เสียงข้อความเข้าดังขึ้นทำให้คนที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วนั่งรอเพื่อนๆ หยิบมือถือของตนขึ้นมาเปิดดู เห็นเป็นข้อความจากพี่ชาย
“น้องก้อยมายังไง ให้พี่ไปส่งไหม”
กัญญานันเห็นกิตติกรแล้วตั้งแต่ตอนที่แสดงอยู่บนเวทีจึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะถาม หญิงสาวจึงโทรกลับไป
“ว่าไงครับน้องก้อย”
“พวกเรามารถสองกันน่ะค่ะพี่กลาง”
“อ๋อ โอเค งั้นพี่กลับก่อนเลยนะครับ”
“ค่ะ ว่าแต่พี่กลางมาที่นี่ได้ยังไงคะ”
“ว่าจะทำตลาดเครื่องประดับไทยประยุกต์น่ะ ก็เลยมาหาไอเดีย”
“แบบนี้นี่เอง ร้านเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็ดีนะ เราเป็นแบนด์ที่คนรู้จักอยู่แล้ว เปิดสาขาเพิ่มคนก็สนใจ ถึงไม่ใช่ว่าคนที่เข้ามาทุกคนจะซื้อ แต่พี่ว่าพอไหว แล้วก็อยากเพิ่มสไตล์พื้นเมืองหรือไทยๆ เข้าไปด้วย น่าจะถูกใจคนที่นี่”
“ค่ะ คนสมัยนี้เน้นความเป็นไทย ความเป็นพื้นเมือง ถ้าเขารู้สึกว่าซื้อแล้วจะได้ใช้เขาก็จะซื้อ”
ระหว่างที่คุยกันพิมพ์ปรางที่เพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จเดินเข้ามาพร้อมกับถามด้วยสายตาว่าใคร กัญญานันจึงตอบแบบไม่มีเสียง
“พี่กลาง”
พิมพ์ปรางชะงักไปเพียงนิดเดียวเพื่อนสาวจึงไม่ทันสังเกต ก่อนจะเดินไปนั่งอีกมุมหน้ากระจกเช็ดเครื่องสำอาง
“วันศุกร์เดี๋ยวพี่ไปหานะ ว่าจะไปพักผ่อนบนภูสักหน่อย จะได้รับน้องก้อยกลับบ้านด้วย ไอ้มินทร์บ่นจะแย่แล้วว่าแทบไม่เห็นหน้าเมียเลย”
“เขาก็พูดไปอย่างนั้นเองค่ะ เพิ่งลงมาหาก้อยเมื่อสองวันที่แล้ว”
“เฮ้อ...เรานี่ไม่เข้าใจผู้ชายเลยจริงๆ”
น้องสาวฟังแล้วไม่ได้ตอบโต้อะไร ชายหนุ่มจึงไม่ได้ต่อความยาว
“งั้นแค่นี้ก่อนนะน้องก้อย”
“ค่ะ สวัสดีค่ะพี่กลาง”
กัญญานันวางสายไปแล้วก็เอ่ยขึ้นแม้เพื่อนจะไม่ได้ถาม
“พี่กลางโทรมาถามว่าจะให้ไปส่งไหมน่ะ”
พิมพ์ปรางเพียงแค่เหลือบตามองอีกฝ่ายก็พูดต่อ
“แต่ก้อยบอกไปแล้วล่ะว่ามารถสอง”
“จ้ะ”
หลังจากพิมพ์ปรางตอบรับ ประตูก็เปิดเข้ามาโดยมาธาวี งานนี้เธอไม่ได้ร่วมแสดงด้วย แต่ทำหน้าที่ประสานงานกับทางผู้จัดงานในฐานะตัวแทนของโรงเรียน เพื่อความไม่วุ่นวายหญิงสาวจึงเลือกทำแค่หน้าที่เดียว
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหมสาวๆ”
“จ้ะ แล้วสองล่ะมีอะไรอีกไหม”
กัญญานันถามกลับ
“ไม่แล้วล่ะ งานเสร็จ ทุกคนแฮปปี้ก็จบแล้ว แต่ว่าต้องถามพี่หนึ่งก่อนว่าจะเอายังไง เพราะเขายุ่งกว่าเรา”
มาธาวีหมายถึงมาลินีพี่สาวของตนที่เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ดูแลการจัดงานครั้งนี้
“สองก็เลยมาดูว่าก้อยกับปรางเสร็จหรือยัง จะได้โทรไปบอกพี่หนึ่งว่าพวกเราพร้อมแล้ว”
พร้อมกับพูดหญิงสาวก็กดเบอร์โทรออก รอสายไม่นานอีกฝ่ายก็รับ
“ว่าไงคะคุณพี่สาว สองกับเพื่อนเรียบร้อยแล้วนะ กำลังจะกลับแล้ว”
“พูดแบบนั้นได้ยังไง”
กัญญานันบ่นเพื่อนแบบไม่มีเสียงอีกครั้งแต่มาธาวียักไหล่
“ย่ะ กลับกันไปเลย ฉันกลับของฉันเองได้”
ปลายสายตอบกลับสั้นๆ
“โทรให้รถที่บ้านมารับเหรอ”
“เปล่า แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงไม่มีเธอก็มีคนอยากไปส่งฉันเยอะแยะ”
คนได้ยินเบะปากก่อนจะตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ
“โอเค งั้นสองกับเพื่อนกลับแล้วนะคะ”
“อืม”
พี่สาวเอ่ยสั้นๆ แล้ววางสายไป มาธาวีถอนหายใจเบื่อหน่าย ถึงทั้งคู่จะไม่ได้เกลียดกันแต่ก็เป็นพี่น้องที่ไม่กินเส้นกันเอาเสียเลย ความคิด การใช้ชีวิตคนละขั้วสุดๆ
“พี่หนึ่งไม่กลับกับเราเหรอ”
“ใช่”
“แล้วจะกลับยังไง”
“เขาบอกว่ามีคนอยากไปส่งเขาเยอะแยะ”
“พี่หนึ่งอาจจะประชดก็ได้”
มาธาวียักไหล่ เพราะพี่สาวของเธอบอกมาแบบนั้นจะให้ทำอย่างไรได้ กัญญานันได้แต่ส่ายหน้า แม้มาลินีจะเอาแต่ใจและค่อนข้างจุกจิกแต่ก็หวังดีกับเพื่อนของเธอจริงๆ แต่น้องสาวไม่เคยสนใจและเชื่อในสิ่งที่พี่สาวบอกทั้งคู่จึงเดินกันคนละเส้นทางตลอด
แต่เมื่อเช้ารถของมาลินีมีปัญหากลางทางและต้องรีบมางาน แถมรถของที่บ้านก็ต้องไปส่งพ่อเลี้ยงศรากับแม่เลี้ยงมารตีไปเป็นประธานงานแต่งงานหนึ่ง พวกเธอกำลังเดินทางมางานนี้เช่นเดียวกันและต้องผ่านจุดนั้น มาลินีจึงโทรมาบอกว่าจะติดรถน้องสาวมาด้วย เมื่อมาถึงค่อนข้างช้ามาธาวีก็เลยโดนพี่สาวบ่นตามระเบียบ ทว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้แคร์
“ในเมื่อเขาบอกมาแบบนั้นแล้วเราก็กลับกันเถอะ สองง่วงมากอ่ะ นอนดึกตื่นเช้า แถมวิ่งไปวิ่งมาดูความเรียบร้อยทั้งโชว์ของเราแล้วก็ของเด็กๆ จากโรงเรียนเราอีกสองโชว์มาทั้งวันแล้ว ล้าไปหมด อยากทิ้งตัวนอนจะแย่อยู่แล้ว”
“แล้วจะไม่โทรถามที่บ้านหน่อยเหรอว่าพี่หนึ่งให้รถมารับหรือเปล่า”
“คงงั้นแหละ ไม่งั้นคงไม่มั่นใจขนาดนั้นว่าตัวเองไม่ต้องพึ่งเรา หรือว่าอาจจะมีคนตามจีบเขาอาสาไปส่งจริงๆ ก็ได้ ใครจะไปรู้”
มาธาวีบอกอย่างไม่แยแส กัญญานันได้แต่หันไปสบตากันเองกับพิมพ์ปรางแบบไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพื่อนของเธอคงเห็นว่างานนี้จบแล้วและไม่ได้เลิกดึกจึงไม่ค่อยคิดมากเท่าไร
สามสาวเพื่อนซี้มายังลานจาดรถสถานที่จัดงาน หลังจากเก็บของและเข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยมาธาวีก็เอ่ยขึ้น
“ไปกินอะไรกันก่อนดีกว่าเนอะ เหนื่อยขนาดนี้กลับไปถึงบ้านแล้วก็อาบน้ำนอนเลย”
พูดแล้วหญิงสาวก็สตาร์ทรถเพื่อขับออกจากลานจอดรถ
“อื้ม ดีเหมือนกัน”
กัญญานันตอบรับ พิมพ์ปรางเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
“งั้นดูร้านแถวๆ นี้แล้วกันนะ”
มาธาวีตัดสินใจ แล้ววนรถเพื่อไปด้านหน้าทางออก ขณะที่กำลังมุ่งมั่นกับการขับรถเสียงของกัญญานันก็ดังขึ้น
“นั่นพี่กลางนี่”
รถของพวกเธอกำลังผ่านด้านหน้า แล้วเห็นว่ากิตติกรเดินออกมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง
“พี่หนึ่งนี่นาสอง”
กัญญานันพูดขึ้นอีกครั้งทำให้มาธาวีชะลอรถแล้วเหลือบมองแต่ก็ไม่ได้หยุดเสียทีเดียว
“งั้นที่เขาบอกว่ามีคนไปส่งก็คือพี่ของก้อยเองเหรอ”
เมื่อรถผ่านมาแล้วก็มองทางกระจกหลัง เห็นว่าสองคนคุยกันยิ้มแย้มพี่สาวไม่สังเกตเห็นรถของเธอด้วยซ้ำ
“อะไรกัน สองคนนั้นไปคลิกกันตอนไหนเนี่ย”
คนขับบ่นเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก ขณะที่กัญญานันที่นั่งด้านหน้าด้วยขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ มีเพียงพิมพ์ปรางที่นั่งเฉยไม่หันไปมองสองหนุ่มสาวเพราะเห็นว่ามันไม่เกี่ยวกับเธอ
======
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องของสองคนนั้นอีกเพราะสามสาวไม่ใช่พวกช่างเมาท์และมาธาวีไม่สนใจเรื่องของพี่สาวมากนัก กัญญานันเองก็รู้ดีว่ากิตติกรเป็นคนมีอัชฌาศัยดีกับผู้หญิงสวยๆ อยู่แล้วสามสาวตัดสินใจเลือกร้านที่การตกแต่งดูน่ารักร้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลสถานที่จัดงานนักเพื่อสั่งอาหารง่ายๆ มาทาน ระหว่างที่กำลังรอของที่สั่งอยู่นั้นสองหนุ่มสาวคู่เดิมก็เดินเข้ามาในร้าน คนที่เห็นก่อนก็คือพิมพ์ปรางแต่เธอแค่มีสีหน้าคาดไม่ถึง ไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองนิ่ง มาธาวีจึงมองตามแล้วก็เห็นว่าพี่สาวของตนกับพี่ชายของเพื่อนก็มาร้านเดียวกัน หญิงสาวรีบหันไปเขย่าแขนกัญญานันให้ดูด้วยกัน แม้จะหันมองทั้งสามคนแต่ไม่มีใครยกมือเรียกพวกเขาเพราะต่างก็คิดว่าสองคนนั้นต้องการความเป็นส่วนตัว แต่คนที่เข้ามาทีหลังกลับมองมาทางพวกเธอเสียก่อน แล้วกิตติกรก็เดินนำมาลินีเข้ามาหา“พี่กลาง”กัญญานันลุกขึ้นตามนิสัยที่เป็นคนมารยาทดี สองสาวจึงลุกตามแล้วยกมือไหว้กิตติกร“สวัสดีค่ะ”มาธาวีเอ่ยขึ้นเพราะเธอเพิ่งเจอชายหนุ่ม แต่พิมพ์ปรางแค่ยกมือไหว้“มาทานข้าวกันเหรอ”ชายหนุ่มกวาดตามองสามสาวแวบหนึ่งพร้อมกับถาม“ค่ะ อยากกลับไปนอนกันเลยน่ะค่ะ”
หน้าโรงเรียนของสามสาวพิมพ์ปรางเป็นคนพาเด็กนักเรียนที่ตนเองกับมาธาวีสอนลงมาส่งในตอนที่ผู้ปกครองโทรมาแจ้งว่ามารับแล้ว หญิงสาวไหว้อีกฝ่ายและยืนพูดคุยกันอยู่ด้านหน้าตึก ภาพนั้นอยู่ในสายตาของคนที่เพิ่งขับรถมาจอดเลยไปเล็กน้อยเพราะเห็นว่ามีรถขวางอยู่“ได้คุณครูเก่งๆ แบบครูปรางอีกไม่นานลูกพลอยต้องรำเก่งแล้วก็สวยเหมือนคุณครูแน่ๆ ใช่ไหมลูก”หนุ่มใหญ่ที่อยู่ในชุดเรียบร้อยบอกหน้ายิ้มแย้มแล้วหันไปหาลูกสาวอายุประมาณสิบเอ็ดสิบสองขวบที่รีบพยักหน้ารับ“น้องพลอยเก่งอยู่แล้วค่ะ ความจำดี ตัวอ่อน ตั้งวงสวยมากค่ะ”“ใช่ค่ะคุณพ่อ ครูปรางกับครูสองชมตลอดว่าน้องพลอยเก่ง แล้วน้องพลอยก็จะได้ฟ้อนเทียน ต๋ามผาง ปะตี๊ด ส่องฟ้า ฮักษาเมือง ในงานยี่เป็งด้วย คุณพ่อต้องถ่ายวิดีโอเอาไว้นะคะ”“งั้นเหรอลูก เอ...ว่าแต่เมื่อไรจะได้มีโอกาสดูคุณครูแสดงอีกบ้างล่ะครับ ผมยังจำตอนคุณครูเป็นจินตะหราเมื่อเดือนก่อนได้ติดตาอยู่เลย คุณครูสวยมาก”คนเป็นพ่อพูดไปยิ้มหวานไปในขณะที่ลูกสาวเงยหน้ามองอย่างไม่คิดอะไร ส่วนพิมพ์ปรางกระอักกระอ่วน“ครูจะฟ้อนเทียนกับพลอยด้วยค่ะ”“จริงเหรอลูก”การพูดคุยระหว่างคนสามคนนั้น ชายหนุ่มร่างสูงสมาร์ทที่ลงมายืน
แม้จะแปลกใจแต่กิตติกรก็เอ่ยทักหญิงสาวอย่างเป็นธรรมชาติ อีกฝ่ายยิ้มกว้างเดินมายืนตรงหน้าเขาทันที“ค่ะ พอดีว่าคุณแม่ฝากของมาให้สองน่ะค่ะ ก็เลยแวะเอามาให้ก่อนกลับบ้าน”กิตติกรมองใบหน้าสวยราวกับสนใจในขณะที่สมองพยายามนึกว่าเขาไม่เห็นรถคนอื่นหน้าโรงเรียนนอกจากรถของผู้ปกครองที่ยืนคุยกับพิมพ์ปรางจึงไม่คิดว่ามีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย“เราไปกันเลยไหมคะ หนึ่งหิวแล้ว”สาวสวยเอ่ยชวนอย่างร่าเริงไม่ได้ขัดเขินที่จะแสดงออกว่าตนเองพอใจชายหนุ่มตรงหน้ามากแค่ไหน จนแม้แต่คนเป็นน้องสาวเองยังแอบส่ายหน้าเบาๆ“อ้อ ครับ”ชายหนุ่มยิ้มรับก่อนจะเหลือบมองไปด้านหลังมาลินี“เชิญเลยครับสาวๆ”“ค่ะ”มาธาวีตอบรับแล้วหันไปพยักหน้าให้เพื่อนหลังเคานเตอร์“ไปเร็วปราง นานๆ ทีจะมีคนเลี้ยงข้าวเราสักที”คนถูกชวนเดินออกมาจากเคานเตอร์โดยไม่มีท่าทางอิดออดแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการดีใจใดๆ“คุณกลางไปกับพี่หนึ่งนะคะ เดี๋ยวสองกับปรางจะไปรถอีกคัน”“ไปด้วยกันก็ได้นี่ครับ”กิตติกรบอกพร้อมมองหน้ามาธาวีคล้ายตั้งคำถามอีกฝ่ายจึงยิ้มกว้าง แต่น้องสาวยังไม่ทันพูดพี่สาวก็เอ่ยขึ้นมาแทน“พอดีว่ารถหนึ่งรวนอีกแล้วน่ะค่ะ ที่มานี่ก็ให้เพื่อนมาส่ง กำลังจะโทรให้ร
“อ้าวน้องพลอย คุณพ่อ สวัสดีค่ะ”มาธาวีเป็นคนทักขึ้นก่อน“สวัสดีค่ะคุณครู”น้องพลอยยกมือไหว้ทั้งสามสาว ก่อนจะไหว้ทุกคนที่เหลือด้วยแม้จะไม่รู้จักก็ตาม“เป็นไงคะน้องพลอย เพื่อนๆ คนอื่นล่ะคะ”กัญญานันเอ่ยถามขึ้น“เพื่อนแยกย้ายไปกับพ่อแม่แล้วค่ะ แต่พลอยอยากถ่ายรูปกับคุณครูน่ะค่ะ พลอยให้คุณพ่อถ่ายรูปกับวิดีโอตอนที่ครูรำเอาไว้เยอะเลยนะคะ คุณพ่อบอกว่าคุณครูสวยมากๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะครูปราง”น้องพลอยบอกแล้วเข้ามาเกาะแขนคุณครูคนสวยอย่างอ้อนๆ ในบรรดาสามสาวเด็กน้อยชื่นชอบครูปรางที่สุดเด็กๆ ที่เรียนกับสามสาวไม่ได้พูดภาษาคำเมืองกับพวกเธอเพราะเวลาสอนสามสาวไม่ได้พูดคำเมือง แม้ทั้งกัญญานันและพิมพ์ปรางจะรู้สึกว่าเวลาเด็กๆ พูดคำเมืองแล้วดูน่ารักดีก็ตาม“ขอบใจจ้ะ”พิมพ์ปรางยิ้มให้สาวน้อยอย่างเอ็นดูในขณะที่คนเป็นพ่อยิ้มเก็บอาการที่ลูกสาวทำถูกใจเอาไว้ไม่อยู่ และผู้ใหญ่ทุกคนก็มองออก โดยเฉพาะกิตติกรที่ตาวาววับขึ้นมาทันควันจากนั้นคุณครูทั้งสามก็ถ่ายภาพร่วมกับน้องพลอยจนกระทั่งสาวน้อยพอใจ“แล้วนี่จะไปจุดผางปะตี๊ดหรือแขวนโคมกันไหมครับ”อยู่ๆ พัลลภก็ถามขึ้นมา พิมพ์ปรางไม่คิดอะไรมากจึงตอบไปตามตรง“ก็คิดว่าจะไปอยู่เ
โต๊ะอาหารในร้านพื้นเมืองแทบทุกร้านค่อนข้างแน่น แต่พวกเขาก็สามารถหาร้านว่างได้โดยเดินออกมาไม่ไกลมากนักเพราะตกลงกันว่าจะทานร้านที่ไม่ไกลจากบริเวณงานยี่เป็งมากนักภายในโต๊ะมาธาวีมองลำดับการนั่งอย่างขัดเคือง เพราะกลายเป็นว่าพิมพ์ปรางต้องนั่งตรงกลางระหว่างสองพ่อลูก นั่นเป็นเพราะน้องพลอยดันมาขอนั่งแทนที่เธอแล้วพ่อของสาวน้อยก็เข้ามาเสียบอีกด้านทันที หญิงสาวจำต้องนั่งข้างพี่สาวตัวเองอย่างหงุดหงิดแต่ก็ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจมาธาวีดูออกว่าคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวหนุ่มใหญ่คนนี้คิดอย่างไรพิมพ์ปราง แรกๆ เธอก็ไม่ได้ติดขัดอะไรเพราะอีกฝ่ายก็มีฐานะหน้าตาทางสังคม เป็นถึงข้าราชการระดับซีสูง ทว่าตั้งแต่วันที่หม่อมหลวงกิตติกรอาสาเลี้ยงข้าวมาธาวีได้เห็นปฏิกิริยาชวนสะดุดใจบางอย่างจากชายหนุ่มเขาดูแลพี่สาวเธอตักอาหารให้ตามมารยาท พูดคุยกับเธอแต่ไม่คุยพิมพ์ปราง เธอจำได้ว่าเคยเห็นทั้งสองคนพูดคุยกันบ้างเล็กน้อยบางครั้ง แต่เมื่ออยู่ในกลุ่มคนทั้งสองจะต่างคนต่างอยู่ราวกับไม่รู้จัก ไม่สนิทสนม ทั้งที่ควรจะสนิทเพราะพิมพ์ปรางเคยอยู่ที่บ้านอรรถพันธ์พงศ์มาก่อนกระทั่งเรียนมัธยมปลาย และทุกครั้งที่มีกิตติกรอยู่ด้วยพิมพ์ปราง
ร่างบางถูกลากจนตัวแทบจะปลิวออกไปทางหน้าร้านซึ่งอยู่คนมุมกับที่ทุกคนนั่งอยู่จึงไม่มีใครมองเห็น“คุณกลางปล่อยฉัน”“เงียบไปเลยนะ ถ้าโวยวายเสียงดังฉันจะอุ้มไปจากตรงนี้ให้คนมองเลย”ชายหนุ่มหันกลับมากระซิบบอกเสียงเครียด ทำให้หญิงสาวต้องชะงักคำพูดทุกอย่างลงในทันทีกิตติกรพาหญิงสาวเดินลัดเลาะฝ่าผู้คนมาตามถนนรอบคูเมืองโดยไม่สนใจความสวยของผางประทีบที่จุดไว้บริเวณต่างๆ รวมถึงประตูท่าแพที่พวกเขาต้องเดินผ่านด้วยเนื่องจากจอดรถไม่ห่างจากประตูท่าแพนัก เมื่อมาถึงก็ดันหญิงสาวเข้าไปในรถแล้วสั่ง“ห้ามลงจากรถเด็ดขาด ถ้าไม่เชื่อกัน คงรู้นะว่าจะเจอกับอะไร เพราะยังไงเธอก็หนีฉันไม่พ้น”แน่นอนว่าพิมพ์ปรางกลัวอีกฝ่ายเกินกว่าจะกล้าขยับตัวจากนั้นชายหนุ่มก็ก้าวเร็วๆ ไปอีกฝั่ง เมื่อมาอยู่หลังพวงมาลัยแล้วเขาก็ล็อกรถทันทีก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมากดโทรหาน้องสาว“น้องก้อย เดี๋ยวพี่พาปรางกลับไปที่โรงเรียนนะ เพื่อนเราไม่ค่อยสบายน่ะ”“อะไรนะคะ ปรางไม่สบายเหรอคะ”“ครับ”ตอบรับน้องสาวพร้อมกับมองไปยังคนที่เขาอ้างว่าป่วยแล้วก็เห็นอีกฝ่ายมองเขาอยู่แล้วด้วยสายตาวิตก“น้องก้อยขึ้นภูไปกับไอ้มินทร์ได้เลยนะ ไม่ต้องห่วง เรื่องป
ค่ำนี้บ้านเรือนริมถนนเต็มไปด้วยผางประทีบประดับประดาทว่าไม่มีใครสนใจความงดงามสองข้างทาง ชายหนุ่มขับรถด้วยความเร็วสีหน้าเคร่งเครียดจนคนนั่งมาด้วยกดดันนั่งไม่ติด รู้สึกถึงเหงื่อที่ซึมออกมาตามฝ่ามือ หน้าผาก และลำคอไม่กี่นาทีต่อมารถคันหรูก็มาจอดนิ่งหน้าโรงเรียนของสามสาว ‘นาฏช่างฟ้อน’ เป็นชื่อที่ทั้งสามคนช่วยกันคิด พิมพ์ปรางชอบชื่อนี้มาก เธอคิดว่าลงตัวเข้ากับที่นี่และพวกเธอที่มาจากกรุงเทพฯ ดี ในขณะเดียวกันหญิงสาวก็เป็นคนที่อยู่ที่นี่ตลอดเวลาแตกต่างจากเพื่อนสองคนที่ไปกลับบ้านในวันหยุด แต่โดยรวมแล้วทั้งสามสาวมักอยู่โยงที่โรงเรียนเสียมากกว่า“ฉันลงไปได้หรือยังคะ”“ลงสิ”คนตอบตอบเสียงดุพิมพ์ปรางลงไปจากรถช้าๆ แล้วเดินไปยังหน้าประตูโดยมีอีกฝ่ายตามลงมา เธอเหลือบมองเขาด้วยความไม่สบายใจ ขณะที่กิตติกรพยักพเยิดให้ไขกุญแจหญิงสาวค่อยๆ ยื่นมือถือคืนให้อีกฝ่ายราวกับเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ชายหนุ่มจึงรับไปแล้วใช้สายตาบังคับให้เธอไขกุญแจอีกครั้ง พิมพ์ปรางจึงต้องเปิดประตูอย่างจำใจ และเมื่อเห็นว่าเธอดันเหล็กที่ปิดอยู่ได้ช้า เขาก็เป็นคนจัดการเอง“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น แต่ร่างสูงกว่ายังยืนนิ่งไม
ใบหน้าคมที่แนบลงมาหาพร้อมสัดส่วนแข็งแกร่งเบียดเสียดกับร่างกายเธอทำให้พิมพ์ปรางขนลุกชัน หญิงสาวหลับตาลงเอียงหน้าหลบไม่อยากรับรู้อะไรอีกแม้สัมผัสที่แนบลงมาข้างแก้มแล้วเคลื่อนมาบนริมฝีปากจะไม่ได้รุนแรงทว่าก็หนักหน่วงเอาแต่ใจ ความรู้สึกเดิมๆ วนกลับมาอีกครั้ง กิตติกรมักจะแตะต้องเธอในแบบนี้ เขาไม่เคยทำร้ายร่างกายเธอแต่บีบบังคับเธอด้วยการเรียกร้องให้ตัวเองได้ในสิ่งที่อยากได้เธอไม่เคยเจ็บปวดทางร่างกายเพราะเขา แต่จิตใจแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีกิตติกรผละออกมามองอีกฝ่ายใกล้ๆ ปลายนิ้วโป้งยกขึ้นไล้กลีบปากสีสวยมองนิ่งอยู่อย่างนั้นการกระทำของชายหนุ่มทำให้พิมพ์ปรางต้องลืมตาขึ้นมามอง แล้วก็เห็นว่าตาคมจ้องอยู่ที่ปากเธอ กระแสบางอย่างวิ่งแปลบปลาบไปทั่วทั้งร่างจนหญิงสาวหวาดหวั่น แล้วอยู่ๆ เขาก็เหลือบขึ้นมาทั้งคู่จึงได้สบสายตากันในระยะประชิด ดวงตาคมวูบวาบน่ากลัวก่อนเขาจะเอ่ยขึ้น“เธอ...”เสียงทุ้มเต็มไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ“กล้าให้คนอื่นทำแบบที่ฉันทำจริงๆ เหรอ”“ถ้าเขาไม่บังคับฉันก็ยินดี”ขณะพูดพิมพ์ปรางรู้ว่าแววตากับน้ำเสียงของเธอไม่มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิด แต่เพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอก็ยังเป็นคน
กิตติกรต้องเดินทางในอีกสองวันข้างหน้า ชายหนุ่มต้องเตรียมหลายอย่างทำให้ค่อนข้างยุ่ง ทั้งเรื่องเอกสาร ที่พัก และของบางส่วนที่ส่งไปก่อนจนตอนนี้เรียบร้อยแล้วถึงมีเวลาพักไม่กี่วันก่อนเดินทาง จึงตัดสินใจมาหายายจันทร์เพื่อกราบลา อย่างน้อยท่านก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เมตตาและดูแลเขาอย่างดีรองจากพ่อแม่บ่ายแก่เป็นเวลาที่ยายจันทร์ดูแลเรื่องอาหารว่างเสร็จเมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าเรือนหัวใจก็กระตุก แต่พยายามสงบจิตใจ ทำใจให้เย็นเข้าไว้ คิดเพียงว่าอีกไม่กี่วันคุณกิตติกรก็จะไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแล้ว ไม่ต้องมาคอยระแวงหรือห่วงอะไรเกี่ยวกับหลานสาวอีก เพราะนับตั้งแต่เช้าวันนั้นกว่ายายจันทร์จะหลับก็เลยค่อนคืนไปแล้วทุกที ท่านคอยเงี่ยหูฟังว่าจะมีเสียงอะไรหรือมีใครมากลางดึกหรือไม่ แถมยังตื่นก่อนหลานสาวและไปแนบหูฟังหน้าประตูทุกวัน แต่ทุกอย่างก็เงียบเชียบไม่มีอะไร ยังดีที่ไม่มีเรื่องบัดสีเกิดขึ้นซ้ำ ทว่าคนเป็นยายได้แต่พยายามทำใจและเก็บความทุกข์ใจไว้เพียงลำพัง หาทางออกสำหรับเรื่องนี้ไม่ได้“อ้าว คุณกลาง ใกล้เวลาอาหารว่างนะคะ ทำไมมานั่งอยู่หน้าเรือนยายล่ะคะ”ยายจันทร์ทักไปด้วยสีหน้าฝืนยิ้มให้เป็น
เช้ามืดของวันใหม่ยายจันทร์ออกจากห้องของตัวเองเพื่อไปจัดเตรียมอาหาร ในเรือนครัวมีแม่ครัวกับผู้ช่วยอยู่แล้ว แต่ยายจันทร์คือคนจัดการและออกคำสั่งเป็นเหมือนแม่บ้านใหญ่อีกที เพราะความที่เป็นแม่นมของคุณชายพงศกรและเลี้ยงดูหม่อมหลวงกัญญานันทุกคนบ้านจึงให้เกียรติ แม้แต่คุณรุจีรัตน์ที่แต่งเข้ามาก็ยังเคารพและฟังความคิดเห็นของยายจันทร์หลังดูแลความเรียบร้อยในครัวเรียบร้อยยายจันทร์ก็กลับมาเตรียมตัว เวลานี้ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ขึ้นเรือนมาแล้วก็อดสังสัยไม่ได้เพราะมืดและเงียบผิดปกติ ทุกครั้งหากต้องไปวัดเวลานี้พิมพ์ปรางจะตื่นมาอาบน้ำแล้ว แต่คิดว่าให้นอนต่ออีกหน่อยก็น่าจะได้อยู่ ยายจึงไปเตรียมตัวเพื่อจะอาบน้ำก่อน พอออกจากห้องมาพร้อมเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนก็ต้องรีบถอยกลับเข้าห้องและปิดประตูเพราะเห็นใครคนหนึ่งออกจากห้องของหลานสาวใจยายจันทร์ร่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม ไม่คิดว่าตัวเองจะมองผิดไป เพราะเพิ่งเปิดไฟตรงโถงนั่งเล่นเอาไว้เองทำให้เห็นรูปร่างกับโครงหน้าคนคนนั้นชัดเจน“คุณกลาง”ยายจันทร์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหน้ามืด ต้องรีบนั่งลงเอนหลังพิงประตู มือวางทาบอกใจสั่นไปหมด ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้เข้า หลานสาวตัวเองกับ
คนตรงหน้าไม่พูดอะไรนอกจากจ้องหน้าเธอนิ่ง พิมพ์ปรางเองก็งุนงงว่าเขามาอยู่ตรงนี้ทำไม จึงนึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรเช่นกันชายหนุ่มค่อยๆ ก้าวเข้ามาทำให้พิมพ์ปรางต้องถอยเข้าไปด้านในโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด“เอ่อ...คุณ...กลาง”“ปิดประตู”“คะ?”ความสงสัยระคนมึนงงทำให้พิมพ์ปรางยังยืนนิ่ง ไม่ได้ทำตามที่อีกฝ่ายพูดแต่ถามกลับแทน“คุณมีอะไรจะให้ปรางทำเหรอคะ หรือว่ามาหายาย แต่ยายนอนแล้วนะคะ เพราะพรุ่งนี้ยายต้องไปวัด...”“บอกให้ปิดประตู”กิตติกรไม่ได้เสียงดัง เขาสั่งแบบราบเรียบแต่ก็ทำให้สาวน้อยอดหวาดหวั่นกับท่าทางแปลกๆ ของอีกฝ่ายไม่ได้ หากก็ไม่กล้าขัดจึงก้าวผ่านร่างสูงโปร่งไปยังประตู ปิดแล้วล็อกลงในที่สุด และยังไม่ทันหันหลังกลับก็ถูกรวบจากด้านหลัง พิมพ์ปรางจะกรีดร้องแต่ปากเล็กถูกมือของคนข้างหลังปิดไว้ฉับพลัน“หยุด อย่าเสียงดังนะ”“อื้อๆ”พิมพ์ปรางส่ายหน้าไปมา ร่างเล็กถูกรวบเข้าไปหาร่างสูง เนื้อตัวแตกต่างกันที่ปะทะมาด้านหลังก่อปฏิกิริยาแปลกประหลาดทำให้สาวน้อยถึงกับกลั้นหายใจ ก่อนร่างเล็กจะพยายามดิ้นเพราะแรงรัดจากชายหนุ่มทำให้เธอรู้สึกกลัวกิตติกรกำลังตัดสินใจ เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ตั้งแต่
“เมื่อกี้พี่ต้องขอโทษปรางด้วยนะที่เข้าใจผิดว่าเป็นน้องก้อย”“ไม่เป็นไรคะ”พิมพ์ปรางตอบเสียงเบาแล้วก้มหน้า รู้สึกตัวเองหน้าร้อนผาว แม้จะไม่ได้คิดอะไรแต่เพราะไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเข้าใกล้ขนาดนี้ แม้จะคุ้นเคยกับปัฐวิกรมาตั้งแต่เด็ก ทว่านับตั้งแต่เขาไปเรียนต่างประเทศทั้งคู่ก็แทบจะไม่ได้พูดคุยกันเท่าไรนักแม้ชายหนุ่มจะกลับมาเยี่ยมบ้านปีละสองครั้งก็ตาม ความสนิทสนมเคยชินก็ไม่เท่ากับเมื่อก่อน แถมปัฐวิกรยังตัวโตสูงใหญ่ไหล่กว้างแตกต่างจากหลายปีก่อนมาก“พี่ปัฐมองผิดก็ไม่แปลกหรอกค่ะ เพื่อนๆ ยังทักผิดประจำเลย ก้อยกับปรางเลยถักเปียให้ต่างกันทุกวัน เพื่อนเห็นข้างหลังจะได้เรียกถูกไงคะ”กัญญานันจับผมเปียสองข้างของตนข้างหนึ่งชูให้พี่ชายดู ส่วนพิมพ์ปรางนั้นรวบผมไปถักเอาไว้ด้านหลังทั้งหมดรูปร่างของสองสาวน้อยไม่ต่างกันแม้แต่น้อย ผมเองก็ยาวหนาสลวยเหมือนกัน เมื่อใส่ชุดนักเรียนเหมือนกันแบบนี้ต้องมองจากด้านหน้าจริงๆ ถึงจะแยกออก“อ้าว พี่ปัฐมาดักเจอน้องก้อยก่อนซะแล้ว ผมอุตส่าห์กำชับยายจันทร์ว่ายังไม่ต้องบอก กะว่าจะเซอร์ไพรส์สักหน่อย”ทั้งหมดมองไปตามเสียงแล้วชายหนุ่มที่รูปร่างสูงโปร่งดูบอบบางกว่าปัฐวิกรเล็กน้อยยื
‘นี่มันขืนใจชัดๆ’พิมพ์ปรางบอกตัวเองแต่ไม่กล้าพอที่จะพูดออกไป เขาทำกับเธอขนาดนี้ได้ยังไง ครั้งหนึ่งเธอคิดว่ากิตติกรดูเป็นผู้ใหญ่ ภูมิฐาน มีความคิดและเหตุผลมากกว่าเมื่อก่อน แต่มันไม่ใช่เลย ตอนนี้ชายหนุ่มกลับแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ“บอกมา เธอยอมให้ไอ้หมอนั่นแตะต้องแล้วจริงๆ หรือแค่ประชดฉัน”กิตติกรเอ่ยถามขึ้น ขณะนอนเอามือรองศีรษะมองเพดาน หญิงสาวที่หันหลังให้เขาเงียบกริบไม่ตอบ“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้หลับ ตอบมา”“นี่มันเรื่องส่วนตัวของฉันนะคะ”หลังคำตอบไหล่มนก็ถูกคว้าให้หญิงสาวหันไปเผชิญหน้ากับเขา“ยังกล้าพูดแบบนี้อีกเหรอ”“ทำไมจะพูดไม่ได้คะ”ดวงตาคู่สวยดูกร้าวขึ้นหากก็แฝงไปด้วยความเจ็บปวด ขณะที่ชายหนุ่มมองคนกล้าเถียงเขาอย่างกรุ่นโกรธ“อย่าให้มันแตะต้องอีก ไม่งั้นฉันไม่เอามันไว้แน่”กิตติกรขู่เสียงเข้ม ตาคมดุดัน ก่อนร่างสูงใหญ่จะขยับตัวลุกขึ้น มองหากางเกงตัวเองแล้วหยิบขึ้นมา“ผ้าขนหนูเธออยู่ไหน”เมื่อหญิงสาวเงียบเขาก็หันไปดุ และเห็นว่าเธอไม่มองมาทางเขาที่กำลังโป๊อยู่“ปราง”“ในตู้ขวามือค่ะ”ชายหนุ่มเดินไปยังตู้เสื้อผ้าโดยไม่ได้แคร์เท่าไรนักว่าตนเองกำลังอยู่ในสภาพไหน เป็นหญิงสาวเองที่หลบเลี่ยงจะมอง
“ถ้าเธอไม่ถอดฉันจะทำให้มันขาดให้หมดเลย”พิมพ์ปรางกัดริมฝีปากตนเอง แม้ไม่อยากยอมจำนนแต่ชุดรำที่เธอใส่อยู่เป็นชุดเช่า ถ้าเกิดความเสียหายอย่างน้อยเพื่อนของเธอสองคนก็ต้องสงสัยว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่มือบางสั่นเทาค่อยๆ ปลดกระดุมที่เหลืออย่างจำใจ เชื่องช้าจนสายตาคมที่มองตามรู้สึกลุ้นอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้อยากให้อีกฝ่ายทำเร็วขึ้นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอใจกับการรอคอยอยู่ลึกๆ เมื่อกระดุมถูกปลดออกหมดชายหนุ่มก็ไม่รอช้าแหวกเสื้อออกให้เผยสัดส่วนสล้างต่อสายตาในทันที ถึงจะยังมีเสื้อชั้นในอยู่แต่ความอวบอิ่มชวนมองก็ไม่อาจปกปิดได้ใบหน้าคมลดลงมายังอกคู่สวย พร้อมมือหนาก็ปัดเสื้อหญิงสาวออกจากไหล่มนและแขน แถมยังดันร่างบางขึ้นเพื่อปลดตะขอเสื้อชั้นในของคนตัวเล็กได้อย่างง่าย ปลายจมูกกับปากที่ฝังอยู่บนความอวบอิ่มก็ทำหน้าที่ไล้เลียและเล็มไม่ยอมห่าง เมื่อผ้าลูกไม้ถูกรั้งออกไปปากได้รูปก็ครอบครองยอดอกสีสวยในทันทีเสียงหอบหายใจดังจากร่างบางยิ่งพาให้ชายหนุ่มดูดกลืนอกอวบแรงขึ้น“อืม”กิตติกรครางในลำคออย่างพึงพอใจ รับรู้ว่ามือบางที่ผลักไหล่เขาเริ่มอ่อนแรงเป็นเกาะเกี่ยว มือหนาข้างหนึ่งก็ขยับเคล้นคลึงความนุ่มแน่น
ใบหน้าคมที่แนบลงมาหาพร้อมสัดส่วนแข็งแกร่งเบียดเสียดกับร่างกายเธอทำให้พิมพ์ปรางขนลุกชัน หญิงสาวหลับตาลงเอียงหน้าหลบไม่อยากรับรู้อะไรอีกแม้สัมผัสที่แนบลงมาข้างแก้มแล้วเคลื่อนมาบนริมฝีปากจะไม่ได้รุนแรงทว่าก็หนักหน่วงเอาแต่ใจ ความรู้สึกเดิมๆ วนกลับมาอีกครั้ง กิตติกรมักจะแตะต้องเธอในแบบนี้ เขาไม่เคยทำร้ายร่างกายเธอแต่บีบบังคับเธอด้วยการเรียกร้องให้ตัวเองได้ในสิ่งที่อยากได้เธอไม่เคยเจ็บปวดทางร่างกายเพราะเขา แต่จิตใจแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีกิตติกรผละออกมามองอีกฝ่ายใกล้ๆ ปลายนิ้วโป้งยกขึ้นไล้กลีบปากสีสวยมองนิ่งอยู่อย่างนั้นการกระทำของชายหนุ่มทำให้พิมพ์ปรางต้องลืมตาขึ้นมามอง แล้วก็เห็นว่าตาคมจ้องอยู่ที่ปากเธอ กระแสบางอย่างวิ่งแปลบปลาบไปทั่วทั้งร่างจนหญิงสาวหวาดหวั่น แล้วอยู่ๆ เขาก็เหลือบขึ้นมาทั้งคู่จึงได้สบสายตากันในระยะประชิด ดวงตาคมวูบวาบน่ากลัวก่อนเขาจะเอ่ยขึ้น“เธอ...”เสียงทุ้มเต็มไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ“กล้าให้คนอื่นทำแบบที่ฉันทำจริงๆ เหรอ”“ถ้าเขาไม่บังคับฉันก็ยินดี”ขณะพูดพิมพ์ปรางรู้ว่าแววตากับน้ำเสียงของเธอไม่มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิด แต่เพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอก็ยังเป็นคน
ค่ำนี้บ้านเรือนริมถนนเต็มไปด้วยผางประทีบประดับประดาทว่าไม่มีใครสนใจความงดงามสองข้างทาง ชายหนุ่มขับรถด้วยความเร็วสีหน้าเคร่งเครียดจนคนนั่งมาด้วยกดดันนั่งไม่ติด รู้สึกถึงเหงื่อที่ซึมออกมาตามฝ่ามือ หน้าผาก และลำคอไม่กี่นาทีต่อมารถคันหรูก็มาจอดนิ่งหน้าโรงเรียนของสามสาว ‘นาฏช่างฟ้อน’ เป็นชื่อที่ทั้งสามคนช่วยกันคิด พิมพ์ปรางชอบชื่อนี้มาก เธอคิดว่าลงตัวเข้ากับที่นี่และพวกเธอที่มาจากกรุงเทพฯ ดี ในขณะเดียวกันหญิงสาวก็เป็นคนที่อยู่ที่นี่ตลอดเวลาแตกต่างจากเพื่อนสองคนที่ไปกลับบ้านในวันหยุด แต่โดยรวมแล้วทั้งสามสาวมักอยู่โยงที่โรงเรียนเสียมากกว่า“ฉันลงไปได้หรือยังคะ”“ลงสิ”คนตอบตอบเสียงดุพิมพ์ปรางลงไปจากรถช้าๆ แล้วเดินไปยังหน้าประตูโดยมีอีกฝ่ายตามลงมา เธอเหลือบมองเขาด้วยความไม่สบายใจ ขณะที่กิตติกรพยักพเยิดให้ไขกุญแจหญิงสาวค่อยๆ ยื่นมือถือคืนให้อีกฝ่ายราวกับเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ชายหนุ่มจึงรับไปแล้วใช้สายตาบังคับให้เธอไขกุญแจอีกครั้ง พิมพ์ปรางจึงต้องเปิดประตูอย่างจำใจ และเมื่อเห็นว่าเธอดันเหล็กที่ปิดอยู่ได้ช้า เขาก็เป็นคนจัดการเอง“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น แต่ร่างสูงกว่ายังยืนนิ่งไม
ร่างบางถูกลากจนตัวแทบจะปลิวออกไปทางหน้าร้านซึ่งอยู่คนมุมกับที่ทุกคนนั่งอยู่จึงไม่มีใครมองเห็น“คุณกลางปล่อยฉัน”“เงียบไปเลยนะ ถ้าโวยวายเสียงดังฉันจะอุ้มไปจากตรงนี้ให้คนมองเลย”ชายหนุ่มหันกลับมากระซิบบอกเสียงเครียด ทำให้หญิงสาวต้องชะงักคำพูดทุกอย่างลงในทันทีกิตติกรพาหญิงสาวเดินลัดเลาะฝ่าผู้คนมาตามถนนรอบคูเมืองโดยไม่สนใจความสวยของผางประทีบที่จุดไว้บริเวณต่างๆ รวมถึงประตูท่าแพที่พวกเขาต้องเดินผ่านด้วยเนื่องจากจอดรถไม่ห่างจากประตูท่าแพนัก เมื่อมาถึงก็ดันหญิงสาวเข้าไปในรถแล้วสั่ง“ห้ามลงจากรถเด็ดขาด ถ้าไม่เชื่อกัน คงรู้นะว่าจะเจอกับอะไร เพราะยังไงเธอก็หนีฉันไม่พ้น”แน่นอนว่าพิมพ์ปรางกลัวอีกฝ่ายเกินกว่าจะกล้าขยับตัวจากนั้นชายหนุ่มก็ก้าวเร็วๆ ไปอีกฝั่ง เมื่อมาอยู่หลังพวงมาลัยแล้วเขาก็ล็อกรถทันทีก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมากดโทรหาน้องสาว“น้องก้อย เดี๋ยวพี่พาปรางกลับไปที่โรงเรียนนะ เพื่อนเราไม่ค่อยสบายน่ะ”“อะไรนะคะ ปรางไม่สบายเหรอคะ”“ครับ”ตอบรับน้องสาวพร้อมกับมองไปยังคนที่เขาอ้างว่าป่วยแล้วก็เห็นอีกฝ่ายมองเขาอยู่แล้วด้วยสายตาวิตก“น้องก้อยขึ้นภูไปกับไอ้มินทร์ได้เลยนะ ไม่ต้องห่วง เรื่องป