LOGINหลังจากเสร็จงานศพของบิดามารดาของชลาธิป นพดลและสาวิตรี ต้องต่อสู้กับการพาตัวเด็กชายเข้ามาอยู่ในการอุปการะ ทั้งข้อกำหนดทางกฎหมายและญาติพี่น้องที่ทำตัวเป็นเหลือบไร พอไม่มีบิดามารดาของชลาธิปแล้วพวกนั้นก็หมดที่พึ่งพิง สุดท้ายก็ตั้งใจเตรียมตัวจะฮุบทรัพย์สินในส่วนที่เป็นของเด็กชาย
และดูเหมือนว่าสองสามีภรรยาที่จากไปแล้วนั้นจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถึงได้เขียนพินัยกรรมเอาไว้ และไว้ใจให้เพื่อนสนิทอย่างนพดลและสาวิตรีเป็นผู้พาเด็กชายไปเลี้ยงดู ส่วนทรัพย์สินที่ควรจะเป็นของเด็กชาย ผู้ปกครองตามกฎหมายอย่างคุณน้าทั้งสองจะเป็นผู้ดูแลให้โดยไม่แตะต้อง แต่อาจจะมีการนำบางส่วนไปลงทุนให้กับเด็กชาย จนกว่าชลาธิปจะบรรลุนิติภาวะ
เด็กชายวัย 12 ปี จำต้องย้ายที่อยู่จากบ้านริมน้ำเงียบสงบในต่างจังหวัด เข้ามาอยู่ในกรุงเทพสภาพแวดล้อมทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
หลายปีผ่านไป...
“อันฉันได้ยินว่าพี่น้ำที่อยู่ ม.6 เป็นพี่ชายของอันเหรอ” เด็กสาวคนหนึ่งถามนันท์ลินีอย่างใคร่รู้
เด็กหญิงวัยมัธยมต้นหน้าบึ้ง ทันทีที่เพื่อนสนิทในกลุ่มพูดถึงเด็กชายที่ที่บ้านของเธออุปการะ
“ใครบอกพวกเธอ” นันท์ลินีคิ้วขมวด มือเรียวเล็กกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังถ่ายคลิปวิดีโอลง
“ก็แอบได้ยินมาจากเพื่อนโรงเรียนเก่าน่ะ นี่ฉันเห็นนะ เวลามาโรงเรียนอันน่ะนั่งรถมาพร้อมกับพี่น้ำ” แพรวาตอกย้ำ “แล้วนี่ไม่คิดจะบอกกันบ้างหรือไง ที่มีพี่ชายหล่อขนาดนั้น” เด็กสาวทำหน้าเพ้อฝัน
“.....” เพราะผู้ชายคนนั้นไม่ใช่พี่ชายแท้ ๆ ของเธอนันท์ลินีจึงไม่ได้มีความภูมิใจที่จะพูดถึงอีกฝ่าย
ตอนก่อนจะย้ายมาเรียนโรงเรียนเดียวกัน เธอเองก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับความป๊อปปูล่าของอีกฝ่ายมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดใส่ใจ เพราะตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะเลิกกลั่นแกล้งคนคนนั้นสักที อย่างน้อย ๆ ก็เป็นเจตนารมณ์ครั้งสุดท้ายของคุณปู่ก่อนที่ท่านจะจากไป
“น้องอัน อย่าแกล้งพี่น้ำอีกเลยนะ”
“คุณปู่อย่าพูดอะไรแบบนี้สิคะ” เด็กหญิงจับมือของผู้เป็นปู่เอาไว้แน่น ความอบอุ่นของศักดิ์สิทธิ์แผ่ซ่านมาถึงเธอ
“ถือเป็นคำขอครั้งสุดท้ายของปู่นะน้องอัน” น้ำเสียงของผู้ชราแหบพร่าและอ่อนแรง
“คุณปู่” เธอมองข้ามฝั่งไปมองเด็กชายรุ่นพี่ ที่ยืนตาแดงอยู่แบบนั้น ช่างเป็นคำขอที่จำใจปฏิบัติตามได้ยากยิ่งนัก
