LOGINแปดปีผ่านไป…
ร่างบางก้าวลงจากแท็กซี่หลังจากส่งเงินค่าโดยสารให้คนขับเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่เจ้าของแท็กซี่ยกกระเป๋าสามใบลงจากรถให้ ตาคู่สวยปนเศร้าก็ถือโอกาสมองสำรวจคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวต่อภาพที่เห็น
ความงดงามยิ่งใหญ่ในอดีต มาบัดนี้แทบจะไม่เหลือเค้าให้เห็น ความงดงามโอ่อ่าที่เคยถูกใครต่อใครมองอย่างอิจฉา ทรุดโทรมและหมองลงจนเกือบจะเป็นคฤหาสน์ร้าง น้ำพุที่เคยพวยพุ่งเป็นสายเหมือนว่าจะไม่มีวันหยุด กลับเหลือเพียงน้ำที่ขังอยู่ด้านล่าง ต้นไม้ใบหญ้าที่เคยถูกตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบสวยงาม ถูกปล่อยปละละเลย บ้างก็ทอดกิ่งยาวเฟื้อย บ้างก็ร่วงโรยแห้งเฉา ซึ่งความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มันไม่ได้เกิดจากกาลเวลาแต่อย่างใด ทว่าเป็นเพราะเจ้าของไม่มีศักยภาพที่จะดูแลมันให้งดงามโอ่อ่าดังเดิมอีกต่อไปแล้วต่างหาก
เสียงถอนหายใจดังออกมาเบาๆ เมื่อในที่สุดเธอก็ได้กลับมาที่นี่ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่กลับมาอีก แต่เพราะความกตัญญูและสามัญสำนึกฝ่ายดี ทำให้เธอต้องกลับมาเพื่อจะดูแลพ่อ หลังจากได้ทราบข่าวว่าท่านป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบจนกลายเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีก
เท้าเล็กๆ ค่อยๆ ย่างก้าวเข้าไปในบ้าน โดยไม่สนใจกระเป๋าที่ถูกวางเอาไว้หน้าบ้าน ภาพผู้ชายที่เคยยิ่งใหญ่ซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีพยาบาลพิเศษกำลังยืนป้อนข้าว ทำให้เอมมาลินน้ำตาเอ่อคลอ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวย่างเข้าไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าพ่อและยกมือกราบลงบนตัก
“เอมกลับมาแล้วค่ะพ่อ”
“เอม...”
เสียงที่เรียกชื่อลูกสาวฟังไม่ค่อยจะชัดนัก เพราะปากของคนพูดขยับได้เพียงซีกเดียว มือด้านที่ใช้งานได้ยกขึ้นลูบศีรษะอย่างอ่อนโยน เป็นสัมผัสที่เอมมาลินโหยหามานานหลายปี และบัดนี้เธอก็ได้รับมันแล้ว ได้รับในวันที่พ่อไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่ศักดิ์ศรีหรือความภูมิใจในตัวเอง
“ขอโทษนะคะที่เอมมาช้า”
“มะ..ไม่…เป็นไรลูก”
“ต่อไปนี้เอมจะดูแลพ่อเองนะคะ”
ใบหน้างดงามซบลงบนตักพ่อ สองแขนโอบรอบเอวบิดาที่นั่งอยู่บนรถเข็น น้ำตาเอ่อคลออย่างไม่ขาดสาย ทำให้พยาบาลถอยห่างออกไปเพื่อเปิดโอกาสให้พ่อลูกได้อยู่กันตามลำพัง
เอมมาลินซึมซับเอาความรักความอบอุ่นจากพ่อเป็นครั้งแรก หลังจากไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษเป็นเวลากว่าเจ็ดปี เธอตัดขาดจากเมืองไทย ตัดขาดจากทุกอย่าง พยายามจะไม่รับรู้ข่าวคราวหรือเรื่องราวใดๆ ทว่าในที่สุดก็หนีมันไม่พ้น เมื่อคนทางนี้ส่งข่าวไปบอกว่า สองปีที่แล้วบริษัทของพ่อถูกเทกโอเวอร์ พ่อถูกฟ้องล้มละลาย กระทั่งล่าสุดท่านก็ป่วยจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมชีวิตของพ่อถึงได้พลิกผันเช่นนี้ หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะกรรม…กรรมที่ไม่ได้เจตนาจะก่อ ทว่ามันก็ยังทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ ด้วยการวิ่งตามสนองเธอกับพ่อให้จมปลักอยู่กับความทุกข์อย่างไม่เลิกรา
“คุณหนู…คุณหนูเอม...”
