หิมะยามรุ่งอรุณโปรยบางราวผงแป้งจากฟ้า แสงเช้าวันใหม่สะท้อนเงาบนผิวหิมะเป็นประกายเงินวับ แผ่นดินดูสงบเย็น แต่ในอกข้ายังคงคุกรุ่นด้วยภาพเปลวไฟที่เผาจวนตระกูลหลานไปทั้งจวน
ม่อเฉินหยุดยืนกลางทางดินแคบ ๆ ระหว่างป่าสน เขาหันกลับมา พลิกบางสิ่งออกมาจากถุงเครื่องมือแล้วส่งมาให้ข้า หน้ากากโลหะบางเฉียบ สลักลวดลายดอกท้อเพียงราง ๆ บนกรอบแก้มโลหะ สีเงินซีดสะท้อนแสงเช้าวับวาว
“สวมมันซะ” เสียงเขาเย็นชัด ไม่มีน้ำหนักบังคับ แต่เต็มไปด้วยแรงที่ไม่อาจปฏิเสธ
ข้ามองหน้ากากนั้น เย็นเยียบในมือ หนักไม่มากแต่กลับเหมือนมีพลังบางอย่างกดทับเข้าไปถึงหัวใจ ข้าเงยหน้ามองเขา เขายังคงสวมหน้ากากเงินเต็มใบ เงาสีขาวเงินสะท้อนสายตาข้าเหมือนกำลังทดสอบ
“ทำไมต้องสวม” ข้าถามเสียงแผ่วแต่แน่วแน่
“เพราะตั้งแต่คืนนี้ เจ้าจะไม่ใช่คนของตระกูลหลานอีกต่อไป แต่เป็นเงาในความมืด หากเจ้ายังอยากรอด และอยากให้ศัตรูจดจำชื่อเจ้า เจ้าก็ต้องซ่อนใบหน้าเสียก่อน”
ข้าหลับตาลงเพียงชั่วอึดใจ ก่อนยกหน้ากากขึ้นแนบใบหน้า ความเย็นของโลหะซึมเข้าสู่ผิวจนขนลุกชันทั่วร่าง ราวกับความไร้เดียงสาสุดท้ายถูกดูดกลืนหายไปเมื่อข้าสวมมัน ม่อเฉินมองข้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบา ๆ
“จากนี้ไป เจ้าคือเงา คือผู้ล้างแค้น ไม่ใช่เหยื่อ”
เสียงรองเท้าบูทของเขากระทบพื้นหิมะ ก้าวนำไปยังเส้นทางลึกเข้าสู่หุบเขา
“จงก้าวตามข้ามา เงาไม่ควรหยุดอยู่กับที่ เงาต้องเรียนรู้ที่จะเคลื่อนไหวโดยไม่ทิ้งร่องรอย”
ข้ากำกระบอกไม้ไผ่ที่เก็บปิ่นหยกไว้แน่น แล้วก้าวตามหลังเขาในยามเช้า ลมหายใจลอยเป็นไอขาวเบาบาง แต่ในอกข้า หนักแน่นด้วยเพียงความจริงข้อเดียว ตั้งแต่คืนนี้ ข้าคือเงาใต้หน้ากากเงิน และเส้นทางนี้จะพาข้าไปสู่การล้างแค้นที่ไม่มีวันหวนกลับ
เส้นทางในหุบเขาเต็มไปด้วยโขดหินและรากไม้ยื่นขวาง ทางเดินคดเคี้ยวเหมือนงูเลื้อย ม่อเฉินก้าวนำอย่างมั่นคงราวกับรู้จักทุกก้อนหิน ทุกต้นไม้ในผืนป่านี้ดีเกินไป ข้าสวมหน้ากากเงินบางนั้น ก้าวตามไปทีละก้าว รู้สึกว่าทุกลมหายใจเหมือนถูกบังคับให้เป็นของคนใหม่
