ฉีจื่อฟู่ “…”เขาไม่ชอบ ไม่ชอบมากๆ! เขาอยากจะฝืนร่างกายลุกขึ้นพังบ้านหลังนี้ให้รู้แล้วรู้รอด น้องสี่ทำร้ายจนเขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทว่าท่านพ่อกลับไม่สนใจใยดี หันไปให้ความสำคัญต่อน้องสี่แทนเขาอย่างรวดเร็วจะให้ฉีจื่อฟู่ยอมรับได้อย่างไร?ที่เขาเสียใจมากที่สุดคือ “จือจือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่เจ้าควรให้ความสำคัญมากที่สุดคือข้า ในสายตาเจ้าควรมีเพียงข้า…”“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบม่านหวาและไม่พอใจกับเรื่องที่ข้าเอาเตาอุ่นมือไป แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย เหตุใดเจ้าจึงเห็นแก่ตัวเช่นนี้?”หรงจือจือมีท่าทีจนใจ “ซื่อจื่อ ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าเป็นภรรยาของท่าน แต่ก็เป็นฮูหยินซื่อจื่อของจวนแห่งนี้ด้วยเช่นกัน ย่อมต้องคิดแทนทั้งจวนโหว”“น้องสามีมีอนาคตที่สดใส วันหน้าก็จะช่วยเหลือท่านได้ อีกอย่าง แต่เดิมพวกท่านก็เป็นพี่น้องกันแท้ๆ เหตุใดซื่อจื่อจึงเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเองเช่นนี้?”ฉีจื่อเสียนรีบช่วยพูดว่า “ใช่ ท่านพี่ต่างหากที่เห็นแก่ตัว! พี่สะใภ้หวังดีกับข้าเช่นนี้ ท่านวางใจเถิด ไม่ว่าวันหน้าท่านพี่จะเป็นอย่างไร ข้าก็จะให้ความเคารพเชื่อฟังต่อท่านเฉกเช่นเดียวกับเคารพมารดา”หรงจือจือไม่อยา
ฉีจื่อฟู่เผยอปาก แต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีภายในใจทั้งผิดหวังทั้งเสียใจ ถึงขั้นโกรธแค้นที่หรงจือจือเลือดเย็นกับตัวเอง เหตุใดนางจึงไม่ยอมไปคุกเข่าเพื่อเขา?นางให้ความสำคัญต่อเรื่องของน้องสี่มากกว่าเขาได้อย่างไร ทั้งยังยุยงให้ท่านพ่อทำแบบนี้อีก?เรื่องนี้ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ สมัยที่พวกเขาเพิ่งแต่งงานกัน จือจือจะให้ความสำคัญต่อเขาเป็นอันดับแรกในทุกๆ เรื่อง ไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดก็จะเสนอตัวไปอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเองเมื่อได้ยินว่าปรมาจารย์ซื่อคงมีบัวไหมสวรรค์ นางก็ไม่สนใจร่างกายที่บอบบางของตัวเอง ยอมคุกเข่าขึ้นเขาไปทีละก้าวๆ เพื่อขอโอสถมาให้เขากระทั่งในเวลาที่เขาไม่ยอมกินโอสถเพราะกลัวรสขม นางก็จะปลอบประโลมด้วยรอยยิ้ม บอกว่าเขาทำตัวเหมือนเด็กทว่าตอนนี้…ความแตกต่างนี้ทำให้เขาทั้งรู้สึกอึดอัดและเสียใจ เบ้าตาแดงก่ำ ทิ้งตัวลงนอนด้วยความโมโหและพลิกตัวหันหลังให้ทุกคนทำให้อวี้ม่านหวาที่ตอนแรกร้องไห้อยู่ในอ้อมอก ต้องนิ่งค้างอยู่กลางอากาศอย่างกระอักกระอ่วน “ท่านพี่ฟู่?”ฉีจื่อฟู่คิดว่าจือจือเห็นตัวเองไม่ชอบใจแล้วจะเข้ามาปลอบ แค่ประโยคเดียว เพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น เขาก็จะยอ
หรงจือจือยิ้ม “น้องสามีจริงจังเกินไปแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน ช่วงนี้ท่านแม่ไม่พอใจข้าหลายเรื่อง หากเจ้ามีเวลาว่างก็ไปช่วยพูดให้ข้าหน่อย”ตอนนี้นางถานกำลังเกลียดนางเข้ากระดูกดำ หากลูกชายของนางไปพูดถึงหรงจือจือในทางที่ดีให้ฟัง ไม่รู้ว่าจะทำให้นางถานโมโหจนกระอักเลือดอีกได้หรือไม่?ความจริงแล้วช่วงนี้ฉีจื่อเสียนค่อนข้างไม่ชอบแม่ตัวเอง แต่เพื่อถ้อยคำนี้ของหรงจือจือแล้ว เขาจึงรีบพูดว่า “พี่สะใภ้วางใจเถิด ข้าจะช่วยไปพูดให้แน่นอน ท่านแม่อายุมากแล้ว ไม่ค่อยมีเหตุผลนัก สมควรที่ข้าต้องตักเตือนนาง!”หรงจือจือเดินจากไปด้วยความสบายใจ รอดูว่าวันนี้ลูกประทัดอย่างฉีจื่อเสียนจะทำให้นางประหลาดใจได้อีกหรือไม่ตกค่ำบรรดาบ่าวรับใช้ยกอาหารเข้ามา แต่หรงจือจือเพิ่งจะเริ่มทานอาหารนางก็ได้ยินเสียงรายงานด้วยความยินดีของเจาซี “คุณหนูอาจจะไม่ทราบ คุณชายสี่ไปหานางถาน ทั้งสองคนมีปากเสียงกันเพราะเรื่องของท่าน คุณชายสี่ยังใช้ถ้อยคำรุนแรงหลายคำ ทำเอานางถานร้องไห้ไปหนึ่งชั่วยามและเป็นลมหมดสติ”“ทางนั้นมีทั้งคนพยายามปลุกให้ได้สติ มีทั้งคนไปตามหมอ สถานการณ์วุ่นวายไปหมาย ทว่าคุณชายสี่กลับไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย หลังจาก
เจาซีโมโหวมาก “บังอาจ! กล้าดีอย่างไรมาใช้ถ้อยคำเช่นนี้กับฮูหยินซื่อจื่อ อยากตายใช่หรือไม่?”อวี้ม่านหวาพูดหยามเหยียด “ทำไม? ในท้องข้ามีลูกของซื่อจื่ออยู่ พวกเจ้ากล้าเอาชีวิตข้าจริงๆ รึ?”“ฮูหยินซื่อจื่อ ข้ายอมเรียกท่านว่าฮูหยินก็เพราะให้ความเคารพ หากข้าไม่ให้ความเคารพแล้วล่ะก็ อันที่จริงแล้ว…ข้าต่างหากที่เป็นฮูหยินในสายตาซื่อจื่อ ส่วนท่านก็เป็นแค่อนุ”หรงจือจือรู้สึกขบขันเล็กน้อย “ดูแล้วท่าทีนอบน้อมที่เจ้าแสดงด้านนอกนั่นคงเป็นการตบตาบ่าวรับใช้สินะ”จะแสดงด้านที่แยกเขี้ยวกางเล็บก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้านางหากนางสั่งสอนอีกฝ่ายและถูกบ่าวรับใช้ในจวนเห็นเข้า เช่นนั้นนางก็จะดูเป็นคนเย่อหยิ่งก้าวร้าวที่รังแกคนที่อ่อนแอกว่าอวี้ม่านหวาเชิดคางขึ้น “ใช่! หากฮูหยินซื่อจื่อไม่อยากถูกบ่าวรับใช้ในจวนพูดว่าเป็นหญิงใจดำ ไม่อยากให้ท่านพี่เอาใจออกห่าง ข้าก็แนะนำให้ปล่อยข้ากลับไปเสีย อย่าคิดว่าจะได้ดื่มชาอะไรนั่น มิเช่นนั้น วันหน้าท่านพี่คงยิ่งไม่เหยียบมาที่นี่อีก”เจาชีฟังแล้วโมโห “นังหญิงแพศยานี่กำลังพูดเหลวไหลอะไร? ซื่อจื่อพยายามร่วมเรือนหอกับคุณหนูของพวกข้าหลายครั้ง เป็นคุณหนูของพวกข้าต่างหากที่ไ
ครานี้อวี้ม่านหวาเข้าใจแล้ว ที่หรงจือจือเรียกนางมายกน้ำชาวันนี้ก็เพื่อเอาคืนเรื่องที่นางแย่งเอาเตาอุ่นมือของอีกฝ่ายนางร้อนจนปลายนิ้วกลายเป็นสีแดง พูดหน้าเบ้ว่า “ไม่…ไม่เย็นแล้ว! ฮูหยินซื่อจื่อ เชิญท่านดื่มชา”ทว่าหรงจือจือกลับไม่ยอมรับถ้วยชาเอาแต่มองนางถูกลวกจนแทบบ้าคลั่ง กล่าวอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า “ชอบแย่งของๆ คนอื่นมากขนาดนั้นเชียวหรือ? สามีก็จะแย่ง แค่เตาอุ่นมือก็ยังจะแย่ง?”