รัตติกาลถูกย้อมด้วยเปลวเพลิง แผ่นดินสะอื้นครวญคร่ำร่ำไห้ โชคชะตาชิงชังกักขังข้าฯไว้ หนึ่งปรารถนาเพียงใจได้พบนาง หลินอวี่เหยา นักพฤกษศาสตร์สาววัย 25 ปีมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 21 ประสบอุบัติเหตุขณะค้นหาพรรณไม้โบราณที่คาดว่าสาบสูญไปครึ่งศตวรรษ เมื่อฟื้นอีกครั้ง เธอมาอยู่ในร่างสนมหลินอวี่เหยาผู้มีชีวิตแสนน่าเวทนาในตำหนักเย็น นี้ หญิงสาวใช้ความสามารถด้านพฤกษศาสตร์เปลี่ยนตำหนักเย็นให้กลายเป็นบ้านที่แสนน่าอยู่ หวังเพียงให้ตนเองมีชีวิต อยู่รอดตามคำสั่งเสียของบิดามารดา “มีชีวิตอยู่ให้ดีให้มีความสุข” ในค่ำคืนหนึ่ง บุรุษในชุดดำหลบหนีการตามล่าเข้ามาซ่อนตัวในตำหนักเย็น หลินอวี่เหยาแม้ไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นใครแต่ก็ช่วยชีวิตของเขาไว้ ใครเลยจะรู้ว่า ด้ายแดงแห่งโชคชะตาจะนำพาเธอข้ามกาลเวลาเพื่อพบเจ้าของเสียงในห้วงฝัน และ ปลดปล่อยหัวใจจ้าวปีศาจที่โศกเศร้าอาดูรนับพันปี
View Moreรัตติกาลถูกย้อมด้วยเปลวเพลิง
แผ่นดินสะอื้นครวญคร่ำร่ำไห้
โชคชะตาชิงชังกักขังข้าฯไว้
หนึ่งปรารถนาเพียงใจได้พบนาง
เสียงรำพึงรำพันหวานโศกล่องลอยในอากาศราวกับวงแขนที่โอบรัดทว่ามองไม่เห็น ความหนาวเย็บเสียดแทงทุกอณูเนื้อของร่างกายเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว ปรารถนาเพียงการจำนนเพื่อปลดปล่อยจากความเจ็บปวดทั้งหลายทั้งมวล ทว่าเสียงขับร้องบทกวีซ้ำๆ เรียกสติที่เหลือน้อยนิด เหนี่ยวรั้งให้กลับมา
‘ไม่ต้องกลัว ข้าจะตามหาเจ้า ไม่ว่ากี่ชาติภพ ข้าจะตามหาเจ้าให้พบ’
‘ไม่ต้องกลัว’
คล้ายมีก้อนเหนียวหนืดติดอยู่ในลำคอ ในที่สุดหญิงสาวสำลักจนอาเจียนออกมาหมดสิ้น ร่างบอบบางพลิกตัวโกงคออาเจียนเป็นน้ำเหนียวข้นสีเหลือง บนพื้นที่มีหิมะปกคลุมบางเบาแต่กลับเห็นได้ชัดว่า นางสำรอกเอาน้ำย่อยออกมา
“ดีแล้วๆ อ้วกออกมาให้หมด” มือหยาบกระด้างตบแผ่นหลังของหญิงสาว “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว”
กระเพาะแสบร้อนไปหมด แต่กระนั้นกลับเรียกสติให้หญิงสาวได้เป็นอย่างดี ดวงตางดงามกวาดมองไปถ้วนทั่วแต่กลับยิ่งมึนงงสับสน
“เด็กน้อยของข้า” มือข้างนั้นยังคงลูบแผ่นหลังของนาง “รักษาชีวิตไว้เถิด ให้สมกับที่แม่เจ้ามอบชีวิตนางเพื่อเจ้า”
“คุณ...คุณน้าพูดเรื่องอะไรกันคะ”
กว่าจะเค้นเสียงพูดออกมาได้ก็แสนยากเย็น ลำคอแผดร้อนไปหมด เจ้าของดวงตาคู่งามเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาจ้องมองเจ้าของมือหยาบกระด้าง สตรีตรงหน้าปล่อยผมยาวกระเซอะกระเซิง สวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีขาวขุ่น ใบหน้าเหลือเค้าโครงความงามในอดีตทว่ายามนี้หมองคลำและผอมจนแก้มซูบตอบเห็นเป็นกระดูกที่โหนกแก้ม
