพธ์นี้สร้างความตื่นตะลึงให้กับเหล่าผู้ค้าเป็นอย่างยิ่งและนี่เป็นเพียงแค่ในประเทศเท่านั้นในต่างประเทศ แม้จะมีบางคนที่แสดงความไม่พอใจและโกรธเคืองต่อเย่ซิว แต่ส่วนใหญ่กลับถูกเสน่ห์ส่วนตัวของเขาดึงดูดเสียงั้นในต่างประเทศเองก็มีคนดังมากมายและข้อมูลบางส่วนของเย่ซิวนั้นเปิดเผยอยู่แล้ว การจะค้นหาก็ไม่ใช่เรื่องยาก จากนั้นพวกเขาก็หลั่งไหลเข้าไปในจุดขายต่าง ๆ อย่างรวดเร็วและกว้านซื้อสินค้าหลากหลายชนิดจนหมดเกลี้ยงเมื่อเย่ซิวได้ทราบข่าวนี้ก็อดตกใจไม่ได้ ชาวเน็ตเหล่านี้ช่างเด็ดเดี่ยวและทรงพลังอย่างแท้จริงจากนั้นเขาก็ถือโอกาสโปรโมทข่าวการเปิดสาขาของสำนักโอสถทันทีเชื่อว่าอีกไม่นาน สำนักโอสถจะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาม
เย่ซิวนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา ขณะที่สาว ๆ หลายคนกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการสิ่งต่าง ๆ ส่วนเขาแค่รอทานอาหารก็พอหลังจากก้าวเข้าสู่ขั้นจินตานแล้ว ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก อีกทั้งการรับรู้ถึงสรรพสิ่งในโลกและจักรวาลก็เพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่งเขามักรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนที่เห็นโดยเฉพาะตอนที่เขาทะลวงขั้นนั้นกลับไม่มีสายฟ้าฟาดลงมา ซึ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างยิ่งเขาเคยอ่านในบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับจินตานห้าสีว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทายกฎสวรรค์เกินไป จึงต้องเผชิญกับบททดสอบแห่งสายฟ้าตั้งแต่ช่วงที่เริ่มก่อตัวขึ้นแต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลางสังหรณ์บอกเขาว่าต้องมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่แน่ไม่ไกลนัก หลิ่วเมิ่งอิ๋นกำลังอุ้มเสี่ยวปิงด้วยความรักใคร่อยู่โชคดีที่เสี่ยวปิงเป็นตัวเมีย ไม่อย่างนั้นเย่ซิวคงจะรู้สึกหึงไปแล้ว“เสี่ยวปิง เธออยากกินอะไรจ๊ะ? คุกกี้ดีไหม? หรือว่าไก่? หมู หรือเนื้อวัวดีล่ะ?”หลิ่วเมิ่งอิ๋นเอาอาหารออกมาวางให้เสี่ยวปิงดูทีละอย่าง แต่มันไม่แม้แต่จะชายตามองหลิ่วเมิ่งอิ๋นจนปัญญาจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากเย่ซิว “พี่คะ เสี่ยวปิงไม่ยอมกินอะไรเลย ทำย
ทั้งหมดนั่งล้อมวงกินหม้อไฟกันอย่างมีความสุขด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกลมเกลียวหลังจากกินเสร็จเย่ซิวก็พาชูตงกลับบ้าน เพราะเขารู้ว่าหญิงสาวคนนี้คงไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อชูตงเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองสูงมากแม้จะคบกับเย่ซิวแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ยอมใช้เงินของเขา ทุกสิ่งที่เธอต้องการล้วนได้มาด้วยความพยายามของตัวเองเย่ซิวไม่ได้บังคับอะไรจึงอาสาขับรถไปส่งเธอถึงบ้านแทนทันทีที่เข้าบ้าน ชูตงก็โอบคอเย่ซิวไว้ด้วยสองมือ ก่อนที่ริมฝีปากสีแดงสดเผยอขึ้นอย่างเย้ายวน “ฉันอยากบำเพ็ญกับคุณนะ”ครั้งที่อยู่ในภูเขานั้นได้เปิดประตูสู่โลกใหม่ให้กับเธอและเธอสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้อย่างชัดเจนเย่ซิวอุ้มเธอขึ้นแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำไม่นานก็มีเสียงเฉพาะของการบำเพ็ญดังออกมาจากข้างในชูตงรู้สึกยินดีอย่างมากเมื่อสัมผัสได้ถึงร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆไม่นานเธอก็เริ่มรู้สึกถึงพลังภายในที่เย่ซิวเคยพูดถึง ตอนนี้มันกำลังไหลเวียนอยู่ในเส้นลมปราณของเธอในตอนแรกมันอ่อนแอมาก แต่ไม่ถึงชั่วโมงมันก็กลายเป็นเหมือนแม่น้ำที่หลั่งไหล“แกร๊ก!”ในเวลานั้นเอง เสี่ยวเหม่ยก็กลับมาถึงบ้า
ไม่แน่ว่าในตอนนั้นอาจมีปีศาจหรือสิ่งลี้ลับต่าง ๆ ตามไปด้วยการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นย่อมไม่ใช่เรื่องเสียหายแม้ว่าชูตงจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่ต้องแยกจากเย่ซิว แต่เธอก็พยักหน้าอย่างว่าง่ายอวิ๋นเหยานั่งอยู่ริมหน้าต่างอย่างเงียบสงบในสวนสมุนไพรในมือเธอถือหนังสือเล่มหนึ่งและค่อย ๆ พลิกหน้าหนังสือไปอย่างช้า ๆบนโต๊ะมีแก้วน้ำเปล่าตั้งอยู่ แสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาให้ความรู้สึกสงบสุขอย่างแท้จริงหูของเธอกระดิกเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “มาหาฉันเช้าขนาดนี้มีอะไรเหรอ”เย่ซิวตอบตามตรง “สำนักเธอน่าจะใกล้เปิดแล้วใช่ไหม ตอนนี้เราก็ไปกันได้เลย”อวิ๋นเหยาบอกว่าสำนักของเธอจะเปิดทุกหนึ่งเดือนและวันนี้ก็เป็นวันที่ยี่สิบเก้าแล้วปกติแล้วหากสำนักเปิดทุกเดือนจริง ๆ ก็มักจะเปิดช่วงต้นเดือนหรือกลางเดือน และโอกาสที่จะเปิดปลายเดือนนั้นมีน้อยมากอวิ๋นเหยาปิดหนังสือลง ก่อนจะหันไปมองเย่ซิว “จริง ๆ แล้วมันเปิดวันที่หนึ่ง ถ้าจะไปตอนนี้ก็ได้นะ”เย่ซิวเรียกกระบี่หงส์โบยบินออกมาทันทีหลังจากที่เขาก้าวเข้าสู่ระดับจินตานแล้ว สีสันของกระบี่เล่มนี้ก็ยิ่งสดใสยิ่งขึ้นทุกครั้งที่เรีย
“บำเพ็ญตนไปเรื่อย ๆ ก็ทะลวงระดับได้แล้ว” เย่ซิวพูดอย่างขอไปที เขาย่อมไม่มีทางบอกความจริงกับเธออวิ๋นเหยาแค่นเสียงเหอะอย่างเย็นชา ไม่ได้ถามอีก ทว่าในใจกลับกระตือรือร้นมากขึ้นเธอเดาว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วนเย่ซิวน่าจะได้รับถ้ำของยอดฝีมือโบราณมาจริง ๆ จากนั้นได้โอสถวิเศษบางอย่างมาจากในถ้ำนั้นไม่อย่างนั้นเขาจะสามารถมาถึงระดับนี้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้อย่างไรในใจก็คิดว่าถ้าเอาให้ฉัน ฉันทำได้เหมือนกัน“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดไร้สาระแล้ว รีบไปกันเถอะ” เย่ซิวเร่งเร้าอวิ๋นเหยาเก็บความคิดกลับมา มือทั้งสองข้างทำท่ามุทรากระแสน้ำวนปรากฏขึ้นในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวข้างหน้า เธอกระโดดเข้าไปก่อน ตามหลังด้วยเย่ซิวอวิ๋นเหยาดำลงไปจนสุด กัดนิ้วของเธอแล้วใช้เลือดเป็นสื่อกลาง ควบแน่นกระจกขึ้นมาหนึ่งบาน ส่องแสงสีเลือดลงไปที่ก้นแม่น้ำจากนั้นก็เห็นว่าระลอกคลื่นกระจายออกไปทีละวง ๆ ปรากฏม่านกึ่งโปร่งแสงขึ้นมุทราของอวิ๋นเหยาเปลี่ยนไป ฝาครอบก็บิดเบี้ยวเล็กน้อย จากนั้นเปลี่ยนเป็นเส้นทางเดิน เธอเดินนำเข้าไปก่อน ตามหลังด้วยเย่ซิวภาพตรงหน้าเบลอเลือน เท้าของเย่ซิวก็สัมผัสกับพื้นดินรอบด้านวิหกร้องขับขาน กลิ่นหอม