อวี้ม่านหวากัดริมฝีปาก ใบหน้าเปี่ยมด้วยความอัดอั้นใจ ได้แต่พูดว่า “ข้าไม่กล้าแล้ว! ไม่กล้าอีกแล้ว ฮูหยินโปรดดื่มชา”แต่หรงจือจือยังคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีครั้นเห็นว่าอวี้ม่านหวาเริ่มตัวสั่นและยกถ้วยชาใบนั้นได้ไม่มั่นหรงจือจือก็เอ่ยเตือนอย่างเรียบนิ่ง “หากน้ำชาหกเลอะกระโปรงข้า เจ้าต้องยกน้ำชาใหม่อีกครั้ง”อวี้ม่านหวามีแต่ต้องยกถ้วยชาให้มั่นอีกครั้งนางเหมือนจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้วหรงจือจือพูด “ซื่อจื่อไม่อยู่ที่นี่ คิดว่าเจ้าคงเข้าใจว่าน้ำตาของเจ้าใช้ไม่ได้ผลกับข้า จริงสิ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าผู้ใดเป็นอนุนะ?”ตอนนี้อวี้ม่านหวาสำนึกเสียใจเจียนตาย หากรู้แต่แรกว่าหรงจือจือจะไม่เป็นไปตามที่นางคิดไว้ วัน
กระทั่งชาถ้วยนั้นเย็นลงแล้ว หรงจือจือถึงค่อยๆ รับมาแต่อวี้ม่านหวายังไม่ทันจะได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกหรงจือจือก็สาดชาอุ่นถ้วยนั้นใส่หน้าของอวี้ม่านหวา ทำเอาอวี้ม่านหวาร้องออกมาด้วยความตกใจ “กรี๊ด…ฮูหยินซื่อจื่อ นี่ท่าน…”หรงจือจือวางถ้วยชาลงก่อนจะเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย “เจ้ากล่าววาจาไร้ยางอาย ข้าจึงช่วยล้างหน้าเรียกสติ”“ต่อไปจะได้เลิกภูมิใจต่อคำพูดและการกระทำชั้นต่ำไร้ยางอายของตัวเอง ทำให้สามีของตนขายหน้า”“ประเดี๋ยวเจ้ากลับไปร้องไห้ฟ้องเขาก็บอกเขาด้วยล่ะว่า ไม่ต้องขอบคุณที่ข้าเป็นห่วงชื่อเสียงของเขา นี่เป็นสิ่งที่นายหญิงเช่นข้าสมควรทำอยู่แล้ว”อวี้ม่านหวาหน้าซีดเขียวนึกไม่ถึงว่าหรงจือจือจะคาดเดาได้ว่านางจะกลับไปร้องไห้ฟ้องฉีจื่อฟู่ แต่นางไม่กลัวสักนิดเลยหรือ?เมื่อเห็นความประหลาดบนสีหน้าอวี้ม่านหวาหรงจือจือก็เงยหน้าพูดด้วยความดูถูก “หากครั้งหน้าคิดจะมาหาเรื่องข้าอีกก็จำไว้สองเรื่อง เรื่องแรก ตีงูต้องตีให้ตาย อย่าได้เอาของที่ไม่ได้มีความสำคัญสำหรับศัตรูมาข่มขู่”นี่อีกฝ่ายคิดว่านางกลัวว่าจะถูกเอาไปฟ้องฉีจื่อฟู่หรือ? บัดนี้ฉีจื่อฟู่นับว่าเป็นอะไรสำหรับนางกัน?ใบหน้าของอวี
หญิงสาวที่ถูกปลดนั้นเสียหายมากกว่าการหย่ามาก จะกลายเป็นที่น่าขันของทั้งแคว้นต้าฉี!นางหมกมุ่นกับชื่อเสียงขนาดนั้น สกุลหรงใส่ใจชื่อเสียงมากถึงขนาดนั้น เอาไว้เห็นหนังสือปลดภรรยาจากเขาแล้ว นางก็จะเข้าใจเองว่า เขาสามารถทำให้นางตกสู่นรกได้ด้วยกระดาษแผ่นเดียว ไม่อาจพลิกฟื้นเมื่อต้องอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวลนลาน นางต้องไม่กล้าทำเช่นนี้กับม่านหวาอีกแน่นอน!ในท้องของม่านหวามีลูกของเขาอยู่ ลูกของเขาก็เปรียบเสมือนลูกของหรงจือจือเช่นกันไม่ใช่หรือไร? อนาคตก็ต้องเรียกหรงจือจือว่าท่านแม่มิใช่หรือ? การที่นางรังแกแม่ผู้ให้กำเนินของลูกเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไร้เหตุผลชัดๆ!