เสียงเสียงนั้นคือเสียงของป้าแก้ว คนเก่าคนแก่ของที่นี่ เอมมาลินเงยหน้าจากตักพ่อแล้วหันไปกอดหญิงวัยกลางคนที่บัดนี้ร่องรอยของความชราบนใบหน้ามองเห็นอย่างชัดเจน
“สวัสดีค่ะป้าแก้ว คิดถึงจัง”
“ป้าก็คิดถึงคุณหนูค่ะ นึกว่าคุณหนูจะไม่กลับมาซะแล้ว”
“เอมขอโทษนะคะที่ไปซะนาน”
“ป้าเข้าใจค่ะ” ป้าแก้วยิ้มให้เห็น แม้จะไม่ใช่รอยยิ้มที่เปี่ยมสุขนัก แต่ก็เป็นรอยยิ้มในรอบหลายปี
“คนอื่นๆ ไปไหนกันหมดแล้วคะ”
“ลาออกกันหมดแล้วค่ะ”
เอมมาลินไม่ได้สงสัยหรือแปลกใจนัก ทุกคนล้วนแต่ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เมื่อที่นี่ไม่สามารถจะจ้างงานพวกเขาได้ เขาเหล่านั้นก็ย่อมจะต้องหาหนทางในการทำมาหากินกันใหม่
“แล้วคุณนงนภากับภัสล่ะคะ” เสียงหวานเอ่ยถามถึงแม่เลี้ยงและน้องสาว โดยไม่ซักไซ้เรื่องอื่นยามอยู่ต่อหน้าบิดา เพราะไม่อยากให้ท่านไม่สบายใจ
“คุณผู้หญิงไปสมาคมค่ะ ส่วนคุณภัสไปเรียน” เสียงของป้าแก้วยามพูดถึงคนทั้งคู่ไม่ได้นุ่มนวลนัก ทั้งนี้ก็เพราะนงนภาไม่ได้เป็นภรรยาที่ดียามสามีตกทุกข์ นงนภายังคงติดความหรูหรา สังคมไฮโซ และปล่อยให้การดูแลคุณผู้ชายเป็นของพยาบาลพิเศษเพียงคนเดียว ส่วนนงนภัสนั้นก็ไม่ค่อยจะใส่ใจพ่อมากนัก
“อย่างนั้นเหรอคะ” เอมมาลินพยักหน้ารับรู้ แล้วหันไปฝากพ่อกับพยาบาล ก่อนจะเดินไปลากกระเป๋าที่อยู่หน้าบ้านขึ้นห้องตัวเอง
ประตูห้องปิดลง กระเป๋าที่ขนมาจากอังกฤษถูกวางทิ้งไว้อีกครั้ง เมื่อร่างบางก้าวย่างไปยังโต๊ะเครื่องแป้งอันเก่าของตัวเอง อยากจะไม่สนใจ อยากจะเมินเฉย ทว่าเสียงเรียกร้องลึกๆ ของหัวใจก็พ่ายแพ้ ในที่สุดมือเรียวบางก็เอื้อมไปเปิดลิ้นชัก หลังจากนั้นรูปถ่ายใบเก่าก็ถูกดึงออกมาจากสมุดบันทึก
เอมมาลินก้มลงเพ่งมองรูปใบนั้น ภาพสาวน้อยที่แววตาสดใสยื่นหน้าไปหอมแก้มผู้ชายที่ตัวเองรัก ช่างเป็นภาพที่ดูมีความสุขมากเหลือเกิน ราวกับว่าคนที่อยู่ในภาพนั้นไม่ใช่ตัวเธอ เธอจำได้แม่นว่าอัดรูปนี้มาเก็บไว้เพราะทนคิดถึงพี่อิสร์ไม่ไหว เพราะเขาหายไปและเธอก็ไม่ได้ข่าวคราวเขาอีกเลยหลังจากงานศพน้ากรองทอง
ตอนนี้พี่อิสร์อยู่ที่ไหน สบายดีหรือเปล่า แล้วแต่งงานหรือยัง
