หรงจือจือหลุดขำออกมา นางไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายพูดเหล่านี้ออกมาอย่างมั่นใจเช่นนี้ได้อย่างไรหรงเจียวเจียวเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของเขา ส่วนตนเองก็ไม่ใช่พี่สาวแท้ ๆ ของเขาแล้วเช่นนั้นหรือ?นางกล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าพูดได้ถูกต้อง ข้าโชคร้ายมาก”ไม่รู้เพราะเหตุใด หรงซื่อเจ๋อถึงดูเหมือนจะโกรธมากขึ้น หลังจากได้ยินประโยคนี้เขามองหรงจือจือ ยิ้มเสียงเย็นพลางกล่าว “ในเมื่อเจ้ารู้ตัวว่าเจ้าโชคร้าย เช่นนั้นเจ้ายังไม่รีบตอบตกลงด้วยความซาบซึ้งในเมตตาอีกหรือ? นั่นก็เพราะเจียวเจียวถือว่าเจ้าเป็นพี่หญิงจากใจจริง ถึงไม่รังเกียจเจ้าอย่างไรเล่า!”หรงจือจือ “ข้ากลับคิดต่างจากเจ้า ในเมื่อรู้ว่าข้าโชคร้าย เจ้าไปหาคนที่เป็นมงคลและนำโชคดีกว่านี้ มาทำเสื้อผ้าให้หรงเจียวเจียวไม่ดีกว่าหรือ”“มิเช่นนั้นหากนางถูกข้าลากจนในอนาคตต้องหย่าร้างไปด้วยจะทำเช่นไร? ถึงตอนนั้น เจ้าที่เข้ามาหาข้าเพื่อต้องการเสื้อผ้าชุดนี้ไป ก็จะเป็นผู้กระทำผิดเช่นกัน”หรงซื่อเจ๋อ “เจ้า...”ในช่วงขณะนั้นเขาถึงกับถูกทำให้ฉุนจนไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรหรงจือจือกล่าวต่ออีกว่า “อีกอย่างเจ้าบอกว่า ฉีจื่อฟู่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ในเมื่อเจ้าช
แม้แต่หรงจือจือก็มักจะรู้สึกว่า มีคนยุยงอยู่ระหว่างกลาง แต่หรงซื่อเจ๋อไม่ยอมพูดอะไรเลย และแม้จะมีเรื่องเข้าใจผิด ก็ไม่รู้จะแก้ไขที่ส่วนใดดีหรงซื่อเจ๋อกล่าวด้วยดวงตาที่มืดมน “ไม่มีอะไรเข้าใจผิดทั้งนั้น ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องสกปรกที่เจ้าทำ! ข้าแค่กลัวว่าหากพูดออกไป เจ้าจะอับอายจนถึงแก่ความตายก็เท่านั้น!”“คำพูดไร้สาระพวกนี้วันหลังไม่จำเป็นต้องพูดขึ้นอีก ทว่าชุดกระโปรงนี่เจ้าแค่บอกมาว่าจะทำหรือไม่แค่นั้น หากไม่ทำ เจ้าอย่ามาโทษที่ข้าไม่ยอมรับเจ้าว่าเป็นพี่หญิงในภายหลังก็แล้วกัน!”ทันทีที่พูดคำนี้ หรงซื่อเจ๋อก็สะบัดชายเสื้อ และก้าวเท้ายาวจากไปเจาซีมองหรงจือจืออย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นหรงจือจือรู้สึกหดหู่เล็กน้อย นางไหนเลยจะไม่รู้ว่าคุณหนูกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อก่อนพี่น้องมีความผูกพันที่ลึกซึ้ง แต่ตอนนี้กลับเดินมาถึงจุดนี้มันจะดีกว่าหากไม่ผูกพันกันตั้งแต่แรก เพราะมันจะยิ่งทำให้เศร้าใจและทรมานมากขึ้นเจาซีกระซิบถาม “คุณหนู เช่นนั้นเสื้อผ้านี้ ท่าน...จะทำหรือไม่เจ้าคะ?”นางคิดว่าไม่ควรทำแต่เมื่อก่อนคุณหนูดันใส่ใจน้องชายคนนี้มาก ตราบใดที่คุณหนูสามารถทำได้ ก็จะตอบรับคำขออยู่เสมอในน้
หรงจือจือใส่ใจหรงซื่อเจ๋อคนนี้มากเพียงใด ในใจของหรงจือจือย่อมรู้ชัดแน่นอนตอนเป็นเด็กพี่รองคนนี้ของตน นอกจากท่านย่าที่อยู่ในเรือนแห่งนี้ ยังเป็นเพียงคนเดียวที่เต็มใจใกล้ชิดกับหรงจือจือ ดังนั้นหรงจือจือจึงหวงแหนเขามากเช่นกันเมื่อเห็นหรงซื่อเจ๋อพูดเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นหรงเจียวเจียวเองก็รู้ว่า เรื่องนี้เป็นที่มั่นใจเก้าในสิบแล้ว......เที่ยงของวันรุ่งขึ้นหรงจือจือเห็นเจาซีเข้ามาด้วยด้วยสีหน้าแปลก ๆ และเอ่ยปากรายงานว่า “คุณหนู เจ้าพวกนักเล่านิทานด้านนอกมากมาย พากันพูดเรื่องของท่านกับสกุลฉีมั่วซั่วไปหมดแล้วเจ้าค่ะ...” “เห็นได้ชัดว่าสกุลฉีทำให้ท่านผิดหวัง ภายหลังกลับพูดเหมือนว่าท่านทำผิดต่อสกุลฉีเสียนี่”“บ่าวไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เจ้าค่ะ เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อนผู้คนต่างด่าทอคนสกุลฉี แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตอนนี้ถึงเริ่มด่าท่านแล้ว”หรงจือจือกล่าวเสียงเรียบ “เพราะข้าในเมื่อก่อน เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของหญิงสาวที่น่าสงสารที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ และทนทุกข์อย่างถึงที่สุดในสายตาของชาวโลก พวกเขาจึงเห็นใจข้าบ้างเป็นธรรมดา” “แต่ตอนนี้ข้าหย่าร้างแล้ว ข้าทำให้พวกเขารู้ว่า ตอ
แต่นางเซี่ยไม่ยอมรับในตัวนางหรงจือจือพูด “ต่อไปอย่าพูดเรื่องพวกนี้อีก ในเมื่อข้ารับปากนางเซี่ยไปแล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะกลับคำ”“เอาแต่คิดเรื่องพวกนี้ไปก็มีแต่จะเพิ่มความคิดที่ไร้ประโยชน์ให้กับเจ้า หรือหากแพร่งพรายออกไปก็จะกระทบต่อชื่อเสียงของทั้งสองฝ่าย”ไม่รู้ว่าการกระทำของจีอู๋เหิงวันนี้จะทำให้เกิดข่าวลือหรือไม่เจาซีตอบอย่างไม่เต็มใจนัก “บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าหัวใจของเจาซีกำลังหลั่งโลหิต ที่คุณหนูต้องพลาดจากบุรุษที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้สองนายบ่าวคุยกันถึงแค่ตรงนี้คนเฝ้าประตูเดินเข้ามารายงาน “คุณหนู ฉีอวี่เยียนมาหาขอรับ ร้องโวยวายอยู่ด้านนอกว่าต้องการพบท่าน!”เมื่อนึกถึงยามที่ออกจากสกุลฉีเมื่อวาน ฉีอวี่เยียนข่มขู่ว่าจะฆ่าตัวตายเพื่อบีบให้หรงจือจือทิ้งสินเดิมไว้ ครั้นได้ยินว่าอีกฝ่ายมาหาในวันนี้ หรงจือจือก็ย่อมรู้ว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอนเอ่ยปากตอบทันทีว่า “ไม่พบ!”นางนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าตัวเองออกจากสกุลฉีมาแล้ วแต่ก็ยังจะโดนคนสกุลฉีตามหลอกหลอนไม่เลิกอีก นางคิดว่าตราบใดที่คดีของอวี้ม่านหวายังไต่สวนไม่เสร็จสิ้น สกุลฉีก็น่าจะต้องปวดหัวกับเรื่องน
หรงเจียวเจียวฟังถึงตรงนี้ก็รีบพูดตาม “นั่นสิเจ้าคะพี่หญิง อย่าก่อเรื่องอีกเลย รีบตามคุณหนูสามจากสกุลฉีกลับไปเถิด”“การที่นางมารับถึงที่นี่ก็แสดงให้ถึงความจริงใจของสกุลฉี จะเล่นตัวก็เล่นแค่พอเป็นพิธี เล่นมากไปจะหมดความหมาย”นางว่าจบก็ดันฉีอวี่เยียนเบาๆ “ยังไม่รีบพูดจาดีๆ กับพี่หญิงของข้าอีก?”ฉีอวี่เยียนฟังหรงเจียวเจียวพูดแบบนี้แล้ว มีหรือจะเห็นหรงจือจืออยู่ในสายตาอีก มองว่าก็แค่เศษสวะที่อยากตามตัวเองกลับสกุลฉีแต่ชอบวางท่าเล่นตัวพูดเย้ยหยันว่า “หรงจือจือ ข้าพูดในสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว จะกลับหรือไม่กลับก็แล้วแต่! ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด”หรงเจียวเจียวมองหรงจือจือ “ท่านพี่ คุณหนูสามสกุลฉีโมโหแล้วเจ้าค่ะ หากท่านยังไม่รีบกลับไป ทำให้ผลประโยชน์ตกเป็นของสตรีคนอื่นขึ้นมาจะทำอย่างไรเจ้าคะ?”“ข้าเพียงแต่กลัวว่าผลประโยชน์จะตกไปเป็นของผู้อื่น กลัวว่าท่านจะหยิ่งในศักดิ์ศรี ด้วยเหตุนี้จึงต้อนรับนางแทนท่าน”“สกุลฉีเป็นครอบครัวอันเพียบพร้อมที่หาได้ยากยิ่ง พี่เขยเป็นคนดีที่หาได้ยากเช่นกัน แม้ว่าช่วงนี้จะทำผิดพลาดไปเล็กน้อย แต่ข้าก็เชื่อว่าเขาจะแก้ไขปรับปรุงได้อย่างแน่นอน ท่านรีบไปเก็บของเถิด!”
หรงจือจือพูดจบก็หันตัวเดินนำเจาซีจากไปหรงเจียวเจียวรีบร้องขึ้น “หรงจือจือ ท่านจะไปไหน? นางมาหาท่านนะ!”ฉีอวี่เยียนเข้ามาคว้าแขนหรงเจียวเจียวเอาไว้ “ไม่ ข้ามาหาเจ้าต่างหาก! จะมาหานางทำไม?”“ความจริงแล้วข้ารู้สึกถูกชะตากับเจ้าตั้งแต่แรกเห็น! จริงสิ ขนาดหรงจือจือยังมีปะการังต้นใหญ่ เจ้าเป็นที่โปรดปรานของครอบครัวขนาดนี้ คิดว่าท่านแม่ของเจ้าน่าจะมอบให้อย่างน้อยสองต้นใช่หรือไม่?”“รอให้ถึงวันที่ข้าแต่งงานออกเรือน เจ้าแบ่งให้ข้าต้นหนึ่งได้หรือไม่? ข้าขอแค่ต้นเดียวเท่านั้น ถือว่าไม่มากเกินไปกระมัง?”“พี่หญิงของเจ้าตระหนี่มาก ตอนนั้นข้าขอร้องจนปากเปียกปากแฉะ แต่นางกลับไม่ยอมยกให้แม้เพียงครึ่งต้น เจ้าทั้งใจกว้างทั้งใจดีขนาดนี้ คิดว่าคงไม่ใจแคบกระมัง?”หรงเจียวเจียว “เจ้า เจ้า…”นางไม่เคยพบเจอคนไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อน มันทำให้นางโมโหจนไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรต่อดีที่ทำให้นางโมโหหนักเข้าไปอีกก็คือ ฉีอวี่เยียนมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดว่า “แม้ว่ารูปโฉมจะด้อยกว่าพี่หญิงของเจ้าไปบ้างและมีกิริยามารยาทสง่างามไม่เท่านาง แต่ก็ถือว่าสะสวย”“แต่หากครอบครัวพวกข้าต้องมีสะใภ้ที่โดดเด่นไม่เท่าเดิม
สมัยที่หรงจือจือยังไม่ออกเรือน เมื่อไรที่นางหวังโมโหแบบนี้ หรงจือจือจะมายืนอยู่เบื้องหน้าอย่างเชื่อฟังทุกครั้งไปไม่ว่านางหวังจะสั่งให้นางคุกเข่ายอมรับผิดหรือตบหน้า หรงจือจือก็ไม่เคยบ่นแม้แต่คำเดียวทว่าวันนี้ นางหวังเดินเข้ามาอาละวาดแล้วเห็นหรงจือจือนั่งนิ่งอยู่ในตำแหน่งประธาน ในมือถือถ้วยชาพร้อมกับจิบอย่างสง่างาม ทั้งยังเพียงแค่ปรายตามองไปที่นางหวังอย่างเรียบเฉยสายตาเรียบนิ่งเฉยเมยนี้เกือบทำให้นางหวังเป็นลมหมดสตินางโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม ชี้หน้าหรงจือจือว่า “เจ้าเห็นว่าข้าเข้ามาแล้ว เหตุใดยังไม่มาทำความเคารพอีก?”หรงจือจือพูดอย่างราบเรียบ “เคารพอันใดกัน? บัดนี้ข้าเป็นท่านหญิงขั้นที่สอง แต่ฮูหยินไม่ได้มีตำแหน่งอะไรเลย หากจะทำความเคารพจริงๆ เกรงว่าคงเป็นท่านมากกว่าที่ต้องทำความเคารพข้า!”นางเข้าใจแล้ว ในเมื่อบัดนี้นางเป็นท่านหญิง เช่นนั้นก็ควรใช้ตำแหน่งนี้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตตัวเองบ้างนางหวังเกือบต้องโมโหอกแตกตายเพราะคำพูดของหรงจือจือ นั่นเพราะนางไม่ได้มีตำแหน่งฮูหยินตราตั้งขั้นสูง ตำแหน่งฮูหยินตราตั้งขั้นที่หนึ่งที่มีก่อนหน้านี้ถูกมหาราชครูหรงยกให้กับฮูหยินผู้เฒ่า ยังไม่มีโอกาส
นางหวังพูดด้วยความรังเกียจ “เสื้อผ้าพวกนี้ถูกทิ้งไว้ที่เรืออี๋เหมยจนแปดเปื้อนไปด้วยความอัปมงคลหมดแล้ว เจียวเจียวของข้าไม่มีทางใส่อีกแน่ ข้าจะสั่งตัดเสื้อผ้าให้นางใหม่ เอาเสื้อผ้าพวกนี้ไปเผาทิ้งให้หมด!”พูดจบก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองครั้นเห็นนางเดินห่างออกไปไกลเจาซีก็อดบ่นเสียงเบาไม่ได้ว่า “เสื้อผ้าที่หรงเจียวเจียวเคยสวมต่างหากที่อัปมงคล เก็บไว้ที่นี่ไปก็ไม่เป็นมงคลต่อคุณหนูของข้า เผาทิ้งก็ดีเหมือนกัน ถุย!”อวี้หมัวมัวมองนางปราดหนึ่ง “บัดนี้อยู่ที่จวนสกุลหรง ระวังคำพูดและกิริยาด้วย”เจาซีมุ่ยปากแล้วไม่พูดอะไรอีกเมื่ออวี้หมัวมัวหันตัวกลับก็เห็นหรงจือจือมองออกไปนอกหน้าต่าง มองไปยังกำแพงเรือน สายตาราวกับมองผ่านชายคาออกไปยังโลกกว้างด้านนอกจวนสกุลหรง ภาพนี้ทำให้อวี้หมัวมัวตื่นตระหนกไปชั่วขณะและในจังหวะนี้เองที่หรงจือจือสั่งให้คนปิดประตูจากนั้นถามขึ้นว่า “อวี้หมัวมัว หลังจากที่พบตัวผู้สมรู้ร่วมคิดที่ร่วมมือกับนางถานสังหารท่านย่าแล้ว ข้าจะย้ายออกจากจวนไปเริ่มต้นครอบครัวใหม่ของตัวเองดีหรือไม่?”สุดท้าย เรื่องที่อวี้หมัวมัวหวาดกลัวก็มาถึงจนได้นางรีบตอบกลับไป “คุณหนู ไม่ได้เด็
เสิ่นเยี่ยนซูดวงตาเย็นยะเยือก และเดินไปตรงหน้าหรงเจียวเจียวเขามองนางด้วยสายตาที่เหนือกว่า พลางถามเสียงเย็นว่า “เจ้าว่าผู้ใดเป็นคนชั้นต่ำ?”เขามักจะมีอำนาจในฐานะผู้เหนือกว่าอยู่เสมอ ทำเอาหรงเจียวเจียวตกใจสีหน้าซีดเผือด อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าและถอยหลังไปหนึ่งก้าว น้ำตาก็คลอเบ้า จนแทบจะไหลลงมาอีกครั้งนางกล่าวด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา “ข้า ข้า ข้า...”ดวงตาที่เสิ่นเยี่ยนซูมองนาง มองราวกับเป็นของที่ตายแล้ว “วันนี้ข้าจะให้เกียรติมหาราชครูหรง”“เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่สองชั่วยาม ตบหน้าหนึ่งร้อยที ก็จะสามารถลุกขึ้นได้”“หากครั้งหน้าข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้อีก ลิ้นของเจ้าก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป องครักษ์หลงสิงมีวิธีดึงลิ้นออกมามากมาย เข้าใจหรือไม่?”หรงเจียวเจียวตกใจมากจนฉี่จะราดอยู่แล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้ว่า ชายที่ตนเองชื่นชอบ มีด้านที่น่ากลัวเช่นนี้ด้วย จึงกล่าวด้วยตัวสั่นเทิ้มว่า “เข้า เข้าใจเจ้าค่ะ!”เสิ่นเยี่ยนซูหัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อและจากไปหรงจือจือเห็นเช่นนี้ ยังตกตะลึงอยู่เล็กน้อยแม้ท่านย่าจะเอ็นดูนาง แต่ก็ไม่ค่อยออกไปด้านนอก ดังนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรก ที่นางสัม
สายตาที่ประจบของฮูหยินหลี่ มองไปทางหรงจือจือ “จือจือ ได้ยินว่าเจ้าเป็นสตรีผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาตั้งนาน ไม่สู้เจ้าแต่งกวีเสียหนึ่งบท จะได้เปิดหูเปิดตาให้พวกข้าด้วย!”หรงจือจือกล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่ได้เตรียมตัว ให้คนอื่นแต่งดีกว่าเจ้าค่ะ”สีหน้าของฮูหยินหลี่ดูจะเก็บอาการไม่ค่อยอยู่แล้ว แต่ก็รู้ ว่าก่อนหน้านี้ตนเองประพฤติตัวไม่ดี หรงจือจือจะโกรธก็สมควร ดังนั้นจึงเดินไปตรงหน้าหรงจือจือเมื่อจับมือของนาง ขณะที่ยิ้มก็กล่าว “เจ้ามีความคิดที่ปราดเปรื่อง การแต่งบทกวีจำเป็นต้องเตรียมตัวเสียที่ใด? ตอนนี้สุ่มเขียนมาเสียหนึ่งบท คิดดูแล้วก็ดีมากแล้ว”หรงจือจือดึงมือของตนเองออกมาจากอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พูดขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นป้าสะใภ้บอกว่า วันนี้ข้าไม่ได้รับเชิญไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ จริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ท่านเสนาบดี ทุกท่าน ขอให้เพลิดเพลินให้เต็มที่ ข้าขอตัวลาไปก่อนเจ้าค่ะ!”ขณะที่พูด หรงจือจือก็ลุกขึ้นเตรียมจะจากไปฮูหยินหลี่ตื่นตระหนกแล้ว จึงรีบกล่าว “นี่...จือจือ เข้าใจผิด! ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด! ป้าสะใภ้แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะจึงพู
แม้หรงจือจือเห็นท่าทางของเซิ่งเฟิง ล้วนยังต้องหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดมุมปากไว้เล็กน้อย ก็ไม่รู้ว่าเสิ่นเยี่ยนซูไปหาคนที่มีอารมณ์ขันเช่นนี้มาจากที่ใดช่างน่าสนุกยิ่งนัก!เดิมทีหรงเจียวเจียวไม่สบายใจ ยังถูกเซิ่งเฟิงก่อเรื่องเช่นนี้อีก ก็เกิดความคิดอยากตายขึ้นมาจริง ๆ แล้ว “ข้า ข้า...”คิดว่าวันนี้ชื่อเสียงของตนเองคงเสียหายเป็นแน่ นางจึงตัดสินใจทุ่มสุดตัวไปเลย!ขณะมองหรงจือจืออย่างดุร้ายก็กล่าวว่า “หรงจือจือ เจ้าตั้งใจขโมยงานแต่งของข้าใช่หรือไม่? เจ้าก็แค่ไม่อยากให้ข้ามีชีวิตที่ดี เจ้า...”หรงจือจือยังไม่ทันได้เอ่ยปากเสิ่นเยี่ยนซูก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ไร้สาระ! เดิมทีก็เป็นของของนาง เหตุใดต้องพูดถึงการขโมยด้วย? เจ้าไม่ลองดูใบหน้าของลูกพี่ลูกน้องเจ้า และคิดดูอีกทีว่าควรจะพูดจาไร้สาระต่อไปหรือไม่”เพียงคำพูดเดียว ก็ทำให้หรงเจียวเจียวสั่นสะเทือนแล้วจากสีหน้าของเสิ่นเยี่ยนซู นางมองออก ว่าเขาไม่ได้กำลังล้อเล่นกับนาง หากตนเองโวยวายต่อไป มีหวังโดนตบหน้าจริง ๆ แน่เห็นนางสงบลงได้เสียทีฮูหยินหนิงกั๋วกงก็ยิ้มพลางกล่าว “ครั้งก่อนข้าไปงานเลี้ยงของสกุลฉี เห็นสกุลฉีวุ่นวายไปหมด แม่นา
เขาเอ่ยเน้นย้ำทีละคำอย่างชัดเจน “คุณหนูสามหรง เจ้าฟังให้ดี ก่อนหน้าวันนี้ แม้แต่หน้าตาของเจ้าเป็นเช่นไรข้าก็ยังไม่รู้ชัด ไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งเจ้าเป็นชายาเลยแม้แต่น้อย”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ที่ข้าต้องการสู่ขอ ก็คือพี่สาวของเจ้ามาโดยตลอด หากเจ้ายังไม่เชื่อ ก็ลองกลับไปสอบถามบิดาของเจ้าดูเถิด”หรงเจียวเจียวส่ายศีรษะไปมา ไม่อาจยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ได้นางยังคงคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าหาใช่ความจริงไม่ แต่เป็นเพียงฝันร้ายอันน่าสะพรึงกลัวเท่านั้น นางยิ่งร่ำไห้สะอึกสะอื้นหนักกว่าเดิม “ไม่จริง เป็นไปได้อย่างไร... เป็นไปไม่ได้...”ในชั่วขณะนั้นเอง บ่าวรับใช้ของจวนตระกูลหลี่ ก็ได้พาเหวินหมัวมัวเข้ามาด้านในพอเหวินหมัวมัวเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ก็รู้ได้ทันทีว่าคงเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นแล้วเป็นแน่เฉินเยี่ยนซูเหลือบมองเหวินหมัวมัวแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดูท่าแล้ว เจ้าคงมาเพื่อจะบอกคุณหนูสามของเจ้ากระมัง ว่าแท้จริงแล้วผู้ที่ข้าต้องการหมั้นหมายด้วยคือผู้ใดกันแน่?”เมื่อท่านอัครมหาเสนาบดีเอ่ยถาม มีหรือที่เหวินหมัวมัวจะกล้าไม่ตอบ? นางรีบคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าซีดขา
ครานี้ ทุกผู้คนต่างตกตะลึงงัน สายตาตำหนิหลายคู่พลันจับจ้องไปยังฮูหยินหลี่อะไรกัน! ในเมื่อไม่ได้หมั้นหมาย แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาหลอกลวงพวกเรา? เช่นนั้นเมื่อครู่พวกเราก็ประจบเอาใจนางเสียเปล่าไปตั้งนานนะสิ?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่พวกเราต้องสรรหาคำเยินยอหรงเจียวเจียวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเมื่อครู่นั้น มันต้องสิ้นเปลืองความคิดอ่านไปมากเพียงใด? สมองแทบจะระเบิดอยู่แล้ว!ฮูหยินหลี่เองก็ตกตะลึงงันไปเช่นกัน ตามเหตุผลแล้ว นาวหวังไม่น่าจะวิปลาสถึงขั้นกุเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้! เมื่อเห็นสายตาตำหนิของผู้คนจับจ้องมา นางจึงพยายามอธิบายอย่างตะกุกตะกัก “ไม่... ไม่ใช่! ข้า... เจียวเจียว นี่มันเรื่องอันใดกันแน่!”หรงเจียวเจียวมองไปยังเฉินเยี่ยนซู ด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ “ท่านอัครมหาเสนาบดี! ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้! ท่านเห็นข้าโกรธจนเอ่ยปากขอถอนหมั้น ท่านไม่คิดจะง้อก็แล้วไปเถิด แต่ยังจะกล่าวปดว่าไม่เคยมาสู่ขอข้าอีกอย่างนั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ประกอบกับเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของหรงเจียวเจียว ผู้คนก็เริ่มรู้สึกสับสนขึ้นมาอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความกังขาจับจ้องสลับไปมาระหว่า
หรงเจียวเจียวชะงักไปครู่หนึ่ง “อ๊ะ?”จ้าวหมัวมัวกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีคงต้องการจะแสดงอำนาจความเป็นสามี ทั้งยังต้องการจะดูท่าทีคุณหนูด้วยว่าจะยอมอ่อนข้อให้เขาหรือไม่ อย่างไรเสีย ฐานะฮูหยินของราชเลขาธิการผู้ทรงเกียรติ จะเป็นเพียงสตรีที่เอาแต่ใจตน พอเขาขุ่นเคืองก็เอาแต่ร้องขออภัยไปเสียทุกเรื่องไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”หรงเจียวเจียวมีสีหน้าลังเล “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”จ้าวหมัวมัวกล่าว “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ต้องเป็นเช่นนี้เป็นแน่! คุณหนู ท่านต้องรู้จักแสดงความอ่อนแอบ้าง คนที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งและทรงอำนาจเช่นท่านอัครมหาเสนาบดี หรือจะยอมลดตัวลงมาง้อคุณหนูได้เล่าเจ้าคะ?”หากไม่เช่นนั้นแล้ว จะอธิบายได้อย่างไรว่าเหตุใดท่านอัครมหาเสนาบดีจึงจงใจสร้างความลำบากให้คู่หมั้นของตนต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้เล่า?เมื่อสองนายบ่าวปรึกษาหารือกันเสร็จสิ้นในที่สุดหรงเจียวเจียวก็รวบรวมความกล้าได้ นางรอจนกระทั่งบัณฑิตผู้หนึ่งแต่งบทกวีเสร็จสิ้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดี... ข้ารู้ตัวว่าผิดไปแล้ว ท่านจะโปรดให้ข้าลุกขึ้นได้หรือไม่เจ้าคะ เจียวเจียวปวดเข่าเหลือเกิน พื้นก็ทั้งเย็นทั้งแข็
ทุกคนย่อมเห็นแผ่นหลังของหรงเจียวเจียวที่กำลังหันหลังจากไป และพอจะเดาได้ว่านางกำลังแสดงความเอาแต่ใจออกมาบรรดาสตรีที่สนิทสนมกับหรงเจียวเจียวต่างแอบตำหนิอัครมหาอัครมหาเสนาบดีเฉินอยู่ในใจ ว่าช่างไม่รู้จักถนอมบุปผาเทิดทูนหยกล้ำค่าเอาเสียเลย เหตุใดจึงไม่รู้จักไว้หน้าคู่หมั้นของตนเองเช่นนี้?เฉินเยี่ยนซูสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของหรงเจียวเจียวอยู่แล้ว จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หยุดอยู่ตรงนั้น!”ฝีเท้าของหรงเจียวเจียวพลันชะงัก นางคิดในใจ ในที่สุดเขาก็เรียกข้าแล้ว หรือว่าในใจเขายังคงเป็นห่วงข้าอยู่?นางแค่นเสียงหึเบาๆ แล้วหันไปมองเฉินเยี่ยนซู “ในใจของท่าน ไม่ใช่มีเพียงแต่พี่สาวของข้าหรอกหรือ? แล้วจะมารั้งข้าไว้อีกด้วยเหตุใด?”กล่าวจบ นางก็เช็ดน้ำตาพลางหันเสี้ยวหน้าอย่างดื้อรั้นให้เฉินเยี่ยนซูมองนางเชื่อว่าเมื่อเขาเห็นหยาดน้ำตาบนใบหน้าของนาง จะต้องสำนึกได้แน่ว่าตนเองทำผิดไปแล้ว นางเคยส่องกระจกพิจารณาดูตนเองยามร้องไห้อย่างละเอียดแล้ว รู้อยู่แก่ใจว่าท่าทางเช่นนี้จะยิ่งขับเน้นความงดงามแววตาของเฉินเยี่ยนซูเย็นชา “ในใจของข้ามีผู้ใดอยู่ ถึงตาเจ้ามาสอดปากวิจารณ์ด้วยหรือ?”หรงเจียวเจียวฟั
ถึงจะอยู่ที่บ้านตระกูลหลี่ แต่เมื่อนางทำผิด หากเฉินเยี่ยนซูไม่เอ่ยอนุญาต นางก็ไม่อาจนั่งได้เมื่อได้รับอนุญาตให้นั่งจากเฉินเยี่ยนซู หลี่เซียงเหยากลับยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ นางรู้สึกราวกับว่าพี่เขยสาม ผู้นี้กำลังตบหน้านางอย่างแรง แล้วค่อยยื่นขนมหวานปลอบใจ ทว่าการตบหน้านี้ช่างหนักหน่วงเหลือเกินนางร่ำไห้ออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อระคนน้อยใจ “ขอบคุณท่านอัครมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ!”เมื่อครู่หรงเจียวเจียว ไม่ได้ออกหน้าช่วยนาง ตอนนี้จึงรีบเข้ามากล่าวกลบเกลื่อน “เหยาเหยา เห็นหรือไม่ ท่านอัครมหาเสนาบดียังคงให้ความสำคัญกับเจ้านะ ถึงได้อนุญาตให้เจ้าอยู่ในงานเลี้ยงแต่งบทกวีต่อ!”เฉินเยี่ยนซูเอ่ย “ย่อมต้องให้ความสำคัญ”หรงเจียวเจียวพลันยิ้มออก นางคิดว่าอย่างไรเสียท่านอัครมหาเสนาบดีก็ต้องไว้หน้านางบ้าง แต่คาดไม่ถึงว่าเฉินเยี่ยนซู จะเอ่ยประโยคถัดมาว่า “หากนางจากไปแล้ว ไม่มีนางอยู่ที่นี่เป็นข้อเปรียบเทียบ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าจุดจบของการลบหลู่ท่านหญิงเป็นเช่นไร?”ทุกคน “…”เหล่าสตรีที่เมื่อครู่ร่วมวงนินทาหรงจือจือ ตอนนี้ต่างรู้สึกชาวาบไปทั้งศีรษะ!ส่วนหรงเจียวเจียวยิ่งหน้าเขียวคล้ำ นางเข้าใจในท
วันนี้หรงจือจือถึงได้รู้ว่า อันที่จริงเฉินเยี่ยนซูคนผู้นี้ใจดำอำมหิตเป็นอย่างมาก บางทีก่อนหน้านี้ที่เขาไม่รู้จักเจียวเจียวอาจเป็นเรื่องจริง แต่ตอนนี้ที่บิดเบือนความหมายของหรงเจียวเจียว เขาต้องจงใจเป็นแน่สายตาของทุกคนเองก็ตกไปที่ตัวหรงจือจือที่พวกเขากระแหนะกระแหนอยู่นานสองนานนี่...เหตุใดท่านเสนาบดีจัดการเรื่อง ไม่ให้หน้าหรงเจียวเจียวแม้แต่น้อยก็ช่างมันเถอะ ยังจะถามความเห็นของหรงจือจืออีก? นี่หากไม่รู้ ยังคิดว่าคู่ที่ดูตัวหมั้นหมายกัน เป็นหรงจือจือจริง ๆ เสียอีก!หรงจือจือทำทีท่าไม่เกี่ยวกับตน ตอบกลับชืด ๆ ว่า “เรื่องนี้ท่านเสนาบดีตัดสินใจก็พอเจ้าค่ะ”เฉินเยี่ยนซูพยักหน้า ก่อนจะกวาดสายตามองไปที่หรงเจียวเจียว “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะถูกตบปากไปด้วย?”จากสายตาของเขา หรงเจียวเจียวมองออกว่า เขาพูดจริง และไม่ได้ล้อเล่นกับตน สีหน้าของนางก็ยิ่งซีดเผือดเข้าไปอีกนางรีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ข้า...ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้นเจ้าค่ะ!”หลี่เซียงเหยามองพี่หญิงสามของตนอย่างยากจะเชื่อทีหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะตนช่วยนางพูด ก็คงไม่ตกมาอยู่ในขั้นนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่อยากแยแสตนเฉินเยี่ยนซูกวาดสา