ในห้องที่ปิดไฟจนมืดสลัว นอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศแล้วก็มีเพียงเสียงสวบสาบของผ้าห่มและเสียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาดังมาจากเตียงนอนหลังใหญ่ ผู้ที่อยู่ใต้ผ้าห่มพลิกตัวไปมาบ่อยครั้งราวกับคนที่กำลังมีเรื่องกลัดกลุ้มเกาะกินใจจนไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้
พราวนภานอนลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดอยู่บนเตียงนอนของตน หญิงสาวไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาใด แต่คิดว่าน่าจะล่วงเข้าวันใหม่แล้วเพราะก่อนนอนเธอคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสนิทร่วมชั่วโมงกว่า และเพิ่งวางสายไปตอนห้าทุ่มเศษ เนื้อหาของบทสนทนานั้นก็เป็นเรื่องเดิม ๆ คือปรึกษาปัญหาหัวใจ เพราะต่างคนก็ต่างมีชายหนุ่มให้แอบรักเป็นของตัวเอง
หญิงสาวเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนอนตะแคง สายตาจึงตกที่ตุ๊กตาหมีสองตัวที่นอนเคียงคู่กันอยู่บนพื้นที่อีกฝั่งหนึ่งของเตียง ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ชายหญิงคู่นี้นฤบดินทร์ซื้อให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุครบสิบสามปี
หมีผู้ชายใส่ชุดเอี๊ยมกางเกงลายสก๊อตสีน้ำเงินกับเสื้อสีขาว หมีผู้หญิงใส่ชุดเอี๊ยมกระโปรงลายสก๊อตสีแดงกับเสื้อสีขาวเช่นกัน เธอรักมันมาก ไม่ว่าจะนอนที่บ้านนี้ หรือบ้านของแม่จันทร์เจ้า ผู้เป็นน้าสาว เธอก็จะนำตุ๊กตาหมีคู่นี้ไปนอนข้างกายด้วยทุกครั้ง
นอกจากนั้นหญิงสาวมักหาซื้อเสื้อผ้ามาเปลี่ยนใส่ให้พวกมันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นชุดหมอกับนางพยาบาล ชุดนอน ชุดแฟนซีต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งชุดแต่งงาน ซึ่งแน่นอนว่าชุดแต่งงานนั้นเธอได้แต่ใส่ให้พวกมันแล้วเก็บไว้ชื่นชมอยู่คนเดียว ไม่เคยนำไปให้คนอื่นเห็นแม้แต่คนให้อย่างนฤบดินทร์ เพราะเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าตนแอบใช้ตุ๊กตาทั้งสองตัวนี้เป็นตัวแทนระหว่างเขากับเธอ
ตุ๊กตาคู่นี้ได้ใส่ชุดเจ้าบ่าวกับเจ้าสาว แล้วเธอเล่า จะมีโอกาสได้ใส่ชุดเจ้าสาวยืนเคียงข้างเขาหรือไม่
“คนขี้ดุ” หญิงสาวใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของตุ๊กตาหมีผู้ชายพลางยู่หน้าใส่มันอย่างแง่งอน
“ทำไมพี่ดินต้องไปเรียนต่อด้วย พราวไม่อยากให้พี่ไปเลย” เธอพูดกับตุ๊กตาราวกับว่ามันคือนฤบดินทร์
“ถ้าพี่ไปอยู่ที่โน่นแล้วมีแฟนขึ้นมา พราวจะทำยังไงล่ะ พราวไม่อยากให้พี่มีแฟน พี่ดินสัญญากับพราวได้ไหมว่าพี่จะไม่มีใคร พราวกำลังจะขึ้นม.หกแล้ว อีกหน่อยก็เรียนมหา’ลัยได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว พี่ดินรอพราวหน่อยได้ไหม”
พูดถึงตรงนี้เสียงของหญิงสาวก็สั่นเครือขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ พราวนภาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อกลั้นอาการสะอื้นของตน หากคืนนี้เธอนอนร้องไห้ ตื่นมาพรุ่งนี้ขอบตาจะต้องบวมแดง และบิดาจะต้องเค้นถามแน่นอน ยิ่งพักหลังนี้พราวนภารู้สึกว่าผู้เป็นบิดามักคอยกันท่าไม่ให้เธอกับนฤบดินทร์อยู่ใกล้กันเท่าไรนัก ซึ่งหญิงสาวก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไม ทั้งที่นฤบดินทร์ก็หาได้มีท่าทีสนใจเธออย่างชู้สาวเลยสักนิด
“และถ้าพี่กลับมาแล้วยังไม่มีใคร พี่ดินจะเปิดใจให้พราวหน่อยได้ไหม พราวอยากให้พี่มองพราวเป็นผู้หญิงคนหนึ่งบ้าง ไม่ใช่มองว่าเราเป็นญาติกัน”
จากพี่ชายข้างบ้านที่เธอมักชอบไปวุ่นวายอยู่ใกล้ตัวเขาเพราะอยากเล่นด้วย จนกระทั่งบัดนี้ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเพราะเธอยังคงคอยวิ่งตามเขาอยู่ฝ่ายเดียวเสมอ ทว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจกลับต่างกัน เมื่อก่อนเธอเห็นเขาเป็นพี่ชาย แต่ตอนนี้เธอเห็นเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ตนคิดอยากยืนเคียงข้างเขาไปตลอดชีวิต
สถานะของเขาในใจเธอเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ได้ หญิงสาวรู้เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่พูดคุยกับเพื่อนเรื่องแฟนหรือคนรักขึ้นมา เธอจะนึกถึงนฤบดินทร์เป็นคนแรก ไปไหนก็คิดถึงเขาเสมอ ตื่นเต้นที่ได้เห็นหน้าเขา และคอยมองหาเวลาที่ไม่เจอตัว เธอรู้สึกแบบนี้กับเขาแค่คนเดียวเท่านั้น และเป็นแบบนี้มาตลอดหลายปี
และก็เป็นเช่นทุกคืนที่พราวนภานอนคุยกับตุ๊กตาหมีจนกระทั่งผล็อยหลับไป
ตอนเช้าของวันถัดมา พราวนภากึ่งวิ่งกึ่งเดินลงบันไดมาห้องนั่งเล่นด้วยสีหน้าและอารมณ์เบิกบาน จมูกได้กลิ่นหอมลอยมาจากห้องครัว หญิงสาวจึงเดินตามกลิ่นไปก็เห็นผู้เป็นย่ากำลังง่วนอยู่หน้าเตา ขณะที่มารดาของตนก็กำลังจัดเตรียมจานชามช้อนส้อมอยู่อีกด้าน
“คุณย่าทำอะไรคะ หอมจังเลย” เธอเดินเข้าไปหาท่านแล้วชะโงกดูอาหารในหม้อ
“ข้าวต้มทรงเครื่องหมูเด้ง ของโปรดของเราสามพี่น้องนั่นแหละ” ภคินีหันมาตอบหลานสาวทั้งรอยยิ้ม
“หนูพราว หนูไปเรียกน้องลงมากินมื้อเช้าได้แล้วนะลูก แปดโมงกว่าแล้วยังไม่พากันลงมาเลย เมื่อคืนต้องแอบเล่นเกมจนดึกดื่นแน่ ๆ”
มัลลิกาบ่นลูกฝาแฝดชายหญิงของตนที่ตอนนี้อายุเก้าขวบแล้วแต่ความแสบสันนั้นเป็นที่เลื่องลือในหมู่บ้านและโรงเรียนจนเพื่อนในวัยเดียวกันยกให้ทั้งคู่เป็นลูกพี่ใหญ่
“ได้ค่ะ แล้วคุณปู่กับคุณพ่อล่ะคะ” หญิงสาวรับคำพลางถามถึงสมาชิกในบ้านอีกสองคน
“คุณปู่ไปเดินเล่นที่สวนหน้าบ้านน่ะ คุณพ่อเราเขาก็ไปวิ่งเหมือนเคยนั่นแหละ” ผู้เป็นย่าตอบโดยไม่ได้หันมามองหลานสาว พราวนภาจึงเดินออกจากห้องครัวเพื่อไปเรียกน้อง ๆ
หญิงสาวตัดสินใจเคาะห้องของน้องสาวก่อนแต่ไร้เสียงตอบรับจึงลองเปิดประตูแง้มดู ภัทร์นรินท์ตื่นแล้วเพราะไม่อยู่บนที่นอน เธอจึงเดินเข้าไปในห้องแล้วส่งเสียงเรียก
“พาย! อยู่ในห้องน้ำรึเปล่า”
“พายแปรงฟันอยู่ พี่พราวไปปลุกพีทเลย มันยังไม่ตื่นชัวร์”
เสียงใสตะโกนมาจากห้องน้ำ พราวนภาจึงอดขำไม่ได้เพราะสองพี่น้องคู่นี้มักชอบแข่งขันกันเสมอ แม้กระทั่งเวลาตื่นนอนว่าใครจะจัดการตัวเองได้เสร็จเร็วกว่ากัน ทว่ายังไม่ทันที่หญิงสาวจะเดินออกจากห้อง ประตูก็เปิดออกอีกครั้งโดยมีใบหน้าทะเล้นของภานุภัทร์โผล่เข้ามา
“เราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว กำลังจะลงไปข้างล่างด้วยล่ะ วันนี้พายแพ้เราแล้ว แบร่!” ภานุภัทร์แลบลิ้นปลิ้นตาไปทางห้องน้ำก่อนจะวิ่งมาจูงมือพี่สาวให้ออกจากห้องพร้อมกัน
“พี่พราวเราไปข้างล่างกันเถอะ ปล่อยให้พายมันช้าอยู่คนเดียว ไปก่อนนะคนขี้แพ้” ประโยคหลังเจ้าตัวไม่วายตะโกนเยาะเย้ยคู่แฝดของตน พราวนภาจึงเดินตามแรงจับจูงของน้องชายโดยปิดประตูห้องให้ภัทร์นรินท์ไว้ตามเดิม
ขณะเดียวกัน ภาวินที่กำลังวิ่งเหยาะ ๆ ผ่านหน้าบ้านของตัวเองนั้นก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นรถยนต์คันคุ้นตาขับมาจอดอยู่หน้าบ้านพ่อตาแม่ยายของตน ซึ่งชายหนุ่มที่ก้าวลงมาจากฝั่งคนขับเพื่อมาเปิดประตูรั้วด้วยตนเองก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือนฤบดินทร์ น้องเมียหน้านิ่งของเขานั่นเอง
กลับเช้าเชียวนะ ไอ้ตัวดี!
และอีกฝ่ายคงเห็นเขาแล้ว นฤบดินทร์จึงหันมายิ้มให้บาง ๆ พร้อมกับค้อมศีรษะเล็กน้อยเพื่อทักทาย ภาวินจึงหยุดวิ่งพลางดึงเสื้อของตัวเองพัดไปมาเพื่อระบายความร้อนแล้วพูดกับชายหนุ่มว่า
“เพิ่งกลับรึไงเรา” ภาวินพูดไปหอบไป
“ครับ เพื่อนผมเขาต้องย้ายไปอยู่เชียงใหม่วันพรุ่งนี้น่ะ ก็เลยมาเจอกันก่อน” นฤบดินทร์ตอบกลับมา แต่ภาวินสังเกตเห็นอีกฝ่ายตาแดงเล็กน้อยราวกับคนที่ยังไม่สร่างเมาดีจึงอดขำไม่ได้
“เช้านี้ที่บ้านทำข้าวต้มทรงเครื่อง ถ้าอยากซดอะไรร้อน ๆ ให้สร่างเมาก็แวะไปละกัน เรานี่ก็ดีนะที่รู้ตัวว่าเมาแล้วนอนพัก ตอนเช้าก็ค่อยขับกลับบ้าน สมัยพี่อายุเท่าแก ถ้ารู้ว่าต้องขับรถจะไม่ดื่มให้เมาอย่างเด็ดขาด”
อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน หากทั้งคู่คบหากันตั้งแต่ตอนนี้ และถ้าวันข้างหน้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปเจอคนที่ใช่กว่า สุดท้ายคงไม่พ้นต้องเลิกรา และมองหน้ากันไม่ติดทั้งสองบ้านแน่นอน“เชื่อแม่นะหนูพราว ถ้าหนูกับเขาเป็นเนื้อคู่กันจริง ๆ ยังไงก็ต้องได้อยู่ด้วยกันอีกแน่ แต่ถ้าไม่ใช่ ต่อให้เราดึงดันยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่วันยังค่ำ ตอนนี้แม่อยากให้หนูใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่มากกว่า”พราวนภายิ้มพลางลุกขึ้นนั่งแล้วกอดจันทร์เจ้าอย่างออดอ้อน“ค่ะคุณแม่ หนูพราวเชื่อคุณแม่ค่ะ”แต่แล้วหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มแหยให้ “แต่หนูพราวขอร้องคุณแม่อย่างหนึ่งนะคะ อย่าบอกเรื่องที่หนูชอบพี่ดินให้คุณพ่อกับแม่มะลิรู้เชียวนะ คุณแม่มะลิน่ะไม่เท่าไรหรอกค่ะ แต่คุณพ่อนี่สิถ้ารู้ละก็ระเบิดลงแน่”จันทร์เจ้าหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้ารับปาก ทั้งที่ตนอยากบอกเหลือเกินว่าทุกคนน่าจะรู้กันหมดแล้ว รวมทั้งภาวิน คุณพ่อจอมหวงนั่นก็ด้วยสองวันถัดมา นฤบดินทร์เดินออกจากห้องน้ำโดยนุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเปิดตู้เสื้อผ้านั้น เขาก็ได้ย
พราวนภาหยิบผ้านวมมาห่มให้รุ้งจันทราอย่างเบามือเพราะเด็กน้อยค่อนข้างตื่นง่าย เป็นเวลาเดียวกับที่จันทร์เจ้า ผู้เป็นมารดาของรุ้งจันทราเปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี หญิงสาวจึงพูดโดยไม่มีเสียงว่า“หลับปุ๋ยแล้วค่ะ”จันทร์เจ้ายิ้มพลางเดินเข้ามาดูบุตรสาวตัวน้อย ก่อนจะทรุดตัวนั่งบนเตียงข้างพราวนภาแล้วพูดว่า“หนูรุ้งน่ะเหมือนหนูพราวตอนเด็ก ๆ เลยนะรู้ไหม ดูสิเนี่ย ชอบเอาตุ๊กตามานอนเรียงเป็นเพื่อนกัน แล้วยังไม่ชอบกินแคร์รอตเหมือนกันอีกด้วย”“แต่ตอนนี้หนูกินแคร์รอตแล้วนะ และกินผักเก่งมากเลยด้วยคุณแม่ก็รู้นี่นา” พราวนภายิ้มกว้างอย่างประจบ ก่อนจะเอนตัวลงนอนหนุนตักผู้เป็นน้า แต่ตนเรียกอีกฝ่ายว่าแม่มาตั้งแต่จำความได้จันทร์เจ้ายิ้มพร้อมกับลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู สายตาที่มองพราวนภายังคงมีแต่ความรักไม่แปรเปลี่ยนแม้ว่าตนจะมีบุตรสาวและบุตรชายของตัวเองแล้วก็ตาม“เป็นอะไรล่ะฮึ จู่ ๆ ก็มาอ้อนแม่” น้ำเสียงอ่อนโยนของจันทร์เจ้า ทำให้พราวนภายกแขนขึ้นโอบเอวอีกฝ่ายไว้“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ หนูพราวแค่รู้สึกว่าอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจัง ไม่อยากโตเป็น
“ใช่ครับ คนจีบพี่พราวเยอะมากเลย เวลาพีทไปเล่นข้างนอกก็มีแต่คนถามหาพี่พราว เนอะพายเนอะ”“แล้วไปยังไง เรียกแท็กซี่หรือพ่อเราไปส่ง” ชายหนุ่มยังถามต่อ“แท็กซี่ครับ/มีคนมารับค่ะ” สองพี่น้องพูดพร้อมกัน แต่คำตอบไปคนละทางจนทั้งคู่ต่างหันมามองหน้ากันและกัน ขณะที่ผู้เป็นน้าอย่างนฤบดินทร์ได้แต่ถอนหายใจที่คงไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรจากหลานตัวแสบเป็นแน่“ไม่เป็นไร เดี๋ยวน้าไปถามแม่เราเองก็ได้” เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะกดโทร. ออก แต่สองพี่สองรีบโบกมือห้ามเป็นพัลวัน“อย่านะคะน้าดิน พี่พราวสั่งเอาไว้ว่าห้ามบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าพี่พราวไปเที่ยวกับแฟน ไม่งั้นคุณพ่อจะดุเอาได้ น้าดินอย่าถามคุณแม่นะคะ ขอร้องล่ะ นะคะน้าดิน” ภัทร์นรินท์ยกมือไหว้ปะหลก ๆ พร้อมกับทำตาสลดอย่างน่าสงสาร ภานุภัทร์เห็นอย่างนั้นจึงทำตามบ้าง“ใช่ครับน้าดิน เห็นใจพวกเราเถอะนะครับ พี่พราวอุตส่าห์ไว้ใจให้พวกเราเก็บความลับ พีทไม่อยากให้พี่พราวถูกดุครับ นะครับน้าดิน”ชายหนุ่มลอบยิ้ม “ก็ได้ ไม่ถามก็ไม่ถาม น้าเข้าบ้านก่อนนะ พวกเราก็เข้าบ้านเถอะ ข้างนอกมันร้อน”เขาเตรียมตัวจะหันหลังกลับ แต่จู่ ๆ หลานสาวตัวดีก็ยื่นมือมากระตุกชายเสื้อเขาเบา ๆ คร