“ว่าไงตะวัน” “จะโทร.มาถามว่าเรื่องนั้นตกลงแกว่าไง” “แกนี่มันบ้าว่ะตะวัน ลูกฉันยังไม่โตเลยนะเว้ย” กวินภพต่อว่าเพื่อน แต่พร้อมกันนั้นก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ เพราะไม่ใช่แค่รังสิมันต์ที่โทร.มาทาบทามลูกสาวของเขา แต่เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างก็เริ่มคุยกันเป็นจริงเป็นจังแล้วว่าจะให้ลูกใครคู่กับลูกใครบ้าง “ก็เพราะยังไม่โตนี่แหละเลยต้องรีบจองไว้ก่อน” “แล้วน้องนิลลูกไอ้ปรัชญ์ล่ะ” “คนนั้นพี่กริชจองไว้ให้ลูกชายแล้ว” “แต่ลูกพี่กริชอายุน้อยกว่าน้องนิลไม่ใช่เหรอวะ” “อายุมันใช่ปัญหาที่ไหนล่ะ”“แล้วลูกพี่ปราณต์ล่ะ”“ก็คู่กับน้องโอมลูกชายคนรองแกไง เอาละๆ แกไม่ต้องเฉไฉ ตอบมาคำเดียวว่าแกจะยกหนูอินธ์ให้เป็นว่าที่ลูกสะใภ้คนโตของฉันหรือเปล่า หรือถ้าไม่ได้น้องอินธ์จะเป็นน้องอัยย์ก็ได้นะเว้ย” คราวนี้รังสิมันต์ข่มขู่แบบจริงจังสุดๆ กวินภพเลยต้องถอนหายใจออกมา “แกนี่มันบ้าเข้าขั้นจริงๆ ว่ะตะวัน ถามจริงแกปรึกษาจันทร์บ้างหรือเปล่า”“จันทร์ตามใจฉันอยู่แล้ว”“แน่ใจเหรอ ได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้โรคกลัวเมียของแกกำลังกำเริบหนักนี่”“ใครโทร.มาสาระแนเรื่องชาวบ้านล่ะ ไอ้ปรัช
“ไม่เบื่อบ้างหรือไงคะ หอมวันละกี่รอบก็ไม่รู้”“ไม่เบื่อ ไม่มีวันเบื่อ อีกอย่างเดี๋ยวนี้มีลูกๆ มาคอยแย่งหอมแก้มแม่ พี่ยิ่งต้องรีบหอมเวลาที่มีโอกาส”คำพูดนั้นทำให้เอมมาลินหัวเราะออกมาเบาๆ โดยที่ตายังคงทอดมองภาพลูกสาวคนโตอยู่เช่นเดิม ก่อนจะรำพึงออกมากับสามี“ยัยอินธ์ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนน้ากรอง จนบางครั้งเอมอดคิดไม่ได้ว่า น้ากรองคงมาเกิดเป็นลูกของเรา เหมือนที่เอมเคยอธิษฐานไว้ ว่าขอให้เอมได้มีโอกาสได้ดูแลและตอบแทนน้ากรองบ้างไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง”“แม่คงคิดถึงเราสองคน ถึงได้กลับมาอยู่ด้วย”ริมฝีปากอิ่มยิ้มบางๆ กับความสุขที่โอบล้อมอยู่รอบตัวในตอนนี้ เธอมองไปยังลูกสาวคนโตด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรักสุดหัวใจ ซึ่งไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่น้ากรองที่มาเกิดใหม่ แต่ทุกวันนี้สิ่งที่เธอทำเป็นประจำก็คือใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้กับน้ากรองกับพ่อเหมือนเดิม และทุกครั้งที่มีโอกาสเธอก็จะให้พี่อิสร์พาไปที่วัดเพื่อเยี่ยมพ่อกับน้ากรองเสมอ“ตาโอมเป็นยังไงบ้างคะ หลับหรือยัง” เสียงหวานเอ่ยถามถึงลูกชายคนรองกับสามี เพราะเขาเพิ่งจะกลับออกมาจากห้องนั่งเล่น ซึ่งเมื่อครู่นี้สองคนพ่อลูกเล่นอยู่ด้วยกันในนั้น“หลับไปแล้วละ