ไม่นานนัก เราก็มาถึงเพิงหินที่ลึกเข้าไปในป่า ภายในเพิงมีเพียงเสื่อฟางเก่า เตาไฟดิน และชั้นไม้ซึ่งเรียงตำราเก่า ขวดยา และอาวุธสั้นนานาชนิด มีดสั้น ดาบคู่ เข็มพิษ ขวดแก้วเล็กบรรจุของเหลวสีขุ่น ข้าเพียงก้าวเข้าไปก็รู้แล้ว ที่นี่คือสถานที่ฝึก
“ตั้งแต่วันนี้” ม่อเฉินหันมาพูด ดวงตาหลังหน้ากากจ้องตรงลงมาเหมือนมองลึกเข้าไปในหัวใจ
“เจ้าจะเรียนรู้ทุกสิ่งที่ทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ได้ ไม่ใช่เพื่อตัวเจ้าเองเท่านั้น แต่เพื่อคืนเลือดให้ตระกูลที่ถูกพรากไป”
เขาวางห่อผ้าลงเบื้องหน้าข้า เมื่อเปิดออก ข้าเห็นมีดสั้นปลายคม เงาโลหะวาวสะท้อนแสงไฟในถ้ำ และเข็มเหล็กเรียวเล็กที่เรียงกันเหมือนฟันของงู
“ดาบใช้ฆ่าโดยตรง” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “เข็มใช้ฆ่าโดยไม่ให้ใครรู้ ยาพิษใช้ฆ่าแม้เมื่อเจ้าไม่อยู่ตรงนั้น แต่ทุกสิ่งมีสิ่งเดียวที่ขาดไม่ได้ ใจที่ไม่สั่นคลอน”
เขาโยนมีดสั้นเล่มหนึ่งมา ข้าคว้ามันไว้โดยไม่ทันคิด น้ำหนักมีดตกลงบนฝ่ามือเหมือนหินก้อนเล็ก รอยเย็นซึมเข้าสู่ผิวจนขนลุก ข้ากำด้ามมันแน่น สายตาจ้องปลายคมจนสะท้อนภาพตนเองหลังหน้ากาก
“เจ้ากล้าหรือไม่” ม่อเฉินถาม “ที่จะใช้สิ่งนี้ตัดสินชะตาคน แม้เขาจะร้องเรียกชื่อเจ้า แม้เขาจะยิ้มให้เจ้า หรือแม้เขาจะเป็นคนที่เจ้าเคยไว้ใจ”
คำถามนั้นเหมือนมีดอีกเล่มที่ฟันตรงกลางอก ข้าสะอึก ไม่ใช่เพราะไม่เข้าใจ แต่เพราะเข้าใจเกินไป ภาพมารดาที่หันมายิ้มให้ในหิมะเพ็ญวาบเข้ามาในใจ เสียงบิดาที่เคยพูดว่า “เจ้าจงจำ” ยังไม่เลือนหาย
ข้าสูดลมหายใจลึก ผ่านหน้ากากที่เย็นเฉียบแล้วตอบเบา ๆ แต่ชัดเจน
“ข้าจะทำ หากมันคือหนทางเดียวที่จะทำให้พวกเขาจดจำ คนตระกูลหลานต้องไม่ตายเปล่า”
ม่อเฉินนิ่งไปชั่วครู่ แสงไฟสะท้อนผ่านหน้ากากของเขาเหมือนคลื่นเงินสั่น
“ดี” เขากล่าวในที่สุด ก่อนจะชี้ไปที่หุ่นฟางกลางเพิงหิน “งั้นเริ่มจากตรงนี้ จงปล่อยมือของเจ้าเรียนรู้รสของเลือด แม้มันจะยังเป็นเพียงฟางแห้งก็ตาม”
