Mag-log inหยางเฉี่ยวชิวตายลงเพราะความทรยศของคนที่นางทั้งรักทั้งลุ่มหลงอย่างไร้ศักดิ์ศรี ได้เกิดใหม่ในร่างหญิงสาวผู้อ่อนแอบุตรสาวเสนาบดีผู้ตรวจราชการผู้จงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้ ในตอนนี้ราชสำนักมีการแตกออกเป็นสองฝ่ายอย่างเงียบ ๆ นอกจากความแค้นที่ต้องการชำระจากร่างเก่าและสะสางหนี้แค้นของร่างใหม่ นางยังต้องการทวงคืนความยุติธรรมของตระกูลคืนมา บุรุษผู้ที่ชอบช่วยเหลือนางเพิ่งเคยพบหน้ากันในชาตินี้กลับกลายเป็นน้องชายของศัตรูและยังขี้โรครอเพียงวันตายมาถึงเท่านั้นแล้วนางจะมีหนทางอื่นที่ดีกว่านี้อีกหรือไม่
view moreเสียงไชโยโห่ร้องแสดงความยินดีดังกึกก้องไปทั่วทั้งจวน ผ้าสีแดงผูกประดับตกแต่งหรูหราสมฐานะขุนางชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่ง แขกผู้มีเกียรติต่างส่งเสียงแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวที่กำลังทำพิธีสำคัญ ทุกคนยืนเรียงเป็นแถวยาวจนสุดเส้นถนนหน้าวังหลวงมาถึงจวนอ๋อง ดอกไม้มงคลโปรยปรายลงมาไม่ขาดสายแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของงานมงคลบ่งบอกว่าเจ้าของงานนี้มีความสำคัญมากเพียงใด จวบจนพิธีการเสร็จสิ้นลงในตอนค่ำก็เป็นช่วงเวลาของคู่บ่าวสาวเพียงสองคน
แสงไฟจากเชิงเทียนสว่างไปทั่วห้องที่ตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม ไม่ต่างจากหญิงสาวในชุดสีแดงมงคลมีผ้าคลุมใบหน้าปกปิดความงดงามเอาไว้ นางยังคงนั่งนิ่งรอคอยช่วงเวลาสำคัญที่ใกล้เข้ามาในอีกไม่ช้า สิ่งที่วาดฝันมาเนิ่นนานกำลังจะเกิดขึ้นจริงในคืนนี้ เพียงแค่จินตนาการมือเล็กที่วางทับซ้อนกันบนตักพลันสั่นน้อย ๆ ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งหวาดหวั่นตื่นกลัวระคนยินดีอย่างสุขสม คิดถึงตรงนี้ปากรูปสวยก็อดเผยอยิ้มออกมาไม่ได้ กว่านางจะฝ่าฟันเข้ามาอยู่จุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย หญิงสาวในแคว้นซีหนานต่างมุ่งหวังในตำแหน่งสูงสุดของจวนอ๋องแห่งนี้ทว่าในที่สุดแล้วก็ตกเป็นของหยางเฉี่ยวชิวเพียงหนึ่งเดียว เสียงฝีเท้าหนักก้าวเดินช้า ๆ แต่มั่นคงใกล้เข้ามาทุกฝีก้าวท่ามกลางความเงียบสงัดของบริเวณห้อง หยางเฉี่ยวชิวหัวใจเต้นแรงขึ้น มือเรียวเผลอกำชุดเจ้าสาวเอาไว้แน่น นางรอคอยให้อีกคนก้าวเข้ามาถึงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเตรียมพร้อมสำหรับค่ำคืนแห่งความสุขสมหวัง อีกไม่นานตำแหน่งของนางก็จะสมบูรณ์แล้ว ร่างสูงใหญ่หยุดฝีเท้าลงตรงหน้านางเอื้อมมือดึงผ้าคลุมหน้าออกไร้ซึ่งความอ่อนโยนพร้อมกับโน้มใบหน้าคมสันลง ดวงตาคมกริบจ้องมองสตรีงามเบื้องหน้าฉายประกายวาววับ หยางเฉี่ยวชิวนับได้ว่าเป็นสตรีงามล่มเมืองแห่งแคว้นซีหนาน มีบุรุษมากมายต้องการเกี่ยวดองกับตระกูลหยางอันเลื่องชื่อ ทว่านางไม่ถูกใจใครเพราะคนที่อยู่ในใจของนางมีเพียงบุรุษสูงส่งผู้งามสง่าตรงหน้า ดวงตากลมโตสุกสว่างช้อนขึ้นมองสบตาตอบ ยามนี้แววตาของนางระยิบระยับราวกับดวงดาวที่ส่องประกายอยู่ทั่วท้องฟ้าเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ออกมาจากริมฝีปากสีแดงชาดอันงดงาม เจิ้นหย่วนละมือที่เชยคางของนางขึ้นเมื่อสักครู่หยิบสุราขึ้นมาถือเอาไว้ อีกจอกยกให้หยางเฉี่ยวชิว ทั้งคู่นั่งลงบนเก้าอี้ไม้แลกจอกสุราดื่มจนหมด ถือว่าความเป็นสามีภรรยาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เจิ้นหย่วนลุกขึ้นปลดเข็มขัดออกอย่างไม่รีบร้อนขณะที่หยางเฉี่ยวชิวนั่งมองด้วยอาการประหม่าเล็กน้อย สักครู่ใบหน้างามก็เปลี่ยนเป็นเขินอายขึ้นมาแทนที่ ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นสามีแต่นางก็มิเคยพบบุรุษใดเปลื้องผ้าต่อหน้ามาก่อน ได้แต่คิดในใจที่กำลังสั่นระรัวว่าอีกหน่อยก็คุ้นชินไปเอง "เจ้าอายหรือ?" เจ้าของใบหน้าคมคายหันมองนางยกยิ้มมุมปากแววตาแฝงเร้นบางอย่าง หยางเฉี่ยวชิวเพียงพยักหน้าเล็กน้อยยิ้มเขินอายหลบหน้าเขา "เจ้าค่ะ" เจิ้นหย่วนไม่รอช้าเอื้อมมือจับชุดเจ้าสาวแล้วกระชากออกอย่างแรง โถมตัวเข้าหานางอย่างเร่งร้อน ร่างกายแข็งแรงผลักร่างนางลงบนเตียงฉีกชุดที่เหลือขาดวิ่น ขึ้นคร่อมเอาไว้พลางโน้มตัวลงมาอย่างรวดเร็ว หยางเฉี่ยวชิวเข้าใจไปว่าบุรุษต่างก็เป็นเช่นนี้ เจิ้นหย่วนอาจจะทำรุนแรงไปบ้างนั่นเป็นเพราะเก็บกดความต้องการมานาน นางไม่ขัดขืนแต่อย่างใดตรงกันข้ามกลับตอบสนองอารมณ์ของชายหนุ่มอย่างเอาใจ "เจ้าชอบหรือ " เขาถามคนใต้ร่างพร้อมแสยะยิ้มร้ายออกแรงกระแทกตัวอย่างหนักหน่วงเป็นเวลานาน หยางเฉี่ยวชิวรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกายแต่นางยังคงอดทนเพื่อความสุขของผู้ที่ครอบครองนางในเวลานี้ การกระทำของเจิ้นหย่วนรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เขายกร่างของนางขึ้นมากระทำเยี่ยงสัตว์ป่าไร้ความปรานีต่อสตรีตรงหน้ายิ่งนางทำหน้าบิดเบี้ยวเขายิ่งรู้สึกสะใจ หยางเฉี่ยวชิวเจ็บปวดมากขึ้นนางเริ่มดิ้นรนขัดขืนไม่ยินยอมอีกต่อไปและเปล่งเสียงเบาออกมา "พอ...พอแล้ว" คำร้องขอของนางไม่เป็นผลตรงกันข้ามเจิ้นหย่วนยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีกยิ่งเห็นนางดิ้นรนเอาตัวรอดเขาก็ยิ่งออกแรงกดร่างงามของนางมากขึ้น สีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปทำให้หยางเฉี่ยวชิวเข้าใจแล้วว่าไม่ใช่อารมณ์รักใคร่หากแต่เป็นแววตาของความชิงชัง กว่าเจิ้นหย่วนจะปล่อยนางให้เป็นอิสระหยางเฉี่ยวชิวก็ทรมานแทบขาดใจเมื่อนางหลุดออกจากกรงเล็บของเจิ้นหย่วนมาได้ก็รีบกระถดตัวถอยห่างออกจากเขา พาร่างกายที่ร้าวระบมเดินไปนั่งที่เตียงไม้ด้านข้างอย่างทุลักทุเลและถามในสิ่งที่นางสงสัย "ท่านพี่ไยท่านถึงได้ทำกับข้ารุนแรงยิ่งนัก" เจิ้นหย่วนปรายตามองสตรีที่เพิ่งผ่านศึกรักมาด้วยกันเมื่อครู่ ปากรูปสวยแค่นยิ้มเย็นชาครั้งหนึ่ง "เจ้าต้องการอย่างนี้ไม่ใช่หรือ ข้ามอบความสุขให้แล้วไม่ชอบหรือไร หรือเจ้ายังไม่พอใจ" ทั้งคำพูดน้ำเสียงและท่าทีของเจิ้นหย่วนต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง เขาเคยเป็นคนที่อ่อนโยนกับนางให้เกียรติและปกป้องนางมาตลอด เหตุใดยามนี้ถึงดูต่างกันราวกับเป็นคนละคน "ท่านคือเจิ้นหย่วนจริงหรือ" ในเมื่อเขาทำตัวราวกับนางเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่งไยต้องพูดจาต่อกันดี ๆ ถึงจะไม่เข้าใจที่เจิ้นหย่วนดูเปลี่ยนไปภายในชั่วพริบตาแต่จากการกระทำเมื่อครู่ทำให้นางไม่อยากเอาใจเขาอีกแล้ว "แล้วคิดว่าข้าเป็นใครล่ะ ตอนนี้ข้าได้เป็นสามีของเจ้าแล้วยังมีสิ่งใดที่เจ้าต้องการอีกหรือไม่" เจิ้นหย่วนจ้องมองร่างงามที่มีเพียงผ้าคลุมกายหลวม ๆ ผืนหนึ่งยกยิ้มอย่างมีเลศนัย "ท่านพูดอะไรข้าไม่เข้าใจ" นางทำหน้างุนงงเอ่ยถามในสิ่งที่นางไม่เข้าใจที่สุด เจิ้นหย่วนผู้อ่อนโยนมาตลอดจู่ ๆ ก็กลับกลายเป็นคนละคนภายในช่วงเวลายังไม่ทันข้ามคืนเป็นสิ่งที่นางมึนงงถึงที่สุด "สิ่งที่ข้ามอบให้เจ้าก็สมใจเจ้าแล้ว คราวนี้เจ้าควรมอบบางอย่างให้ข้าด้วย" "ท่านหมายถึงอะไร" ยิ่งพูดนางก็ยิ่งสับสนและทวีความสงสัยในตัวเจิ้นหย่วน "เจ้ามันเลือดเย็นใจดำอำมหิต สิ่งที่ข้าจะมอบให้เจ้าต่อจากนี้จงจำเอาไว้ว่าเจ้าสมควรได้รับที่สุด" หยางเฉี่ยวชิวลุกขึ้นยืนเริ่มมีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนักเอ่ยถามเจิ้นหย่วนด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน "เจิ่นหย่วน ท่านมีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาข้า ข้าทำสิ่งใดให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจอย่างนั้นหรือ" "เจ้าทำร้ายหยุนเอ๋อ ยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่" เจิ้นหย่วนลุกขึ้นชี้หน้านางด้วยความไม่พอใจ เสียงแข็งกระด้างแววตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว หยางเฉี่ยวชิวตกตะลึงในภาพที่ฉายชัดอยู่เบื้องหน้าของนาง หยุนเอ๋อเกี่ยวข้องกับนางและเขาได้อย่างไร "ข้า...ไม่...ได้" นางเปล่งเสียงกระท่อนกระแท่นออกมา เขาเอ่ยถึงไป๋หยุนเอ๋อขึ้นมาเพื่ออะไรอีกทั้งยังเรียกอย่างสนิทสนมราวกับเป็นคนคุ้นเคยกันมาช้านาน "เจ้าไม่ต้องแก้ตัว มันฟังไม่ขึ้นหรอก" "จางไห่ เข้ามานี่" ไม่รอให้นางตั้งคำถามเขาเรียกคนรับใช้ส่วนตัวเข้ามาทันที จางไห่วิ่งเข้ามาทันทีที่พบหน้าหยางเฉี่ยวชิวที่คลุมผ้าผืนบางเอาไว้หลวม ๆ ก็ต้องก้มหน้ารู้สึกกระดากที่จะมองดู "ขอรับนายท่าน" เจิ้นหย่วนไล่สายตามองดูหยางเฉี่ยวชิวยกยิ้มแล้วพูดกับจางไห่ "ข้ายกนางให้เจ้า" ทั้งจางไห่และหยางเฉี่ยวชิวต่างตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน เขาเหลือบมองนางไปทั่วร่างพลันนึกได้ว่านางคือฮูหยินของเจ้านายก็ก้มหน้าลง หยางเฉี่ยวชิวส่งสายตารังเกียจกลับไปมองสลับกับจ้องมองเจิ้นหย่วนด้วยความผิดหวังรุนแรง นางมองเขาราวกับเป็นคนแปลกหน้า ไม่รู้ว่าหลายปีที่ผ่านมานางทำสิ่งใดผิดพลาดไปถึงมองคนผู้นี้ไม่ออก "ท่านพ่อต้องไม่ละเว้นท่านแน่" ความรักที่เคยมีท่วมท้นแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังในบัดดล ตระกูลของนางยิ่งใหญ่มากพอที่เชื้อพระวงศ์ต้องเกรงใจ เมื่อเจิ้นหย่วนทำเรื่องชั่วช้าตามอำเภอใจเช่นนี้ท่านพ่อและตระกูลของนางย่อมไม่ยินยอม เจิ้นหย่วนได้ฟังคำขู่จากเสียงเล็ก ๆ ก็หัวเราะเย้ยหยันออกมาเสียงดัง ราวกับเสียงของนางเป็นแค่ลมพัดผ่าน "ป่านนี้ทุกคนในตระกูลของเจ้าคงไม่เหลือสักคนแล้ว ยังหวังลม ๆ แล้ง ๆ อะไรอยู่อีก" หยางเฉี่ยวชิวหัวใจกระตุกวูบ ตกตะลึงพรึงเพริดกับสิ่งที่ได้ยิน "ท่านว่าอย่างไรนะ ไม่มีทาง!" เจ้าของร่างแกร่งลุกขึ้นเดินเข้ามาหานางเอื้อมมือบีบรัดคางเล็ก ๆ จับจ้องนางเค้นเสียงพูดเสียงต่ำ "ป่านนี้คงตายทั้งโคตรแล้ว" น้ำตาของหยางเฉี่ยวชิวร่วงพรู นางผิดเองใช่หรือไม่ที่ไม่เชื่อฟังบิดา เจิ้นหย่วนมิใช่คนที่นางสมควรจะเป็นพันธมิตรด้วยแต่นางก็ไม่เคยเชื่อฟังจนในวันนี้ คำพูดของท่านพ่อและพี่ใหญ่ถึงสะเทือนสมองของนางให้คิดได้ "ไอ้สารเลว!" ถึงเสียงจะฟังอู้อี้ทว่าเปี่ยมล้นไปด้วยความเคียดแค้นแสนสาหัส เจิ้นหย่วนแสยะยิ้มอย่างไม่รู้สึกเจ็บปวดสะบัดหน้านางออกไปแล้วออกคำสั่งเฉียบขาด "จะเอาไปไหนก็ไป นางเป็นของเจ้าแล้วจะหาคนมาร่วมเสพสุขข้าก็ไม่ว่า ไป!" "ขอรับ" จางไห่ที่คราแรกนึกหวั่นกลัวแต่เมื่อเจ้านายเน้นย้ำเป็นคำรบสองเขาก็ไม่ลังเลออกจะดีใจเป็นล้นพ้นที่จะได้ลิ้มชิมรสของสาวงามอันดับหนึ่งของแคว้นซีหนาน จางไห่มุ่งตรงไปหาหยางเฉี่ยวชิวนางไม่ยินยอมง่ายดายถีบเขาล้มลงเริ่มวิ่งหนีเอาตัวรอด ฉับพลันเจิ้นหย่วนเอื้อมมือคว้าเอาไว้ได้ทันกระชากผมของนางจับตรึงเอาไว้แน่น "เจิ้นหย่วนข้าต้องเอาคืนเจ้าแน่" นางกัดฟันกรอดพูดกดเสียงต่ำความคับแค้นใจแน่นเต็มอก "ถ้าคิดว่ามีโอกาสก็เชิญ ข้าจะรอ" เขากระซิบตอบนางอย่างไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกันพร้อมสะกดจุดสำคัญแล้วให้จางไห่แบกออกไปให้พ้นสายตา จางไห่แบกนางออกมาพาไปที่ห้องหนึ่งที่เจิ้นหย่วนใช้เป็นสถานที่กักขังและทรมานทาส บัดนี้เขาได้นางมาดูแลหาได้เกรงใจอีกต่อไป เขาวางร่างนางลงถอดเสื้อผ้าออกขึ้นคร่อมเอาไว้มองดูความงามของหญิงสาวอย่างหลงใหล "อันที่จริงข้าก็ชื่นชอบท่านมานาน ครั้งนี้ข้าจะทำให้ท่านมีความสุขที่สุด" เขาโน้มใบหน้าลงมาอย่างย่ามใจหยางเฉี่ยวชิวที่ยังปวดร้าวระบมไม่หายนอนตัวแข็งทื่อขยับเขยื้อนไม่ได้เพราะถูกสกัดจุดสำคัญเอาไว้ นางได้แต่มองจางไห่กระทำเรื่องต่ำช้าอย่างเคียดแค้น เขาก็ไม่ต่างจากเจ้านายของเขา กลืนกินนางเหมือนสัตว์ป่าที่หิวโหยมาเป็นสิบปีก็มิปาน น้ำตาของหยางเฉี่ยวชิวไหลพรากนางกล้ำกลืนความอัปยศอดสูลงไปในลำคออย่างยากลำบากแววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง สายตาอาฆาตของนางที่จ้องมองจางไห่ทำให้เขานึกหวาดกลัวอยู่บ้างแต่ไม่อาจทำให้เขาหยุดการกระกระทำชั่วช้าลงไปได้ ร่างกายบอบบางถูกกระทำชำเราอย่างรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางเริ่มชาไปทั้งตัวไร้ความรู้สึกใด ๆ อีกต่อไป สมองพร่าเบลอหัวใจเต้นผิดจังหวะ เฮือกสุดท้ายก่อนสิ้นลมนางจดจำทุกการกระทำในคืนนี้ของเจิ้นหย่วนพร้อมทั้งจางไห่สองนายบ่าวคนเลวทรามเอาไว้แม่นยำ หากชาติหน้ามีจริงข้าจะฆ่าล้างแค้นพวกเจ้าให้จงได้! ร่างของนางนอนแน่นิ่งไปจางไห่เห็นถึงความผิดปกติเขาหยุดการกระทำป่าเถื่อนทันที เอื้อมมือแตะที่จมูกของนางก็ต้องสะดุ้งตกใจรีบสวมใส่เสื้อผ้าแล้วจัดการเอาศพของนางไปหาที่ฝังยังที่ห่างไกลไร้ผู้คนพบเห็น หาไม่แล้วในภายหน้าหากเรื่องนี้มีคนรู้เพิ่มขึ้นอาจสาวมาถึงท่านอ๋อง