“แล้วแกล่ะ จะไม่คิดถึงหนูพราวบ้างหรือ” มัลลิกาอมยิ้ม แต่เจ้าตัวกลับขมวดคิ้วมุ่นพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย“คิดถึงทำไม ปกติก็ต่างคนต่างอยู่กันอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันสักหน่อย”“ถามจริง! แกไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์หนูพราวบ้างเลยรึไง สามปีเชียวนะที่จะไม่ได้เจอกัน” มัลลิกายังคงเย้าไม่เลิกจนชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาราวกับหงุดหงิดเต็มทีก่อนพูดว่า“แล้วไง ต่อให้สามปีหรือสามสิบปีก็ไม่มีอะไรแตกต่าง มันก็ชีวิตใครชีวิตมันอยู่แล้ว พี่เลิกชงเถอะ ไม่ได้ผลหรอก”“ชิ!” ไอ้คนปากแข็ง!มัลลิกาเบ้ปากใส่น้องชายด้วยความหมั่นไส้ แค่นี้ก็รู้แล้วว่านฤบดินทร์เองก็ใจหายและคงคิดถึงพราวนภาไม่น้อย แต่ไม่ยอมพูดความจริงออกมา เธอเป็นพี่น้องกับชายหนุ่มตรงหน้ามายี่สิบกว่าปีมีหรือจะเดาใจอีกฝ่ายไม่ออก เพราะหากนฤบดินทร์ไม่สนใจพราวนภาจริง เจ้าตัวก็จะแสดงออกด้วยการนิ่งเฉย ไม่ต่อปากต่อคำมาหลายประโยคแบบนี้แน่“ก็ดี พี่จะได้เลิกกั๊กหนูพราวไว้ให้แก คราวนี้ถ้ามีคนมาจีบหนูพราวอีกพี่จะได้ปล่อยเลยตามเลย ไม่กันท่าไว้ให้แกแล้วเพราะแกเอ็นดูหนูพราวเหมือนน้องสาว โธ่เอ๊ย...นี่พี่เข้าใจผิดไปเองหรือเนี่ย”เมื่อมัลลิกาพูดจบก็ได้รับส
แม้ช่วงแรกจะเอ่ยปากชม แต่สุดท้ายภาวินก็อดเกทับอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะเมื่อครั้งที่เขาอายุยี่สิบต้น ๆ แม้จะมีปาร์ตี้และเที่ยวกลางคืนบ่อย แต่เขาก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเมามายจนไม่มีสติเลยสักครั้งกว่าสิบปีที่เขารู้จักนฤบดินทร์มาตั้งแต่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กวัยรุ่นเลือดร้อนจนกระทั่งเติบโตเป็นชายหนุ่มเต็มตัว เขาเห็นว่าน้องภรรยาคนนี้จัดว่าเป็นผู้ชายที่ครบเครื่องคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหล่อเหลาจนบางมุมแทบจะเรียกได้ว่าสวยด้วยซ้ำ รูปร่างก็สูงโปร่งพอกันกับเขา นิสัยก็เงียบขรึม และมีความสุขุม ทุกอย่างดูดีไปหมดเสียอย่างเดียว สายตาที่มองพราวนภานั้นดูจะร้อนแรงมากเกินไปหน่อยราวกับต้องการกลืนกินบุตรสาวของเขาไปทั้งตัว เขาไม่ชอบเอาเสียเลย!พราวนภายังเด็ก อายุเพิ่งจะสิบเจ็ดปีเท่านั้น ยังไม่จบมัธยมปลายเลย แต่บุตรสาวของเขาดันหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู อีกไม่กี่ปีก็จะเติบโตเป็นสาวสวยสะพรั่ง ขณะที่นฤบดินทร์ก็เป็นหนุ่มเต็มตัว และสองคนนี้มักใกล้ชิดกันบ่อยเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นในบ้าน“ทำไงได้ ผมมันพวกคออ่อนซะด้วยสิ” นฤบดินทร์พูดยิ้ม ๆ พลางชะเง้อมองเข้าไปในบ้านของภาวินแล้วพูดว่า“เดี๋ยวผมเอ
