อวี่เหวินห่าวตรงไปหาอ๋องซุนในทันทีอ๋องซุนที่ได้ยินว่าจวนอ๋องฉีไฟไหม้ และไฟกำลังลุกโชนแรงมาก ก็ไม่ได้สนใจงานเลี้ยงวันเกิดอะไรนี้อีก เขาออกไปที่ลาน รีบสั่งรวมสุภาพบุรุษทุกคนไปกับเขาไปช่วยดับไฟหยวนหยงอี้ที่ได้ยินว่าจวนอ๋องฉีไฟไหม้ก็ไม่รอให้อ๋องซุนพูดจบ นางก็ได้รีบออกไปก่อนแล้วจวนอ๋องฉีไฟไหม้ จวนอ๋องซุนก็เกิดความวุ่นวายไปก่อนแล้วรอบหนึ่งบรรดาชินอ๋อง ราชบุตรเขย ขุนนาง และสุภาพบุรุษต่างรีบออกไปช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถบรรดาพระญาติที่เหลือส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงต่างก็เป็นกังวล โดยเฉพาะบรรดาองค์หญิงหลายพระองค์นั่งแทบไม่ติดที่นั่งแล้ว ต่างก็อยากจะเข้าไปดูด้วยพระชายาซุนจึงเกลี้ยกล่อมให้ทุกคนอยู่ที่นี่ และกลับเข้าไปนั่งในจวนก่อนนางเข้าไปในห้องโถงด้านใน เมื่อเห็นว่าฉู่หมิงชุ่ยไม่ได้ไปไหน นางยังคงอยู่ที่นี่ ช่างน่าแปลกใจนักฉู่หมิงชุ่ยยืนอยู่ข้างกระถางธูปหอมทองแดงสามขานั้น และพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าไม่กลับไปขัดขวางพวกเขาหรอก”พระชายาซุนคิดว่า ถึงอย่างไรนางเองก็เป็นคนที่อยากหย่า ไม่กลับไปก็เป็นเรื่องปกติ หรือว่านางยังจะเหลือความห่วงใยให้เจ้าเจ็ดบ้างไหม?นางเรียกให้ทุกคนเข้าห้องโถงด้า
ทุกคนในห้องโถงต่างรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน พระชายาซุนรีบเข้าไปหาอาซื่อ และพูดขอให้นางช่วย “อาซื่อ เจ้ารู้วรยุทธ์ รีบตามนางไปเถอะ ห้ามอย่าให้นางวางเพลิงขึ้นมาจริง ๆ เลย”อาซื่อที่อยู่ที่นี่มองไปทางหยวนชิงหลิง แต่ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นเกิดวางเพลิงขึ้นมาจริง ต่อให้นางอยู่เคียงข้างคอยอารักขาก็เสี่ยงเกินไป ดังนั้นนางจึงตอบตกลงและออกไปทหารที่อารักขาในจวนอ๋องซุนก็เหลือไม่มากนัก ตอนนี้แต่ละนายออกไปช่วยดับเพลิง คนรับใช้คนอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ในจวนต่างไม่รู้วรยุทธ์ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริง พระญาติผู้หญิงทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ หัวใจของหยวนชิงหลิงเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ นางลุกขึ้นและรีบเดินไปหาอาซื่อ แล้วพูดกับนางว่า “เร็วเข้า รีบบอกให้คนปิดประตูเร็ว”อาซื่อเห็นแววตาของนางที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ก็รีบวิ่งออกไปปิดประตูทันทีพระชายาซุนก็รีบลุกขึ้นมาถามด้วยความกังวล “เกิดอะไรขึ้น?”“มีคนจำนวนมากกำลังวิ่งมาหาเราที่นี่” หยวนชิงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง หูนางไวมากเลยได้ยินเสียงฝีเท้าคนจำนวนมากองค์หญิงและพระญาติหญิงต่างตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน “อะไรนะ?”พระชายาซุนรีบเกลี้ยกล่อ
อาซื่อยืนอยู่หลังข้างจับตามองนางไว้ ไม่พูดอะไรทั้งนั้นฉู่หมิงชุ่ยยิ้มและกล่าวว่า “อาซื่อ เจ้ากลัวอะไร? กลัวข้าวางเพลิงขึ้นมาจริง ๆ รึ?”อาซื่อพูดอย่างเรียบเฉย “เจ้าวางไม่ได้หรอก”“เช่นนั้นเจ้าอยู่ตรงนี้ทำไมรึ?” ฉู่หมิงชุ่ยหันไปมองนาง และยิ้มออกมาอย่างสดใส แต่เมื่อเห็นอาซื่อมานางก็ยิ่งบ้าคลั่งขึ้นกว่าเดิมอาซื่อพูดกลับอย่างนิ่งเฉย “ชมวิว ทิวทัศน์ที่นี่ไม่เลวเลย”ตอนนี้ประตูจวนได้ปิดลงแล้ว ในจวนตอนนี้มีแค่ฉู่หมิงชุ่ยเท่านั้นที่นางต้องเฝ้าระวังไว้ฉู่หมิงชุ่ยมองต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาไปแล้วตรงหน้านาง “ใช่ ทุกอย่างเหี่ยวเฉาไปหมด ดียิ่งนัก”นางตบพื้นม้าหินด้านข้างนาง “นั่งลงเถอะ ยืนนาน ๆ จะเมื่อยเอานะ”อาซื่อยืนกอดอกไม่สนใจนางฉู่หมิงชุ่ยยิ้มแบบไม่คิดมากอะไร “อาซื่อ เจ้ารู้ไหมว่า คนเราเวลาสิ้นหวังทำอะไรได้บ้าง?”อาซื่อมองนางอย่างระแวดระวังฉู่หมิงชุ่ยถอนหายใจออกมาเบา ๆ ยกมือขึ้นลูกมวยผมที่จัดทรงมาอย่างดี “คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะเดินมาถึงจุดนี้ได้ ฝันก็ไม่เคยฝันถึงด้วยซ้ำ หนึ่งปีก่อนนั้น ข้ายังเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ผู้ทรงเกียรติ เดิมทีเคยคิดอยากจะแต่งไปเป็นพระชายาฉู่ แม้ว่าภายหลังจะเลือ
ปฏิกิริยาแรกของอาซื่อคือยอมให้นางตายอยู่ที่นี่ไม่ได้ทันทีที่นางเอามีดสั้นจ่อคอ อาซื่อก็พุ่งตรงเข้าไปทันที “เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ อย่ามาทำให้บ้านคนอื่นต้องแปดเปื้อน...นะ!”มีดสั้นนั้นกลับหันปลายไปทางตรงข้ามทันที มีดสั้นนั้นแทงเข้าใส่อาซื่อที่วิ่งเข้ามา อาซื่อที่ตั้งใจจะไปแย่งมีดนั้นจึงถูกแทงเข้าอย่างแรง ทันทีที่โดนแทงนั้น นางก็หยุดอะไรไม่ได้แล้ว ฉู่หมิงชุ่ยก็ออกแรงแทงมีดไปที่ท้องของอาซื่อให้แรงกว่าเดิม หลังจากนั้นก็ถอยออกมานางถอยห่างออกไปห้าก้าวมองอาซื่อที่เลือดไหลอยู่ตรงนั้น อาซื่อเอามือกุมท้องที่มีเลือดสด ๆ พุ่งออกมาจากบาดแผล นางมองฉู่หมิงชุ่ยอย่างเคียดแค้น “เจ้า...”ฉู่หมิงชุ่ยฉีกยิ้มอย่างเลือดเย็น “คนเราเวลาสิ้นหวัง ถึงใกล้จะตายแล้ว แต่ก็ยังมีคนข้างหลังอยู่ คนที่รัก คนที่เกลียด คนพวกนี้ต้องตายไปกับเจ้าด้วย จะได้ไม่เหงา”นางหันออกไปทางประตูอย่างเด็ดเดี่ยว และเปิดประตูออกนางยิ้มอย่างอมหิต “เข้ามาได้”มีพวกที่แต่งตัวเหมือนกุลีคนใช้แรงงานเข้ามา ล้วนเหน็บอาวุธไว้ที่เอวและรีบวิ่งเข้ามาหยวนชิงหลิงที่นั่งรอให้ห้องโถง นางได้ยินเสียงฝีเท้าค่อย ๆ ห่างออกไป นางคิดในใจว่าตัวเองคงเข้าใจ
หยวนชิงหลิงเดินไปตรงหน้าฉู่หมิงชุ่ย และพูดอย่างใจเย็น “เป้าหมายของเจ้าคือข้า จะทำอะไรให้มันยุ่งยากกัน? เจ้าอยากจะฆ่าข้าที่นี่ เช่นนั้น ข้าจะไปกับเจ้าเอง”นางคาดว่าฉู่หมิงชุ่ยยังไม่ฆ่านางทันที มิฉะนั้นมีโอกาสลงมือแล้วจะทำเรื่องให้มันวุ่นวายไปทำไม?ฉู่หมิงชุ่ยไม่มีทางให้นางตายง่าย ๆ แน่แววตาของฉู่หมิงชุ่ยเป็นประกายเล็กน้อย และยิ้มอย่างอบอุ่น “พระชายาฉู่ เจ้าพูดเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน? พวกเขาปล้น ฆ่า ลักทรัพย์ ข้าไม่ได้เป็นคนสั่งพวกเขาทำสักหน่อย แต่ว่าพระชายาฉู่พูดเช่นนั้น เป้าหมายของพวกเขาก็คือเจ้าล่ะก็ เช่นนั้นเจ้าก็ไปกับพวกเขา อย่าให้ผู้บริสุทธิ์คนอื่นต้องเดือดร้อน” “อย่ามาทำเฉไฉ ข้าบอกว่าจะไปกับพวกเจ้า!” หยวนชิงหลิงพูดอย่างเย็นชาฉู่หมิงชุ่ยเดินเข้ามากระซิบข้างหูนาง “พระชายาฉู่ เจ้าก็เป็นคนที่คุ้นเคยกับยาดี ก็น่าจะได้กลิ่นในกระถางธูปนั้น ข้าเป็นคนวางยาเอง ทางนั้นเจ้าก็แค่เดินไป ข้าก็จะมอบยาถอนพิษให้พวกนาง ถ้าไม่ทำตามล่ะก็ พวกนางก็ต้องลงโลงไปพร้อมกับเจ้าซะ”หยวนชิงหลิงโกรธจนไฟโทสะแทบลุกออกจาตา นางหันไปมองในห้องโถงเห็นควันธูปนั้นยังลอยออกมาจากกระถางธูป ในขณะนั้นพระชายาซุนท
หยวนชิงหลิงรู้สึกโล่งใจขึ้นบ้าง นอกจากตัวเองโล่งใจแล้ว ก็ยังรู้สึกโล่งใจแทนคนอื่นด้วยถ้าเป็นเพราะนั่งอยู่ไกล และนางเคยกินยาคลายกังวลนั้น พิษนั่นก็คงไม่ได้ร้ายแรงนัก หมอหลวงคงจะแก้พิษได้แต่หยวนชิงหลิงก็ยังคงให้ความร่วมมือกับฉู่หมิงชุ่ยแต่โดยดี ฉู่หมิงชุ่ยที่เกือบเสียสติไร้เหตุผลแบบนี้ ยั่วยุนางไปก็ไร้ประโยชน์ฉู่หมิงชุ่ยเองคงไม่มีทางยอมให้นางตายสบายแน่ คิดจะหาที่ค่อย ๆ จัดการนาง ดังนั้นถึงได้ใช้ชีวิตคนอื่นเป็นเครื่องต่อรองเช่นนี้ไม่รู้ว่าเป้าหมายของนางคืออะไร ถึงยังไม่ได้ลงมือสักที นางไม่รู้ว่าองค์รักษ์เงามีวรยุทธ์สูงส่งแค่ไหน ดังนั้นจึงไม่เสี่ยงชีวิตตัวเอง และจะดูด้วยว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่เมื่อรถม้ามาถึงท่าเรือ ฉู่หมิงชุ่ยได้ลงมาก่อน และได้ยื่นมือไปหาหยวนชิงหลิงหยวนชิงหลิงจับมือนางแล้วลงมา มีกุลีสองคนเข้ามาจับประกบตัวนางซ้ายขวาที่ท่าเรือมีเรือบรรทุกสินค้าจอดเทียบท่า มีชาวบาอัลวิ่งเข้าไปขนกระสอบ และมีหนึ่งคนชนหยวนชิงหลิง หยวนชิงหลิงยื่นมือไปคว้าอย่างไม่ตั้งใจ แต่กุลีคนนั้นก็ผลักออก และตะโกนด่าไป “ตาเจ้ามันตาสุนัขเรอะ อีกนิดเดียวเมียข้าจะล้มแล้ว”ชาวบาอัลคนนั้นรีบขอโทษ แ
หยวนชิงหลิงยิ้มเย้ยหยันกับสิ่งที่นางพูดออกมา “คนในจวนอ๋องซุนได้ตายด้วยน้ำมือของเจ้าตั้งหลายคนขนาดนี้แล้ว นี่ไม่เป็นการฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจหรอกหรือ?"ฉู่หมิงชุ่ยหัวเราะเหยียดหยาม “มันก็แค่พวกมดปลวกไร้ค่า เจ้าห่วงตัวเองเถอะ”หยวนชิงหลิงมองนาง “เจ้าจะฆ่าข้าอย่างไร?”ฉู่หมิงชุ่ยมองตรงมาที่นาง และยิ้มอย่างมีเลศนัย "อย่ากังวลไปนักเลย ท้องเรือลำนี้แตกแล้ว น้ำจะค่อย ๆ ทะลักเข้ามา เมื่อถึงตอนที่มันจมลงไป ข้ากับเจ้าก็จะตายไปด้วยกัน อาจจะต้องใช้เวลาเล็กน้อย เจ้าก็ค่อย ๆ หวาดกลัวอยู่เช่นนั้นไปอย่างช้า ๆ ถ้าหากตายที่นี่ คงหาศพไม่เจอ และเป็นผีพรายน้ำอยู่ที่นี่ตลอดไป"หยวนชิงหลิงรีบไปหารอยรั่วทันที เมื่อลงไปเจอรอยรั่วที่ท้องเรือขนาดเท่ากำปั้นคน และน้ำกำลังค่อย ๆ ไหลทะลักเข้ามานางลองคำนวนดูแล้วน่าจะใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงเรือถึงจะจมกุลีพวกนั้นคงไม่ยอมตายที่นี่แน่ พวกเขาต้องเตรียมเรือชูชีพไว้ นางจึงลองเดินหาไปจนถึงท้ายเรือ และก็ได้เจอเรือท้องแบนลำหนึ่งพวกเขาคงรอให้เรืออยู่ห่างจากท่าเรือออกไปก่อน แล้วค่อยหนีไป และทิ้งพวกนางไว้ที่นี่นางว่ายน้ำไม่เป็น ถ้าหากนางจะหนี นางก็ต้องลงเรือลำนี้แ
หยวนชิงหลิงดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของนาง แค่นี้ก็พอยืนยันสิ่งที่นางคาดเดาได้แล้วฉู่หมิงชุ่ยกลัวตาย มิฉะนั้นเมื่อตอนที่นางอยู่ที่จวนอ๋องซุน นางคงจะไม่แสร้งทำเป็นถูกจับเป็นตัวประกันหรอกคน ๆ นี้เสแสร้งตอแหลมาทั้งชีวิต มาถึงขั้นนี้แล้ว นางก็ยังไม่ยอมถอดหน้ากากเพื่อยอมรับความจริง และเผชิญหน้ากับตัวเองว่าเป็นคนเช่นไรไม่ได้ฉู่หมิงชุ่ยมองตาขวางใส่นาง "แล้วอย่างไร? ข้าตายหรือไม่ เจ้าก็ไม่เห็นเหมือนกัน"หยวนชิงหลิงฉีกยิ้มชั่วร้าย และขยับเข้าไปใกล้นาง "เช่นนั้นแล้ว ข้าจะบอกว่าเจ้าต้องตายก่อนข้า ข้าจะได้สบายใจได้"“น่าเสียดาย เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก” ฉู่หมิงชุ่ยเอ่ยอย่างเย็นชา“นั่นก็ไม่แน่สักหน่อย..." หยวนชิงหลิงยังไม่ทันจะพูดจบ นางก็หยิบมีดผ่าตัดออกมาปาดเข้าที่ข้อมือของฉู่หมิงชุ่ยนางเข้าใกล้ฉู่หมิงชุ่ย และนางก็ลงมือได้แม่นยำมาก มีดเล่มนั้นกรีดตัดตรงเส้นเลือดแดงที่ข้อมือของนาง เลือดสด ๆ ก็พุ่งทะลักออกมาฉู่หมิงชุ่ยไม่คิดจะตายอยู่แล้ว นางจึงต้องกลับไปที่ฝั่งเพื่อขอความช่วยเหลือ ดังนั้นนางจึงต้องบีบบังคับให้พวกเขาเอาเรือชูชีพลงมาก่อนเวลาฉู่หมิงชุ่ยทั้งโกรธและตกใจมาก นางจับข้อมือของน