อวี้ม่านหวาตาเป็นประกาย นางพูดยุแยงต่อ “ท่านพี่ฟู่ ฮูหยินซื่อจื่ออาจจะโมโหเพียงชั่ววูบเพราะโกรธเคืองเรื่องเตาอุ่นมือก็เป็นได้ ท่านอย่าได้ถือสาหาความกับนางเลยเจ้าค่ะ…”แล้วก็เป็นไปดังคาด ฉีจื่อฟู่ได้ฟังดังนี้ก็ยิ่งโมโห “ก็แค่เตาอุ่นมืออันเดียว ข้าถูกทำร้ายจนมีสภาพนี้ ส่วนของก็ถูกนางเอากลับคืนไปแล้ว นางยังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีก?”“เจ้ารู้ความขนาดนี้ ไม่ว่าอะไรก็ยอมให้นางทุกอย่าง แต่นางกลับเอาแต่ใช้อำนาจ ข้าคิดถูกแล้วที่จะให้นางเป็นอนุ
เจาซีถอนหายใจเบา ๆ พลางกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “โชคดีที่ก่อนหน้านี้ท่านขอหนังสือหย่า และไม่วางแผนจะอยู่กับเขาต่อ มิเช่นนั้นลองคิดดู แค่อนุอวี้ยุยงไม่กี่คำ ฉีจื่อฟู่ก็อยากมอบหนังสือปลดภรรยาให้ท่าน เช่นนั้นจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรเล่าเจ้าคะ!”ขณะที่พูด เจาซีก็โกรธจนขอบตาแดงก่ำไปหมดแล้วเพียงแต่นางนึกอะไรขึ้นมาได้อีก “แต่เมื่อครู่หากท่านโหวกับคุณชายสี่โน้มน้าวซื่อจื่อไม่ได้ แม้หนังสือปลดภรรยาจะไม่กระทบชื่อเสียงของท่าน พวกเราก็ต้องออกจากจวนโหว หลังจากไปแล้วการแก้แค้นจะไม่ยากขึ้นหรือเจ้าคะ?”นางถานยายแก่จอมเจ้าเล่ห์ที่สมควรตายนางนั่นยังมีชีวิตอยู่!หรงจือจือหลุดขำออกมาเสียงหนึ่ง “เจ้าวางใจเถอะ ซิ่นหยางโหวกับฉีจื่อเสียนจะโน้มน้าวเขาแน่ และขอเพียงซิ่นหยางโหวบังคับ ก็จะทำให้ให้เขาฉีกหนังสือปลดภรรยาได้แล้ว”เจาซีเห็นความมั่นใจของคุณหนู ก็วางใจไปหลายส่วนแล้ว แต่ยังคงกล่าวว่า “หากทราบเช่นนี้ ตอนออกจากจวนน่าจะส่งคนเข้าไปแอบฟังเสียหน่อยนะเจ้าค่ะ”หรงจือจือกล่าวอย่างราบเรียบ “ไม่มีอะไรน่าฟังหรอก ก็แค่สองพ่อลูกร่วมมือกัน สอนฉีจื่อฟู่ว่าได้รับผลประโยชน์แล้วค่อยถีบหัวส่งข้าก็เท่านั้นเอง”“และบอกฉีจ
เสิ่นเยี่ยนซูดวงตาเย็นยะเยือก และเดินไปตรงหน้าหรงเจียวเจียวเขามองนางด้วยสายตาที่เหนือกว่า พลางถามเสียงเย็นว่า “เจ้าว่าผู้ใดเป็นคนชั้นต่ำ?”เขามักจะมีอำนาจในฐานะผู้เหนือกว่าอยู่เสมอ ทำเอาหรงเจียวเจียวตกใจสีหน้าซีดเผือด อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าและถอยหลังไปหนึ่งก้าว น้ำตาก็คลอเบ้า จนแทบจะไหลลงมาอีกครั้งนางกล่าวด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา “ข้า ข้า ข้า...”ดวงตาที่เสิ่นเยี่ยนซูมองนาง มองราวกับเป็นของที่ตายแล้ว “วันนี้ข้าจะให้เกียรติมหาราชครูหรง”“เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่สองชั่วยาม ตบหน้าหนึ่งร้อยที ก็จะสามารถลุกขึ้นได้”“หากครั้งหน้าข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้อีก ลิ้นของเจ้าก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป องครักษ์หลงสิงมีวิธีดึงลิ้นออกมามากมาย เข้าใจหรือไม่?”หรงเจียวเจียวตกใจมากจนฉี่จะราดอยู่แล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้ว่า ชายที่ตนเองชื่นชอบ มีด้านที่น่ากลัวเช่นนี้ด้วย จึงกล่าวด้วยตัวสั่นเทิ้มว่า “เข้า เข้าใจเจ้าค่ะ!”เสิ่นเยี่ยนซูหัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อและจากไปหรงจือจือเห็นเช่นนี้ ยังตกตะลึงอยู่เล็กน้อยแม้ท่านย่าจะเอ็นดูนาง แต่ก็ไม่ค่อยออกไปด้านนอก ดังนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรก ที่นางสัม
สายตาที่ประจบของฮูหยินหลี่ มองไปทางหรงจือจือ “จือจือ ได้ยินว่าเจ้าเป็นสตรีผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาตั้งนาน ไม่สู้เจ้าแต่งกวีเสียหนึ่งบท จะได้เปิดหูเปิดตาให้พวกข้าด้วย!”หรงจือจือกล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่ได้เตรียมตัว ให้คนอื่นแต่งดีกว่าเจ้าค่ะ”สีหน้าของฮูหยินหลี่ดูจะเก็บอาการไม่ค่อยอยู่แล้ว แต่ก็รู้ ว่าก่อนหน้านี้ตนเองประพฤติตัวไม่ดี หรงจือจือจะโกรธก็สมควร ดังนั้นจึงเดินไปตรงหน้าหรงจือจือเมื่อจับมือของนาง ขณะที่ยิ้มก็กล่าว “เจ้ามีความคิดที่ปราดเปรื่อง การแต่งบทกวีจำเป็นต้องเตรียมตัวเสียที่ใด? ตอนนี้สุ่มเขียนมาเสียหนึ่งบท คิดดูแล้วก็ดีมากแล้ว”หรงจือจือดึงมือของตนเองออกมาจากอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พูดขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นป้าสะใภ้บอกว่า วันนี้ข้าไม่ได้รับเชิญไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ จริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ท่านเสนาบดี ทุกท่าน ขอให้เพลิดเพลินให้เต็มที่ ข้าขอตัวลาไปก่อนเจ้าค่ะ!”ขณะที่พูด หรงจือจือก็ลุกขึ้นเตรียมจะจากไปฮูหยินหลี่ตื่นตระหนกแล้ว จึงรีบกล่าว “นี่...จือจือ เข้าใจผิด! ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด! ป้าสะใภ้แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะจึงพู
แม้หรงจือจือเห็นท่าทางของเซิ่งเฟิง ล้วนยังต้องหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดมุมปากไว้เล็กน้อย ก็ไม่รู้ว่าเสิ่นเยี่ยนซูไปหาคนที่มีอารมณ์ขันเช่นนี้มาจากที่ใดช่างน่าสนุกยิ่งนัก!เดิมทีหรงเจียวเจียวไม่สบายใจ ยังถูกเซิ่งเฟิงก่อเรื่องเช่นนี้อีก ก็เกิดความคิดอยากตายขึ้นมาจริง ๆ แล้ว “ข้า ข้า...”คิดว่าวันนี้ชื่อเสียงของตนเองคงเสียหายเป็นแน่ นางจึงตัดสินใจทุ่มสุดตัวไปเลย!ขณะมองหรงจือจืออย่างดุร้ายก็กล่าวว่า “หรงจือจือ เจ้าตั้งใจขโมยงานแต่งของข้าใช่หรือไม่? เจ้าก็แค่ไม่อยากให้ข้ามีชีวิตที่ดี เจ้า...”หรงจือจือยังไม่ทันได้เอ่ยปากเสิ่นเยี่ยนซูก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ไร้สาระ! เดิมทีก็เป็นของของนาง เหตุใดต้องพูดถึงการขโมยด้วย? เจ้าไม่ลองดูใบหน้าของลูกพี่ลูกน้องเจ้า และคิดดูอีกทีว่าควรจะพูดจาไร้สาระต่อไปหรือไม่”เพียงคำพูดเดียว ก็ทำให้หรงเจียวเจียวสั่นสะเทือนแล้วจากสีหน้าของเสิ่นเยี่ยนซู นางมองออก ว่าเขาไม่ได้กำลังล้อเล่นกับนาง หากตนเองโวยวายต่อไป มีหวังโดนตบหน้าจริง ๆ แน่เห็นนางสงบลงได้เสียทีฮูหยินหนิงกั๋วกงก็ยิ้มพลางกล่าว “ครั้งก่อนข้าไปงานเลี้ยงของสกุลฉี เห็นสกุลฉีวุ่นวายไปหมด แม่นา
เขาเอ่ยเน้นย้ำทีละคำอย่างชัดเจน “คุณหนูสามหรง เจ้าฟังให้ดี ก่อนหน้าวันนี้ แม้แต่หน้าตาของเจ้าเป็นเช่นไรข้าก็ยังไม่รู้ชัด ไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งเจ้าเป็นชายาเลยแม้แต่น้อย”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ที่ข้าต้องการสู่ขอ ก็คือพี่สาวของเจ้ามาโดยตลอด หากเจ้ายังไม่เชื่อ ก็ลองกลับไปสอบถามบิดาของเจ้าดูเถิด”หรงเจียวเจียวส่ายศีรษะไปมา ไม่อาจยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ได้นางยังคงคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าหาใช่ความจริงไม่ แต่เป็นเพียงฝันร้ายอันน่าสะพรึงกลัวเท่านั้น นางยิ่งร่ำไห้สะอึกสะอื้นหนักกว่าเดิม “ไม่จริง เป็นไปได้อย่างไร... เป็นไปไม่ได้...”ในชั่วขณะนั้นเอง บ่าวรับใช้ของจวนตระกูลหลี่ ก็ได้พาเหวินหมัวมัวเข้ามาด้านในพอเหวินหมัวมัวเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ก็รู้ได้ทันทีว่าคงเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นแล้วเป็นแน่เฉินเยี่ยนซูเหลือบมองเหวินหมัวมัวแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดูท่าแล้ว เจ้าคงมาเพื่อจะบอกคุณหนูสามของเจ้ากระมัง ว่าแท้จริงแล้วผู้ที่ข้าต้องการหมั้นหมายด้วยคือผู้ใดกันแน่?”เมื่อท่านอัครมหาเสนาบดีเอ่ยถาม มีหรือที่เหวินหมัวมัวจะกล้าไม่ตอบ? นางรีบคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าซีดขา
ครานี้ ทุกผู้คนต่างตกตะลึงงัน สายตาตำหนิหลายคู่พลันจับจ้องไปยังฮูหยินหลี่อะไรกัน! ในเมื่อไม่ได้หมั้นหมาย แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาหลอกลวงพวกเรา? เช่นนั้นเมื่อครู่พวกเราก็ประจบเอาใจนางเสียเปล่าไปตั้งนานนะสิ?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่พวกเราต้องสรรหาคำเยินยอหรงเจียวเจียวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเมื่อครู่นั้น มันต้องสิ้นเปลืองความคิดอ่านไปมากเพียงใด? สมองแทบจะระเบิดอยู่แล้ว!ฮูหยินหลี่เองก็ตกตะลึงงันไปเช่นกัน ตามเหตุผลแล้ว นาวหวังไม่น่าจะวิปลาสถึงขั้นกุเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้! เมื่อเห็นสายตาตำหนิของผู้คนจับจ้องมา นางจึงพยายามอธิบายอย่างตะกุกตะกัก “ไม่... ไม่ใช่! ข้า... เจียวเจียว นี่มันเรื่องอันใดกันแน่!”หรงเจียวเจียวมองไปยังเฉินเยี่ยนซู ด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ “ท่านอัครมหาเสนาบดี! ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้! ท่านเห็นข้าโกรธจนเอ่ยปากขอถอนหมั้น ท่านไม่คิดจะง้อก็แล้วไปเถิด แต่ยังจะกล่าวปดว่าไม่เคยมาสู่ขอข้าอีกอย่างนั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ประกอบกับเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของหรงเจียวเจียว ผู้คนก็เริ่มรู้สึกสับสนขึ้นมาอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความกังขาจับจ้องสลับไปมาระหว่า