“บอกผมมาว่าจะหลอมรวมมันยังไง”อวิ๋นเหยาบอกเย่ซิวถึงวิธีการหลอมรวมอย่างละเอียดพลังจิตของเย่ซิวแผ่ไปที่ตัวเธออยู่ตลอด หลังจากที่เธอพูดจบ เขาก็ลงมือ พันธนาการเธอให้อยู่กับที่ทันทีน้ำเสียงของอวิ๋นเหยาเย็นเยียบ มุมปากของเธอเหยียดขึ้นอย่างประชดประชัน "ทำไม คุณจะฆ่าฉันเหรอ?"เย่ซิวไม่ตอบ แต่ออกจากที่นี่และไปยังสถานที่ที่สำนักหุ่นเชิดรวบรวมคัมภีร์โบราณต่าง ๆ เอาไว้เมื่อสักครู่นี้เขาได้ใช้พลังจิตเพื่อตรวจสอบทุกสิ่งที่นี่อย่างละเอียดแล้วแม้ว่าพลังจิตจะสัมผัสได้ว่าสาวน้อยคนนี้ไม่ได้โกหก แต่เพื่อความปลอดภัย เย่ซิวจึงยังต้องพลิกผ่านคัมภีร์โบราณของพวกเขาก่อน ตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง เขาถึงจะรู้สึกสบายใจเมื่อผลักประตูอันหนักหน่วงบานนั้นออก เย่ซิวก็เห็นว่ามีคัมภีร์โบราณจำนวนมากอยู่ที่นี่ เกรงว่ามีนับแสนเล่มได้แบ่งพลังจิตออกเป็นหลายร้อยส่วน แล้วแผ่ไปที่คัมภีร์แต่ละเล่ม ทำการค้นหาอย่างรวดเร็วตอนนี้พลังจิตของเขาเรียกได้ว่าแข็งแกร่งมาก เทียบได้กับเครื่องสแกนเนอร์เมื่อสแกนมัน ภาพก็จะติดอยู่ในหัวและจะไม่มีวันลืมตลอดกาลในไม่ช้าเขาก็พบวิธีที่จะหลอมรวมกับสัตว์วิญญาณ เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองแล้ว อว
วิธีการหลอมสัตว์วิญญาณ คือจำเป็นต้องปล่อยให้สัตว์วิญญาณวิ่งผ่านเส้นลมปราณก่อนหนึ่งรอบถ้าลองเปรียบเทียบ ก็จะเหมือนกับการศึกษาเส้นทางก่อนล่วงหน้า ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมก่อนยกตัวอย่างอีกครั้งเช่นคนคนหนึ่งมายังสถานที่หนึ่ง บางคนอาจจะชื่นชอบสถานที่นี้ แต่ก็มีบางคนที่รู้สึกว่าไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ อวิ๋นเหยาจ้องเย่ซิวตาไม่กะพริบ ขณะที่นับเวลาอย่างเงียบ ๆ และตั้งตารอช่วงเวลาที่เขาจะล้มลงส่วนเย่ซิวในตอนนี้ รู้สึกว่ามีบอลเพลิงกำลังพุ่งผ่านเส้นลมปราณในร่างกายของเขาไปอย่างต่อเนื่องแม้ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงอย่างไรก็ตามผลลัพธ์ของมันก็ชัดเจนมากเหมือนกันเส้นลมปราณขยายใหญ่ขึ้น แถมยังถูกเพลิงกิเลนแผดเผาจนแข็งแกร่งขึ้นด้วยนี่ก็เหมือนกับเหล็กชิ้นหนึ่ง เมื่อมันถูกตีด้วยอุณหภูมิที่ร้อนจัด ความหนาแน่นของพลังงานก็ยิ่งสูงขึ้นยิ่งเส้นลมปราณกว้างและแข็งแกร่งมากเท่าใด ภาระที่เกิดจากพลังวิญญาณเมื่อมันขับเคลื่อนก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้นสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นในความช้าเร็วของการร่ายคาถาหลังจากที่สัตว์วิญญาณกิเลนวิ่งผ่านเส้นลมปราณทั้งหมดในร่าง
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน