เมื่อสมัยที่ผมยังเป็นนักเรียนเรื่องที่ยากเย็นที่สุดในชีวิตไม่ใช่เรื่องเรียน ผมไม่มีปัญหากับการเรียน ไม่มีปัญหากับสมุดพก พ่อแม่ยิ้มได้ทุกครั้งเวลาเห็นเกรด ในช่องความประพฤติคุณครูก็มักจะเขียนว่าสุภาพเรียบร้อยเงียบขรึมไม่ค่อยพูด นั่นคงเป็นทั้งหมดเท่าที่ครูเห็น
สิ่งที่ครูไม่เห็นนั่นต่างหากที่เป็นปัญหา...
ตั้งแต่ผมเรียนประถมมาจนถึงม.2 ผมมีปัญหาเรื่องเพื่อนมาตลอด ด้วยบุคลิกที่ชอบเก็บตัวไม่พูดไม่จาของผม แถมไม่สู้คนทำให้ผมคงดูน่ากลั่นแกล้งในสายตาของพวกเด็กหลังห้อง ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันอะไรกันนักหนา ทั้งๆที่ผมไม่พยายามจะไปยุ่งกับใครอยู่แล้ว
ตอนเรียนประถมการแกล้งกันของเด็กๆก็ยังเบาๆ แต่พอเข้ามัธยมการแกล้งเริ่มมีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้น ทั้งกลั่นแกล้งกันตรงๆทางร่างกาย เช่น ขัดขา หรือกลั่นแกล้งทางอ้อม เช่น เขียนเก้าอี้นักเรียน ทำลายข้าวของเอากระเป๋านักเรียนหรือรองเท้าของผมไปซ่อน กระทั่งเอากรรไกรมาแกล้งตัดผมผมด้านหลังตอนที่ผมไม่รู้ตัว
นอกจากนี้ยังมีการกลั่นแกล้งทางจิตใจ เช่นการล้อเลียน การปล่อยข่าวลือปลอมทั้งในเพจของโรงเรียน และในกรุ๊ปไลน์ของห้อง ทำให้เวลาผมเข้ามาในห้องเรียนมักจะเห็นสายตาของเพื่อนๆที่มองมาแล้วหัวเราะคิกคักกระซิบกระซาบ ผมไม่รู้หรอกว่าพวกมันพูดอะไรแต่รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่
ตอนมีงานกลุ่มวิชาการ ผมไม่ค่อยอับจนเพื่อนเท่าไหร่ เพราะพวกมันรู้ดีว่าความสามารถของผมจะทำให้งานกลุ่มได้คะแนนเต็มง่ายๆหากไม่ทำตัวให้มีปัญหากันมากนัก บางงานผมขี้เกียจมีปัญหาก็รับทำคนเดียวทั้งหมดโดยไม่เกี่ยงงอน ทั้งที่บางทีอยากจะพิมพ์ใส่ในหน้าปกรายงานไปเลยว่า รายงานเล่มนี้ผมทำคนเดียว
แต่หลังจากวิชาวิทยาศาสตร์ที่ครูให้ไปช่วยกันค้นข้อมูลมารายงานหน้าห้อง พวกไอ้อ๋อง กับไอ้ตาต้า ดันตอบครูไม่ได้ ครูเลยหักคะแนนทั้งกลุ่ม แล้วมาไล่จี้กับถามเอาผมว่าแบ่งงานกันทำยังไงใครหาส่วนไหนบ้าง
ผมเซ็งและไม่อยากออกตัวปกป้องใคร เพราะไม่เคยมีใครปกป้องผม เลยเล่าความจริงไปทั้งหมดว่าผมทำคนเดียวตั้งแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้ายพวกมันมาอ่านรายงานกันก่อนออกไปนำเสนอหน้าห้องเมื่อกี้นี้เอง
ครูเลยให้คะแนนผมแค่ผ่านคาบเส้นเพราะมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด แต่ตอบเนื้อหาที่ครูสั่งได้ถูกต้อง ส่วนคนอื่นให้ไปทำมาใหม่ทั้งหมด
หลังจากนั้นผมรู้ชะตากรรมตัวเองเลยว่านรกกำลังรออยู่ ผมโดนรังแกหนักกว่าเดิมหลายเท่า โดนตั้งฉายาน้องคนซื่อ โดนล้อเลียน ทำเวรคนเดียว นั่งคนเดียว ไม่มีใครกล้ามานั่งคู่ในชั้นเรียนหรือนั่งกินข้าวด้วยกันกับผม เพราะกลัวจะถูกรังแกไปด้วย คราวนี้ไม่ใช่แค่น่าเบื่อ แต่โรงเรียนกลายเป็นสถานที่ที่ไม่น่าอยู่สำหรับผมอีกต่อไป
เย็นวันหนึ่งขณะที่เพื่อนคนอื่น ๆ เก็บข้าวของออกจากห้องกันไปหมดแล้ว เป็นเวรทำความสะอาดห้องของผม ไอ้อ๋อง ไอ้ตาต้าและเพื่อนอีกสองคน แต่พวกมันก็ทิ้งผมให้ทำคนเดียวและกำชับให้ทำให้สะอาดถ้าครูมาตรวจห้องพรุ่งนี้แล้วบอกว่าไม่สะอาดครูจะหักคะแนนกลุ่มแล้วผมจะโดนหนักแน่
พวกมันปิดประตูห้องขังผมไว้ หัวเราะกันคิกคักอยู่ด้านนอก ห้องเรียนว่างเปล่าชวนสลดหดหู่
ผมทิ้งไม้ถูพื้น เดินออกไปที่หน้าต่าง ห้องเรียนฝั่งนี้ด้านหลังติดกับต้นมะขามใหญ่ ทั้งๆที่อยู่บนชั้น 5 แต่กิ่งก้านของต้นมะขามที่ยื่นออกมาใกล้กับระเบียงทำให้มันดูไม่สูงเลย
ผมมองลงไปที่ชานระเบียงซึ่งยื่นออกไปราว 1 เมตร แล้วโหนตัวกระโดดข้ามหน้าต่างออกไปตรงนั้น สายลมเย็นๆ และเสียงซู่ซ่าเสียดสีของใบไม้บนเรือนยอดทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ผมนั่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ไม่ได้คิดว่าจะทำอะไรไม่ได้คิดว่าจะไปไหน ปล่อยให้สมองโล่ง แล้วก็ทึกทักเอาว่าสถานที่ตรงนี้เป็นที่หลบภัยสำหรับผม
กิ่งมะขามกิ่งหนึ่งที่ยื่นยาวมาใกล้ระเบียง ดูเชื้อเชิญยั่วยวนให้วิ่งกระโดดข้ามปีนเข้าไป ผมเคยได้ยินผู้ใหญ่บอกว่ากิ่งมะขามเหนียว ไม่หักง่าย เอาไว้วันหลังถ้าผมสะดวกกว่านี้ วันที่ใส่ชุดพละมาอาจจะลองปีนข้ามไปเล่นดู
ตอนนั้นเองผมถึงสังเกตว่า ภายใต้ต้นมะขามที่มีใบดกครึ้ม มีเด็กผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับผมอีกคนหนึ่ง นั่งมองมาจากบนคาคบมะขาม ห่างออกไปไม่ไกลนัก เขาไม่ได้ใส่ชุดนักเรียน
ผมเห็นแล้วรู้สึกอิจฉาแต่ก็ทำได้แค่นั้น ผมปีนกลับเข้ามาในห้องเรียน หันไปมองอีกครั้งเด็กคนนั้นส่งยิ้มมาให้ผม ผมยิ้มตอบ ทำความสะอาดห้องเสร็จแล้วก็กลับบ้าน
วันต่อๆมา เวลาที่ผมเครียดหรือกังวล ช่วงพักกลางวันเวลาที่ไม่มีใครที่ห้องแล้ว หรือตอนเย็น ผมมักจะแอบกระโดดไปที่ระเบียงด้านหลังหน้าต่างที่เดิม นั่งฟังกิ่งใบมะขามล้อเล่นกับสายลมอยู่ ในบางวันผมก็จะเห็นเด็กผู้ชายคนเดิมปีนโยกตัวเล่นไปมาอย่างผาดโผนอยู่ที่กิ่งไม้
บางคราวเขาโยนตัวจากกิ่งบน ปล่อยตัวร่วงวูบจนผมใจหาย แต่เขาก็กลับคว้ากิ่งล่างได้เฉียดฉิวพลางหัวเราะดังลั่น ขณะที่ผมใจสั่นด้วยความกลัวจนแทบเป็นลม
7.