ข้ากำมีดสั้นแน่น ก้าวไปข้างหน้าสู่หุ่นฟางนั้น หัวใจเต้นแรงจนได้ยินชัดในหู แต่ทุกจังหวะเต้นล้วนเต็มไปด้วยคำสาบานเดียว เลือดที่สาดในคืนเพ็ญ ข้าจะทำให้โลกได้จดจำ มีดสั้นในมือหนักขึ้นทุกขณะ ทั้งที่น้ำหนักจริงของมันเบากว่าก้อนอิฐที่ข้าเคยเล่นตอนเด็ก ทว่าตอนนี้ทุกปลายนิ้วกลับเหมือนถูกพันธนาการด้วยเงาเลือดของคนทั้งตระกูล
ข้าสูดลมหายใจหนึ่ง ยกมีดขึ้นเหนือหัวแล้วฟันลงบนหุ่นฟาง เสียงฉึกดังทึบ มีดปักลึกเข้ากลางอกฟาง เส้นฝุ่นฟุ้งขึ้นในแสงไฟ ข้าหอบหายใจจนอกโยน ราวกับเพิ่งฝ่าศึกใหญ่ในสนามรบ มือยังคงสั่นแต่ไม่ใช่ด้วยความกลัว หากด้วยความโกรธที่สุมอยู่ในอก
ม่อเฉินเดินเข้ามาช้า ๆ เงาของเขาทาบทับร่างข้าที่สวมหน้ากากโลหะบาง เขาเอื้อมมือขึ้นเล็กน้อยแล้ว ฟึบ! ปล่อยเข็มเหล็กจากปลายนิ้วเพียงครั้งเดียว เข็มปักตรงกลางหน้าผากหุ่นฟางอย่างแม่นยำ
“ความแม่นยำจะชี้ชะตา” เขากล่าวเรียบเย็น “แต่สิ่งที่อันตรายกว่านี้คือจิตใจที่ลังเล”
เขายกมือที่ถือมีดของข้าขึ้น ดันปลายคมให้ลึกลงอีก
“อย่าปักเพียงครั้ง จงปักซ้ำ จนแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่มีวันลุกขึ้นได้อีก”
ข้าเม้มปากแน่น ยกมีดขึ้นแล้วแทงลงอีกครั้ง ครั้งนี้แรงกว่าเดิม เสียงเนื้อฟางขาดพรืดสะท้อนในหู ราวกับเสียงเลือดสดกระเซ็นอยู่ในความทรงจำ ความสั่นไหวค่อย ๆ คลายลง ถูกแทนที่ด้วยแรงโกรธที่กลั่นตัวเป็นพลัง เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ม่อเฉินยืนกอดอกมองอยู่ ดวงตาหลังหน้ากากสะท้อนแสงไฟเป็นประกายวาบ เขาไม่เอ่ยชมเชย เพียงโยนผ้าเช็ดมือมาให้
“เจ้าทำได้” เสียงเขานิ่ง “แต่ยังไม่พอ”
เขาหันไปหยิบขวดแก้วเล็กที่บรรจุของเหลวสีใสขึ้นมา เขย่าเบา ๆ ของเหลวเปลี่ยนเป็นสีฟ้าจางทันตา
“นี่คือยาพิษชิงหลัว เพียงหยดเดียวก็ทำให้ร่างแข็งชา”
เขายื่นเข็มเหล็กเล็ก ๆ พร้อมหยดพิษนั้นมาให้ข้า
“จงเรียนรู้ ไม่ใช่เพียงคมมีดเท่านั้นที่ฆ่าคนได้”
ข้ารับมันมาอย่างเงียบงัน มองของเหลวในเข็มที่สะท้อนแสงจันทร์ผ่านปากถ้ำ รู้ดีว่านับจากวินาทีนี้ มือของข้าจะไม่ใช่มือของเด็กหญิงอีกต่อไป แต่เป็นมือของผู้ที่จะต้องใช้ทั้งคมมีดและพิษ สลักแค้นไว้บนร่างของศัตรู
ในอกข้าเงียบสงัด มีเพียงเสียงเดียวที่ดังชัด “จงจำไว้... จงจำไว้...”
ข้านั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหุ่นฟาง มือยังกำเข็มพิษแน่น ความเย็นจากโลหะซึมเข้ามาในฝ่ามือจนเสียวปลายนิ้ว ม่อเฉินก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แล้ววางขวดแก้วบรรจุพิษ ชิงหลัว ลงบนแท่นหินข้างตัวข้า เสียงกระทบหินเบา ๆ แต่กลับหนักหน่วงดังกว่ากลองศึกในความทรงจำ
“อย่าลืมนะ” เขาเอ่ยเสียงราบ “สิ่งที่เจ้าถืออยู่ ไม่ใช่เพียงอาวุธ แต่เป็นคำพิพากษา หากเจ้ามือสั่น คนที่จะตายอาจเป็นตัวเจ้าเอง”
ข้าหันไปสบตาเขาผ่านหน้ากากเงินของเรา ทั้งสองเงาสะท้อนกลับมาเหมือนภาพเงาซ้อน ข้าไม่เห็นสีหน้าเขา แต่รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่บีบรัดลมหายใจ
ข้าแทงเข็มพิษเข้าไปที่หุ่นฟาง เพียงครั้งเดียว คราวนี้ไม่มีความลังเลอีกแล้ว ฟางตรงกลางอกเปียกเล็กน้อย ของเหลวสีใสซึมออกมาก่อนกลายเป็นสีฟ้าอ่อนในแสงไฟ ความรู้สึกที่แล่นเข้าสู่หัวใจคือความเย็นเยียบและความเด็ดขาด
ม่อเฉินพยักหน้า “ดี เจ้ากำลังเรียนรู้”
เขาหยิบผ้าคลุมหนาหนักโยนให้ “พักเสียคืนนี้ พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางไปยังที่ที่เหมาะแก่การฝึกมากกว่า”
ข้ารับผ้าคลุมมากอดรัดตัว แต่สายตายังคงจับจ้องที่หุ่นฟางตรงหน้า บัดนี้เต็มไปด้วยรอยมีดปักซ้ำและคราบพิษที่ซึมลาม เหมือนร่างแทนของศัตรูในอนาคต ในอกข้าไม่มีเสียงร่ำไห้อีก มีเพียงเสียงสาบานที่ดังชัดยิ่งขึ้น เลือดสกุลหลานที่สูญเสียในคืนเดือนเพ็ญ ข้าจะแก้แค้นทำให้โลกนี้จดจำไปจนสิ้นแผ่นดิน
ม่อเฉินดับคบไฟในเพิงหิน ทิ้งความมืดมิดไว้กับข้า ความมืดที่ไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป หากแต่กลายเป็นบ้านหลังใหม่ของเงาที่ชื่อหลานซูเหยา...
ฤดูใบไม้ผลิย่างกรายเข้าสู่หุบเขาเล็ก ๆ ทางทิศใต้ กลีบดอกท้อโปรยปรายไปทั่วราวหิมะสีชมพู ฟ้าสีครามแจ่มชัด ราวกับธรรมชาติชดเชยให้ผู้คนที่เคยผ่านความทุกข์ยากได้ลิ้มรสความสงบสุขที่โหยหามาชั่วชีวิตเรือนเล็กที่ปลูกติดริมลำธาร มีเสียงน้ำใสไหลเอื่อย ๆ ขับกล่อมไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของหญิงสาวที่ก้มหน้าอยู่ตรงแปลงผัก“เหยียนเจิ้ง เจ้ามาช่วยข้าเด็ดผักทีสิ นี่มันจะเย็นแล้วนะ”ซูเหยาใส่เสื้อผ้าธรรมดาสีอ่อน มือเล็ก ๆ ยกตะกร้าไม้ขึ้นอย่างระมัดระวัง ผมยาวถูกเกล้าอย่างเรียบง่าย ไม่มีรัดเกล้า ไม่มีหยกงดงามดังเช่นตอนอยู่ในวัง แต่แววตากลับสดใสกว่าที่เคยเป็นเหยียนเจิ้ง บัดนี้ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอำนาจใด ๆ เดินออกมาจากเรือนด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยากในอดีต มือชายหนุ่มหยิบมีดสั้นเล็ก ๆ มาก้มลงช่วยนางตัดผัก“เจ้าสั่งให้ข้าเด็ดผักเหมือนชาวนาเสียจริง” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า แต่สายตาที่ทอดมองนางกลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู“แล้วเจ้าไม่อยากเป็นชาวนาหรือไร” ซูเหยาหัวเราะเบา ๆ ดวงตาเปล่งประกาย“อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่มีเสียงดาบ ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีเพียงเสียงนกกับน้ำไหล ไม่มีเสียงใดมารบกวน”เหยียนเจิ้งหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อ
ข้า ม่ออี้ หากเจ้าอ่านบันทึกนี้ แปลว่าหิมะได้ปิดรอยเท้าของข้าไปแล้ว เสียงโลหะของหน้ากากยังคงเย็น แต่หัวใจที่อยู่ข้างใต้ได้หยุดไหว คืนแรกที่ข้าได้สวมหน้ากากเงิน อาจารย์ใหญ่ถามข้าสั้นนัก“เจ้าชื่ออะไร”ข้าตอบ “ม่ออี้”“ตั้งแต่นี้ชื่อไม่สำคัญ หน้าที่สำคัญกว่า”เสียงโลหะแตะโหนกแก้ม เย็นจนฟันข้ากระทบกัน แต่ความเย็นนั้นกลับทำให้เลือดสงบ ข้าพูดได้เพียงในใจเท่านั้นข้าเติบโตในสำนักอาญาแบบเด็กที่ไม่มีบ้าน ชื่อม่ออี้เป็นเพียงอักษรเดียวที่แม่ปักลงในผ้าเก่าน้อยชิ้นก่อนทิ้งข้าไว้หน้าประตูโบสถ์ที่ท้ายเมือง อาจารย์เก็บข้าขึ้นมา ปล่อยให้เติบโตในเงาของกฎหมายที่ไม่เคยมองหน้าใครในยามลงดาบข้าจึงรู้จักก่อนว่าความเงียบขูดกระดูกอย่างไร คำสั่งหนักกว่าดาบกี่เท่า และชัยชนะของแผ่นดินมักจะเรียกเก็บค่าจากหัวใจของบุคคลเสมอวันนั้น อาจารย์ยื่นหน้ากากให้ข้า ครึ่งใบที่พรากเสี้ยวหน้าไป เสี้ยวหนึ่งที่เหลือของข้าไม่ใช่ของข้าอีกต่อไปข้าเห็นนางครั้งแรกในลานหิมะของเมืองหลวง หลานซูเหยา เด็กหญิงที่ถือพิณใหญ่เกินแขนเล็ก ๆ ของตนเอง เงยหน้ามองควันจากโรงตีเหล็ก ลมหายใจฟุ้งเป็นไอขาว นางยิ้มให้ชายแก่ที่ขายหมั่นโถวนึ่ง แม้ตัวเองจ
หิมะปลายฤดูตกแน่นจนพื้นหินกลายเป็นผ้าขาว เย็นกระทั่งลมหายใจแปรเป็นควันสีจาง ข้าคือ เหยียนเจิ้ง พระโอรสลำดับที่ห้า เด็กชายผู้คุ้นชินกับความเงียบของตำหนักและกฎเกณฑ์ที่ยาวเท่ากำแพงเมืองคืนนั้น ข้าหลบยามออกจากตำหนักเพียงลำพัง ไม่ใช่เพราะใจกล้า หากเพราะเสียงหนึ่งที่ลอดผ่านช่องกำแพงมา เสียงสะอื้นเล็ก ๆ คล้ายลูกนกตกจากรัง ใต้ศาลาร้างตรงแนวพุ่มสน ข้าเห็นร่างเด็กหญิงตัวน้อยนั่งกอดเข่า เสื้อผ้าเปียกน้ำหิมะจนสั่นงัน ริมฝีปากซีดแต่ดวงตายังสว่าง“เจ้าเป็นใคร” ข้าเอ่ยถาม เสียงต่ำเท่าที่เด็กวัยอย่างข้าจะทำได้นางช้อนตาขึ้น “ข้าชื่อ หลานซูเหยา” เสียงแหบพร่า “ข้าหลงทางมาพร้อมกับคนรับใช้ ระหว่างตามขบวนของท่านพ่อเข้ามาในเมืองหลวง”แซ่หลาน แค่ได้ยินก็ทำให้หัวใจข้ากระตุก บิดาของนางคือแม่ทัพหลานที่ผู้คนเอ่ยถึงด้วยความศรัทธา ข้าถอดผ้าคลุมไหล่คลุมให้นางโดยไม่คิด“ตามข้ามา หากเจ้ายังอยู่ที่นี่ คงจะถูกทหารยามลากไป”นางลังเลเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนยกมือเล็ก ๆ เกาะแขนเสื้อข้าแน่น มือเย็นจัดจนข้ารู้สึกเหมือนถูกหิมะจับปลายนิ้ว เราเดินผ่านช่องระบายน้ำเก่าที่คนงานไม่ค่อยใช้ ข้ารู้จักทางเหล่านี้ดีกว่าตำราเรียน เพราะม
องครักษ์ในวังกับทหารหน่วยเงาปะทะกันกลางหิมะ เสียงเหล็กปะทะเหล็กสั้น คม และไม่ยืดยาวตามนิสัยของผู้ล่าที่มาเพื่อฆ่า ไม่ใช่จับ ซูเหยาชักดาบไร้นามออกมา โลหะเย็นแตะฝ่ามือดังชีพจรของผู้ตาย นางเฉือนเส้นเอ็นมือของศัตรูคนหนึ่ง ลากตัวออกจากเส้นยิง เงาหน้ากากเงินก้าวลงจากระเบียง เขาเคลื่อนตัวดุจเงาดาบ คม รวดเร็ว และไร้เสียง“ถอย ซูเหยา ถอย!” เสียงของม่ออี้ลอดผ่านโลหะ “ศัตรูที่แท้จริงอยู่เหนือหัวเรา!”“เจ้าเรียกทุกคนว่าศัตรูมาตลอด” นางสวนกลับ “คืนนี้ข้าจะเลือกเองว่าใครคือผู้ที่ต้องชดใช้กันแน่ ไม่ต้องให้เจ้ามากำกับ!”ลูกศรหัวดำอีกระลอกสาดลง แนวยิงไขว้รูปซวงเหอของสำนักลับทางเหนือ ไม่ใช่กองทัพหลวง ซูเหยาจับจังหวะได้ในครึ่งใจ มีผู้ที่ต้องการให้เราเชือดกันเอง เพื่อปิดปาก เหยียนเจิ้งสะบัดแขนผลักซูเหยาออกให้พ้นวิถี ขณะม่ออี้กระโจนตวัดดาบเฉียง“ฉัวะ!”ลูกศรถูกปัดแตกกลางอากาศ แต่ดอกหนึ่งเฉือนสีข้างเหยียนเจิ้งไป เลือดไหลแทรกผ้าขาวเป็นดอกท้อแดงเพลิง“เหยียนเจิ้ง!” ซูเหยาตะโกน เงื้อมดาบชิดคอศัตรูตรงหน้า ฟันสั้นเดียวหลุดหิมะม่ออี้เสยดาบรับระลอกใหม่ พลางคำรามผ่านหน้ากาก“ตัวล่อไม่ใช่เจ้า แต่คือข้า เขาต้องการใ
เสียงหิมะโปรยปรายกลางคืนหนาวเหน็บ คล้ายสวรรค์จงใจซ้ำเติมหัวใจที่ปริร้าว หลานซูเหยาในชุดสีขาวบริสุทธิ์เปื้อนเลือด ยืนตัวสั่นกลางลานกว้าง ดวงตาที่เคยทอประกายอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่สั่นสะท้านหัวใจผู้มองเบื้องหน้าคือองค์ชายเหยียนเจิ้ง ผู้ที่นางเคยเฝ้าคิดถึงทุกลมหายใจ เขาก้าวออกมาท่ามกลางม่านหิมะ ใบหน้าเย็นสงบ แต่แววตาแฝงความสั่นไหวที่พยายามเก็บซ่อน“ซูเหยา…”เสียงเขาเรียกขานชื่อนาง แผ่วเบาราวกับกลัวว่า หากดังเกินไป ความฝันนี้จะสลายไปในหิมะ ซูเหยากัดริมฝีปาก เลือดซึมออกมา นางสั่นสะท้านทั้งร่าง น้ำตารินลงพร้อมกับเกล็ดหิมะ“องค์ชาย ท่านจำได้หรือไม่ ว่าครั้งหนึ่ง ข้าเคยรักท่าน” เสียงของนางพร่าแผ่ว แต่ทุกคำคือคมดาบที่ฝังลึกลงกลางใจองค์ชายเหยียนเจิ้งหลับตาแน่น ราวกับถูกแทงกลางอก เขาเอื้อมมือออกมาแต่ถูกซูเหยาปัดออก“แต่วันนี้ ” ซูเหยาก้าวถอย ดวงตาแข็งกร้าว “ท่านคือศัตรูของข้า ไม่เพียงในความจริง หากแม้แต่ในหัวใจก็ใช่!”เลือดในอดีต ความตายของตระกูลหลานทั้งตระกูล ความทรยศซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกสิ่งตะโกนบอกนางว่า ความรักคือพิษร้าย องค์ชายเหยียนเจิ้งกัดฟัน ดวงตาสั่นระริกเต็มไปด้วยความเจ็
สายลมหนาวพัดผ่านท้องพระโรงที่ว่างเปล่า เงาเปลวคบเพลิงสั่นไหวราวจะดับลงทุกขณะ หลังเหตุการณ์ที่เหล่าทหารบุกเข้ามาแล้วถอยไป ความเงียบสงัดกลับปกคลุม ทว่าในอกของหลานซูเหยากลับเต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึง นางยังคงจ้ององค์ชายเหยียนเจิ้งด้วยดวงตาสั่นระริก ไม่รู้ว่าควรเชื่อถ้อยคำของเขาหรือไม่องค์ชายเหยียนเจิ้งเดินเข้าใกล้ช้า ๆ ดวงตาคมปลาบทอประกายที่ต่างไปจากทุกครั้ง“เจ้ารู้หรือไม่อาเหยา ว่าข้ารู้ตัวตนเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าเป็นใคร”ซูเหยาชะงักราวถูกตบกลางใบหน้า “ทะ...ท่านรู้หรือ?”“ใช่” เสียงของเขาแผ่วแต่หนักแน่น“คืนที่เจ้าถูกส่งเข้าวังในนามนางกำนัล ข้ารู้ตั้งแต่นาทีแรกว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ดวงตาคู่นั้น เจ้าคิดหรือว่าข้าจะลืมหรือ?”ความทรงจำเก่า ๆ พุ่งวาบขึ้นมา ราวกับบาดแผลที่ถูกกระชากปิดผ้าพันแผลออก ซูเหยากำหมัดแน่น เลือดแทบจะไหลออกจากฝ่ามือ“หากท่านรู้ เหตุใดจึงไม่เปิดโปงข้าเสียแต่แรก?”องค์ชายเหยียนเจิ้งยิ้มบาง แต่เต็มไปด้วยความขมขื่น“เพราะหากข้าเปิดโปง เจ้าจะตายทันที แต่ถ้าข้าเงียบ อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีลมหายใจอยู่ตรงนี้”เสียงนางสั่นเครือ “แล้วทั้งหมดที่ผ่านมา ท่านเฝ้ามองข้าเงียบ ๆ อย่าง