หรงเจียวเจียวชะงักไปครู่หนึ่ง “อ๊ะ?”จ้าวหมัวมัวกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีคงต้องการจะแสดงอำนาจความเป็นสามี ทั้งยังต้องการจะดูท่าทีคุณหนูด้วยว่าจะยอมอ่อนข้อให้เขาหรือไม่ อย่างไรเสีย ฐานะฮูหยินของราชเลขาธิการผู้ทรงเกียรติ จะเป็นเพียงสตรีที่เอาแต่ใจตน พอเขาขุ่นเคืองก็เอาแต่ร้องขออภัยไปเสียทุกเรื่องไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”หรงเจียวเจียวมีสีหน้าลังเล “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”จ้าวหมัวมัวกล่าว “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ต้องเป็นเช่นนี้เป็นแน่! คุณหนู ท่านต้องรู้จักแสดงความอ่อนแอบ้าง คนที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งและทรงอำนาจเช่นท่านอัครมหาเสนาบดี หรือจะยอมลดตัวลงมาง้อคุณหนูได้เล่าเจ้าคะ?”หากไม่เช่นนั้นแล้ว จะอธิบายได้อย่างไรว่าเหตุใดท่านอัครมหาเสนาบดีจึงจงใจสร้างความลำบากให้คู่หมั้นของตนต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้เล่า?เมื่อสองนายบ่าวปรึกษาหารือกันเสร็จสิ้นในที่สุดหรงเจียวเจียวก็รวบรวมความกล้าได้ นางรอจนกระทั่งบัณฑิตผู้หนึ่งแต่งบทกวีเสร็จสิ้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดี... ข้ารู้ตัวว่าผิดไปแล้ว ท่านจะโปรดให้ข้าลุกขึ้นได้หรือไม่เจ้าคะ เจียวเจียวปวดเข่าเหลือเกิน พื้นก็ทั้งเย็นทั้งแข็
ทุกคนย่อมเห็นแผ่นหลังของหรงเจียวเจียวที่กำลังหันหลังจากไป และพอจะเดาได้ว่านางกำลังแสดงความเอาแต่ใจออกมาบรรดาสตรีที่สนิทสนมกับหรงเจียวเจียวต่างแอบตำหนิอัครมหาอัครมหาเสนาบดีเฉินอยู่ในใจ ว่าช่างไม่รู้จักถนอมบุปผาเทิดทูนหยกล้ำค่าเอาเสียเลย เหตุใดจึงไม่รู้จักไว้หน้าคู่หมั้นของตนเองเช่นนี้?เฉินเยี่ยนซูสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของหรงเจียวเจียวอยู่แล้ว จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หยุดอยู่ตรงนั้น!”ฝีเท้าของหรงเจียวเจียวพลันชะงัก นางคิดในใจ ในที่สุดเขาก็เรียกข้าแล้ว หรือว่าในใจเขายังคงเป็นห่วงข้าอยู่?นางแค่นเสียงหึเบาๆ แล้วหันไปมองเฉินเยี่ยนซู “ในใจของท่าน ไม่ใช่มีเพียงแต่พี่สาวของข้าหรอกหรือ? แล้วจะมารั้งข้าไว้อีกด้วยเหตุใด?”กล่าวจบ นางก็เช็ดน้ำตาพลางหันเสี้ยวหน้าอย่างดื้อรั้นให้เฉินเยี่ยนซูมองนางเชื่อว่าเมื่อเขาเห็นหยาดน้ำตาบนใบหน้าของนาง จะต้องสำนึกได้แน่ว่าตนเองทำผิดไปแล้ว นางเคยส่องกระจกพิจารณาดูตนเองยามร้องไห้อย่างละเอียดแล้ว รู้อยู่แก่ใจว่าท่าทางเช่นนี้จะยิ่งขับเน้นความงดงามแววตาของเฉินเยี่ยนซูเย็นชา “ในใจของข้ามีผู้ใดอยู่ ถึงตาเจ้ามาสอดปากวิจารณ์ด้วยหรือ?”หรงเจียวเจียวฟั
ถึงจะอยู่ที่บ้านตระกูลหลี่ แต่เมื่อนางทำผิด หากเฉินเยี่ยนซูไม่เอ่ยอนุญาต นางก็ไม่อาจนั่งได้เมื่อได้รับอนุญาตให้นั่งจากเฉินเยี่ยนซู หลี่เซียงเหยากลับยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ นางรู้สึกราวกับว่าพี่เขยสาม ผู้นี้กำลังตบหน้านางอย่างแรง แล้วค่อยยื่นขนมหวานปลอบใจ ทว่าการตบหน้านี้ช่างหนักหน่วงเหลือเกินนางร่ำไห้ออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อระคนน้อยใจ “ขอบคุณท่านอัครมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ!”เมื่อครู่หรงเจียวเจียว ไม่ได้ออกหน้าช่วยนาง ตอนนี้จึงรีบเข้ามากล่าวกลบเกลื่อน “เหยาเหยา เห็นหรือไม่ ท่านอัครมหาเสนาบดียังคงให้ความสำคัญกับเจ้านะ ถึงได้อนุญาตให้เจ้าอยู่ในงานเลี้ยงแต่งบทกวีต่อ!”เฉินเยี่ยนซูเอ่ย “ย่อมต้องให้ความสำคัญ”หรงเจียวเจียวพลันยิ้มออก นางคิดว่าอย่างไรเสียท่านอัครมหาเสนาบดีก็ต้องไว้หน้านางบ้าง แต่คาดไม่ถึงว่าเฉินเยี่ยนซู จะเอ่ยประโยคถัดมาว่า “หากนางจากไปแล้ว ไม่มีนางอยู่ที่นี่เป็นข้อเปรียบเทียบ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าจุดจบของการลบหลู่ท่านหญิงเป็นเช่นไร?”ทุกคน “…”เหล่าสตรีที่เมื่อครู่ร่วมวงนินทาหรงจือจือ ตอนนี้ต่างรู้สึกชาวาบไปทั้งศีรษะ!ส่วนหรงเจียวเจียวยิ่งหน้าเขียวคล้ำ นางเข้าใจในท
วันนี้หรงจือจือถึงได้รู้ว่า อันที่จริงเฉินเยี่ยนซูคนผู้นี้ใจดำอำมหิตเป็นอย่างมาก บางทีก่อนหน้านี้ที่เขาไม่รู้จักเจียวเจียวอาจเป็นเรื่องจริง แต่ตอนนี้ที่บิดเบือนความหมายของหรงเจียวเจียว เขาต้องจงใจเป็นแน่สายตาของทุกคนเองก็ตกไปที่ตัวหรงจือจือที่พวกเขากระแหนะกระแหนอยู่นานสองนานนี่...เหตุใดท่านเสนาบดีจัดการเรื่อง ไม่ให้หน้าหรงเจียวเจียวแม้แต่น้อยก็ช่างมันเถอะ ยังจะถามความเห็นของหรงจือจืออีก? นี่หากไม่รู้ ยังคิดว่าคู่ที่ดูตัวหมั้นหมายกัน เป็นหรงจือจือจริง ๆ เสียอีก!หรงจือจือทำทีท่าไม่เกี่ยวกับตน ตอบกลับชืด ๆ ว่า “เรื่องนี้ท่านเสนาบดีตัดสินใจก็พอเจ้าค่ะ”เฉินเยี่ยนซูพยักหน้า ก่อนจะกวาดสายตามองไปที่หรงเจียวเจียว “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะถูกตบปากไปด้วย?”จากสายตาของเขา หรงเจียวเจียวมองออกว่า เขาพูดจริง และไม่ได้ล้อเล่นกับตน สีหน้าของนางก็ยิ่งซีดเผือดเข้าไปอีกนางรีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ข้า...ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้นเจ้าค่ะ!”หลี่เซียงเหยามองพี่หญิงสามของตนอย่างยากจะเชื่อทีหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะตนช่วยนางพูด ก็คงไม่ตกมาอยู่ในขั้นนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่อยากแยแสตนเฉินเยี่ยนซูกวาดสา