วันหนึ่งในคาบชั่วโมงอิสระก่อนที่จะถึงเวลาเลิกเรียน เพื่อนคนอื่นๆกระจายตัวไปที่อื่นหมดแล้วห้องสมุดบ้างสนามฟุตบอลบ้าง มีแค่ผมไอ้อ๋องไอ้ตาต้าที่ยังอยู่ในห้องเพราะต้องเอาผ้าเปียกถูกระดานดำก่อนวันหยุดเสาร์อาทิตย์
ไอ้อ๋องและไอ้ตาต้าแกล้งผมด้วยการเอาผ้าขี้ริ้วเปรียบขว้างใส่หน้า พวกมันหัวเราะแล้ววิ่งหนีออกไปข้างนอก ผมถอดเสื้อนักเรียนเช็ดหน้าแล้วเปลี่ยนชุดพละ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอยากลองไต่ขึ้นไปบนต้นมะขามนั่น
ผมกระโดดออกไปทางหน้าต่างอีกครั้ง ยืนอยู่บนระเบียงคอนกรีต ชะโงกหน้ามองหาเด็กผู้ชายคนนั้น โชคดีที่วันนี้เขามาด้วย เขาดูมีสีหน้าดีใจ ไต่มาที่กิ่งมะขามใกล้ๆระเบียง พยักหน้าชักชวนผมให้ปีนขึ้นไป
พอเห็นหน้ากันใกล้ๆ ผมถึงสังเกตว่าเสื้อผ้าที่เขาใส่ดูเก่าคร่ำคร่า สกปรกเปื้อนดินและมีคราบอะไรสักอย่างดำๆเลอะเทอะไปหมดและใบหน้าของเขาก็ดูซูบเซียว ริมฝีปากแห้งแตกระแหงออกเขียวๆคล้ำๆ ดวงตาเหลือกโปนเหมือนลูกนางอายและดูไม่ค่อยมีความแวววาวอย่างคนปกติ
ผมก้มลงมองพื้นเบื้องล่าง เหงื่อออกเต็มมือเมื่อคิดว่าตรงนี้สูงเกือบ 10 เมตร หากหล่นลงไปน่าจะไม่จะรอด เด็กคนนั้นย้ำกับผมอีกครั้งด้วยเสียงแหบแห้งเหมือนคนไม่ได้กินน้ำมาทั้งวันว่า“กิ่งมะขามนี้เหนียวมากไม่หักง่ายๆหรอก”
เขายื่นมือมาทำท่าจะรับผม ผมเลยพยักหน้า ถอยหลังก้าวหนึ่งกำลังจะโดดข้ามไปหาเขา
ตอนนั้นเองที่จู่ๆผมก็ผงะตัวลอยหงายไปด้านหลัง ก้นกระแทกพื้นอย่างแรง พอหันกลับมาก็เห็นไอ้อ๋องยืนหน้าซีดอยู่ข้างๆ มือสองข้างของมันที่กระชากไหล่ผมกลับเย็นเฉียบ
“มึงจะทำเหี้ยอะไร! นี่มันสูงตั้ง 5 ชั้นนะมึง”
ผมโกรธขึ้นมา ไอ้เลวพวกนี้ตามมารังแกผมถึงตรงนี้เลยเหรอนี่มันพื้นที่ลับส่วนตัวของผมแท้ๆ
แต่พอหันกลับไปมองที่ต้นมะขามอีกครั้งก็กลับเป็นผมที่ใจร่วงวูบมือไม้อ่อนแทบเป็นลม!
เพราะกิ่งมะขามกิ่งใหญ่ที่ทอดยาวมายังระเบียงที่ผมเห็นก่อนหน้านี้มันไม่มีอยู่แล้ว มีเพียงรอยตัดด้วนๆที่ห่างออกไปเกือบชิดลำต้นหลายเมตร ไม่มีทางที่ใครจะกระโดดข้ามไปตรงนั้นได้เลย แถมเด็กผู้ชายที่ผมเห็นเมื่อครู่ก็หายไปด้วย
ความสูงจากระเบียงถึงพื้นล่างทำให้ผมหน้ามืด ใจหวิวๆ ไอ้ตาต้าที่ชะโงกหน้าอยู่ตรงหน้าต่างก็พูดเสริมขึ้นว่า “พวกมึงรีบขึ้นมากันก่อนเถอะถ้าครูมาเห็นว่าไปอยู่ตรงนั้นน่ะ โดนเรียกผู้ปกครองแน่ ไม่รู้กันหรือไงว่าตรงนี้มันเคยมีเรื่องอะไรมาก่อน”
ผมกับไอ้อ๋องเลยพากันปีนกลับเข้าไปทางหน้าต่าง มือไม้ผมสั่นจนแทบไม่มีแรงจนไอ้อ๋องต้องอุ้มขึ้น
หลังจากนั้นดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่ไอ้อ๋องกับไอ้ตาต้าสนใจมองหน้าผมอย่างจริงจัง พวกมันเล่าให้ผมฟังว่าตอนที่มันส่องประตูมองเข้ามาในห้องแล้วไม่เห็นผม ไอ้ตาต้ามันพูดขึ้นว่าหรือพวกมันจะแกล้งผมจนเครียดหนีไปโดดตึกตายซะแล้ว ไอ้อ๋องเลยตกใจรีบวิ่งมาดูที่ด้านหลังหน้าต่าง แล้วก็เห็นผมทำท่าจะกระโดดลงไปข้างล่างพอดี
“ต้นมะขามตรงนี้เมื่อหลายปีที่แล้วเคยมีคนมาปีนช่วงปิดเทอม ไต่ตามกิ่งมะขามใหญ่เข้ามาที่ระเบียงตรงนี้จะเข้ามาขโมยของในห้อง แต่พลาดหล่นลงไปตายซะก่อน ครูเขาเลยให้ตัดกิ่งที่มันยื่นมาทางนี้ทิ้ง...รอยด้วนๆนั่นไง” เจี๊ยบหัวหน้าห้องที่กลับเข้ามาดูความเรียบร้อยก่อนเลิกเรียนเล่าให้ผมฟัง พลางชี้ให้ดูรอยตัดกิ่ง“จริงๆแล้วหน้าต่างบานนี้ครูเขาก็ไม่ได้ให้เปิดมานานแล้วนะ เพราะมีบางคนบอกว่าเวลามองออกไป บางคนเห็นเด็กผู้ชายที่ตายไปมานอนเล่นอยู่บนคาคบกิ่งมะขาม เด็กบางคนปีนหน้าต่างออกไปตามบอกว่ามีรุ่นพี่ชวนให้ปีนไปเล่นบนกิ่งมะขาม ทั้งๆที่กิ่งมะขามถูกตัดทิ้งไปนานแล้ว”
หลังจากวันนั้น ผมก็กลัวจนขนหัวลุกทุกครั้งที่ต้องเข้ามาเรียนในห้อง และย้ายที่นั่งไปนั่งติดกับมุมประตูห้อง โดยมีไอ้อ๋องกับไอ้ตาต้าช่วยจัดหาที่นั่งให้เป็นอย่างดีแล้วมันก็นั่งกับผมด้วย
กลายเป็นว่าเรื่องเจอผีในโรงเรียนกลายเป็นเรื่องดีกับผม เพราะผมได้เพื่อนขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ การที่ผมเกือบตายไปจริงๆต่อหน้าต่อตาไอ้อ๋องกับไอ้ตาต้า ทำให้พวกมันเกิดกลัวขึ้นมา มันมาพูดภายหลังว่าที่แกล้งผมเพราะเห็นผมหงอๆเหงาๆน่าแกล้งและคงสนุกดี ไม่ได้ทันคิดว่าจะทำให้ผมเครียดและเป็นทุกข์แค่ไหน อันที่จริงพวกมันก็เป็นแค่เด็กเหมือนกับผม โง่เรื่องความสัมพันธ์พอๆกันกับผม ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนักหรอกครับ ชีวิตในโรงเรียนของผมต่อจากนั้นเลยง่ายขึ้น
เรื่องนี้แม้ผ่านมานานแล้วแต่ผมก็ยังไม่เคยลืม และยังทำบุญให้เด็กคนที่เคยยื่นมือมาชวนผมไปบนกิ่งมะขาม มีคนเห็นว่าเขายังคงติดอยู่ที่กิ่งมะขามกิ่งนั้นจนถึงทุกวันนี้ แต่ผมหวังอยู่เสมอว่าในที่สุดแล้วเขาคงได้ไปเกิดใหม่ในที่ดีๆ ไม่ต้องมาเสี่ยงชีวิตลักขโมยจนต้องตายอย่างนี้อีก.
แถวบ้านเก่าของฉันสมัยเด็กๆ ไม่ค่อยมีสระว่ายน้ำที่เปิดให้คนทั่วไปได้เข้าไปใช้ มีแค่สระของค่ายทหาร กับสระว่ายน้ำโรงแรม สระโรงเรียนเลยกลายเป็นที่พึ่งของเด็กๆที่อยากลงเล่นน้ำในสระแต่ไม่มีที่ไป เราเรียกชื่อสระว่ายน้ำแห่งนั้นตามชื่อโรงเรียน เป็นสระที่สร้างขึ้นในบริเวณโรงเรียนเก่าที่ฉันเรียนอยู่ เมื่อก่อนยังมีสอนว่ายน้ำ แต่พอเกิดเรื่องร้ายขึ้น พ่อแม่ผู้ปกครองไม่มีใครอยากให้ลูกเรียน เลยปิดวิชาสอนว่ายน้ำ เปิดให้เอกชนมาเช่าแทนสระว่ายน้ำมีขนาดไม่ใหญ่มากนักแต่ก็มีโซนน้ำตื้น น้ำลึก มีห้องอาบน้ำและมีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นสัดส่วนเรียบร้อย โดยมีค่าลงสระเพียงคนละสิบบาทต่อวัน เล่นได้จนกว่าจะเบื่อ ในความทรงจำของฉันกับพี่ๆน้องๆ ที่นี่เป็นที่ที่ทำให้พวกเราหัดว่ายน้ำกันเองจนว่ายเป็น และเป็นที่ที่หาความสุขสำราญกันในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ช่วงปิดเทอมเราแทบจะมากันวันเว้นวัน พวกผู้ใหญ่ก็พากันชอบใจที่มีผู้ช่วยเลี้ยงเด็กระหว่างวันโดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีอันตราย เพราะมีลูกเจ้าของกิจการที่ว่ายน้ำเก่งคอยเฝ้าเป็นไลฟ์การ์ดและขายขนมอยู่ด้วยตลอดทั้งวัน ความพิเศษของสระน
ผมจะบอกใครได้ยังไงว่าเรื่องที่ผมเขียนมานั้น เป็นเรื่องที่ผีเล่า! พูดไปใครจะเชื่อ ยุคนี้สมัยนี้แล้ว ยังมีเรื่องราวอย่างที่เขาพูดกันว่า ‘ผีบอก’ ตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า รุ่นพ่อแม่ผม ได้ยินมาไม่รู้เท่าไหร่ เรื่องยาผีบอก สูตรยาลึกลับที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนเลย แต่อยู่ดี ๆ ใครคนหนึ่งก็จะฝัน หรือได้ยินเสียงกระซิบเบา ๆ จากชาวปรโลก บอกว่าส่วนผสมของสมุนไพรชนิดใดบ้างที่จะช่วยเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บที่หมอปัจจุบันรักษาไม่หาย ยาเหล่านี้ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องของดวง ถ้าโชคดีกินแล้วหาย ก็ยกความดีความชอบให้ผี แต่ถ้าไม่หาย ญาติพี่น้องคนป่วยก็มักจะโบ้ยให้กับเคราะห์กรรม ถ้าอย่างเพลงผีบอกก็จะคล้าย ๆ กัน มักเกิดขึ้นกับนักดนตรีหรือนักประพันธ์เพลงที่ได้ยินเสียงดนตรี หรือเพลงที่มีเนื้อร้องทำนองในตอนหลับ หรือกำลังอยู่ในสภาวะเคลิ้ม ผมเคยได้ยินเรื่องนักแต่งเพลงชื่อดังระดับโลกคิดท่อนต่อของเพลงไม่ออก พยายามคิดมาเป็นแรมเดือน อดหลับอดนอน แต่พอได้นอนหลับลงในคืนหนึ่ง จู่ ๆ เพลงที่เขาพยายามคิดมาแทบตายก็มาปรากฏในความฝัน ผมเป็นนักเขียนนิยายออนไลน์ครับ นักเขียนนิยายวาย ขายในเว็