แน่นอนว่าเขาก็ไม่มีทางรอดชีวิตเช่นกันจางไห่ถูกเรียกตัวเข้าพบเป็นการด่วนเมื่อเจิ้นหย่วนสงสัยเรื่องก่อนหน้านี้ไม่หาย "เจ้าแน่ใจนะว่าจัดการหยางเฉี่ยวชิวเรียบร้อยแล้ว" "แน่ใจขอรับนายท่าน ไม่มีผู้ใดพบเห็นได้แน่นอน" จางไห่เป็นทาสผู้ซื่อสัตย์และไว้ใจได้ได้ฟังถ้อยคำหนักแน่นเจิ้นหย่วนก็รู้สึกเบาใจขึ้นมา จางไห่เคยบอกสถานที่และวิธีการจัดการไปแล้วครั้งหนึ่งคราวนี้เขาเรียกมาเพื่อย้ำเตือนเท่านั้น "แต่ข้าก็ยังสงสัยบุตรสาวตระกูลหลี่อยู่ดีว่านางเกี่ยวข้องกับหยางเฉี่ยวชิวหรือไม่" นึกถึงหลี่ชิงหยาเขาก็ยังพูดว่าสบายใจได้ไม่เต็มปากนักตราบใดที่ยังสืบไปถึงต้นเหตุไม่ได้ การฆ่าหยางเฉี่ยวชิวหลังจากแต่งเข้าจวนถือว่ามีความผิดใหญ่หลวง แม้ว่านางจะเป็นบุตรสาวตระกูลหยางแต่นางแต่งงานก่อนมีคำสั่งไม่ถือว่านางเป็นคนตระกูลหยางแล้ว ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปงเจิ้นหย่วนก็มิอาจรอดพ้นคดีอาญาไปได้ เขาจึงค่อนข้างเป็นกังวลและคิดมาก มันเป็นเรื่องที่ใครก็ช่วยเขาไม่ได้แม้แต่องค์รัชทายาท "แล้วเจ้าไปสืบเรื่องตระกูลหลี่บ้างหรือยัง" จางไห่ไปแอบซุ่มอยู่ใกล้ตระกูลหลี่และว่าจ้างคนในจวนให้ส่งข่าวก็ไม่พบความผิดปกติใด "ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นขอรับมีเพียงเรื่องราวเล็กน้อยในจว
ในที่สุดจดหมายเทียบเชิญจากวังหลวงก็ทยอยส่งไปยังจวนขุนนางทุกฝ่าย หลี่จือหลินได้รับจดหมายและเรียกหลี่ชิงหยาเข้าพบ "ท่านพ่อเรียกพบลูกมีเรื่องสำคัญหรือเจ้าคะ" เป็นความหนักใจอย่างยิ่งของใต้เท้าหลี่ เขาไม่อยากส่งบุตรสาวคนใดเข้าวังหลวง รู้ดีว่าต่อจากนี้ต้องพบเจอกับเรื่องลำบากใจสีหน้าจึงแสดงออกถึงความเครียดได้ชัดเจน "จะมีการคัดเลือกพระสนมองค์รัชทายาท จวนขุนนางที่มีบุตรสาวต้องถูกส่งตัวเข้าวังหลวง" องค์รัชทายาทกำลังใช้วิธีการนี้หาพรรคพวก โดยใช้สิทธิ์อันชอบธรรมที่ฮ่องเต้ขัดข้องไม่ได้ "เช่นนั้นลูกก็ดีใจกับน้องหญิงล่วงหน้าแล้วเจ้าค่ะ นางมีรูปโฉมงดงามอาจมีวาสนาต่อองค์รัชทายาทก็เป็นได้" หลี่ชิงหยาพูดเหมือนเป็นผู้เสียสละสร้างความงุนงงให้หลี่จือหลินไม่น้อย "เจ้าหมายความว่าจะไม่เข้าวังเช่นนั้นหรือ รู้หรือไม่ว่าการทำเช่นนี้จะถูกลงโทษอย่างไร" นางรู้จักกฏไร้ความยุติธรรมของวังหลวงเป็นอย่างดี และกฏบางอย่างตระกูลหยางเป็นผู้ตั้งขึ้นมา "ลูกทำเช่นนี้มีเหตุผลเจ้าค่ะ จวนของเราควรส่งหลี่เจินเข้าวังเป็นเรื่องสมควรแล้ว ใคร ๆ ก็รู้ว่าลูกมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีเป็นสตรีที่บุรุษทั้งเมืองต่างไม่ต้องการ หากท่านพ่อส่
หลี่เจินกำลังจะเดินกลับห้องเท้าของนางเหยียบแผ่นกระดาษยับ ๆ แผ่นหนึ่งบนพื้นจึงก้มลงหยิบขึ้นมาอ่าน "สาเหตุมาจากกระดาษแผ่นนี้หรือเจ้าคะท่านแม่ ท่านทำเช่นนี้จริงหรือเจ้าคะ" นางเดินกลับไปหามารดาที่เตียงนอนเพื่อไขข้อข้องใจของตนเอง ไป๋เหนียงไม่ตอบคำถามเพียงแต่พยักหน้าพร้อมกับเสียงสะอื้น "ท่านหน้าบวมเป่งขนาดนี้ต้องเป็นฝีมือท่านพ่อแน่นอน เพราะนางหลี่ชิงหยาคนเดียวที่ทำให้พวกเรากลายเป็นอย่างนี้" หลี่เจินขยำกระดาษในมืออัดเป็นก้อนแน่นและขว้างออกไปอย่างเจ็บแค้นใจ ไป๋เหนียงคิดตามคำพูดของบุตรสาวลุกขึ้นเดินไปหยิบกระดาษออกมาคลี่ดูอีกครั้ง "มีสิ่งใดน่าสงสัยหรือเจ้าคะ" ไป๋เหนียงชี้ไปที่ตัวอักษรทีละตัวที่เรียงกันเป็นระเบียบสวยงามเหมือนคนผ่านการร่ำเรียนและฝึกฝนมาเป็นอย่างดี "ลายมือของคนมีการศึกษา" นางพูดเสียงเบาช้า ๆ เพราะยังเจ็บระบมที่ใบหน้าอยู่ หลี่เจินมองตามอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยสมทบขึ้น "ท่านแม่สงสัยใครหรือเจ้าคะ จริงสินางหลี่ชิงหยามันไม่ได้เรียนหนังสือ อ่านยังไม่ออกสักตัวแล้วจะเขียนได้อย่างไรกัน" ทั้งสองแม่ลูกมองหน้ากันทว่าก็จนปัญญาค้นหาตัวต้นเหตุ หากจะกล่าวโทษก็ไม่พ้นหลี่ชิงหยาเพราะพวกนางใส่คว
หลี่ชิงหยาให้ความสนใจกับคำพูดของเจิ้นซื่อหมิงมากขึ้น "ท่านบอกเรื่องนี้กับข้าเพราะอะไรกัน" "เพราะพ่อของเจ้าเป็นคนของฮ่องเต้นะสิ แต่ว่าเจ้าอยากได้ของพวกนี้จนยอมหาเงินตั้งมากมายมาแลกเพื่ออะไรล่ะ เจ้ามีความเกี่ยวข้องกับคนตระกูลหยางหรือไม่" ถึงคราวที่เขาซักไซร้นางบ้าง หากจะโกหกนางมั่นใจว่าเขาไม่เชื่อจึงเอ่ยตอบว่า "ข้ากับหยางเฉี่ยวชิวเป็นสหายรักกันแต่ไม่มีใครล่วงรู้ ของพวกนี้หลายชิ้นเป็นของนางข้าอยากเก็บเอาไว้" หลี่ชิงหยากระพริบตาสองสามครั้งทำให้เจิ้นซื่อหมิงพอรู้ว่านางกำลังจะร้องไห้เขาจึงหยุดซักถาม ช่างฟังดูขัดแย้งยิ่งนักที่บุตรสาวเสนาบดีหลี่จือหลินผู้ไม่เคยเห็นโลกภายนอก แต่มีความสนิทชิดเชื้อกับบุตรสาวคนเดียวของแม่ทัพของแผ่นดินผู้ทะนงตนทำตัวสูงเสียดฟ้าราวกับนางพญาหงส์ ข้อนี้หลี่ชิงหยารู้ดีนางโกหกเจิ้นซื่อหมิงซึ่งเขาอาจไม่เชื่อเพราะหยางเฉี่ยวชิวไม่เคยลดตัวลงมาคบหาตระกูลเล็ก ๆ เป็นสหาย ยิ่งหลี่ชิงหยามีชื่อเสียงไม่ดีมาก่อนนางยิ่งไม่อยากเกลือกกลั้วด้วย ในอดีตเป็นเช่นนั้นจริงแต่พอผ่านความตายมาอยู่ในร่างของสตรีโชคร้ายผู้นี้นางถึงได้เข้าอกเข้าใจผู้อื่นได้มากขึ้น เจิ้นซื่อหมิงไม่อยากเชื่อทว