ในห้องที่ปิดไฟจนมืดสลัว นอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศแล้วก็มีเพียงเสียงสวบสาบของผ้าห่มและเสียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาดังมาจากเตียงนอนหลังใหญ่ ผู้ที่อยู่ใต้ผ้าห่มพลิกตัวไปมาบ่อยครั้งราวกับคนที่กำลังมีเรื่องกลัดกลุ้มเกาะกินใจจนไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้พราวนภานอนลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดอยู่บนเตียงนอนของตน หญิงสาวไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาใด แต่คิดว่าน่าจะล่วงเข้าวันใหม่แล้วเพราะก่อนนอนเธอคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสนิทร่วมชั่วโมงกว่า และเพิ่งวางสายไปตอนห้าทุ่มเศษ เนื้อหาของบทสนทนานั้นก็เป็นเรื่องเดิม ๆ คือปรึกษาปัญหาหัวใจ เพราะต่างคนก็ต่างมีชายหนุ่มให้แอบรักเป็นของตัวเองหญิงสาวเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนอนตะแคง สายตาจึงตกที่ตุ๊กตาหมีสองตัวที่นอนเคียงคู่กันอยู่บนพื้นที่อีกฝั่งหนึ่งของเตียง ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ชายหญิงคู่นี้นฤบดินทร์ซื้อให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุครบสิบสามปีหมีผู้ชายใส่ชุดเอี๊ยมกางเกงลายสก๊อตสีน้ำเงินกับเสื้อสีขาว หมีผู้หญิงใส่ชุดเอี๊ยมกระโปรงลายสก๊อตสีแดงกับเสื้อสีขาวเช่นกัน เธอรักมันมาก ไม่ว่าจะนอนที่บ้านนี้ หรือบ้านของแม่จันทร์เจ้า ผู้เป็นน้าสาว เธอก็จะนำตุ๊กตาหมีคู่นี้ไปนอนข้างกายด้วยทุก
ร่างสมส่วนในชุดเสื้อยืดพอดีตัวสีชมพูกับกางเกงขาสั้นสีดำที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วจากการเล่นโรลเลอร์สเกตอยู่กลางถนนของหมู่บ้านนั้น เรียกความสนใจทั้งหมดของชายหนุ่มที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าต่างห้องนอนของตัวเองได้ทันที เขาลอบถอนหายใจอย่างแผ่วเบาก่อนจะเอ่ยตัดบทกับคู่สนทนาแล้วกดวางสาย จากนั้นก็เดินออกจากห้องนอนลงไปยังสวนสาธารณะของหมู่บ้านเพื่อไปดักเจอหญิงสาว อุปกรณ์ป้องกันก็ไม่ใส่ บอกตั้งหลายครั้งแล้วไม่รู้จักจำ! แม้ในใจจะบ่น แต่ก่อนออกจากบ้านนฤบดินทร์ก็ยังอุตส่าห์หยิบน้ำดื่มขวดเล็กจากตู้เย็นติดมือไปด้วย เพราะเท่าที่เขาเห็นตอนมองจากหน้าต่างเมื่อครู่ พราวนภาไม่ได้พกน้ำหรืออะไรติดตัวเลยแม้แต่อย่างเดียวชายหนุ่มดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ เลยสิบแปดนาฬิกามาได้ครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ท้องฟ้ากลับเริ่มสลัวลงราวกับเป็นช่วงหัวค่ำทั้งที่ไม่ใช่ฤดูหนาวแต่กลับมืดเร็วกว่าปกติ เพื่อนบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีหลายคนต่างพากันจูงลูกจูงหลานทยอยกลับบ้านใครบ้านมัน เขายกมือไหว้คนเหล่านั้นเพื่อทักทายก่อนจะหย่อนตัวบนม้านั่งแล้วรออย่างใจเย็นไม่นานนัก นฤบดินทร์ก็เห็นร่างคุ้นตาเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวมาจา