เขาเปิดโอกาสให้สองสาวได้ตัดสินใจจะเลือกถูกปราบด้วยกำลัง หรือจะเลือกสันติและหลอมรวมมาเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเธอในชั่วขณะนั้นขณะนี้กษัตริย์ถูกควบคุมตัวไว้แล้ว ทั้งสองสาวจึงเป็นบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศตอนนี้ด้วยอิทธิพลของพวกเธอ ตราบเท่าที่ใครสักคนในสองคนนี้อยากจะขึ้นครองบัลลังก์ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยสองพี่น้องตกอยู่ในความขัดแย้งภายในใจด้วยพลังที่เย่ซิวแสดงออกมาให้เห็น ทั้งสองสาวไม่มีข้อสงสัยเลยว่าเขาจะสามารถกวาดล้างผู้นำระดับสูงและกำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศนี้ได้ในเวลาอันสั้นต่อให้พวกเธอจะระดมกำลังต่อต้าน ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม และจะมีแต่ทำให้ผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์หนานกงเสวี่ยผู้เป็นพี่สาวไม่ได้ลังเลนานนัก กัดฟันแล้วพูดกับเย่ซิวว่า “ได้ ฉันตกลง”หนานกงอวี่เองก็พยักหน้ารับเช่นกันเย่ซิวยิ้มเล็กน้อย นั่งลงบนโซฟาแล้วไขว่ห้างอย่างสบายใจ “งั้นก็รีบไปจัดการเถอะ ผมให้เวลาพวกคุณสองวันในการขึ้นสู่อำนาจ พอไหม?”หนานกงเสวี่ยพูดว่า “พอแล้ว คุณพักผ่อนที่นี่ก่อน เราจะเริ่มเคลื่อนไหวทันที”เย่ซิวพยักหน้า เขาไม่ได้ก
เย่ซิวเพลิดเพลินกับการปรนนิบัติของสองพี่น้องอย่างเต็มที่บางทีอาจเป็นเพราะสถานะของหนานกงเสวี่ยในตอนนี้ที่เปลี่ยนไปแล้ว เลยทำให้เย่ซิวรู้สึกแปลกใหม่ในใจบนโลกนี้ นอกจากเขาที่สามารถสั่งให้ราชินีมาปรนนิบัติรับใช้ได้ ยังมีใครอีกที่ได้รับสิทธิพิเศษแบบนี้หากเป็นคนที่ชอบโอ้อวด ป่านนี้คงจะโพนทะนาเรื่องนี้ไปทั่วแล้วในระหว่างกระบวนการนี้ สองพี่น้องก็ก้าวเข้าสู่ช่วงสร้างพื้นฐานได้สำเร็จราบรื่นพวกเธอนั่งขัดสมาธิบนเตียง มีพลังมหาศาลแผ่กระจายออกมารอบตัวกำลังภายในเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ กลายเป็นพลังวิญญาณระดับสูงซึ่งเข้ามาหล่อเลี้ยงร่างกาย ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่า พวกเธอถึงทำให้พลังของตนเองเสถียรขึ้นจากนั้นเย่ซิวก็เริ่มเปิดฉากรุกสองพี่น้องรอบใหม่จุดประสงค์หลักยังคงเป็นการทำให้ภาพลักษณ์ของเขาฝังลึกแน่นในใจของพวกเธอดังที่คำโบราณว่าไว้ การจะพิชิตผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าไม่พิชิตหัวใจของเธอ ก็ต้องพิชิต...ของเธอเย่ซิวไม่มีเวลามากพอที่จะมาพิชิตหัวใจพวกเธอ ดังนั้นเขาจึงเลือกวิธีหลังซึ่งผลลัพธ์ก็ชัดเจนมากสายตาที่สองพี่น้องมองเย่ซิวเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ความคิด
