ร่างในชุดเครื่องรำแปลกประหลาดตรงหน้ายังคงร่ายรำอย่างเชื่องช้า แช่มช้อย เอียงร่างกายท่อนบนจนเอวแทบขนานกับพื้น ค่อยๆวาดเท้าหันกลับมาที่ฉันช้า ๆ
ทั้งที่กำลังขวัญผวากับภาพตรงหน้า เสียงหัวใจเต้นเร็วแรงเหมือนกระโดดจากในอกมาอยู่ในแก้วหูแต่ฉันกลับควบคุมตัวเองไม่ได้ เท้าทั้งสองค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ใบหน้าที่กำลังจ้องมองกลับมาเป็นใบหน้าของเจี๊ยบแท้ๆ แต่นั่นเหมือนไม่ใช่ เป็นความขัดแย้งที่แปลกประหลาด
ร่างนั้นแสยะยิ้มให้ ริมฝีปากแดงฉ่ำวาดยาวไปบนแก้ม ฟันสีดำเรียงกันเป็นแถว ดวงตาดำกลมโตเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มจอตา ทว่าไม่มีแววตาเมื่อกระทบแสง มืดดำสนิทราวกับหลุมลึกมืดมิด
ขาฉันสั่นจนขยับไม่ได้อีกต่อไป แม้แต่บังคับให้ตัวเองหลับตา สวดมนต์ หรือห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาเพราะความกลัวก็ทำไม่ได้ อยากจะหันหลังวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หรืออย่างน้อยก็เรียกให้คนช่วย แต่ก็ทำไม่ได้สักนิด!
ร่างตรงหน้ายังคงแสดงแสนยานุภาพอย่างเต็มที่ราวกำลังสนุกสนานกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเตะเท้าที่คลุมด้วยชุดยาวกรุยกรายลากพื้นไปด้านข้าง คล้ายท่าร่ายรำของนางระบำพม่า คอสะบัดเอียงไปมาตามจังหวะดนตรี งดงามอ่อนช้อยอย่างยิ่ง แต่ก็น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งเช่นกัน
ดวงตาของฉันยังถูกตรึงนิ่งอยู่กับการแสดงสุดหลอนตรงหน้า ตอนนี้ร่างนั้นเริ่มขยับริมฝีปากคล้ายกำลังร้องเพลงด้วยท่วงทำนองเยือกเย็น เสียงทุ้มต่ำก้องสะท้อนไปมาเหมือนอยู่ในถ้ำ เมโลดี้คล้ายบทสวดโบราณ แต่น้ำเสียงที่ราวกับพ่นพรูออกมานั้นทำให้ฉันรู้ว่ามันน่าจะไม่ใช่แค่บทสวด แต่มันคือท่วงทำนองฝ่ายต่ำคล้ายคำสาปหรือเวทมนตร์ที่เอาไว้ใช้ทำร้ายคนอื่น
ร่างนั้นร่ายรำแอ่นอกเอียงเอวสลับไปมาเหมือนถอดกระดูกได้ ค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ ช่วงจังหวะหนึ่งในท่าร่ายรำนั้น เธอหันหลังแอ่นตัวจนศีรษะโค้งลงมาต่ำกว่าระดับเอว ใบหน้านั้นยิ้มร่าขณะยื่นมือมาทางฉัน
ปากสีแดงฉ่ำดั่งเลือดขยับอีกครั้งก่อนแสยะยิ้มสยอง “มาสิ เข้ามาทางนี้ มาหากู” เสียงเรียกดังคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ฉันพ่ายต่ออำนาจนั้น เท้าก้าวเข้าไปใกล้อีก น้ำตาไหลพราก...อีกไม่ถึงเมตร ปลายนิ้วของร่างนั้นก็จะเอื้อมมาถึง แม้ปลายเท้าของเธอยังคงเคลื่อนไหวร่ายรำต่อเนื่องอยู่ในอาณาเขตยันต์สี่ทิศ
จู่ๆฉันก็รู้สึกร้อนวาบที่ลำคอขึ้นมาและรู้สึกคล้ายถูกสาดน้ำ ก่อนสะดุ้งเฮือกและกรีดร้องสุดเสียงเมื่อเห็นภาพร่างที่กำลังแอ่นตัวห้อยศีรษะตรงหน้ามีรอยเหมือนถูกตัดขาดที่ลำคอ เลือดสีแดงคล้ำไหลพรั่งพรูลงมาเคลือบปิดดวงตาสีดำ กลิ่นเหม็นร้ายกาจคละคลุ้งโชยมา ก่อนที่ฉันจะหมดสติไป
ฉันได้สติฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล มีพ่อแม่และเจี๊ยบยืนข้างๆ เจี๊ยบเล่าว่า เธอเห็นว่าฉันหายไปนานเลยลงมาตาม ก่อนจะเห็นฉันเดินตัวแข็งดวงตาเลื่อนลอยเข้าไปในห้องนั้น เรียกเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัว ไม่ยอมหัน เธอจึงวิ่งไปตามครูมาช่วย
ทั้งครูและนักเรียนพากันกรูลงมาและได้เห็นฉันกำลังร่ายรำด้วยท่าประหลาดที่ไม่มีใครเคยเห็น ครูวิ่งไปเปิดไฟก่อนจะคว้าสร้อยพระจากคอตัวเองมาคล้องคอฉัน แล้วฉันก็หมดสติไป ครูจึงพาฉันมาส่งที่โรงพยาบาลและแจ้งให้พ่อแม่นักเรียนทุกคนมารับลูกกลับบ้านโดยด่วน
หลังเหตุการณ์นั้น ฉันได้รับทราบจากเพื่อนๆที่พากันไปช่วยสืบจากผู้ใหญ่ ได้ความมาว่าเมื่อสามสิบปีที่แล้ว เคยมีนางรำของโรงเรียนคนหนึ่ง มักมีอาการแปลกๆเวลาที่ไปรำในห้องนั้น คือจู่ ๆ ก็ยืนนิ่ง ตาแข็ง และสุดท้ายก็จะเดินไปหยุดอยู่ตรงมุมที่ล้อมสายสิญจน์แล้วนั่งลง ก่อนจะพูดและแสดงท่าทางด้วยกิริยาอาการเหมือนคนละคน ก่อนจะลุกขึ้นมาร่ายรำด้วยท่าทางประหลาด
ว่ากันว่า นั่นเป็นท่ารำในพิธีท้องถิ่นแบบโบราณ ที่ต้องรำพร้อมดาบ ซึ่งก็หมายความว่ามีวิญญาณที่มาสิงร่างเธอ ร้องขอเครื่องรำและดาบจริง แต่ในที่สุดแล้วก็ลงเอยด้วยการที่ร่างทรงนางรำเอาดาบเชือดคอตัวเองจนเสียชีวิตอยู่บริเวณนั้น
นั่นเป็นที่มาของวงล้อมสายสิญจน์และยันต์ที่ห้อยสี่ทิศตามความเชื่อ เพราะนี่ไม่ใช่แค่ดวงวิญญาณทั่วไป แต่เป็นวิญญาณร้ายที่เป็นอันตรายกับมนุษย์ ทำบุญกรวดน้ำอย่างไรก็ไม่สามารถส่งบุญไปถึงมันได้ และวันใดใครดวงตกโชคร้ายก็อาจจะเจอมันเข้า ตราบใดที่ยังมีอาณาเขตพิเศษนั้น มันจะออกมาทำร้ายใครไม่ได้
ที่ต้องเปิดประตูและหน้าต่างไว้เสมอ เพราะต้องถ่ายเทพลังงานด้านมืดของมันออกไปตามความเชื่อ ยิ่งแสงแดดส่องจ้ามากเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำลายพลังมันได้ดีขึ้น แต่ช่วงนี้เหมือนอากาศอึมครึมมาหลายวัน มันคงสะสมพลังได้มากพอที่จะสามารถปรากฏร่างได้อีกครั้ง และฉันเองก็ดันมาเจอแจ็กพ็อตพอดี
“เกือบไปแล้ว” เจี๊ยบพูดพลางสะอื้นเมื่อได้ยินฉันเล่าเรื่องทั้งหมด “น่ากลัวเกินไปแล้ว ดีนะที่แกไม่ได้แตะมือมัน ไม่รู้ว่ามันจะทำอะไรแกบ้าง แกเหมือนคนตายเลยรู้ไหม หน้าซีด ตัวเย็น ลืมตาค้าง ปากเขียว ทุกคนรู้กันหมดว่าเป็นอะไร แต่ก็ต้องเชื่อหมอที่บอกว่าแกน่าจะมีอาการเครียดจนชัก ต่อไปนี้แกไม่ต้องมานั่งเฝ้าเราแล้วนะ ไม่เอาอีกแล้ว ”
ฉันเองก็คงไม่กล้ามาแล้วล่ะ อย่าว่าแต่กลางคืนเลย กลางวันก็คงไม่กล้ามาเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ยังห่วงเพื่อนอยู่ดี
“แล้วแกล่ะเจี๊ยบ จะกลับกับใคร ?”
“เราก็คงจะบอกครูว่าต่อไปนี้ขอซ้อมแค่ตอนที่ยังไม่มืด ถ้าไม่ได้ก็คงไม่เป็นมันแล้วนางรำ หลอนขนาดนี้ ใครมันจะไปกล้าเสี่ยง”.
แถวบ้านเก่าของฉันสมัยเด็กๆ ไม่ค่อยมีสระว่ายน้ำที่เปิดให้คนทั่วไปได้เข้าไปใช้ มีแค่สระของค่ายทหาร กับสระว่ายน้ำโรงแรม สระโรงเรียนเลยกลายเป็นที่พึ่งของเด็กๆที่อยากลงเล่นน้ำในสระแต่ไม่มีที่ไป เราเรียกชื่อสระว่ายน้ำแห่งนั้นตามชื่อโรงเรียน เป็นสระที่สร้างขึ้นในบริเวณโรงเรียนเก่าที่ฉันเรียนอยู่ เมื่อก่อนยังมีสอนว่ายน้ำ แต่พอเกิดเรื่องร้ายขึ้น พ่อแม่ผู้ปกครองไม่มีใครอยากให้ลูกเรียน เลยปิดวิชาสอนว่ายน้ำ เปิดให้เอกชนมาเช่าแทนสระว่ายน้ำมีขนาดไม่ใหญ่มากนักแต่ก็มีโซนน้ำตื้น น้ำลึก มีห้องอาบน้ำและมีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นสัดส่วนเรียบร้อย โดยมีค่าลงสระเพียงคนละสิบบาทต่อวัน เล่นได้จนกว่าจะเบื่อ ในความทรงจำของฉันกับพี่ๆน้องๆ ที่นี่เป็นที่ที่ทำให้พวกเราหัดว่ายน้ำกันเองจนว่ายเป็น และเป็นที่ที่หาความสุขสำราญกันในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ช่วงปิดเทอมเราแทบจะมากันวันเว้นวัน พวกผู้ใหญ่ก็พากันชอบใจที่มีผู้ช่วยเลี้ยงเด็กระหว่างวันโดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีอันตราย เพราะมีลูกเจ้าของกิจการที่ว่ายน้ำเก่งคอยเฝ้าเป็นไลฟ์การ์ดและขายขนมอยู่ด้วยตลอดทั้งวัน ความพิเศษของสระน
ผมจะบอกใครได้ยังไงว่าเรื่องที่ผมเขียนมานั้น เป็นเรื่องที่ผีเล่า! พูดไปใครจะเชื่อ ยุคนี้สมัยนี้แล้ว ยังมีเรื่องราวอย่างที่เขาพูดกันว่า ‘ผีบอก’ ตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า รุ่นพ่อแม่ผม ได้ยินมาไม่รู้เท่าไหร่ เรื่องยาผีบอก สูตรยาลึกลับที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนเลย แต่อยู่ดี ๆ ใครคนหนึ่งก็จะฝัน หรือได้ยินเสียงกระซิบเบา ๆ จากชาวปรโลก บอกว่าส่วนผสมของสมุนไพรชนิดใดบ้างที่จะช่วยเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บที่หมอปัจจุบันรักษาไม่หาย ยาเหล่านี้ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องของดวง ถ้าโชคดีกินแล้วหาย ก็ยกความดีความชอบให้ผี แต่ถ้าไม่หาย ญาติพี่น้องคนป่วยก็มักจะโบ้ยให้กับเคราะห์กรรม ถ้าอย่างเพลงผีบอกก็จะคล้าย ๆ กัน มักเกิดขึ้นกับนักดนตรีหรือนักประพันธ์เพลงที่ได้ยินเสียงดนตรี หรือเพลงที่มีเนื้อร้องทำนองในตอนหลับ หรือกำลังอยู่ในสภาวะเคลิ้ม ผมเคยได้ยินเรื่องนักแต่งเพลงชื่อดังระดับโลกคิดท่อนต่อของเพลงไม่ออก พยายามคิดมาเป็นแรมเดือน อดหลับอดนอน แต่พอได้นอนหลับลงในคืนหนึ่ง จู่ ๆ เพลงที่เขาพยายามคิดมาแทบตายก็มาปรากฏในความฝัน ผมเป็นนักเขียนนิยายออนไลน์ครับ นักเขียนนิยายวาย ขายในเว็
รุ่นพี่ที่เล่าให้ผมฟังแกยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงที่โรงเรียนหนึ่งทางภาคอีสาน แต่เรื่องราวได้ถูกถ่ายทอดเล่ากันมาปากต่อปาก รายละเอียดในเรื่องราวก็ถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทำให้สถานที่และผู้คนในเรื่องนี้ถูกบิดเบือนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไม่อาจสืบสาวได้แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นที่ไหนกันแน่ ผมเป็นครูพละ เพิ่งมาประจำที่โรงเรียนแห่งนี้ได้ไม่นานนัก มักได้รับมอบหมายให้อยู่เวรกลางคืนและเพราะยังไม่ได้บ้านพักก็เลยต้องพักในห้องพักครูของโรงเรียนตอนดึกๆบางทีก็เดินสำรวจตรวจตรา ส่องไฟฉายดูตามอาคารเรียนต่างๆแก้เบื่อ แต่ส่วนใหญ่แล้วบรรยากาศจะเงียบจนชวนง่วง ส่วนหนึ่งคงเพราะโรงเรียนเราเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก และมีนักเรียนไม่มาก แถมห่างออกมาจากชุมชนพอสมควร รอบโรงเรียนมีแต่ป่าหญ้าป่าพง ในคืนเงียบๆเช่นคืนนี้ครูรุ่นพี่ที่พักอยู่ที่โรงเรียนเหมือนกันจึงมักจะมีเรื่องเล่า แปลกๆบ้าง ขำบ้าง เศร้าบ้าง หรือหลายครั้งก็เป็นเรื่องหลอนๆอย่างเช่นเรื่องนี้ มีเด็กที่ชาวบ้านเจอแล้วมาแจ้งให้ทราบว่าเป็นเด็กในชุดนักเรียน ผู้หญิงผิวขาวซีด เนื้อตัวแห้งเหี่ยว ใบหน้าแทบไ
ผมเริ่มได้ยินเสียงคนเปิดประตูออกมาจากห้อง มีเสียงพูดคุย และน่าประหลาดมากที่ส่วนใหญ่ฟังดูเหมือนเสียงผู้หญิง!ก็อย่างที่บอกครับ หอที่ผมอยู่แม้จะเป็นหอพักชาย แต่ก็มีบางรายที่แอบพาสาวเข้ามา แต่ส่วนที่จะซุกไว้บ้างเท่าไหร่นี่ก็ไม่รู้ได้ ตอนนั้นผมได้แต่นั่งฟังเสียงหญิงสาวแปลกหน้าคุยกันแถวโถงทางเดินจนเสียงดังเข้ามาในห้องอากาศร้อนในคืนนั้นทำให้ผมเริ่มทนอยู่ไม่ไหว ยิ่งเมื่อพัดลมเปิดไม่ได้ มันก็ยิ่งอบอ้าวหนักขึ้นจนแทบหายใจไม่ทัน หอบเป็นหมาหอบแดด ร้อนเหมือนอยู่หน้าเตาถ่านผมพยายามจะช่วยเหลือตัวเองด้วยการคลำ ๆ ทางเดินไปเปิดหน้าต่างหลังห้องให้กว้างสุด แล้วก็เดินไปเปิดประตูหน้า หวังว่าอาจจะมีลมโชยเข้ามาถ่ายเทช่วยให้ห้องหายร้อนบ้าง แต่เมื่อเปิดจนสุดแล้วก็ไม่มีลมพัดมาสักวูบ มีแต่กลิ่นชวนอาเจียนราวกับหนูเน่าโชยเข้ามาเป็นระลอก ๆผมมาแปลกใจอีกอย่างที่พบว่าในความมืดหลังไฟดับครั้งนี้มันแปลก ๆ คือมันมืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเลยสักนิด แม้เมื่อเดินออกไปมองทางหน้าต่างห้องผมซึ่งเป็นชั้นหก ก็ไม่เห็นมีแสงสว่างจากท้องฟ้า แสงจันทร์ หรือแสงจากไฟฟ้าที่อื่นที่ยังไม่ดับ...ในใจก็คิดอะไรกันละเนี่ย ไฟดับทั้งกรุงเทพฯ เลยหรื
เมื่อตอนที่ผมอยู่หอเก่าหลังมหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่ผมจนสุด ๆ ต้องทำงานหาเงินเรียนและจ่ายค่าหอค่ากินค่าอยู่เองทั้งหมด ก็เลยต้องเลือกหอพักชายที่ราคาถูกสุด ๆ เท่าที่จะหาได้จำได้ว่าวันที่ไปเดินหาหอพัก ผมเดินเข้า ๆ ออก ๆ เกือบทุกซอย จดราคาค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ามัดจำของแต่ละหอไว้จนเต็มหน้ากระดาษ จนได้ข้อสังเกตที่ว่า หากเป็นหอพักที่มีหลายชั้นและไม่มีลิฟต์ ยิ่งชั้นบน ๆ จะยิ่งราคาถูกลงเรื่อย ๆ และคำว่าหอพักชาย สภาพจะทุเรศทุรังกว่าหอพักรวม แต่ราคาก็จะถูกลงไปอีก สุดท้ายผมเลยลงเอยที่หอพักชายท้ายซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่สภาพย่ำแย่พอสมควร ในซอยนั้นมีความแปลกอยู่นิดหน่อย คือต้นซอยจะมีหอพักนักศึกษาชุกชุมเหมือนซอยอื่น ๆ นี่แหละ แต่กลางซอยเข้าไปอีกเกือบกิโลฯ จะเป็นบ้านคนและป่ารกร้างสลับกันไป ตึกอพาร์ตเม้นต์และหอพักอีกสี่ตึก มาโผล่อีกทีช่วงท้ายซอย ไกลและเงียบจนผมคงไม่เข้ามาถ้าไม่มีป้าขายน้ำเต้าหู้ที่ได้ยินว่าผมกำลังหาหอถูก ๆ เลยแนะนำให้ผมลองเดินเข้ามาดูวันนั้นผมเดินมากับเพื่อนอีกคนที่บังเอิญเจอกันหน้าปากซอยพอดี แต่พอเพื่อนเห็นสภาพหอแล้วเพื่อนขอบายทันทีโดยไม่รอดูห้องเลย เพราะแค่เดินเข้าตึก ก็
ต้นไผ่มันไม่เชื่อผมเลยทุกคืนกลางดึก ผมเห็นร่างตะคุ่มๆยืนอยู่ที่ระเบียง ทำท่าชะโงกมองอะไรสักอย่าง ก่อนจะเสียหลักพลัดตกลงไปข้างล่าง ในหูได้ยินทั้งเสียงตกกระแทกพื้นดังพลั่ก เสียงหักร้าวของกระดูก และเสียงร้องครางอือในลำคอ แต่เมื่อผมตามไปดูก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ“มึงหลอนไปเองแล้วโก้ กูบอกแล้วว่าให้นอนพักเสียบ้าง อ่านหนังสือเตรียมสอบถึงเช้าทุกวันแบบนี้ สมองอ๊องหมดแล้ว” มันว่าทั้งที่ตายังไม่ละออกจากเกมในโทรศัพท์มือถือ “เชื่อกู นอนบ้าง เล่นเกมบ้าง กินเหล้าบ้างก็ดี”ผมรำคาญและหงุดหงิดเสมอเมื่อมันพูดเหมือนไม่เคยใส่ใจปัญหาของผมเลย“ผี ห้องนี้แม่งต้องมีผี กูจะลองหาดู ในข่าวเก่าๆอาจจะมี”ผมลองเข้ากูเกิ้ล เซิร์ชหาข่าวด้วยชื่อตึกและคำว่าเสียชีวิต หาอยู่พักใหญ่จนพบข่าวหนึ่ง เป็นข่าวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่ตกจากระเบียงตึกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อราวปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา แต่เมื่อคลิกจะเข้าไปอ่านรายละเอียดกลับเข้าไม่ได้ “เนตเป็นเหี้ยไรวะ!” ผมบ่นอย่างหงุดหงิด “ต้นไผ่ มึงใช้ 4G ป่ะ กูยืมแป๊บดิ ไวไฟแม่งไม่มีสัญญาณ” ไอ้ต้นไผ่ชำเลืองตามามองผมแวบหนึ่ง “มึงเชื่อกู เลิกค้นเรื่องนี้เถอะรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”“