“เจ้าพูดอันใดกัน หรือป่วยไข้จนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว”
“ที่นี่...” ไม่อยากจะใช้คำถามนี้เลย แต่หญิงสาวก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะใช้ประโยคไหนดี “ที่นี่ที่ไหนคะ”
“แย่แล้วๆ เจ้าป่วยหนักจริงๆ รีบเข้าไปด้านในเถิด แม้ยามนี้ปลายฤดูหนาวแล้ว แต่เจ้าดูสิหิมะยังหนาอยู่ ปีนี้หนาวรุนแรงเหลือเกิน”
ท่าจะป่วยหนักจริงๆ? หญิงสาวยันกายลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก อาจเพราะก่อนหน้านี้ฟุบอยู่บนพื้นที่ปกคลุมด้วยหิมะทำให้เสื้อผ้าที่สวมเปียกชื้น ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นทันที
“เหยาเอ๋อร์ แม้ถูกทอดทิ้งให้อยู่ที่ตำหนักเย็นแห่งนี้ แต่เจ้าไม่ต้องทรมานตนเองจนรีบร้อนไปปรโลกเลย”
“เหยาเอ๋อร์” หญิงสาวยกนิ้วชี้ที่ตัวเอง “คุณน้ารู้จักชื่อของฉันหรือคะ”
สตรีผู้นั้นเบิกตาโตจ้องมองดรุณีที่เคยงดงามราวกับดอกกล้วยไม้ แล้วก็ส่ายหน้าด้วยความเวทนาใจ
“หลินอวี่เหยาเอ่ย แม้แต่ชื่อตัวเองยังจำไม่ได้ แล้วเจ้าจำข้าได้หรือไม่ ข้าจื่อหนิง เจ้าจำได้หรือไม่ ข้าเคยได้ยินว่าคนป่วยไข้บางครั้งก็เลอะเลือนจดจำตัวเองไม่ได้”
“หลิน-อวี่-เหยา อ๊ะ!”
หญิงสาวยกมือขึ้นกุมขมับ เพียงก้าวเท้าเข้ามาในห้องที่ทรุดโทรมแทบป้องกันไอเย็นไม่ได้เลย ร่างบอบบางก็ทรุดลงไปนั่งบนพื้น ราวกับมีพายุโหมกระหน่ำในศีรษะความทรงจำราวสายน้ำหลากโหมกระหน่ำถาโถมจนแทบสำลัก ในที่สุดหญิงสาวก็รู้ว่า ‘หลิวอวี่เหยา’ คือใคร
“นี่...ตำหนักเย็น...” หญิงสาวพึมพำหลังอาการปวดศีรษะเบาบางลงแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นอีกครั้ง พื้นเย็นเหลือเกิน เสื้อผ้าก็บาง มิน่าเล่า เจ้าของร่างนี้จึงล้มป่วยจนสิ้นใจ
ถูกแล้ว หลินอวี่เหยาเจ้าของร่างนี้สิ้นลมไปแล้ว แต่หลินอวี่เหยาที่ประสบอุบัติเหตุตกเขาทะลุมิติมาในยุคจีนโบราณมาอยู่ในร่างของนางสนมอวี่เหยาที่ถูกป้ายความผิดและขับไล่มาที่ตำหนักเย็นแห่งนี้
“ฉัน...ข้า...ไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณท่านน้าจื่อหนิงที่ช่วยเหลือ”
“เช่นนั้น ข้ากลับแล้วนะ”
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวจะเดินไปส่งแค่อีกฝ่ายโบกมือไปมา
“ไม่ต้องๆ ข้ากลับเองได้” จื่อหนิงกล่าวแล้วก็เดินหลังงุ้มกลับไป
หลังมือที่มีรอยแผลเป็นจากไฟไหม้ชวนให้รู้สึกหดหู่น่าสงสารยิ่ง
แต่ตอนนี้หลินอวี่เหยาสงสารตัวเองมากที่สุด
หญิงสาวเดินไปรินน้ำดื่ม น้ำเย็นชืดจนอยากหลั่งน้ำตา หนาวก็หนาวแล้วต้องมาดื่มน้ำเย็นอีก ไม่ต้องเดาเลยว่าแม้แต่ใบชาก็ไม่มี ทว่าน้ำเย็นที่ดื่มลงไปก็ช่วยเรียกสติให้หญิงสาวได้อีกครั้ง
