เสียงระฆังยามเช้าจากกำแพงวังดังสะท้อนก้องไปทั่วนคร ราวกับจะปลุกให้ผู้คนทั้งเมืองตื่นขึ้นพร้อมกัน ประตูหลวงสูงตระหง่านถูกเปิดทีละบาน เสียงบานเหล็กเสียดสีกับหินดังครืดคราดประหนึ่งคำรามของปีศาจ
หญิงสาวในชุดนางกำนัลผ้าฝ้ายสีน้ำหมึกก้าวเดินเข้ามาพร้อมกลุ่มคนรับใช้ใหม่ที่ถูกส่งเข้าสู่วังหลวง นางก้มหน้า เส้นผมยาวถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่ใต้เรือนผมที่ตกลงมาข้างแก้มคือดวงตาคมที่ผ่านความตายและไฟนรกมาแล้ว นางมีชื่อใหม่ว่า “อวี้เหยา” แต่ภายใต้เงาชื่อเดิมของนางคือหลานซูเหยา ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากการฆ่าล้างตระกูลหลานในคืนเดือนเพ็ญครานั้น
ม่อเฉินเป็นผู้จัดการให้ทุกอย่าง เขาส่งนางเข้ามาในวังหลวงในฐานะนางกำนัลฝ่ายดนตรี เพื่อไม่ให้ใครจับพิรุธได้ง่าย นักกำนัลกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ถูกคัดเลือกมาเพื่อปรนนิบัติด้านบรรเลงพิณ ขับร้อง หรือคอยรับใช้ในงานพิธีสำคัญ ทั้งที่จริงแล้วภารกิจที่แท้จริงก็คือ ลอบสังหารขุนนางคนหนึ่ง ชายผู้มีส่วนเกี่ยวพันกับการฆ่าล้างตระกูลหลาน
ข้าก้าวตามฝูงนางกำนัลไปอย่างสงบ แต่หัวใจกลับเต้นแรงยิ่งกว่าตอนจับดาบครั้งแรก ทุกฝีเท้าบนลานศิลาเหมือนตอกย้ำว่า ข้ากำลังเหยียบย่างเข้าไปในรังมังกร วังที่เต็มไปด้วยเล่ห์กล การเมือง และความตายประตูด้านในเปิดออก สายตาหลายคู่หันมาจับจ้อง เหล่าขันทีและนางกำนัลรุ่นพี่เดินตรวจตรา ใครสะดุดตาเพียงนิดเดียวก็อาจถูกกำจัดในวันต่อมา ข้าก้มหน้าลึกลง พยายามกลืนหายใจให้แนบเนียนเหมือนเป็นเพียงหญิงรับใช้คนหนึ่ง แต่แม้จะก้มหน้า ข้าก็สัมผัสได้ถึงสายลมพัดกลิ่นบางอย่างเข้ามา กลิ่นที่แหลมหวาน ราวกับกลิ่นดอกท้อบานกลางหิมะ กลิ่นนี้ข้าเคยจำมันได้ในคืนเดือนเพ็ญที่ทุกสิ่งพังทลาย
หัวใจข้าหยุดเต้นไปชั่วขณะ กลิ่นนี้เกี่ยวพันกับศัตรูของตระกูลหลานอย่างแน่นอน พวกนางกำนัลใหม่ถูกแบ่งตามความสามารถ บ้างถูกส่งไปยังห้องครัว บ้างไปโรงเย็บเสื้อผ้า ส่วนกลุ่มเล็กที่คัดเลือกให้เข้าฝ่ายดนตรีนั้นจะถูกนำไปยังตำหนักเฉพาะ
ข้า อวี้เหยา ก้าวตามแถวเข้ามาในเรือนสอนพิณ กลิ่นไม้หอมและเครื่องดนตรีประณีตเรียงรายสะท้อนแสงอาทิตย์อ่อน ๆ นางกำนัลรุ่นพี่กวาดสายตาไปทั่ว ก่อนพูดเสียงแข็ง
“ในวังนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้าเคยเป็นใครมาก่อน! เมื่อเข้ามาแล้ว เจ้าเป็นเพียงเบี้ยหมาก ถ้าไม่เชื่อฟังก็ไม่มีวันมีชีวิตอยู่ได้”
คำพูดนั้นแทงลึกเหมือนมีด แต่ข้าก็เพียงโค้งศีรษะต่ำลง
เบี้ยหมาก?
ใช่แล้ว ข้าเกิดมาในชาตินี้เพื่อเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของม่อเฉิน หากแต่เบี้ยนี้จะเดินไปข้างหน้าเพื่อสังหารศัตรูให้ได้
คืนนั้นข้านั่งอยู่คนเดียวในห้องพักเล็ก ๆ มือแตะสายพิณที่วางอยู่ตรงหน้า เสียงสะท้อนกังวานราวกับเสียงหัวใจของตระกูลหลานที่ยังไม่มอดดับ ภารกิจแรกของข้าคือ ลอบสังหารขุนนางหลี่กุ้ย ผู้มีตำแหน่งเสนาบดีกรมทหาร คนผู้นี้คือหนึ่งในมือสังหารเงียบที่วางแผนฆ่าล้างตระกูลข้า ม่อเฉินได้สอดแทรกจดหมายเล็ก ๆ ไว้ในกล่องพิณ ข้าเปิดออกอย่างระมัดระวัง
“คืนนี้ จงสังเกตเส้นทางของขุนนางหลี่กุ้ย ข้าจะรอเจ้าที่สวนหยก”
อักษรนั้นเย็นชาไม่ต่างจากเจ้าของ ข้าเงยหน้ามองดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนฟ้า หัวใจเต้นกระหน่ำด้วยความตึงเครียด นี่คือครั้งแรกที่ข้าจะลงมือสังหารในวังหลวงจริง ๆ แต่ท่ามกลางความเงียบสงัด กลิ่นดอกท้ออันคุ้นเคยก็ลอยมาอีกครั้ง คราวนี้เข้มชัดยิ่งกว่าเดิม และพร้อมกันนั้น เสียงก้าวเท้าหนักแน่นดังขึ้นนอกเรือน
ข้าสะดุ้งเฮือก รีบปิดกล่องพิณ ใบหน้าต้องปรับเป็นเรียบเฉยเมื่อบานประตูถูกเลื่อนเปิดออก เงาร่างสูงในชุดหรูหราสีครามก้าวเข้ามา ใบหน้าคมสง่าแต่แฝงความเย็นชา เขาคือองค์ชายเหยียนเจิ้ง พระโอรสลำดับที่ห้า ผู้ที่ได้ชื่อว่าเย็นชาและลึกลับที่สุดในวังหลวงแห่งนี้ และสายตาของเขา จ้องตรงมายังข้า ราวกับรู้จักกันมาเนิ่นนาน
ข้าลุกขึ้นคำนับตามธรรมเนียม “ถวายบังคมเพคะ”
เสียงที่เปล่งออกมาพยายามคงความสงบ แต่ภายในอกกลับสั่นสะท้าน องค์ชายเหยียนเจิ้งเดินเข้ามาช้า ๆ สายตาคมจับจ้องอยู่ที่พิณตรงหน้า ก่อนริมฝีปากหยักจะยกขึ้นเล็กน้อย
“เสียงพิณเมื่อครู่ เป็นเจ้าที่เล่นหรือ”
หัวใจข้าหล่นวูบ ข้าไม่คิดว่าท่วงทำนองที่บรรเลงคลายความคิดถึงครอบครัว จะถูกผู้ใดได้ยินเข้า รีบก้มหน้าตอบเบา ๆ
“เพคะ หม่อมฉันเพียงบรรเลงแก้เหงา หาใช่สิ่งพิเศษอันใด”
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ข้าเกือบเผลอเงยหน้าขึ้น
“เพลงนั้น ข้าคุ้นเคยเหลือเกิน ราวกับเคยได้ยินจากใครบางคนเมื่อหลายปีก่อน”
หัวใจข้าเต้นแรง ความทรงจำราง ๆ ในคืนที่ตระกูลถูกล้อมสังหาร แวบกลับมาในห้วงความคิด ไม่ เขาไม่มีทางจำได้ ข้าพยายามกดเสียงให้เรียบ
“เป็นเพียงเพลงเก่าในยุทธภพ องค์ชายคงได้ยินผ่านหูมาบ้างเท่านั้นเพคะ”
ดวงตาเขายังคงจับจ้องมาที่ข้า คล้ายอยากแหวกม่านความลับในหัวใจออกมา ข้าต้องกัดฟันกลั้นทุกอารมณ์ไม่ให้หลุดไป ทันใดนั้น เสียงนางกำนัลเวรด้านนอกก็ดังขึ้น
“เชิญเสด็จเพคะ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ไปเข้าเฝ้า”
องค์ชายเหยียนเจิ้งเพียงเหลือบตามองประตู จากนั้นกลับมามองข้าอีกครั้ง
“เจ้าชื่ออวี้เหยาใช่หรือไม่ จงจำไว้ว่าในวังนี้ บางสิ่งแม้เจ้าจะซ่อน ก็ไม่อาจหลบสายตาข้าได้”
คำพูดนั้นเหมือนคมดาบเฉือนผ่านอก ข้ายืนก้มศีรษะส่งเสด็จจนร่างสูงจากไป ภายในใจกลับเต็มไปด้วยคลื่นความคิดสับสน เมื่อเงาสุดท้ายขององค์ชายหายลับ ข้าทรุดลงนั่งที่ขอบเตียง ฝ่ามือกำสายพิณแน่นมิใช่เพียงสายพิณที่สั่นสะเทือน แต่คือหัวใจของข้าเองต่างหาก
คืนนี้มิใช่เพียงการลอบสังหารที่รออยู่ แต่ยังมีเงาลึกลับของชายผู้มีดวงตาที่เหมือนจะรู้จักข้า มันกำลังปั่นป่วนชะตากรรมทั้งหมดให้สับสนไม่อาจหยั่งถึง คืนแรกของการกลับสู่วังหลวงไม่อาจเรียกว่าเป็นเพียงการเริ่มต้นภารกิจ หากแต่เป็นการเหยียบลงบนเส้นทางที่ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยคมดาบซ่อนเร้น
ข้ายังคงนั่งนิ่งอยู่ในห้องน้อยแคบ ๆ ดวงตาสะท้อนแสงตะเกียงที่ริบหรี่ พิณตรงหน้าถูกเก็บลงหีบอย่างระมัดระวัง ราวกับเก็บชิ้นส่วนของหัวใจเอาไว้ไม่ให้ใครได้เห็น เสียงกระซิบที่คุ้นเคยดังขึ้นในห้วงความคิด
“เจ้าไม่มีสิทธิ์สับสน จำไว้ว่าเจ้าเข้ามาที่นี่เพื่อฆ่า ไม่ใช่เพื่อรัก”
นั่นเป็นเสียงของม่อเฉินหรือแท้จริงก็คือม่ออี้ พี่ชายในอดีตที่ปกปิดตัวตน ข้ากัดฟันแน่น หยดน้ำใสเอ่อคลอแต่ไม่ยอมให้ไหล
“ใช่ ข้ามาเพื่อฆ่า มาเพื่อแก้แค้น ไม่ใช่เพื่อหวั่นไหวกับสิ่งใด”
ถึงกระนั้น ภาพดวงตาคมลึกขององค์ชายเหยียนเจิ้งที่มองมานั้น กลับแทรกเข้ามาอย่างไม่รู้จักหายไปไหนเลย
ก่อนรุ่งสาง ข้าออกไปช่วยงานในเรือนฝ่ายในตามหน้าที่นางกำนัล มือกำลังตักน้ำจากโอ่งหิน สายลมหนาวพัดผ่าน ทำให้ผิวกายสั่นสะท้าน แต่หัวใจกลับยังไม่สงบจากเหตุการณ์เมื่อคืน เสียงกระซิบจากนางกำนัลอีกคนดังมา
“รู้หรือไม่ องค์ชายเหยียนเจิ้งทรงไม่โปรดปรานผู้ใดเลย แต่เมื่อครู่กลับทอดพระเนตรตรงไปยังเจ้าเนิ่นนาน ข้าไม่เคยเห็นเช่นนั้นมาก่อน”
ข้าชะงักมือนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนฝืนยิ้มบาง ๆ
“เจ้าคงเห็นผิดไปแล้ว ข้าเป็นเพียงนางกำนัลต่ำต้อย ใครจะสนใจได้”
ข้ากล่าวออกไปเช่นนั้น หากแต่ในใจ ข้ากลับกำลังสั่นไหวหนักกว่าเก่า
ในยามนั้นเอง เสียงฆ้องในวังดังขึ้นก้อง สัญญาณเรียกข้าหลวงฝ่ายในไปเตรียมงานถวายเครื่องบรรณาการแด่องค์จักรพรรดิ งานใหญ่ที่จะรวมขุนนางผู้เกี่ยวข้องกับการล้างตระกูลหลานไว้นับไม่ถ้วน ข้ากำฝ่ามือแน่น ก้าวเท้าออกไปอย่างสงบ แต่ลึกในใจกลับราวกับได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นคำ ๆ
“นี่แหละ ก้าวแรกสู่การล้างแค้น”
ฤดูใบไม้ผลิย่างกรายเข้าสู่หุบเขาเล็ก ๆ ทางทิศใต้ กลีบดอกท้อโปรยปรายไปทั่วราวหิมะสีชมพู ฟ้าสีครามแจ่มชัด ราวกับธรรมชาติชดเชยให้ผู้คนที่เคยผ่านความทุกข์ยากได้ลิ้มรสความสงบสุขที่โหยหามาชั่วชีวิตเรือนเล็กที่ปลูกติดริมลำธาร มีเสียงน้ำใสไหลเอื่อย ๆ ขับกล่อมไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของหญิงสาวที่ก้มหน้าอยู่ตรงแปลงผัก“เหยียนเจิ้ง เจ้ามาช่วยข้าเด็ดผักทีสิ นี่มันจะเย็นแล้วนะ”ซูเหยาใส่เสื้อผ้าธรรมดาสีอ่อน มือเล็ก ๆ ยกตะกร้าไม้ขึ้นอย่างระมัดระวัง ผมยาวถูกเกล้าอย่างเรียบง่าย ไม่มีรัดเกล้า ไม่มีหยกงดงามดังเช่นตอนอยู่ในวัง แต่แววตากลับสดใสกว่าที่เคยเป็นเหยียนเจิ้ง บัดนี้ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอำนาจใด ๆ เดินออกมาจากเรือนด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยากในอดีต มือชายหนุ่มหยิบมีดสั้นเล็ก ๆ มาก้มลงช่วยนางตัดผัก“เจ้าสั่งให้ข้าเด็ดผักเหมือนชาวนาเสียจริง” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า แต่สายตาที่ทอดมองนางกลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู“แล้วเจ้าไม่อยากเป็นชาวนาหรือไร” ซูเหยาหัวเราะเบา ๆ ดวงตาเปล่งประกาย“อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่มีเสียงดาบ ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีเพียงเสียงนกกับน้ำไหล ไม่มีเสียงใดมารบกวน”เหยียนเจิ้งหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อ
ข้า ม่ออี้ หากเจ้าอ่านบันทึกนี้ แปลว่าหิมะได้ปิดรอยเท้าของข้าไปแล้ว เสียงโลหะของหน้ากากยังคงเย็น แต่หัวใจที่อยู่ข้างใต้ได้หยุดไหว คืนแรกที่ข้าได้สวมหน้ากากเงิน อาจารย์ใหญ่ถามข้าสั้นนัก“เจ้าชื่ออะไร”ข้าตอบ “ม่ออี้”“ตั้งแต่นี้ชื่อไม่สำคัญ หน้าที่สำคัญกว่า”เสียงโลหะแตะโหนกแก้ม เย็นจนฟันข้ากระทบกัน แต่ความเย็นนั้นกลับทำให้เลือดสงบ ข้าพูดได้เพียงในใจเท่านั้นข้าเติบโตในสำนักอาญาแบบเด็กที่ไม่มีบ้าน ชื่อม่ออี้เป็นเพียงอักษรเดียวที่แม่ปักลงในผ้าเก่าน้อยชิ้นก่อนทิ้งข้าไว้หน้าประตูโบสถ์ที่ท้ายเมือง อาจารย์เก็บข้าขึ้นมา ปล่อยให้เติบโตในเงาของกฎหมายที่ไม่เคยมองหน้าใครในยามลงดาบข้าจึงรู้จักก่อนว่าความเงียบขูดกระดูกอย่างไร คำสั่งหนักกว่าดาบกี่เท่า และชัยชนะของแผ่นดินมักจะเรียกเก็บค่าจากหัวใจของบุคคลเสมอวันนั้น อาจารย์ยื่นหน้ากากให้ข้า ครึ่งใบที่พรากเสี้ยวหน้าไป เสี้ยวหนึ่งที่เหลือของข้าไม่ใช่ของข้าอีกต่อไปข้าเห็นนางครั้งแรกในลานหิมะของเมืองหลวง หลานซูเหยา เด็กหญิงที่ถือพิณใหญ่เกินแขนเล็ก ๆ ของตนเอง เงยหน้ามองควันจากโรงตีเหล็ก ลมหายใจฟุ้งเป็นไอขาว นางยิ้มให้ชายแก่ที่ขายหมั่นโถวนึ่ง แม้ตัวเองจ
หิมะปลายฤดูตกแน่นจนพื้นหินกลายเป็นผ้าขาว เย็นกระทั่งลมหายใจแปรเป็นควันสีจาง ข้าคือ เหยียนเจิ้ง พระโอรสลำดับที่ห้า เด็กชายผู้คุ้นชินกับความเงียบของตำหนักและกฎเกณฑ์ที่ยาวเท่ากำแพงเมืองคืนนั้น ข้าหลบยามออกจากตำหนักเพียงลำพัง ไม่ใช่เพราะใจกล้า หากเพราะเสียงหนึ่งที่ลอดผ่านช่องกำแพงมา เสียงสะอื้นเล็ก ๆ คล้ายลูกนกตกจากรัง ใต้ศาลาร้างตรงแนวพุ่มสน ข้าเห็นร่างเด็กหญิงตัวน้อยนั่งกอดเข่า เสื้อผ้าเปียกน้ำหิมะจนสั่นงัน ริมฝีปากซีดแต่ดวงตายังสว่าง“เจ้าเป็นใคร” ข้าเอ่ยถาม เสียงต่ำเท่าที่เด็กวัยอย่างข้าจะทำได้นางช้อนตาขึ้น “ข้าชื่อ หลานซูเหยา” เสียงแหบพร่า “ข้าหลงทางมาพร้อมกับคนรับใช้ ระหว่างตามขบวนของท่านพ่อเข้ามาในเมืองหลวง”แซ่หลาน แค่ได้ยินก็ทำให้หัวใจข้ากระตุก บิดาของนางคือแม่ทัพหลานที่ผู้คนเอ่ยถึงด้วยความศรัทธา ข้าถอดผ้าคลุมไหล่คลุมให้นางโดยไม่คิด“ตามข้ามา หากเจ้ายังอยู่ที่นี่ คงจะถูกทหารยามลากไป”นางลังเลเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนยกมือเล็ก ๆ เกาะแขนเสื้อข้าแน่น มือเย็นจัดจนข้ารู้สึกเหมือนถูกหิมะจับปลายนิ้ว เราเดินผ่านช่องระบายน้ำเก่าที่คนงานไม่ค่อยใช้ ข้ารู้จักทางเหล่านี้ดีกว่าตำราเรียน เพราะม
องครักษ์ในวังกับทหารหน่วยเงาปะทะกันกลางหิมะ เสียงเหล็กปะทะเหล็กสั้น คม และไม่ยืดยาวตามนิสัยของผู้ล่าที่มาเพื่อฆ่า ไม่ใช่จับ ซูเหยาชักดาบไร้นามออกมา โลหะเย็นแตะฝ่ามือดังชีพจรของผู้ตาย นางเฉือนเส้นเอ็นมือของศัตรูคนหนึ่ง ลากตัวออกจากเส้นยิง เงาหน้ากากเงินก้าวลงจากระเบียง เขาเคลื่อนตัวดุจเงาดาบ คม รวดเร็ว และไร้เสียง“ถอย ซูเหยา ถอย!” เสียงของม่ออี้ลอดผ่านโลหะ “ศัตรูที่แท้จริงอยู่เหนือหัวเรา!”“เจ้าเรียกทุกคนว่าศัตรูมาตลอด” นางสวนกลับ “คืนนี้ข้าจะเลือกเองว่าใครคือผู้ที่ต้องชดใช้กันแน่ ไม่ต้องให้เจ้ามากำกับ!”ลูกศรหัวดำอีกระลอกสาดลง แนวยิงไขว้รูปซวงเหอของสำนักลับทางเหนือ ไม่ใช่กองทัพหลวง ซูเหยาจับจังหวะได้ในครึ่งใจ มีผู้ที่ต้องการให้เราเชือดกันเอง เพื่อปิดปาก เหยียนเจิ้งสะบัดแขนผลักซูเหยาออกให้พ้นวิถี ขณะม่ออี้กระโจนตวัดดาบเฉียง“ฉัวะ!”ลูกศรถูกปัดแตกกลางอากาศ แต่ดอกหนึ่งเฉือนสีข้างเหยียนเจิ้งไป เลือดไหลแทรกผ้าขาวเป็นดอกท้อแดงเพลิง“เหยียนเจิ้ง!” ซูเหยาตะโกน เงื้อมดาบชิดคอศัตรูตรงหน้า ฟันสั้นเดียวหลุดหิมะม่ออี้เสยดาบรับระลอกใหม่ พลางคำรามผ่านหน้ากาก“ตัวล่อไม่ใช่เจ้า แต่คือข้า เขาต้องการใ
เสียงหิมะโปรยปรายกลางคืนหนาวเหน็บ คล้ายสวรรค์จงใจซ้ำเติมหัวใจที่ปริร้าว หลานซูเหยาในชุดสีขาวบริสุทธิ์เปื้อนเลือด ยืนตัวสั่นกลางลานกว้าง ดวงตาที่เคยทอประกายอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่สั่นสะท้านหัวใจผู้มองเบื้องหน้าคือองค์ชายเหยียนเจิ้ง ผู้ที่นางเคยเฝ้าคิดถึงทุกลมหายใจ เขาก้าวออกมาท่ามกลางม่านหิมะ ใบหน้าเย็นสงบ แต่แววตาแฝงความสั่นไหวที่พยายามเก็บซ่อน“ซูเหยา…”เสียงเขาเรียกขานชื่อนาง แผ่วเบาราวกับกลัวว่า หากดังเกินไป ความฝันนี้จะสลายไปในหิมะ ซูเหยากัดริมฝีปาก เลือดซึมออกมา นางสั่นสะท้านทั้งร่าง น้ำตารินลงพร้อมกับเกล็ดหิมะ“องค์ชาย ท่านจำได้หรือไม่ ว่าครั้งหนึ่ง ข้าเคยรักท่าน” เสียงของนางพร่าแผ่ว แต่ทุกคำคือคมดาบที่ฝังลึกลงกลางใจองค์ชายเหยียนเจิ้งหลับตาแน่น ราวกับถูกแทงกลางอก เขาเอื้อมมือออกมาแต่ถูกซูเหยาปัดออก“แต่วันนี้ ” ซูเหยาก้าวถอย ดวงตาแข็งกร้าว “ท่านคือศัตรูของข้า ไม่เพียงในความจริง หากแม้แต่ในหัวใจก็ใช่!”เลือดในอดีต ความตายของตระกูลหลานทั้งตระกูล ความทรยศซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกสิ่งตะโกนบอกนางว่า ความรักคือพิษร้าย องค์ชายเหยียนเจิ้งกัดฟัน ดวงตาสั่นระริกเต็มไปด้วยความเจ็
สายลมหนาวพัดผ่านท้องพระโรงที่ว่างเปล่า เงาเปลวคบเพลิงสั่นไหวราวจะดับลงทุกขณะ หลังเหตุการณ์ที่เหล่าทหารบุกเข้ามาแล้วถอยไป ความเงียบสงัดกลับปกคลุม ทว่าในอกของหลานซูเหยากลับเต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึง นางยังคงจ้ององค์ชายเหยียนเจิ้งด้วยดวงตาสั่นระริก ไม่รู้ว่าควรเชื่อถ้อยคำของเขาหรือไม่องค์ชายเหยียนเจิ้งเดินเข้าใกล้ช้า ๆ ดวงตาคมปลาบทอประกายที่ต่างไปจากทุกครั้ง“เจ้ารู้หรือไม่อาเหยา ว่าข้ารู้ตัวตนเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าเป็นใคร”ซูเหยาชะงักราวถูกตบกลางใบหน้า “ทะ...ท่านรู้หรือ?”“ใช่” เสียงของเขาแผ่วแต่หนักแน่น“คืนที่เจ้าถูกส่งเข้าวังในนามนางกำนัล ข้ารู้ตั้งแต่นาทีแรกว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ดวงตาคู่นั้น เจ้าคิดหรือว่าข้าจะลืมหรือ?”ความทรงจำเก่า ๆ พุ่งวาบขึ้นมา ราวกับบาดแผลที่ถูกกระชากปิดผ้าพันแผลออก ซูเหยากำหมัดแน่น เลือดแทบจะไหลออกจากฝ่ามือ“หากท่านรู้ เหตุใดจึงไม่เปิดโปงข้าเสียแต่แรก?”องค์ชายเหยียนเจิ้งยิ้มบาง แต่เต็มไปด้วยความขมขื่น“เพราะหากข้าเปิดโปง เจ้าจะตายทันที แต่ถ้าข้าเงียบ อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีลมหายใจอยู่ตรงนี้”เสียงนางสั่นเครือ “แล้วทั้งหมดที่ผ่านมา ท่านเฝ้ามองข้าเงียบ ๆ อย่าง