ฉีจื่อเสียนพูดด้วยความโมโห “ท่านหญิง อย่างไรที่นี่ก็ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่อยู่แล้ว ให้พวกข้าพักอยู่สักระยะจะเป็นอันใดไป? จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนั้นด้วยหรือ?”หรงจือจือพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ต่อให้ข้าต้องจุดไฟเผาบ้านหลังนี้ ข้าก็จะไม่ให้พวกเจ้าอยู่!”ผู้ว่าการชอบที่ได้ฟังหรงจือจือพูดขีดเส้นแบ่งเขตกับคนสกุลฉีอย่างชัดเจน เขาพูดเข้าข้างทันที “ท่านหญิงจัดการทุกเรื่องได้อย่างสะอาดหมดจด สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะในหมู่สตรี!”หรงจือจือเลิกคิ้วขึ้น นางพบว่ารอบตัวเฉินเยี่ยนซูมีแต่คนน่าสนใจ หากได้แต่งงานกับอีกฝ่ายจริงๆ คิดว่าชีวิตคงไม่น่าเบื่อฉีจื่อฟู่หน้าซีดเผือด “เจ้าเกลียดข้ามากถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”หรงจือจือพูดอย่างราบเรียบ “ก็ไม่ได้เกลียดหรอก แต่ไม่จะไม่มีทางช่วยเหลือเจ้าเด็ดขาดก็เท่านั้น”ฉีจื่อฟู่เขียนสัญญาติดหนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขาดก็แค่จำนวนเงิน เขาอดกลั้นต่อความอัปยศและถามออกไป “พวกเจ้าต้องการเงินเท่าไร?”หรงจือจือมองไปทางคนเฝ้าบ้านทั้งสองทั้งสองคนสบตากันและตอบ “ยี่สิบตำลึง ทั้งหมดยี่สิบตำลึงก็พอแล้ว!”เงินยี่สิบตำลึง นี่เป็นค่าแรงตลอดหนึ่งปีกว่าของทั้งสองคน พวกเขาเพียงแ
ผู้ว่าการกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องตลกอะไร? มีผู้ใดในเมืองหลวงไม่รู้อีกหรือว่าท่านหญิงหย่ากับบุตรชายของเจ้าแล้ว?”ยังจะมาบอกว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน? ช่างเหลวไหลเสียจริง!ในฐานะที่หวังหยวนหลินเป็นผู้ว่าการและเป็นศิษย์ของท่านราชเลขาธิการ เขามองออกมานานแล้วว่าท่านหญิงก็คืออาจารย์แม่ของตัวเองในอนาคตในกลยุทธ์ขอแต่งงานสามร้อยข้อของเซินเฮ่อ หวังหยวนหลินได้อุทิศกำลังอัน ‘น้อยนิด’ ของตัวเองลงไปด้วย เขามีส่วนช่วยเขียนกลยุทธ์ถึงห้าสิบสามข้อ!หากว่าสุดท้ายแล้วท่านหญิงยังเป็นคนของสกุลฉีอยู่ เช่นนั้นกลยุทธ์ที่ลำบากคิดออกจะนับเป็นอะไร? เป็นเรื่องตลกหรือ?ผู้ว่าการยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เขาพูดต่อ “พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าอะไรคือการหย่า? ข้าต้องอธิบายความหมายคำนี้ให้พวกเจ้าฟังโดยละเอียดหรือไม่?”อันที่จริงแล้ว ก่อนที่บ่าวรับใช้จากจวนท่านหญิงจะมาแจ้งความ ท่านราชเลขาธิการก็ได้ทราบเรื่องที่คนสกุลฉีมาที่นี่และสั่งให้หวังหยวนหลินมาจัดการก่อนแล้วหวังหยวนหลินได้พบกับเจาอู้ตอนที่กำลังออกมาพอดี หากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับอาจารย์แม่ เขามีหรือจะมาด้วยตัวเอง?เพราะเรื่องแค่นี้มอบให้เจ้าหน้าท
ฉีอวิ่นตะลึงงัน “จือจือ เจ้ากำลังพูดอะไร? เจ้าอย่าใช้อารมณ์สิ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะล้อเล่นได้นะ!”จะให้พวกเขาไปอยู่ในคุกได้อย่างไร?หรงจือจือพูดอย่างราบเรียบ “ผู้ใดกำลังล้อเล่นกัน? ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าเปลี่ยนมาเรียกข้าว่าท่านหญิง หากยังเรียกชื่อข้าโดยตรงเช่นนี้ ข้าก็ไม่ถือสาที่จะช่วยสอนกฎระเบียบและความสูงต่ำให้พวกเจ้าหรอกนะ!”ฉีอวิ่น “เจ้า…”เมื่อเห็นสีหน้าของหรงจือจือ เขาจึงเข้าใจในที่สุด ว่าครอบครัวของพวกเขาคงจะเข้าใจผิดมาตั้งแต่แรก หรงจือจือไม่ได้คิดจะช่วยเหลือพวกเขาแต่อย่างใดสายตาเย้ยหยันของผู้ว่าการทอดมองไปที่ฉีอวิ่นกับฉีจื่อฟู่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร คนสกุลฉีก็เคยเป็นโหวเป็นขุนนางมาก่อน ทั้งที่ทำตัวไร้ยางอาย ทำให้ชื่อเสียงของท่านหญิงป่นปี้เสียหาย ตอนนี้ยังจะมีหน้ามาขอพึ่งพิงอีกหรือ?ทั้งสองคนถูกกระตุ้นจากสายตาเช่นนี้ ไม่มีหน้าจะพูดอะไรต่อไปชั่วขณะแต่ฉีอวี่เยียนกลับพูดด้วยความโมโห “หรงจือจือ นังสารเลว! พวกข้ามาที่นี่เพราะให้เกียรติเจ้า แต่เจ้าจะไม่รับไว้สินะ?”หรงจือจือหันไปตบหน้านางเกิดเสียงดัง “เพี้ยะ”ดังสนั่นจนทุกคนตะลึงงันหรงจือจือมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ที่ผ่
ฉีจื่อฟู่ฟังจบก็รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนีเขาพยายามอธิบาย “จือจือ ตอนนั้นข้าเลอะเลือนเอง แต่มีบุรุษคนใดไม่เคยทำผิดบ้างกัน? เจ้าให้โอกาสข้าอีกสักครั้งได้หรือไม่?”ราชเลขาธิการเฉินบอกว่าจะสู่ขอนาง ฉีจื่อฟู่หวาดกลัวมาก กลัวว่าจะต้องเสียนางไปตลอดกาลหรงจือจือคร้านจะสนใจเขา ตัวเขาเองไม่ใช่มนุษย์ บอกว่าบุรุษทุกคนล้วนทำผิดพลาด ไม่รู้ว่าบุรุษทุกคนในใต้หล้ายินดีจะให้เป็นตัวแทนพวกตัวเองเช่นนี้หรือไม่คนสกุลฉีเห็นนางไม่พูดไม่จาก็คิดว่าพูดโน้มน้าวนางสำเร็จฉีจื่อเสียนรีบพูด “พี่สะใภ้ พวกข้าหิวแล้วจริงๆ ถึงท่านจะไม่พอใจท่านพี่ก็ไว้ค่อยคุยทีหลังเถิด ช่วยเตรียมอาหารให้พวกข้าก่อนได้หรือไม่?”หรงจือจือพูดอย่างราบเรียบ “อาหารที่ข้าเตรียมไว้กำลังเดินทางมาแล้ว!”ฉีจื่อเสียนตาลุกวาว ถูมือพูดว่า “ขอบคุณพี่สะใภ้ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน แม้ปากจะกล่าววาจาไม่น่าฟัง แต่ท่านไม่มีทางไม่สนใจใยดีพวกเราแน่นอน!”หรงจือจือพูดอย่างไม่เร็วไม่ช้า “อย่าเพิ่งรีบขอบคุณ ข้ากลัวว่าประเดี๋ยวเจ้าจะขอบคุณไม่ออก”ฉีจื่อเสียน “จะมีอะไรให้ขอบคุณไม่ออกกัน? ท่านกลัวว่าพวกข้าจะไม่ชอบอาหารที่ท่านซื้อหรือ? ไ
หรงจือจือลุกขึ้นอย่างใจเย็น “ในเมื่อพวกเขาอยากให้ข้าช่วยแก้ปัญหาเรื่องที่ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ข้าก็ย่อมไม่ได้เลือดเย็นถึงขั้นที่จะไม่สนใจใยดี”เจาซีร้อนใจ นางคิดว่าหรงจือจือจะให้พวกเขาพักอยู่ที่บ้านจริงๆแต่แล้วหรงจือจือกลับหันไปสั่งเจาอู้สองสามประโยค เจาอู้ฟังคำสั่งของหรงจือจือแล้วออกไปจัดการทันทีเจาซีปิดปากหัวเราะ สมแล้วที่เป็นคุณหนูของพวกนาง ลงมือได้เหี้ยมโหดยิ่งนักหรงจือจือพูด “ไปกันเถอะ ไม่ว่าอย่างไร ข้าที่เป็นคู่กรณีก็ต้องไปที่บ้านอีกแห่งด้วยตัวเอง”……ตอนที่หรงจือจือมาถึงบ้านอีกแห่ง ด้านในกำลังมีเสียงเอะอะโวยวายฉีจื่อเสียนกำลังโต้เถียงกับบ่าวรับใช้ในบ้านของนาง “ข้าสั่งให้เจ้าไปซื้ออาหาร ไม่ได้ยินรึ?”เด็กรับใช้ “คุณชายน้อยฉี ข้าไม่ใช่บ่าวรับใช้ของสกุลฉี คุณหนูของพวกข้าไม่ได้ตอบตกลงที่จะให้พวกท่านย้ายมาอยู่ เช่นนี้จะให้ข้าไปซื้ออาหารให้ได้อย่างไร?”ฉีจื่อเสียน “ถึงตอนนี้จะยังไม่ตอบตกลง แต่ประเดี๋ยวก็จะตอบตกลง! เจ้ามีหัวคิดบ้างหรือไม่? ไม่มีไหวพริบขนาดนี้ วันหน้าจะกลายเป็นบ่าวรับใช้ที่ได้รับความไว้วางใจจากเจ้านายได้อย่างไร?”เด็กรับใช้คนนี้ฟังแล้วอดกลอกตามองบนไม่
เพียงแต่หลังจากพูดจบ ภายในใจเขาก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย บุรุษทุกคนรักศักดิ์ศรี โดยเฉพาะตัวเขาเขามองฉีอวิ่นและถาม “ท่านพ่อ ท่านคิดเห็นอย่างไรขอรับ?”ฉีอวิ่นไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วตอบ “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน!”เขารู้ว่าการไปอาศัยที่บ้านของหรงจือจือเป็นเรื่องน่าอาย แต่หากพวกเขาย้ายไปอยู่ มันก็จะทำให้บุตรชายกับหรงจือจือมีโอกาสพบหน้ากันอีกมิใช่หรือ?ไม่แน่ว่าทั้งสองคนใช้เวลาร่วมกันสักเล็กน้อย ความสัมพันธ์อาจจะกลับมาเป็นเหมือนเก่าก็ได้นะ?คนในสกุลฉีหารือกันเสร็จเรียบร้อยก็มุ่งหน้าไปยังบ้านของหรงจือจืออย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร……ไม่นานหลังจากที่ข่าวการลงโทษของสกุลฉีแพร่กระจายออกไปบ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่ที่บ้านอีกแห่งก็มาที่เรือนอี่เหมยอย่างรีบร้อน “คุณหนู แย่แล้วขอรับ คนสกุลฉีมาที่บ้านของท่านกันหมด”“พวกเขามีกันเยอะมาก พวกบ่าวมีกันแค่สองคนจึงกันไว้ไม่ได้ ทั้งยังถูกพวกเขาทุบตี”โดยปกติแล้ว ภายในบ้านที่ไม่มีคนอยู่ย่อมมีคนเฝ้าไม่มากนัก แต่ละแห่งจะมีคนเฝ้ามากสุดแค่สองคนและถึงแม้สกุลฉีจะถูกยึดทรัพย์ แต่ราชสำนักก็ไม่ได้ปลดพวกเขาให้เป็นทาส แม้ฉีจื่อฟู่จะไล่บ่าวรับใช้ส่วนใหญ่ออกไปแล้ว แต่