แค่พริบตา หลิวอวี่เหยาที่กำลังเดินป่าขึ้นเขาเพื่อไปสำรวจตรวจสอบพรรณไม้โบราณกับทีมนักสำรวจอีกสามคนเดินและชาวบ้านที่ชำนาญเส้นทาง ทว่ากลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน หญิงสาวผลัดหลงกับคนอื่นและลื่นไถลตกเขา ความเจ็บปวดแสนสาหัสนำพาให้มาสู่ยุคจีนโบราณแห่งนี้
“ฮัดเช้ย!” เสียงจามติดๆ กันอีกหลายครั้งทำให้หลิวอวี่เหยาไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่น รีบไปค้นหาเสื้อผ้าแห้งสำหรับผลัดเปลี่ยน เมื่อถอดชุดที่เปียกชื้นออกผลันปรากฏเรือนร่างผอมบางจนเห็นกระดูก น่าจะเรียกได้ว่า ‘หนังหุ้มกระดูก’ จากความทรงจำที่ได้รับมาก็ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าของร่างนี้อยู่ในสภาพนี้
อยู่ที่นี่ได้สามสี่วันเหยาเหยาก็เริ่มคุ้นชินกับดินแดนอันมืดมิดนี้ แท้จริงก็ไม่ได้มืดมิดเสียทีเดียว มีกลางวันกลางคืนไม่ต่างจากดินแดนที่นางถือกำเนิด นางไม่มีความทรงจำก่อนที่จะถูกชุบชีวิต แต่ซ่งเหอเทียนจวินเป็นยิ่งกว่าอาจารย์ เป็นเช่นเดียวกับผู้ให้กำเนิดนางจึงไม่อาจเมินเฉยเมื่อรู้ว่าเขาต้องลำบากเพราะนางเป็นต้นเหตุ เยี่ยหรงไม่ได้กักขังนาง เพียงแค่ให้อยู่ในตำหนักนี้ นางจึงออกมาเดินเล่นนอกห้องโดยมีบ่าวรับใช้ติดตามหลายคน แรกๆ นางรู้สึกเหมือนถูกจับตามอง แต่เมื่ออยู่ด้วยกันหลายวันจึงรู้ว่าพวกเขาแค่เห็นนางเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่อยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา แม้รูปร่างหน้าตาผิดแผกจากที่นางเคยพบเห็น แต่ทุกตนล้วนจิตใจดี ดูใสซื่อน่ารักมากจริงๆ ทำให้นางไม่รู้สึกเหงาหรือหวาดกลัวพวกเขา “ที่นี่ปลูกต้นไม้ได้สินะ” “ฮูหยินต้องการต้นอะไรเจ้าคะ” บ่าวรับใช้เอ่ยถาม อยู่ใกล้ชิดหลายวันก็พลอยชื่นชอบแม่นางคนงามไปด้วย ได้รับใช้ฮูหยินจอมมารที่มีใบหน้ายิ้มแย้มและจิตใจอ่อนโยนย่อมดีกว่ารับใช้ท่านจอมมารที่ต้องคอยดูสีหน้าทุกครั้งไป “ไม่ใช่แบบนั้น คือ...ข้าชอบปลูกต้นไ
เหยาเหยาแม้เคยถูกตำหนิเวลาทำผิดแต่ยังไม่เคยถูกใครชี้หน้าสาปแช่งเช่นนี้มาก่อน หญิงสาวตกใจอยู่บ้างแต่ก็มิได้ตอบโต้สิ่งใด แต่รับรู้ว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่กำลังจะก้าวเท้าไปด้านหน้า นางจึงคว้ามือของเขาแล้วกุมไว้แน่น เยี่ยหรงถึงกับชะงักแล้วหลุบตามองนิ้วมือที่สอดประสานกับนิ้วของเขาอยู่ ภาพนั้นยิ่งทำให้จิ้งหว่านเดือดดาลหนักมากขึ้นจนไม่อาจทนดูได้อีก นางสะบัดหน้าหมุนกายซ่อนหยาดน้ำตาที่หลั่งรินแล้วใช้พลังเวทเปิดทางหายตัวไปทันที “อย่ากลัวไปเลย” “ไม่ได้กลัว แค่ตกใจ ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็น ‘ท่านพี่เยี่ยหรง’ของผู้อื่นด้วย” “แค่กๆ” เยี่ยหรงถึงกับสำลักน้ำลายตนเอง “นางเรียกข้าเอง ข้ามิได้ให้นางเรียกเช่นนั้น” “อย่างนั้นรึ” นางบีบมือเขาแน่นขึ้น ท่าทางร้อนรนนี้ทำให้นึกถึงเจ้าเสือดำตัวน้อยที่นางพยายามทำแผลให้ครั้งนั้น เหล่าปีศาจรับใช้เห็นภาพนี้แล้วก็ต่างอมยิ้มค่อยๆ โผล่ออกมาจากเงามืด มือของนางเล็กแต่อบอุ่น ชีพจรมั่นคงทำให้เขารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มโน้มหน้าลงกระซิบแผ่วเบาแต่ลมหายใจอุ่นร้อนทำให้แก้มนวลแดงเรื่อ
“นี่มันอะไรกัน” จิ้งหว่าน- ปีศาจสาวสวมชุดสีแดงเพลิงเดินเข้าในตำหนักของจอมมารแต่สัมผัสได้ว่ามีม่านเวทกั้นขวางไว้อยู่ นางหงุดหงิดหัวเสียกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ บรรดาบ่าวรับใช้ลอบส่ายหน้าถอนหายใจไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ “ซ่อนผู้ใดไว้รึ เหตุใดต้องป้องกันถึงเพียงนี้” “นั้นเป็นห้องของท่านจอมมาร หากไม่ได้รับคำสั่งก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้” แม้เป็นเพียงปีศาจชั้นต่ำแต่พวกเขาเคารพเพียงจอมมารเยี่ยหรงเท่านั้น ส่วนผู้นั้นพวกเขาเคารพแค่พอเป็นพิธีไม่ถึงต้องทำตามคำสั่งแม้กับแม่นางจิ้งหว่านผู้เป็นธิดาเผ่างูโลกันต์ที่เสพพลังวิญญาณเป็นอาหาร เหนือสิ่งอื่นใดคือทุกตนรู้ว่าจิ้งหว่านหลงรักจอมมารเยี่ยหรงมาเนิ่นนาน แต่ท่านจอมมารไม่เคยชายตามอง แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าเพราะมีนางในดวงใจอยู่แล้ว หญิงใดก็ไร้ความหมาย“ท่านพี่เยี่ยหรงอยู่ที่ใด ข้ามาพบเขา” นางพูดพลางยกมือขึ้นกอดอกเชิดใบหน้าขึ้นแค่เห็นท่านหญิงจิ้งหว่านก็รู้แล้วว่ามาพบผู้ใด บรรดาปีศาจตนเล็กตนน้อยต่างลอบถอนหายเบื่อหน่าย“ท่านจอมมารมิให้ผู้ใดเข้าพบขอรับ”“เจ้ายังไม่ได้ไปรายงาน จะรู้ได้อย่างว่าท่านพี่เยี่ยหรง
หญิงสาวขยับตัวอย่างอ่อนล้า ทันทีที่ลืมตาตื่นก็พบใบหน้าของชายหนุ่มหลับใหลอยู่ข้างกาย ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับความฝัน แต่ความเจ็บปวดที่หลงเหลืออยู่นั้นคือความจริง เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ใบหน้างามก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้งเหยาเหยาอยากจะทุบเขานักเพราะไม่รู้จักรักหยกถนอมบุผาบ้างเลย มิรู้อดยากมาจากไหนหรือเห็นนางเป็นอะไรกลืนกินลงท้องแทบไม่เหลือกระดูก“เจ้าจะรีบตื่นไปใย” น้ำเสียงเกียจคร้านเอ่ยถามทั้งที่ดวงตายังปิดอยู่ แขนกำยำโอบรั้งงร่างเล็กเข้ามาใกล้ หญิงสาวขยับตัวขัดขืน พลันนึกได้ว่าร่างกายของทั้งสองยังเปลือยเปล่า นางจึงใช้มือเล็กๆ ดันแผ่นออกของเขาไว้“ห้ามเข้ามาใกล้ข้าอีก อย่ามาแตะต้องตัวข้า” เพราะหญิงสาวเป็นคนอ่อนโยนมาแต่ไหนแต่ไร ต่อให้นาง ‘ดุ’แค่ไหนก็ฟังแล้วคันหัวใจยุบยิบเสียมากกว่า ทว่าเยี่ยหรงฟังแล้วเหมือนกำลังแง่งอนเขาอยู่ นั่นทำให้ปีศาจหนุ่มลืมตาขึ้นมองพร้อมรอยยิ้มที่ชวนให้ตาพร่าไปชั่วขณะ“ท่านจะยิ้มอะไร” นางขึงตาใส่“เหยาเอ๋อร์น่ากลัวจริงๆ” เขาพูดพลางยื่นจมูกไปดมกลิ่นหอมจากกายนาง นี่ถ้าเมื่อคืนเขาไม่สร้างเขตเวทกั้นเอาไว้ เกรงว่าทั้งจวนของเขาคงได้กลิ่นหอมแสนรัญจวนนี้แล้ว“เ