“งั้นวันหลังพี่อิสร์เปิดรูปพวกนั้นให้เอมดูหน่อยนะคะเอมอยากเห็น”“ได้สิ แล้วนอกจากเรื่องต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ เอมมีอะไรอยากจะถามพี่อีกมั้ย รีบถามเลย เพราะหลังจากนี้พี่จะไม่เปิดโอกาสให้ถามแล้วนะ เพราะพี่จะชวนเอมทำอย่างอื่น”ท่าทีและถ้อยคำยั่วเย้าของเขา ทำให้เอมมาลินวาบหวามและอุ่นซ่านในอก รู้ดีว่าสามีต้องการอะไร แต่เธอก็ยังหาเรื่องประวิงเวลาต่อ“มีอีกเรื่องค่ะ เอมอยากรู้ว่าช่วงนี้พี่อิสร์หายไปไหนบ่อยๆ”“ไปดูช่างทาสีบ้านกับตกแต่งสวนใหม่ ตอนนี้บ้านเอมสวยเหมือนเดิมแล้วนะ อีกไม่กี่วันพี่จะปลูกต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ มันน่าจะโตไปพร้อมๆ กับลูกคนโตของเรา เอาไว้อาทิตย์หน้าพี่จะพาไปดู”“ทำไมพี่อิสร์ไม่ขายซะล่ะคะ บ้านก็ไม่มีคนอยู่นานแล้ว”“มันเคยเป็นบ้านของเอม พี่ไม่อยากขาย ตอนที่พี่ซื้อบ้านหลังนั้นเอาไว้ ก็เพราะแอบหวังลึกๆ ว่าพี่จะมีโอกาสได้คืนมันให้เอม หรือถ้าไม่มีโอกาสจริงๆ พี่ก็ยังมีของที่ระลึกให้ได้คิดถึงเอม”“ไหนบอกว่าจะเอาไว้ทำเรือนหอ”“แค่คำพูดพล่อยๆ ของคนใจร้ายเท่านั้นเอง เอมจ๋าลืมมันได้มั้ย” กวินภพออดอ้อน พอคิดถึงความเลวร้ายที่ตัวเองเคยทำ หัวใจก็พลอยเจ็บปวดเพราะสงสารผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้เหลือเก
“สัญญาแล้วต้องทำตามสัญญาด้วย เอมคือหัวใจ คือชีวิตของพี่ พี่อยากทำทุกๆ วันให้เอมมีความสุข เพื่อชดเชยเวลาที่เคยเสียไปกับเรื่องเลวร้ายที่พี่ทำกับเอม”“ทุกวันนี้เอมก็มีความสุขมากแล้ว และความสุขของเอมก็คือการมีพี่อิสร์อยู่ข้างๆ ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ได้ตื่นมาเจอกัน ได้กินข้าวพร้อมกัน และได้นอนพร้อมกัน ขอบคุณที่ดูแลเอมอย่างดี เอมรักพี่อิสร์นะคะ”“พี่ก็รักเอมและรักลูกของเรา ขอบคุณที่ยอมตามใจพี่ ที่ยอมมีลูกกับพี่”กล่าวจบปากหยักอุ่นซ่านก็ประทับจูบลงบนกลีบปากนุ่ม จูบเธออย่างดูดดื่ม รักใคร่ และลึกซึ้ง ซึ่งเอมมาลินเองก็ยอมให้จูบและจูบตอบเขาอย่างเต็มใจเช่นกัน“เรื่องห้องลูก เอมตั้งใจว่าจะทำให้ลูกอยู่แล้ว พี่อิสร์มีหน้าที่จ่ายเงินค่าอุปกรณ์ต่างๆ ก็พอแล้วค่ะ” เอมมาลินบอกกับสามีอีกครั้งหลังจากจูบอันเนิ่นนานของทั้งคู่ผ่านไป“ไม่เอาค่าจ้างเหรอ”“ไม่เอาหรอกค่ะ ห้องลูกของเรานะคะ เอมจะเอาได้ยังไง”“แต่พี่อยากให้ อยากจ้างเมียตัวเอง”“ทุกวันนี้ก็ให้จนเอมใช้ไม่หมดอยู่แล้วค่ะ”“เอมแทบจะไม่ใช้เลยต่างหาก” กวินภพเอ่ยแย้งพลางยกมือขึ้นไล้แก้มนวลเบาๆ อย่างทะนุถนอม“ไม่รู้จะใช้ซื้ออะไรนี่คะ พี่อิสร์หามาให้หมดทุกอย
“ถ้ามัวแต่เรียกชื่อเอมอยู่แบบนี้ เอมจะไม่ยอมมีลูกด้วย”“ถึงเอมจะไม่ยอม พี่ก็จะปล้ำแบบมาราธอน งานนี้ถ้าเอมไม่ท้อง พี่ก็ไม่พากลับ”ริมฝีปากอุ่นๆ ประทับลงจูบปากนุ่มอย่างดูดดื่ม เอมมาลินจูบตอบเขา แต่ไม่ได้หลับตาเหมือนทุกครั้ง ตลอดเวลาที่ปากยังถูกจูบ ตาของเธอจ้องมองเขา ประกายตาเต็มไปด้วยความรักใคร่และเชิญชวนอย่างไม่รู้ตัว และภาษากายเหล่านั้นก็ทำให้ความอบอุ่นอ่อนหวานกลายเป็นความเร่าร้อนขึ้นในทันทีทุกตารางนิ้วบนเรือนกายเปลือยเปล่าของเอมมาลินถูกจูบถูกสัมผัสจนเธอพรั่งพร้อม เขาก็เป็นฝ่ายพลิกตัวลงนอนหงายกับที่นอน แล้วจับร่างบางขึ้นไปอยู่เหนือร่างใหญ่ เอมมาลินเขินอายไม่น้อยเมื่อรู้ความต้องการของสามี แต่เธอก็ทำหน้าที่ของตัวเอง ด้วยการค่อยๆ นำพาเขาและเธอให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันเอมมาลินขยับกายบดสะโพกเป็นจังหวะช้าเร็ว ตามแต่ธรรมชาติและความเร่าร้อนวาบหวามจะนำทาง ทว่ากลับทำให้คนที่ทำตัวเป็นเบี้ยล่างชั่วคราวพอใจและเปล่งเสียงครางออกมาอย่างสุขสม และความสุขสมเหล่านั้นมันก็คือรางวัลที่ดีงามที่สุดสำหรับเธอความอุ่นซ่านแล่นลึกเข้ามาสู่ท้องน้อยและหัวใจ ในช่วงสุดท้ายของท่วงทำนองคลองรัก เอมมาลินรู้ดีว่ามันคือต
“ไม่หรอกครับ สำหรับบางอย่างหรือบางเรื่อง การเว้นช่องว่างและปล่อยให้เป็นเส้นขนานคือทางที่ดีที่สุดแล้ว พี่ว่าภัสเองก็คงเข้าใจเหมือนกัน” “เหมือนครั้งหนึ่งที่เอมเคยคิดว่า เรื่องระหว่างเอมกับพี่อิสร์มันคงเป็นเส้นขนานไปแล้ว” “ยกเว้นเรื่องของเราที่รัก พี่รักเอมมากเกินกว่าจะปล่อยให้เรื่องระหว่างเราสองคนกลายเป็นเส้นขนาน” “ขอบคุณที่พี่อิสร์ยกโทษให้เอม และขอบคุณที่กลับเข้ามาในชีวิตของเอม” “ขอบคุณเอมเหมือนกันที่ยอมยกโทษให้พี่ และยอมให้โอกาสพี่ได้ดูแลเอม” ตาสองคู่สบประสานกันอย่างลึกซึ้ง ถ่ายทอดความรักความเข้าใจให้กันและกันผ่านทางหน้าต่างของหัวใจ ก่อนที่เอมมาลินจะเป็นฝ่ายชวนสามีไปไหว้พ่อกับแม่อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก “ไปไหว้พ่อกับแม่ของเรากันเถอะค่ะ” “พี่จะขออโหสิกับพ่อของเอมและแนะนำตัวกับท่านว่าตอนนี้พี่เป็นลูกเขยท่านแล้ว เอมเองก็อย่าลืมบอกแม่พี่นะว่าเอมเป็นลูกสะใภ้ท่านแล้ว” ใบหน้าสวยหวานแดงระเรื่อ หัวใจพองคับอกและเต็มไปด้วยความอุ่นซ่าน มือใหญ่จูงมือเล็กไปยังหน้าสถูปของผู้เป็นบิดา ก่อนจะเดินไปยังสถูปของแม่ของเขา บอกกล่าวทุกอย่างให้ท่า