“นะครับ” ศักดิ์สิทธิ์รู้ดีว่านันท์ลินีตัวแสบเกลียดหน้าของชลาธิปมากขนาดไหน ถ้าคำขอครั้งสุดท้ายของตนนั้นพอจะลดความเกลียดชังในใจของเด็กหญิงลงได้บ้าง เขาก็จะทำ
มือหยาบชราของศักดิ์สิทธิ์จับมือของชลาธิปเอาไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งก็จับมือของหลานสาวสุดที่รักของตนเอาไว้เช่นกัน ก่อนจะนำมือของเด็กทั้งสองคนมาประสานกันเอาไว้
แม้ว่านันท์ลินีจะรังเกียจ แต่อย่างไรเธอก็เมินคำขอร้องสุดท้ายของคุณปู่ไม่ได้
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ ต่อไปหนูจะไม่แกล้งไอ้....พี่น้ำอีกแล้วค่ะ” เด็กหญิงใช้มืออีกข้างปาดน้ำตาและรับปาก
ความทรงจำและคำขอครั้งสุดท้ายของคุณปู่ เด็กสาวยังคงจำมันได้แม่น ภาพทุกอย่างยังชัดเจนแจ่มแจ้งราวกับเพิ่งเกิดเมื่อไม่นานมานี้
“นี่ยายอัน คิดอะไรของแกอยู่” เมื่อแพรวาเอ่ยถึงชลาธิป จึงได้สังเกตเห็นว่าท่าทีของนันท์ลินีเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เปล่า” เด็กสาวปฏิเสธ “ไปเถอะไปกินข้าวที่โรงอาหารกันเถอะ”
“อันเลี้ยงนะ” แพรวาบอก
“อื้อ” นันท์ลินีตกลงอย่างง่ายดาย
นันท์ลินีและกลุ่มเพื่อน เดินไปที่โรงอาหารตามปกติเหมือนกับที่เคยทำ
“น้องอันกินข้าวด้วยกันไหม” เด็กหนุ่มรุ่นพี่ ม.5 เมื่อเห็นเป้าหมายก็เดินปรี่เข้ามาขวางทาง เด็กสาวหรี่ตาลงเล็กน้อยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ไม่ชอบใจนัก “ทำไมมองหน้าพี่แบบนั้นละครับ” รัฐศาสตร์ตามจีบรุ่นน้อง ม.2 คนนี้มานานพอสมควร
“เห้อ” นันท์ลินีถอนหายใจ ก่อนจะเดินเลี่ยงอีกฝ่าย ทำเหมือนกับเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่มีตัวตน
มีรุ่นน้องรุ่นพี่มากมายตามจีบเขากันเป็นพรวน แต่นันท์ลินีเป็นคนเดียวที่แตกต่างออกไป เด็กหนุ่มจึงรู้สึกสนใจเธอเป็นพิเศษ
“น้องอัน” อารมณ์ของรัฐศาสตร์เริ่มคุกรุ่นขึ้นมาเล็กน้อย “ยังไงก็รักษาหน้าพี่หน่อยสิครับ ไม่เห็นเหรอว่าเพื่อนพี่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นกำลังมองมาที่เรา”
คนตัวเล็กยิ้มเล็กน้อย ท่าทางไม่ได้ยี่หระต่อสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะหันไปพูดคุยกับเพื่อนสนิท
“แพร โรงเรียนเรามีพวกแมลงหวี่แมลงวันด้วยเหรอ” คนตัวเล็กยืนกอดอก สีหน้าท่าทางชัดเจนว่าไม่ชอบใจกับการกระทำของเด็กหนุ่มรุ่นพี่
ทันทีที่เธอพูดจบ เพื่อนของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ไกลจากตรงนั้นก็โห่ร้องโวยวาย
“ไอ้รัฐโดนเด็กด่าว่ะว่าเป็นแมลงวันว่ะ ฮ่า ๆ” กลุ่มเพื่อนของรัฐศาสตร์ หัวเราะลั่น
เด็กหนุ่มหน้าเครียด เขาพนันกับเพื่อน ๆ เอาไว้ ว่าภายในเทอมนี้จะต้องจีบรุ่นน้องคนนี้มาเป็นแฟนให้ได้ ใกล้สิ้นเทอมเข้าไปทุกที แต่นันท์ลินีก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเขาสักนิด
“น้องอัน” น้ำเสียงของรัฐศาสตร์ไม่ค่อยดีนัก “ทำไมหักหน้าพี่แบบนั้นกันละครับ” ร่างสูงยืนเท้าเอว
เด็กหญิงดูป้ายชื่อของรัฐศาสตร์ ก่อนจะอ่านชื่อของเด็กหนุ่มออกมาดัง ๆ
“เพิ่งรู้นะว่านายชื่อรัฐศาสตร์ ชื่อก็เพราะดี แต่นามสกุลนี่สิดูกระจอกจัง ถ้าครอบครัวนายรวยเท่าครอบครัวอันเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันดีกว่า พอดีอันไม่อยากคุยกับคนที่อยู่กันคนละระดับน่ะค่ะ” เด็กสาวเหยียดหยาม เธอไม่เคยคบเพื่อนที่ระดับสถานะทางสังคมต่ำกว่าอยู่แล้ว แต่กระนั้นเธอก็ไม่เคยแสดงท่าทางดูถูกใครก่อน ถ้าคนพวกนั้นไม่มายุ่งหรือสร้างความรำคาญใจให้กับเธอ
นั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่เธอไม่เคยสนใจในตัวของรัฐศาสตร์
“อีนี่” รัฐศาสตร์พ่นคำหยาบ ทำท่าเหมือนจะทำร้ายเด็กผู้หญิงที่ตัวเล็กกว่า
ร่างเล็กชี้หน้า เด็กหนุ่มที่ตัวสูงกว่า “อย่าคิดจะลงมือที่นี่นะคะ ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าอันเป็นใคร” ครอบครัวของนันท์ลินีสนิทกับ เจ้าของโรงเรียนเอกชนแห่งนี้ ถ้าเขาคิดจะมีเรื่อง ขอเพียงเธอกดโทรศัพท์แค่กริ๊งเดียวเท่านั้น..
“ไอ้รัฐ ไปก่อนเถอะ” กลุ่มเพื่อนของรัฐศาสตร์เห็นท่าไม่ดี จึงเข้ามาลากเพื่อนให้รีบออกไปจากตรงนี้ เพราะเป็นเวลาพักกลางวันพอดี ในเวลานี้คนจึงเริ่มเข้ามามุงเหตุการณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ
“ฝากไว้ก่อนนะ อย่าพลาดก็แล้วกัน” รัฐศาสตร์หมายหัวเด็กหญิงรุ่นน้องเอาไว้แล้ว เขาจะจำเรื่องราววันนี้เอาไว้
นันท์ลินีคิดถึงเรื่องเก่า ๆ เมื่อหลายปีก่อน เธอจำได้ว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่ได้เจอกับภาคภูมิเป็นครั้งแรก อันที่จริง เขาก็ไม่ได้หล่อไปกว่าชลาธิปเลยสักนิด แต่หลังจากเรียนจบมัธยมภาคภูมิก็ผันตัวเข้าสู่วงการบันเทิง ส่วนพี่ชายร่วมบ้านของเธอเรียนบริหารธุรกิจ ถึงแม้จะเดินกันคนละเส้นทางแต่กระนั้นทั้งสองคนก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่เช่นเดิมส่วนเธอเองช่วงหลังก็ได้จับพลัดจับผลูเข้ามาอยู่ในวงการเดียวกันกับภาคภูมิด้วยเช่นกัน เขาจึงกลายเป็นทั้งเพื่อนสนิทของชลาธิป เป็นรุ่นพี่ในวงการบันเทิง รวมถึงเป็นผู้ชายที่เธอแอบชอบ“น้องอัน....ถึงคิวแต่งหน้าทำผมแล้วค่ะ” ผู้จัดการกองถ่ายเรียกตัวให้นันท์ลินีเดินไปแต่งหน้าคนตัวเล็กเหลือบตาดูเวลาในโทรศัพท์ก่อนจะเห็นว่า สายไปครึ่งชั่วโมง“สายไปครึ่งชั่วโมงนะคะ” น้ำเสียงของนันท์ลินีแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ “เพราะอะไรล่ะคะ ทุกคนก็รู้ว่าอันเป็นคนรักษาเวลา” ผู้จัดการกองถ่ายหน้าเสีย ไม่รู้จะบอกกับนางร้ายคนนี้ยังไงดีเพราะถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ไม่ค่อยดีเท่า
ชลาธิปเดินจูงมือน้องสาวร่วมบ้านไปจนถึงจุดที่รถยนต์จอดรออยู่ พี่เลี้ยงของเด็กทั้งสองคนเมื่อเห็น เด็กหญิงอยู่ในสภาพไม่น่าดูนักก็รีบลงจากรถเข้ามาดูแล“คุณอันเป็นอะไรคะ ทำไมเสื้อผ้าถึงเลอะเทอะมอมแมมแบบนี้” ดาวใจรีบหยิบกระดาษทิชชูเปียกออกมาเช็ดเสื้อผ้าให้กับเด็กหญิงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นันท์ลินีไม่อยากตอบคำถาม ผู้เป็นน้องจึงสะกิดให้เด็กหนุ่มเป็นคนตอบ“ล้มน่ะครับ สะดุดก้อนหินล้มเลยมอมแมมไปหน่อย” เขารู้ว่านันท์ลินีคงไม่อยากพูดความจริง จึงไม่ได้บอกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้พี่เลี้ยงและคนขับรถรับรู้“เป็นแบบนั้นเหรอคะ” ดาวใจยังไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ชลาธิปพูดนัก“ค่ะ อย่างที่น้ำบอก” นันท์ลินีเออออไปกับอีกฝ่ายโชคดีที่เขาหัวไว คิดเรื่องโกหกออกมาได้แนบเนียน และยิ่งออกมาจากปากของเด็กหนุ่มคนนี้ใคร ๆ ก็พร้อมจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดหมดเมื่อเห็นว่าดาวใจเชื่อในสิ่งที่เขาพูด ชลาธิปจึงไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เด็กหนุ่มจึงเดินไปขึ้นรถฝั่งที่ตัวเองนั่งประจำรถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวออกมาจากจุดจอดรถไปเรื่อย ๆ เพราะว่าเด็กทั้งสองคนมาช้าไปราว 20 นาที นั่นก็เพียงพอจะทำให้ ทั้งหมดติดแหงกอยู่บนท้องถนนของเมืองหล
“น้ำ น้องสาวนายนี่ก็เอาเรื่องดีเหมือนกันนะ”ภาคภูมิสะกิดไหล่เพื่อนสนิท“อือ” ชลาธิปรับคำสั้น ๆ ง่าย ๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อเขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากมุมไกล ๆ แต่ไม่รู้ว่าตรงนั้นกำลังสนทนาอะไรกันและเขาเองก็รู้ว่า ยายเด็กนั่นต้องเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ตอนที่ภาคภูมิบอกให้เขาแสดงตัวไปช่วยเหลือเธอ จึงไม่ได้คิดจะออกไปช่วยตั้งแต่แรก“แต่ยังไงก็ระวังเอาไว้บ้างก็ดีนะ ในโรงเรียนไอ้หมอนั่นอาจจะทำอะไรน้องนายไม่ได้ แต่นอกโรงเรียนก็ระวังหน่อย ฉันได้ยินว่าครอบครัวมันทำงานสีเทา ๆ” ภาคภูมิเป็นห่วงน้องสาวของเพื่อนสนิท มีไม่กี่คนที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนันท์ลินีและชลาธิปว่าเป็นอะไรกัน“เข้าใจแล้ว” เด็กหนุ่มยังคงเฉยชาอยู่เช่นเดิม แต่ก็ยอมรับฟังคำเตือนของเพื่อนสนิทถึงเวลาเลิกเรียน เพราะไม่อยากให้ใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเธอและชลาธิป นันท์ลินีกับเขาจึงตกลงกันเอาไว้ว่าให้รถของที่บ้านจอดอยู่ห่างจากโรงเรียนไปอีกสักหน่อย เธอที่อยู่ในระดับมัธยมต้นจะได้รับการปล่อยให้ออกจากโรงเรียนก่อนจะเดินไปรอเขาที่นั่น พอเขาเลิกเรียนแล้วก็ค่อยให้เขาตามมาทีหลังในตอนแรกทั้งนพดลและสาวิตรีก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยนักเพราะเป็นห่
หลังจากเสร็จงานศพของบิดามารดาของชลาธิป นพดลและสาวิตรี ต้องต่อสู้กับการพาตัวเด็กชายเข้ามาอยู่ในการอุปการะ ทั้งข้อกำหนดทางกฎหมายและญาติพี่น้องที่ทำตัวเป็นเหลือบไร พอไม่มีบิดามารดาของชลาธิปแล้วพวกนั้นก็หมดที่พึ่งพิง สุดท้ายก็ตั้งใจเตรียมตัวจะฮุบทรัพย์สินในส่วนที่เป็นของเด็กชายและดูเหมือนว่าสองสามีภรรยาที่จากไปแล้วนั้นจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถึงได้เขียนพินัยกรรมเอาไว้ และไว้ใจให้เพื่อนสนิทอย่างนพดลและสาวิตรีเป็นผู้พาเด็กชายไปเลี้ยงดู ส่วนทรัพย์สินที่ควรจะเป็นของเด็กชาย ผู้ปกครองตามกฎหมายอย่างคุณน้าทั้งสองจะเป็นผู้ดูแลให้โดยไม่แตะต้อง แต่อาจจะมีการนำบางส่วนไปลงทุนให้กับเด็กชาย จนกว่าชลาธิปจะบรรลุนิติภาวะเด็กชายวัย 12 ปี จำต้องย้ายที่อยู่จากบ้านริมน้ำเงียบสงบในต่างจังหวัด เข้ามาอยู่ในกรุงเทพสภาพแวดล้อมทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลายปีผ่านไป...“อันฉันได้ยินว่าพี่น้ำที่อยู่ ม.6 เป็นพี่ชายของอันเหรอ” เด็กสาวคนหนึ่งถามนันท์ลินีอย่างใคร่รู้เด็กหญิงวัยมัธยมต้นหน้าบึ้ง ทันทีที่เพื่อนสนิทในกลุ่มพูดถึงเด็กชายที่ที่บ้านของเธออุปการะ“ใครบอกพวกเธอ” นันท์ลินีคิ้วขมวด มือเรียวเล็กกดปิดหน้าจอโทรศัพท
นพดลพาเด็กชายขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน ตั้งใจจะให้เด็กชายอยู่ร่วมกันแบบเจ้านายคนหนึ่งของบ้าน เขาไม่ต้องการให้ชลาธิปรู้สึกด้อยไปกว่าเด็กคนอื่น ๆ เขารับปากเพื่อนสนิทของภรรยาเอาไว้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรนพดลก็ต้องทำให้ได้ อย่างน้อย ๆ ตอนที่ภรรยาเขาลำบากบิดามารดาของเด็กชายก็เคยช่วยชีวิตเธอเอาไว้ทั้งเขาและสาวิตรี ร่วมถึงบิดาของตนนั้นไม่เท่าไหร่ ติดปัญหาอยู่ที่เด็กหญิงตัวแสบนั่นมากกว่า เขายังคิดเสียใจที่เลี้ยงบุตรสาวให้กลายเป็นแบบนี้ ถ้าเขากล้าดุหรือสั่งสอนเธอสักหน่อยเรื่องคงไม่ดำเนินมาถึงขั้นนี้“เป็นยังไงน้ำ เราอยู่ได้ไหม” นพดลถามไถ่เด็กชายยิ้มและตอบรับอย่างมีมารยาท“ครับ ดีกว่าที่ผมเคยอยู่ซะอีก” เขาตอบ ถ้าให้เทียบกับบ้านริมน้ำที่เคยอยู่ร่วมกันกับครอบครัว ที่นี่นับว่าดีมาก“เพราะว่าที่บ้านเรา ไฟมันไหม้ไปหมดแล้ว ก็คงไม่มีอะไรเหลือแล้วล่ะ หลังจากเสร็จงานศพของพ่อกับแม่เรา น้าจะพาไปซื้อเสื้อผ้าใส่นะ แล้วก็จากนี้คงต้องย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพด้วยกัน” สาวิตรีปลอบประโลมเด็กชายบิดาและมารดาของเด็กชายเสียชีวิตเมื่อวันก่อน และก่อนที่พวกเขาจะจากไปได้ขอร้องให้สาวิตรีช่วยดูแลเด็กชาย ผู้เป็นนายหญิงของบ้านรู้ว่าช
เด็กหญิงผมเปียใบหน้าน่ารักสมวัยสีหน้าไม่ค่อยดีนักเมื่อได้ยินว่าบิดาของตัวเองพาเด็กผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในบ้าน สภาพมอมแมมไม่ต่างอะไรจากเด็กข้างถนน เด็กหญิงนันท์ลินีไม่ค่อยชอบใจนัก เธอต้องการเป็นจุดศูนย์รวมของความรักของคนทั้งบ้าน ไม่ได้ต้องการมีพี่น้องหรือสมาชิกอื่นใด เพิ่มเข้ามาในครอบครัวอีก“น้องอันทำไมทำหน้าแบบนั้นละคะ” สาวิตรี ผู้เป็นมารดาเห็นหน้าของบุตรสาวบึ้งตึงจึงเข้าไปปลอบประโลม“ไอ้เด็กนั่นเป็นใครคะ” เธอรู้อยู่แล้วว่ามารดาจะต้องถามคำถามนี้“เด็กนั่น!! ทำไมน้องอันพูดไม่เพราะเลยล่ะคะ” ผู้เป็นมารดาดุ เธอจำได้ว่าไม่เคยสอนให้เด็กหญิงมีนิสัยเช่นนี้“แล้วมันเป็นใครล่ะคะคุณแม่” นันท์ลินียังคงรอคำตอบจากปากของมารดาสาวิตรีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ที่เด็กหญิงตัวน้อยมีท่าทางเช่นนั้น คงเป็นเพราะเธอตามใจบุตรสาวมากจนเกินไป เพราะในอดีตกว่าที่เธอจะตั้งครรภ์นันท์ลินี ก็ใช้เวลาเฝ้ารออยู่หลายปี เมื่อเด็กหญิงถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งครอบครัวเลยค่อนข้างตามใจแม้จะรู้ว่าในอนาคตเด็กหญิงจะต้องเสียคนอย่างแน่ ๆ แต่ทั้งผู้เป็นบิดาและมารดายามเมื่อเห็นน้ำตาของเด็กหญิง ทั้งสองคนก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน“ใจเย็น ๆ นะ