“ข้า...จะค่อยๆทำ แรกๆจะเจ็บเล็กน้อย...เจ้าอย่ากลัว” เห็นสีหน้าทุกข์ทรมานของเขาแล้ว นางก็เข้าใจดีจึงพยักหน้ารับ มุมปากปรากฏรอยยิ้มที่ชวนให้ตาพร่า ไม่เคยรู้เลยว่าบุรุษผู้นี้ยามยิ้มจะดูหล่อเหลาร้ายกาจถึงเพียงนี้ แต่เมื่อหลุบตาลงก็เห็นท่อนเนื้อใหญ่ยาวนั้นตรงหว่างขาของเขา นางถึงกับอ้าปากค้างและเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาก็รีบส่ายหน้าไปมา“ใหญ่โตเกินไป ขะ...เข้าไปไม่หมดหรอก”นางก็มิได้ไร้เดียงสา เพียงแค่เคยศึกษาจากตำราแพทย์เท่านั้น แต่ไม่เห็นหรือสัมผัสของจริงเลยสักครั้ง และไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ เส้นเลือดที่โอบรัดลำเอ็นนั้นดูคล้ายเถาวัลย์พันเกี่ยวเพิ่มความใหญ่โตให้ลำเอ็น“เหยาเอ๋อร์...ข้าต้องการเจ้า...เจ้าเพียงผู้เดียว” เหมือนถูกล่อลวงด้วยภาพตรงหน้า กระทั่งเขาโน้มหน้าลงมอบจุมพิตร้อนปล้นชิงสติของนางไปหมดสิ้น นิ้วมือทำงานคล่องแคล่วแหวกกลีบเนื้อให้แหวกออกก่อนค่อยดุนดันส่วนปลายเข้าไปในถ้ำร้อนและชื้นแฉะ เพราะเกรงร่างกายนางจะรับไม่ไหว เขาจึงค่อยๆ ดุนลำเอ็นเข้าออกเพิ่มความลึกเข้าไปที่ละนิด เสียงหวานครางในปากของเขา ทุกการขยับเพิ่มความเสียดเสียวเรียกร้องน้ำหวานอาบไล้ลำเอ็นทำให้การเคลื่อนไหวเ
“อือ...ร้อน...ร้อนจัง” เสียงหวานครางแผ่วอย่างทรมานฟังแล้วน่าสงสารชวนให้ปลดปล่อย เยี่ยหรงกระชับร่างเล็กในวงแขนแนบอกมากยิ่งขึ้นราวกับจะซุกซ่อนนางไว้ไม่ให้ผู้ใดพบเห็น บรรดาบ่าวรับใช้ปีศาจก้มหน้าไม่สบตาทว่าทุกตนได้กลิ่นปราณบริสุทธิ์ของดอกบัวน้อย สำหรับเหล่าปีศาจแล้วสิ่งนั้นเสมือนโอสถทิพย์ที่เพิ่มพลังให้ตน พวกเขาต่างกล่ำกลืนความหิวกระหายลงท้อง เพราะสตรีผู้นั้นเป็นของท่านจอมมารผู้ปกครองแดนโลกันต์ แต่เหนือกว่านั้นจอมมารผู้นี้คือผู้ชุบชีวิตพวกเขา แม้เป็นเพียงปีศาจชั้นต่ำแต่พวกเขาก็รักษาคำมั่นสัญญาที่จงรักภักดีรับใช้ท่านจอมมาร ปีศาจหนุ่มเดินเข้าห้องแล้วก็สร้างม่านเวทมนตร์ปิดกั้นอีกชั้น เขารู้ว่ากลิ่นกายนางยามนี้เย้ายวนมากเพียงใด เขาประคองร่างเล็กลงบนเตียงอย่างเบามือ นางแค่จิบไปจอกเดียวไม่คิดว่าจะเมามายถึงเพียงนี้ หญิงสาวนั่งบนเตียงใหญ่ ใบหน้างามแดงก่ำ ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นเพื่อหอบหายใจ มือเรียวเล็กพยายามทึ้งเสื้อผ้าที่สวมอยู่ออก “อึดอัด ร้อน” นางยู่ปากใส่ “เจ้าให้ข้าใส่เสื้อผ้าอะไรก็ไม่รู้” “เป็นข้าที่ผิดเอง” เขาปลอบประโลมแล้วใช้กรงเล
Comments