รุ่นพี่ที่เล่าให้ผมฟังแกยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงที่โรงเรียนหนึ่งทางภาคอีสาน แต่เรื่องราวได้ถูกถ่ายทอดเล่ากันมาปากต่อปาก รายละเอียดในเรื่องราวก็ถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทำให้สถานที่และผู้คนในเรื่องนี้ถูกบิดเบือนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไม่อาจสืบสาวได้แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นที่ไหนกันแน่ ผมเป็นครูพละ เพิ่งมาประจำที่โรงเรียนแห่งนี้ได้ไม่นานนัก มักได้รับมอบหมายให้อยู่เวรกลางคืนและเพราะยังไม่ได้บ้านพักก็เลยต้องพักในห้องพักครูของโรงเรียนตอนดึกๆบางทีก็เดินสำรวจตรวจตรา ส่องไฟฉายดูตามอาคารเรียนต่างๆแก้เบื่อ แต่ส่วนใหญ่แล้วบรรยากาศจะเงียบจนชวนง่วง ส่วนหนึ่งคงเพราะโรงเรียนเราเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก และมีนักเรียนไม่มาก แถมห่างออกมาจากชุมชนพอสมควร รอบโรงเรียนมีแต่ป่าหญ้าป่าพง ในคืนเงียบๆเช่นคืนนี้ครูรุ่นพี่ที่พักอยู่ที่โรงเรียนเหมือนกันจึงมักจะมีเรื่องเล่า แปลกๆบ้าง ขำบ้าง เศร้าบ้าง หรือหลายครั้งก็เป็นเรื่องหลอนๆอย่างเช่นเรื่องนี้ มีเด็กที่ชาวบ้านเจอแล้วมาแจ้งให้ทราบว่าเป็นเด็กในชุดนักเรียน ผู้หญิงผิวขาวซีด เนื้อตัวแห้งเหี่ยว ใบหน้าแทบไ
ผมเริ่มได้ยินเสียงคนเปิดประตูออกมาจากห้อง มีเสียงพูดคุย และน่าประหลาดมากที่ส่วนใหญ่ฟังดูเหมือนเสียงผู้หญิง!ก็อย่างที่บอกครับ หอที่ผมอยู่แม้จะเป็นหอพักชาย แต่ก็มีบางรายที่แอบพาสาวเข้ามา แต่ส่วนที่จะซุกไว้บ้างเท่าไหร่นี่ก็ไม่รู้ได้ ตอนนั้นผมได้แต่นั่งฟังเสียงหญิงสาวแปลกหน้าคุยกันแถวโถงทางเดินจนเสียงดังเข้ามาในห้องอากาศร้อนในคืนนั้นทำให้ผมเริ่มทนอยู่ไม่ไหว ยิ่งเมื่อพัดลมเปิดไม่ได้ มันก็ยิ่งอบอ้าวหนักขึ้นจนแทบหายใจไม่ทัน หอบเป็นหมาหอบแดด ร้อนเหมือนอยู่หน้าเตาถ่านผมพยายามจะช่วยเหลือตัวเองด้วยการคลำ ๆ ทางเดินไปเปิดหน้าต่างหลังห้องให้กว้างสุด แล้วก็เดินไปเปิดประตูหน้า หวังว่าอาจจะมีลมโชยเข้ามาถ่ายเทช่วยให้ห้องหายร้อนบ้าง แต่เมื่อเปิดจนสุดแล้วก็ไม่มีลมพัดมาสักวูบ มีแต่กลิ่นชวนอาเจียนราวกับหนูเน่าโชยเข้ามาเป็นระลอก ๆผมมาแปลกใจอีกอย่างที่พบว่าในความมืดหลังไฟดับครั้งนี้มันแปลก ๆ คือมันมืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเลยสักนิด แม้เมื่อเดินออกไปมองทางหน้าต่างห้องผมซึ่งเป็นชั้นหก ก็ไม่เห็นมีแสงสว่างจากท้องฟ้า แสงจันทร์ หรือแสงจากไฟฟ้าที่อื่นที่ยังไม่ดับ...ในใจก็คิดอะไรกันละเนี่ย ไฟดับทั้งกรุงเทพฯ เลยหรื
เมื่อตอนที่ผมอยู่หอเก่าหลังมหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่ผมจนสุด ๆ ต้องทำงานหาเงินเรียนและจ่ายค่าหอค่ากินค่าอยู่เองทั้งหมด ก็เลยต้องเลือกหอพักชายที่ราคาถูกสุด ๆ เท่าที่จะหาได้จำได้ว่าวันที่ไปเดินหาหอพัก ผมเดินเข้า ๆ ออก ๆ เกือบทุกซอย จดราคาค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ามัดจำของแต่ละหอไว้จนเต็มหน้ากระดาษ จนได้ข้อสังเกตที่ว่า หากเป็นหอพักที่มีหลายชั้นและไม่มีลิฟต์ ยิ่งชั้นบน ๆ จะยิ่งราคาถูกลงเรื่อย ๆ และคำว่าหอพักชาย สภาพจะทุเรศทุรังกว่าหอพักรวม แต่ราคาก็จะถูกลงไปอีก สุดท้ายผมเลยลงเอยที่หอพักชายท้ายซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่สภาพย่ำแย่พอสมควร ในซอยนั้นมีความแปลกอยู่นิดหน่อย คือต้นซอยจะมีหอพักนักศึกษาชุกชุมเหมือนซอยอื่น ๆ นี่แหละ แต่กลางซอยเข้าไปอีกเกือบกิโลฯ จะเป็นบ้านคนและป่ารกร้างสลับกันไป ตึกอพาร์ตเม้นต์และหอพักอีกสี่ตึก มาโผล่อีกทีช่วงท้ายซอย ไกลและเงียบจนผมคงไม่เข้ามาถ้าไม่มีป้าขายน้ำเต้าหู้ที่ได้ยินว่าผมกำลังหาหอถูก ๆ เลยแนะนำให้ผมลองเดินเข้ามาดูวันนั้นผมเดินมากับเพื่อนอีกคนที่บังเอิญเจอกันหน้าปากซอยพอดี แต่พอเพื่อนเห็นสภาพหอแล้วเพื่อนขอบายทันทีโดยไม่รอดูห้องเลย เพราะแค่เดินเข้าตึก ก็
ต้นไผ่มันไม่เชื่อผมเลยทุกคืนกลางดึก ผมเห็นร่างตะคุ่มๆยืนอยู่ที่ระเบียง ทำท่าชะโงกมองอะไรสักอย่าง ก่อนจะเสียหลักพลัดตกลงไปข้างล่าง ในหูได้ยินทั้งเสียงตกกระแทกพื้นดังพลั่ก เสียงหักร้าวของกระดูก และเสียงร้องครางอือในลำคอ แต่เมื่อผมตามไปดูก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ“มึงหลอนไปเองแล้วโก้ กูบอกแล้วว่าให้นอนพักเสียบ้าง อ่านหนังสือเตรียมสอบถึงเช้าทุกวันแบบนี้ สมองอ๊องหมดแล้ว” มันว่าทั้งที่ตายังไม่ละออกจากเกมในโทรศัพท์มือถือ “เชื่อกู นอนบ้าง เล่นเกมบ้าง กินเหล้าบ้างก็ดี”ผมรำคาญและหงุดหงิดเสมอเมื่อมันพูดเหมือนไม่เคยใส่ใจปัญหาของผมเลย“ผี ห้องนี้แม่งต้องมีผี กูจะลองหาดู ในข่าวเก่าๆอาจจะมี”ผมลองเข้ากูเกิ้ล เซิร์ชหาข่าวด้วยชื่อตึกและคำว่าเสียชีวิต หาอยู่พักใหญ่จนพบข่าวหนึ่ง เป็นข่าวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่ตกจากระเบียงตึกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อราวปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา แต่เมื่อคลิกจะเข้าไปอ่านรายละเอียดกลับเข้าไม่ได้ “เนตเป็นเหี้ยไรวะ!” ผมบ่นอย่างหงุดหงิด “ต้นไผ่ มึงใช้ 4G ป่ะ กูยืมแป๊บดิ ไวไฟแม่งไม่มีสัญญาณ” ไอ้ต้นไผ่ชำเลืองตามามองผมแวบหนึ่ง “มึงเชื่อกู เลิกค้นเรื่องนี้เถอะรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”“