ตอนเธอเรียกพี่ ก็บังคับให้เรียกน้า พอเรียกน้า เขากลับแทนตัวเองว่าพี่ ถ้าจะวุ่นวายขนาดนี้ ก็เปลี่ยนไปเรียก "คุณสามี" เลยละกัน เธอรักปักใจแต่เขามาตั้งแต่เด็ก ทว่าเสือยิ้มยากขี้ดุคนนี้กลับเอาคำว่า "น้า" มาขีดเส้น และสร้างกำแพงไม่ให้เธอเข้าใกล้ หนำซ้ำ เขายังหนีไปเรียนต่อไกลถึงเมืองนอก ไม่ว่าพราวนภาจะเพียรพยายามมากแค่ไหน แต่นฤบดินทร์ ก็มักถอยห่างออกไปหนึ่งก้าวเสมอ แต่เมื่อเขากลับมา ดูเหมือนว่านฤบดินทร์จะเปลี่ยนไป จากที่ไม่เคยเข้าใกล้ เขากลับโอบ เบียด กระแซะ และหาเรื่องถึงเนื้อถึงตัวกับเธอตลอด เป็นเพราะเขาไปอยู่เมืองนอกมานาน นิสัยถึงเปลี่ยนไป หรือนี่คือนิสัยที่แท้จริงของผู้ชายหน้าตายคนนี้กัน
View Moreร่างสมส่วนในชุดเสื้อยืดพอดีตัวสีชมพูกับกางเกงขาสั้นสีดำที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วจากการเล่นโรลเลอร์สเกตอยู่กลางถนนของหมู่บ้านนั้น เรียกความสนใจทั้งหมดของชายหนุ่มที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าต่างห้องนอนของตัวเองได้ทันที เขาลอบถอนหายใจอย่างแผ่วเบาก่อนจะเอ่ยตัดบทกับคู่สนทนาแล้วกดวางสาย จากนั้นก็เดินออกจากห้องนอนลงไปยังสวนสาธารณะของหมู่บ้านเพื่อไปดักเจอหญิงสาว
อุปกรณ์ป้องกันก็ไม่ใส่ บอกตั้งหลายครั้งแล้วไม่รู้จักจำ!
แม้ในใจจะบ่น แต่ก่อนออกจากบ้านนฤบดินทร์ก็ยังอุตส่าห์หยิบน้ำดื่มขวดเล็กจากตู้เย็นติดมือไปด้วย เพราะเท่าที่เขาเห็นตอนมองจากหน้าต่างเมื่อครู่ พราวนภาไม่ได้พกน้ำหรืออะไรติดตัวเลยแม้แต่อย่างเดียว
ชายหนุ่มดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ เลยสิบแปดนาฬิกามาได้ครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ท้องฟ้ากลับเริ่มสลัวลงราวกับเป็นช่วงหัวค่ำทั้งที่ไม่ใช่ฤดูหนาวแต่กลับมืดเร็วกว่าปกติ เพื่อนบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีหลายคนต่างพากันจูงลูกจูงหลานทยอยกลับบ้านใครบ้านมัน เขายกมือไหว้คนเหล่านั้นเพื่อทักทายก่อนจะหย่อนตัวบนม้านั่งแล้วรออย่างใจเย็น
ไม่นานนัก นฤบดินทร์ก็เห็นร่างคุ้นตาเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวมาจากที่ไกล ๆ เขาจ้องเขม็งไปที่ร่างนั้น หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายวิ่งอยู่กลางถนนโดยไม่สนความปลอดภัยของตัวเอง
ชายหนุ่มรอจนกระทั่งพราวนภาใกล้มาถึงตรงที่ตนนั่งอยู่จึงตัดสินใจลุกขึ้นยืนทันทีก่อนที่อีกฝ่ายจะวิ่งผ่านไป
“พราว!” เขาเรียกเธอด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาเกินไป ทว่ากลับทำให้เจ้าตัวตกใจจนสเกตเสียหลักล้มก้นกระแทกพื้นอย่างแรง
“ว้าย!” พราวนภาร้องได้แค่นั้น ใบหน้าก็เหยเกด้วยความเจ็บปวดพลางเอามือวางบนสะโพกของตน
“พราว! เป็นอะไรรึเปล่า เจ็บตรงไหนให้น้าดูหน่อยซิ” นฤบดินทร์ปรี่เข้ามาทรุดตัวลงใกล้ ๆ ด้วยความร้อนใจ หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นแผลถลอกเป็นทางยาวบนเรียวขาของอีกฝ่าย เขาได้แต่ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจที่ตนเป็นต้นเหตุให้หญิงสาวเกิดอุบัติเหตุจนเจ็บตัว
“เจ็บไปทั้งตัวเลย ทำไมพี่ดินไปนั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียวล่ะ” เธอทำหน้าง้ำ
“ก็ไปรอเรานั่นแหละ ใกล้ค่ำแล้วจะออกไปวิ่งเล่นทำไม แล้วน้าบอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าเวลาจะเล่นสเกตให้ใส่สนับเข่ากับหมวกกันน็อกด้วยทำไมไม่ใส่”
“อะไรเนี่ย หนูพราวกำลังเจ็บนะ พี่ดินอย่าดุสิ” เธอมองเขาด้วยสายตาออดอ้อนที่มักทำเป็นประจำเวลาถูกเขาดุหรือว่ากล่าวตักเตือน และเขาก็ต้องยอมลงให้ทุกครั้งไป
“ลุกไหวไหมเนี่ย” เขาถามเสียงอ่อนพลางยื่นมือออกไปให้เธอใช้ยึดเหนี่ยวเวลาลุกขึ้นยืน แต่หญิงสาวกลับกางแขนออกทั้งสองข้างแล้วชูขึ้นพร้อมกับพูดว่า
“อุ้ม”
นฤบดินทร์ถอนหายใจแผ่วอย่างอ่อนใจ “พราว เธอไม่ใช่เด็กแล้วนะ น้าจะอุ้มเธอได้ยังไง มันน่าเกลียด”
“น่าเกลียดตรงไหนกัน ก็พราวลุกไม่ไหวนี่นา พี่ดินจะให้พราวคลานกลับบ้านรึไง เร็ว ๆ สิเดี๋ยวก็มีรถขับผ่านมาหรอก ตอนนี้พราวนั่งอยู่กลางถนนเลยนะ” เธอยังคงกางแขนค้างไว้อยู่อย่างนั้น ขณะที่เขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะไม่อยากทำตัวใกล้ชิดกับหญิงสาวมากเกินไปนัก...แต่สุดท้ายเขาก็แพ้สายตาออดอ้อนของเธออยู่ดี
“ถ้าอย่างนั้นก็ขี่หลังน้าละกัน” เขาพูดพลางหันหลังให้พราวนภา ยังไม่ทันตั้งหลักดีเจ้าตัวก็เอาแขนมาโอบรอบคอเขาไว้ นฤบดินทร์จึงใช้แขนเกี่ยวขาทั้งสองข้างของเธอแล้วพูดโดยไม่หันไปมองคนที่วางคางเกยไว้กับบ่าของเขาอย่างสนิทสนม
“พร้อมรึยัง จะลุกขึ้นแล้วนะ” เขานับถึงสามก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเริ่มออกเดิน
“พี่ดิน” เสียงหวานใสของหญิงสาวดังอยู่ข้างหูจนชายหนุ่มต้องเบี่ยงหน้าไปทางอื่นเพราะต้องการรักษาระยะห่างระหว่างกัน
“บอกกี่ทีแล้วว่าให้เรียกน้า” ตั้งแต่มัลลิกา พี่สาวของนฤบดินทร์แต่งงานกับภาวิน บิดาของพราวนภา เขาก็แทนตัวเองว่าน้ามาตลอด แต่หญิงสาวกลับยังคงเรียกเขาว่าพี่มาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ยอมเรียกน้าแม้แต่ครั้งเดียว
“ไม่เอา เรียกพี่ติดปากมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่” เธอถอนหายใจแผ่วก่อนพูดต่อ
“จะไปเรียนต่อเมืองนอกจริง ๆ หรือ”
“อืม” นฤบดินทร์ตอบสั้น ๆ ตอนนี้เขาเรียนจบปริญญาตรีแล้ว และกำลังจะไปศึกษาต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
“ไม่ไปได้ไหม” น้ำเสียงออดอ้อนของเธอทำให้ชายหนุ่มต้องหลับตาลงเพื่อเก็บความรู้สึก
“ไม่ได้” เขาตอบห้วน ๆ เพราะคร้านจะอธิบายให้หญิงสาวได้เข้าใจ
“หนูพราวไม่อยากให้ไปนี่นา อย่าไปเลยนะ” ไม่พูดเปล่า แต่พราวนภากลับรัดวงแขนโอบรอบคอเขาแน่นขึ้นกว่าเดิมพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแก้มของเธอเฉียดแก้มของเขาไปนิดเดียวเท่านั้น ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบเบี่ยงหน้าให้ห่างออกมา รู้ดีว่าหญิงสาวคงไม่รู้สึกถึงความชิดใกล้ที่มากเกินไป หากแต่เขานั้นรับรู้ได้เป็นอย่างดี
“อยู่เฉย ๆ สิจะกอดคอทำไม มันอึดอัด!” เขาจำเป็นต้องดุเธอ มิเช่นนั้นหญิงสาวก็คงเผลอเอาตัวมาใกล้ชิดกับน้าอย่างเขามากเกินพอดีอีก
“ดุอีกแล้ว ดุอยู่นั่นแหละ พี่ดินน่าเบื่อ” เธอทำเสียงกระเง้ากระงอดอย่างไม่สบอารมณ์ เขาเองก็ไม่อยากต่อปากต่อคำกับเธออีกจึงปิดปากเงียบไปจนกระทั่งถึงบ้านของพราวนภา และไปส่งหญิงสาวถึงห้องรับแขกซึ่งตอนนี้มัลลิกากำลังนั่งดูโทรทัศน์โดยมีบุตรชายบุตรสาวอย่างภานุภัทร์กับภัทร์นรินท์ ฝาแฝดชายหญิงนั่งเล่นเกมอยู่ด้วยกันอีกมุมหนึ่ง
“พี่มะลิ ทำแผลให้หนูพราวด้วย” เขาบอกพี่สาวไว้แค่นั้นแล้วก็เดินออกจากบ้านมาทันทีโดยไม่คิดจะตอบคำถามของมัลลิกาที่ถามไล่หลังมาเพราะรู้ดีว่าพราวนภาคงเป็นฝ่ายตอบแม่เลี้ยงเอง
...ไม่ไปได้ไหม...อย่าไปเลยนะ...
น้ำเสียงเว้าวอนของพราวนภาดังขึ้นในหัวขณะที่ชายหนุ่มเดินกลับบ้านของตนที่อยู่หลังถัดไป
ใช่ว่าเขาอยากไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเสียเมื่อไร แต่เขาจำเป็นต้องไป และไม่ว่าใครก็ห้ามความตั้งใจของเขาไม่ได้ด้วย
เขาขอเวลาแค่สามปีเท่านั้น ถ้าหลังจากสามปีนี้ทุกอย่างยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขาจะได้ตัดสินใจสักทีว่าควรทำอย่างไรต่อไป
อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน หากทั้งคู่คบหากันตั้งแต่ตอนนี้ และถ้าวันข้างหน้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปเจอคนที่ใช่กว่า สุดท้ายคงไม่พ้นต้องเลิกรา และมองหน้ากันไม่ติดทั้งสองบ้านแน่นอน“เชื่อแม่นะหนูพราว ถ้าหนูกับเขาเป็นเนื้อคู่กันจริง ๆ ยังไงก็ต้องได้อยู่ด้วยกันอีกแน่ แต่ถ้าไม่ใช่ ต่อให้เราดึงดันยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่วันยังค่ำ ตอนนี้แม่อยากให้หนูใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่มากกว่า”พราวนภายิ้มพลางลุกขึ้นนั่งแล้วกอดจันทร์เจ้าอย่างออดอ้อน“ค่ะคุณแม่ หนูพราวเชื่อคุณแม่ค่ะ”แต่แล้วหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มแหยให้ “แต่หนูพราวขอร้องคุณแม่อย่างหนึ่งนะคะ อย่าบอกเรื่องที่หนูชอบพี่ดินให้คุณพ่อกับแม่มะลิรู้เชียวนะ คุณแม่มะลิน่ะไม่เท่าไรหรอกค่ะ แต่คุณพ่อนี่สิถ้ารู้ละก็ระเบิดลงแน่”จันทร์เจ้าหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้ารับปาก ทั้งที่ตนอยากบอกเหลือเกินว่าทุกคนน่าจะรู้กันหมดแล้ว รวมทั้งภาวิน คุณพ่อจอมหวงนั่นก็ด้วยสองวันถัดมา นฤบดินทร์เดินออกจากห้องน้ำโดยนุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเปิดตู้เสื้อผ้านั้น เขาก็ได้ย
พราวนภาหยิบผ้านวมมาห่มให้รุ้งจันทราอย่างเบามือเพราะเด็กน้อยค่อนข้างตื่นง่าย เป็นเวลาเดียวกับที่จันทร์เจ้า ผู้เป็นมารดาของรุ้งจันทราเปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี หญิงสาวจึงพูดโดยไม่มีเสียงว่า“หลับปุ๋ยแล้วค่ะ”จันทร์เจ้ายิ้มพลางเดินเข้ามาดูบุตรสาวตัวน้อย ก่อนจะทรุดตัวนั่งบนเตียงข้างพราวนภาแล้วพูดว่า“หนูรุ้งน่ะเหมือนหนูพราวตอนเด็ก ๆ เลยนะรู้ไหม ดูสิเนี่ย ชอบเอาตุ๊กตามานอนเรียงเป็นเพื่อนกัน แล้วยังไม่ชอบกินแคร์รอตเหมือนกันอีกด้วย”“แต่ตอนนี้หนูกินแคร์รอตแล้วนะ และกินผักเก่งมากเลยด้วยคุณแม่ก็รู้นี่นา” พราวนภายิ้มกว้างอย่างประจบ ก่อนจะเอนตัวลงนอนหนุนตักผู้เป็นน้า แต่ตนเรียกอีกฝ่ายว่าแม่มาตั้งแต่จำความได้จันทร์เจ้ายิ้มพร้อมกับลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู สายตาที่มองพราวนภายังคงมีแต่ความรักไม่แปรเปลี่ยนแม้ว่าตนจะมีบุตรสาวและบุตรชายของตัวเองแล้วก็ตาม“เป็นอะไรล่ะฮึ จู่ ๆ ก็มาอ้อนแม่” น้ำเสียงอ่อนโยนของจันทร์เจ้า ทำให้พราวนภายกแขนขึ้นโอบเอวอีกฝ่ายไว้“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ หนูพราวแค่รู้สึกว่าอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจัง ไม่อยากโตเป็น
“ใช่ครับ คนจีบพี่พราวเยอะมากเลย เวลาพีทไปเล่นข้างนอกก็มีแต่คนถามหาพี่พราว เนอะพายเนอะ”“แล้วไปยังไง เรียกแท็กซี่หรือพ่อเราไปส่ง” ชายหนุ่มยังถามต่อ“แท็กซี่ครับ/มีคนมารับค่ะ” สองพี่น้องพูดพร้อมกัน แต่คำตอบไปคนละทางจนทั้งคู่ต่างหันมามองหน้ากันและกัน ขณะที่ผู้เป็นน้าอย่างนฤบดินทร์ได้แต่ถอนหายใจที่คงไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรจากหลานตัวแสบเป็นแน่“ไม่เป็นไร เดี๋ยวน้าไปถามแม่เราเองก็ได้” เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะกดโทร. ออก แต่สองพี่สองรีบโบกมือห้ามเป็นพัลวัน“อย่านะคะน้าดิน พี่พราวสั่งเอาไว้ว่าห้ามบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าพี่พราวไปเที่ยวกับแฟน ไม่งั้นคุณพ่อจะดุเอาได้ น้าดินอย่าถามคุณแม่นะคะ ขอร้องล่ะ นะคะน้าดิน” ภัทร์นรินท์ยกมือไหว้ปะหลก ๆ พร้อมกับทำตาสลดอย่างน่าสงสาร ภานุภัทร์เห็นอย่างนั้นจึงทำตามบ้าง“ใช่ครับน้าดิน เห็นใจพวกเราเถอะนะครับ พี่พราวอุตส่าห์ไว้ใจให้พวกเราเก็บความลับ พีทไม่อยากให้พี่พราวถูกดุครับ นะครับน้าดิน”ชายหนุ่มลอบยิ้ม “ก็ได้ ไม่ถามก็ไม่ถาม น้าเข้าบ้านก่อนนะ พวกเราก็เข้าบ้านเถอะ ข้างนอกมันร้อน”เขาเตรียมตัวจะหันหลังกลับ แต่จู่ ๆ หลานสาวตัวดีก็ยื่นมือมากระตุกชายเสื้อเขาเบา ๆ คร
“แล้วแกล่ะ จะไม่คิดถึงหนูพราวบ้างหรือ” มัลลิกาอมยิ้ม แต่เจ้าตัวกลับขมวดคิ้วมุ่นพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย“คิดถึงทำไม ปกติก็ต่างคนต่างอยู่กันอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันสักหน่อย”“ถามจริง! แกไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์หนูพราวบ้างเลยรึไง สามปีเชียวนะที่จะไม่ได้เจอกัน” มัลลิกายังคงเย้าไม่เลิกจนชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาราวกับหงุดหงิดเต็มทีก่อนพูดว่า“แล้วไง ต่อให้สามปีหรือสามสิบปีก็ไม่มีอะไรแตกต่าง มันก็ชีวิตใครชีวิตมันอยู่แล้ว พี่เลิกชงเถอะ ไม่ได้ผลหรอก”“ชิ!” ไอ้คนปากแข็ง!มัลลิกาเบ้ปากใส่น้องชายด้วยความหมั่นไส้ แค่นี้ก็รู้แล้วว่านฤบดินทร์เองก็ใจหายและคงคิดถึงพราวนภาไม่น้อย แต่ไม่ยอมพูดความจริงออกมา เธอเป็นพี่น้องกับชายหนุ่มตรงหน้ามายี่สิบกว่าปีมีหรือจะเดาใจอีกฝ่ายไม่ออก เพราะหากนฤบดินทร์ไม่สนใจพราวนภาจริง เจ้าตัวก็จะแสดงออกด้วยการนิ่งเฉย ไม่ต่อปากต่อคำมาหลายประโยคแบบนี้แน่“ก็ดี พี่จะได้เลิกกั๊กหนูพราวไว้ให้แก คราวนี้ถ้ามีคนมาจีบหนูพราวอีกพี่จะได้ปล่อยเลยตามเลย ไม่กันท่าไว้ให้แกแล้วเพราะแกเอ็นดูหนูพราวเหมือนน้องสาว โธ่เอ๊ย...นี่พี่เข้าใจผิดไปเองหรือเนี่ย”เมื่อมัลลิกาพูดจบก็ได้รับส
แม้ช่วงแรกจะเอ่ยปากชม แต่สุดท้ายภาวินก็อดเกทับอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะเมื่อครั้งที่เขาอายุยี่สิบต้น ๆ แม้จะมีปาร์ตี้และเที่ยวกลางคืนบ่อย แต่เขาก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเมามายจนไม่มีสติเลยสักครั้งกว่าสิบปีที่เขารู้จักนฤบดินทร์มาตั้งแต่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กวัยรุ่นเลือดร้อนจนกระทั่งเติบโตเป็นชายหนุ่มเต็มตัว เขาเห็นว่าน้องภรรยาคนนี้จัดว่าเป็นผู้ชายที่ครบเครื่องคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหล่อเหลาจนบางมุมแทบจะเรียกได้ว่าสวยด้วยซ้ำ รูปร่างก็สูงโปร่งพอกันกับเขา นิสัยก็เงียบขรึม และมีความสุขุม ทุกอย่างดูดีไปหมดเสียอย่างเดียว สายตาที่มองพราวนภานั้นดูจะร้อนแรงมากเกินไปหน่อยราวกับต้องการกลืนกินบุตรสาวของเขาไปทั้งตัว เขาไม่ชอบเอาเสียเลย!พราวนภายังเด็ก อายุเพิ่งจะสิบเจ็ดปีเท่านั้น ยังไม่จบมัธยมปลายเลย แต่บุตรสาวของเขาดันหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู อีกไม่กี่ปีก็จะเติบโตเป็นสาวสวยสะพรั่ง ขณะที่นฤบดินทร์ก็เป็นหนุ่มเต็มตัว และสองคนนี้มักใกล้ชิดกันบ่อยเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นในบ้าน“ทำไงได้ ผมมันพวกคออ่อนซะด้วยสิ” นฤบดินทร์พูดยิ้ม ๆ พลางชะเง้อมองเข้าไปในบ้านของภาวินแล้วพูดว่า“เดี๋ยวผมเอ
ในห้องที่ปิดไฟจนมืดสลัว นอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศแล้วก็มีเพียงเสียงสวบสาบของผ้าห่มและเสียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาดังมาจากเตียงนอนหลังใหญ่ ผู้ที่อยู่ใต้ผ้าห่มพลิกตัวไปมาบ่อยครั้งราวกับคนที่กำลังมีเรื่องกลัดกลุ้มเกาะกินใจจนไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้พราวนภานอนลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดอยู่บนเตียงนอนของตน หญิงสาวไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาใด แต่คิดว่าน่าจะล่วงเข้าวันใหม่แล้วเพราะก่อนนอนเธอคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสนิทร่วมชั่วโมงกว่า และเพิ่งวางสายไปตอนห้าทุ่มเศษ เนื้อหาของบทสนทนานั้นก็เป็นเรื่องเดิม ๆ คือปรึกษาปัญหาหัวใจ เพราะต่างคนก็ต่างมีชายหนุ่มให้แอบรักเป็นของตัวเองหญิงสาวเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนอนตะแคง สายตาจึงตกที่ตุ๊กตาหมีสองตัวที่นอนเคียงคู่กันอยู่บนพื้นที่อีกฝั่งหนึ่งของเตียง ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ชายหญิงคู่นี้นฤบดินทร์ซื้อให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุครบสิบสามปีหมีผู้ชายใส่ชุดเอี๊ยมกางเกงลายสก๊อตสีน้ำเงินกับเสื้อสีขาว หมีผู้หญิงใส่ชุดเอี๊ยมกระโปรงลายสก๊อตสีแดงกับเสื้อสีขาวเช่นกัน เธอรักมันมาก ไม่ว่าจะนอนที่บ้านนี้ หรือบ้านของแม่จันทร์เจ้า ผู้เป็นน้าสาว เธอก็จะนำตุ๊กตาหมีคู่นี้ไปนอนข้างกายด้วยทุก
Comments