หวังลี่ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างหยุดไม่อยู่ "จะเป็นไปได้ยังไง! พวกคุณกำลังล้อฉันเล่นอยู่ใช่ไหมคะ? บนโลกนี้จะมีผู้ชายคนไหนที่คู่ควรกับพวกคุณ?"ในสายตาของเธอ หนานกงเสวี่ยและหนานกงอวี่เปรียบเสมือนเทพเซียนบนสวรรค์ แล้วคนธรรมดาทั่วไปจะมีสิทธิ์คู่ควรกับพวกเธอได้อย่างไร?นานกงเสวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่พอใจต่อปฏิกิริยาของหวังลี่ "ยังยืนอึ้งอะไรอยู่อีก? รีบมาคารวะคุณเย่เดี๋ยวนี้!"“ฉันไม่เชื่อว่าไอ้หน้าละอ่อนคนนี้จะได้รับความโปรดปรานจากอาจารย์และอาจารย์อา เขาไม่คู่ควร!” หวังลี่ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นพลังปราณสั่นสะเทือน ร่างของเธอก็พุ่งเข้าหาเย่ซิวดั่งเสือดาว ดวงตาของเธอฉายแววอาฆาต “ไอ้หน้าอ่อน ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่านายใช้เล่ห์กลอะไรถึงหลอกพวกเธอได้!”สองพี่น้องหนานกงทั้งตกใจและโกรธจัด พวกเธอไม่คาดคิดเลยว่าหวังลี่จะไร้เหตุผลถึงเพียงนี้แต่ยังไม่ทันที่พวกเธอจะลงมือ เย่ซิวก็ชิงลงมือก่อนแล้วเพียงเห็นเขาค่อย ๆ ยกมือขวาขึ้นอย่างช้า ๆ พลังที่มองไม่เห็นก็กระทบเข้ากับร่างของหวังลี่ร่างของเธอที่พุ่งเข้ามาจู่ ๆ ก็หยุดค้างกลางอากาศ เวลาราวกับหยุดนิ่งในชั่วพริบตาทั้งสามคนในสถานที่นั้นล้วนแสดงสีหน
“ให้ประเทศปิงจือทำการค้าขายอย่างใกล้ชิดกับสำนักโอสถพัฒนาโครงการท่องเที่ยวระหว่างทั้งสองฝ่าย และยกเว้นค่าธรรมเนียมการเข้าประเทศจากนั้นให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันลงทุนสร้างทางด่วนที่ชายแดนของสองประเทศในอนาคตให้พัฒนาเส้นทางรถไฟเพิ่มเติม เนื่องจากฝ่ายสำนักโอสถมีผู้หญิงอยู่เป็นจำนวนมาก จึงสามารถส่งเสริมการแต่งงานข้ามประเทศระหว่างคนของทั้งสองฝ่ายได้”หวังลี่มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เธอนึกถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากแผนการนี้อีกไม่นาน ประชาชนของทั้งสองฝ่ายก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันจนแยกไม่ออก และเมื่อถึงตอนนั้นประเทศปิงจือทั้งหมดก็จะตกมาอยู่ในมือของเย่ซิวเธออดไม่ได้ เงยหน้าขึ้นมองหนานกงเสวี่ยและหนานกงอวี่สองพี่น้องดูเหมือนจะคาดการณ์เอาไว้แล้ว สีหน้าของพวกเธอจึงไม่ได้แสดงถึงความแปลกใจใด ๆพวกเธอคิดตกแล้วแทนที่จะยึดติดกับการปกป้องประเทศปิงจือที่เป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ไม่สู้ร่วมมือกับเย่ซิวเพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าในอนาคต อาจจะสามารถขยายอาณาเขตของประเทศให้ใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัว หรือแม้กระทั่งสิบเท่าตัวเย่ซิวตบต้นขาของหนานกงเสวี่ยเบา ๆ พร้อมกับพูดว่า “พวกคุณไปทำงานเถอะ แล้วรีบเสนอแผนงานมาให
......ทางตอนใต้ของสำนักโอสถมีประเทศเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อว่ากวาจีแม้จะเรียกว่าประเทศ แต่ความจริงแล้วมันก็เป็นการยกยอเกินไปพื้นที่ทั้งหมดของที่นี่มีเพียงประมาณสามพันตารางเมตร ซึ่งเทียบได้กับอำเภอขนาดใหญ่อำเภอหนึ่งของประเทศหลงเถิงประชากรรวมทั้งหมดมีเพียงหกแสนกว่าคน และค่าจีดีพีต่อหัวก็ต่ำมาก ราว ๆ สี่พันห้าร้อยบาทเท่านั้นผู้คนที่นี่อาศัยอยู่เป็นเผ่าต่าง ๆนี่คือสถานที่เล็ก ๆ ที่แม้แต่บนแผนที่โลกก็ยังไม่มีการระบุไว้ผู้ปกครองที่ควบคุมพวกเขาเรียกว่าหัวหน้าเผ่าหัวหน้าเผ่าคนปัจจุบันเพิ่งขึ้นดำรงตำแหน่งได้เพียงสองปี และกำลังต้องการทำการปฏิรูปครั้งใหญ่เพื่อพิสูจน์ความสามารถของตนแต่อุปสรรคใหญ่ที่ต้องเผชิญ คือไม่มีเงินต่อให้มีความทะเยอทะยานแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีเงิน ทุกอย่างก็เป็นไปไม่ได้และสำหรับสถานที่เล็ก ๆ แบบนี้ที่ไม่มีทั้งทรัพยากรแร่ธาตุหรือน้ำมัน จะไปขอยืมเงินจากใครก็คงไม่มีใครยอมให้ยืมประเทศที่ยากจนขนาดนี้ ใครจะอยากเสี่ยงลงทุนด้วยดังนั้นหัวหน้าเผ่าจึงมุ่งเป้าหมายไปที่สำนักโอสถในขณะนี้ เขากำลังเรียกประชุมเหล่าผู้นำระดับสูงของเผ่าทั้งหมดเพื่อหารือ“ตอนนี้พวกเราต้องการพ
"ผมไปเจอเหมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเผ่านั้นครับ"สีหน้าของเย่ซิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย "นายพบมันได้ยังไง?"ชนเผ่านั้นเขารู้จักดี เป็นสถานที่ที่ยากจนมาก จนยิ่งกว่าสถานการณ์ของสำนักโอสถในอดีตเสียอีกอย่าว่าแต่เหมืองเลย แม้แต่ตาน้ำพุยังมีแค่ไม่กี่แห่งกระทิงคลั่งตอบว่า "ตอนผมไล่ตามหัวหน้าเผ่าของพวกเขาใช้ระเบิดไปสองลูก พอดีจุดที่ระเบิดเป็นพื้นที่ซึ่งดินค่อนข้างร่วนจากนั้นบริเวณนั้นก็ถล่มลงไป พอผมเข้าไปดูก็พบว่ามันเป็นเหมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง"เย่ซิวรู้สึกเหลือเชื่อ โชคดีขนาดนี้เชียวเหรอ?เขาจึงถามต่อว่า "เหมืองนั้นเป็นยังไงบ้าง?""ข้างในมีแร่ที่เหมือนทองคำอยู่ แต่มีจุดสีดำปะปน ไม่แน่ใจว่าเป็นแร่ชนิดไหน""มีจุดสีดำปะปนอย่างนั้นเหรอ?!" เย่ซิวดีใจมาก "นายแน่ใจนะว่าไม่ได้มองผิด?""แน่ใจครับ ผมเห็นมันแบบนั้นจริง ๆ""ดีมาก! นายเฝ้าที่นั่นไว้ อย่าไปไหนเด็ดขาด ฉันจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้!"หลังจากวางสาย เย่ซิวก็ไม่เสียเวลาแม้แต่น้อยถ้าสิ่งที่กระทิงคลั่งบรรยายมาให้ฟังเป็นเรื่องจริง เหมืองเล็ก ๆ ที่พบนั่น มีความเป็นไปได้เกือบแปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นแร่ทองคำดำแร่ชนิดนี้ล้ำค่าอย่างมาก แ
แต่นี่ก็ถือว่าเป็นโชคที่คาดไม่ถึง การส่งกระทิงคลั่งออกมานับว่าไม่ได้เสียเปล่าเย่ซิวบอกตำแหน่งของเหมืองถ่านหินให้กระทิงคลั่ง จากนั้นก็ให้หวังซวงและเฉินหลานจัดการส่งคนเข้ายึดพื้นที่นี้ส่วนพวกชาวบ้านของชนเผ่าเหล่านี้ จะถูกผนวกรวมเข้ากับสำนักโอสถและค่อย ๆ ทำการอบรมสอนพวกเขาในภายหลังจากนั้นเย่ซิวก็รีบรุดกลับไปยังห้องลับเพื่อเตรียมสร้างร่างแยกทองคำ......ใต้ผืนทะเลทรายแห่งหนึ่งในประเทศจ้านฉงตี้ มีห้องทดลองชีวภาพขนาดใหญ่อยู่สถานที่แห่งนี้ถูกป้องกันอย่างแน่นหนา แม้จะเป็นกองทัพหนึ่งแสนคนก็ยากที่จะโจมตีเข้ามาภายในเวลาไม่กี่วัน“โฮก โฮก โฮก!”เสียงคำรามอันน่าหวาดกลัวดังก้องจากส่วนที่ลึกที่สุดของห้องทดลอง เสียงนั้นดังเหมือนกับฟ้าผ่าที่ชวนให้แสบแก้วหูเห็นเพียงชายร่างใหญ่คนหนึ่งสูงราวสองเมตรกำลังแหงนหน้าคำรามอย่างบ้าคลั่ง เส้นเลือดที่ผิวหนังปูดโปนขึ้นราวกับงูยักษ์ที่ขยับไปมา ดูน่ากลัวอย่างยิ่งทั่วร่างของเขาปกคลุมไปด้วยขนสีดำที่งอกยาวออกมาและร่างกายก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น เขี้ยวยาวโผล่ออกมา เขากลายร่างเป็นหมีดำยักษ์ที่สูงหกถึงเจ็ดเมตรพื้นเหล็กใต้เท้าของเขา วินาทีนี้แตกร้าวกระจัดกระ
นักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งตอบว่า “ความคืบหน้าก็น่าจะพอ ๆ กัน แต่ดูเหมือนน้องสาวคนสวยของคุณจะไม่ชอบให้มีนักวิทยาศาสตร์ชายคอยมองตอนเธอเปลี่ยนร่าง ดังนั้นพวกเราก็ไม่รู้รายละเอียดเหมือนกันแต่ดูจากเวลาแล้ว อีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็น่าจะรู้ผลแล้วล่ะ”ในห้องทดลองข้าง ๆ กำลังมีเหตุการณ์คล้าย ๆ กันเกิดขึ้น เพียงแต่ครั้งนี้เป้าหมายของการทดลองเป็นผู้หญิงเธอเป็นผู้หญิงที่สูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร รูปร่างสูงโปร่งเป็นอย่างมาก ส่วนที่ควรจะโค้งก็โค้งเว้าได้อย่างสมบูรณ์แบบมีผมยาวลอนใหญ่สีทองเป็นประกายและที่สะดุดตาที่สุดคือผิวของเธอขาวเนียนจนดูเหมือนมีแสงเปล่งประกายออกมาได้ใบหน้าของเธอสวยงามชนิดที่หาได้ยากยิ่ง พอเห็นเธอแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำว่า ‘งามล่มเมือง’ สามคำนี้มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วฉีดยีนเข้าไปในแขนทั้งสองข้างของเธอ จากนั้นก็รีบถอยออกไปไม่นานนัก ร่างกายของเธอก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วเธอแตกต่างจากพี่ชาย ร่างของเธอหลังจากการแปลงร่างมีรูปร่างที่เพรียวยาวกว่า และขนที่งอกขึ้นมาก็เป็นสีเงิน ทำให้ดูสูงส่งยิ่งขึ้นนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่อยู่นอกห้อ
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน