เสียงโลหะกระทบกันดังเคร้ง ๆ สะท้อนก้องทั่วหุบเขาราวกับฟ้าร้องในยามเช้า หิมะที่เกาะตามกิ่งสนสั่นร่วงลงมาเป็นสายขาวพราว ตกกระทบใบหน้าและหน้ากากเงินบางที่ข้าสวมอยู่ เย็นเฉียบจนแสบผิว แต่กลับไม่สามารถดับไฟที่คุกรุ่นอยู่ในใจได้
ม่อเฉินโยนดาบยาวเล่มหนึ่งมาทางข้า ด้ามไม้เรียบไม่มีลวดลาย โลหะที่ยังไม่ขัดจนแวววาวสะท้อนเพียงแสงอาทิตย์บางเบา ดาบเล่มนั้นหนักจนข้าต้องถอยหลังหนึ่งก้าวเมื่อรับมันไว้เต็มสองมือ
“จับให้มั่น” เขากล่าวเสียงเรียบเย็น “ดาบไม่ใช่ของเล่น ดาบคือเส้นแบ่งระหว่างชีวิตกับความตาย หากเจ้ากำไม่แน่น วันหนึ่งมันจะย้อนตัดคอเจ้าเอง”
ข้าก้มมองดาบในมือ ใบมีดยาวกว่าร่างข้าที่บอบบาง ข้ากัดฟันแน่น สูดหายใจลึกแล้วตั้งท่าตามที่เคยเห็นบิดาเคยสอนทหาร แต่ก็รู้ดี ท่านพ่อไม่มีโอกาสสอนข้าด้วยตนเองอีกแล้ว
“ฟันลงมา” ม่อเฉินสั่งสั้น ๆ
ข้ารวบรวมแรงทั้งหมดที่มี เหวี่ยงดาบลงใส่ท่อนซุงที่ตั้งอยู่ตรงหน้า
ฉับ!
คมดาบฝังเพียงครึ่งเดียว ไม่สามารถผ่าซุงนั้นออกเป็นสองส่วนได้ มือของข้าสั่นจนแขนชา ม่อเฉินก้าวเข้ามาใกล้ ดึงดาบออกอย่างง่ายดายแล้ววางกลับในมือข้าใหม่
“ไม่ใช่ใช้แรงอย่างบ้าคลั่ง แต่ต้องใช้ใจที่แน่วแน่และจังหวะที่มั่นคง”
เขาเงยหน้ามองฟ้า หิมะยังคงโปรยเบา ๆ แล้วพูดต่อ “จำไว้นะซูเหยา ดาบคือสิ่งเดียวที่ศัตรูจะเคารพ หากเจ้าปล่อยให้ดาบสั่น ศัตรูจะหัวเราะเยาะ เลือดเนื้อของตระกูลเจ้าจะสูญเปล่า”
หัวใจข้าเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกจากอก ข้ากำดาบแน่นขึ้น สูดลมหายใจลึก แล้วก้าวไปยืนตรงหน้าท่อนซุงอีกครั้ง คราวนี้ข้าหลับตา นึกถึงใบหน้าบิดาและมารดาที่ถูกสังหารในคืนเดือนเพ็ญ ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วฟันเต็มแรง
เสียงฉับดังสะท้อนหุบเขา ท่อนซุงแตกผ่ากลาง เศษไม้ปลิวกระจาย ดาบในมือข้าเสียดผ่านอากาศด้วยน้ำหนักที่มั่นคงจนขาแทบทรุด ม่อเฉินพยักหน้าเพียงน้อย ๆ
“เจ้าเริ่มเข้าใจแล้ว”
ลมหนาวพัดแรง กลีบหิมะปลิวหมุนรอบกาย ข้าจับดาบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ และในใจสาบานอีกครั้ง ดาบนี้จะไม่ใช่เพียงโลหะธรรมดา แต่จะเป็นลมหายใจสุดท้ายของศัตรูทุกคนที่พรากเลือดของตระกูลหลานไป
แสงแดดยามสายส่องลอดยอดสนลงมาเป็นเส้นริ้ว ดาบในมือข้าเปล่งประกายจาง ๆ จากคราบน้ำแข็งที่เกาะตามคม ข้าหอบหายใจจนไอขาวพวยพุ่ง มือน้อย ๆ ที่เคยจับเพียงพู่กันและเข็มปักผ้า ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยแดงจากการกำดาบไม่ปล่อย ม่อเฉินเดินวนรอบข้า ดวงตาหลังหน้ากากเงินจับจ้องทุกการเคลื่อนไหว ราวกับเหยี่ยวที่คอยเฝ้ามองเหยื่อ
“แรงเจ้ามีแล้ว” เขากล่าวเสียงเรียบ “แต่ดาบไม่ใช่เพียงแรงแขน ดาบคือส่วนหนึ่งของร่างกาย ดาบคือลมหายใจ”
เขาดึงดาบอีกเล่มจากฝักแล้วแกว่งเบา ๆ เพียงครั้งเดียว เสียง ฟึบ! กรีดผ่านอากาศจนหิมะร่วงหล่นเหมือนถูกกรีด ข้าเบิกตากว้าง ดาบของเขาไม่หนักหน่วง แต่กลับเฉียบขาด
“ลองตามข้า” เขาสั่ง
ข้าพยายามแกว่งดาบตามท่าของเขา แต่การเคลื่อนไหวของข้ายังหนักอึ้ง ขาดความสมดุลจนเกือบล้ม เขาเข้ามาใกล้ วางมือบนไหล่ข้าแล้วกระซิบเย็น
“ใจเจ้าแกว่งมากกว่าดาบเสียอีก”
คำพูดนั้นแทงลึกเข้าไปในใจ ข้ากัดฟันแน่น ลมหายใจเริ่มสม่ำเสมอขึ้น แล้วฟันดาบอีกครั้ง คราวนี้เบากว่าเดิม แต่มั่นคงกว่า ม่อเฉินก้าวถอยหลัง พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะโยนก้อนหินขนาดฝ่ามือมา ข้าตกใจแต่เงื้อดาบขึ้นทันเวลา ฉับ! คมดาบเฉือนหินแตกกระเด็น เศษหินกระจายเกลื่อนพื้นหิมะ มือของข้าชาจนเกือบปล่อยดาบหลุด แต่เมื่อมองไปยังรอยแตกของหิน ใจกลับสั่นสะท้าน ไม่ใช่ด้วยความกลัว แต่ด้วยความจริงว่า ดาบนี้สามารถทำลายสิ่งที่แข็งได้จริง
“ดี” ม่อเฉินเอ่ยช้า ๆ “ต่อไปที่เจ้าจะฟันไม่ใช่หิน ไม่ใช่ฟาง แต่เป็นเลือดเนื้อที่อุ่นกว่าของพวกนี้”
คำพูดนั้นทำให้ลมหายใจข้าขาดห้วงไปชั่วขณะ ภาพท่านพ่อท่านแม่และคนในจวนที่เลือดสาดที่ล้มลงในหิมะวาบขึ้นในหัวอีกครั้ง ข้ากำดาบแน่น ความลังเลที่เหลืออยู่ละลายไปกับหิมะที่ละลายบนฝ่ามือ ข้ารู้แล้วว่า ดาบนี้จะเป็นมากกว่าเครื่องฝึก แต่จะเป็นลมหายใจแทนตระกูลหลานทุกชีวิต
ลมหนาวพัดแรงขึ้นจนกิ่งสนสั่นครืด เศษหิมะตกกระทบใบหน้า แต่ข้าไม่ละสายตาจากดาบในมือ ร่างกายเจ็บปวดทุกส่วนจากการฝึก ฝ่ามือแตกเป็นรอยเลือด แขนขาอ่อนล้า แต่หัวใจกลับแข็งกระด้างขึ้นกว่าเดิม ม่อเฉินเดินอ้อมไปหยิบตะกร้าไม้ที่ปิดผ้าดำไว้ เขาเปิดออก ข้างในคือกระต่ายป่าตัวเล็กถูกมัดไว้ ดวงตากลมใสสั่นระริก ดิ้นด้วยความกลัว ข้าชะงักทันที ความอบอุ่นในความทรงจำแวบขึ้นมา วันที่มารดาเคยจับมือข้าให้อาหารกระต่ายเลี้ยงในเรือนหลังเล็ก กลิ่นหญ้าแห้งและเสียงหัวเราะยังคงชัดเจน
ม่อเฉินยื่นตะกร้านั้นมาตรงหน้า “ฆ่ามันเสีย” เสียงเขานิ่งสนิท
ดวงตาข้าเบิกกว้าง “นี่...นี่มันก็แค่สัตว์เล็ก ๆ”
“ศัตของเจ้าจะไม่มีใครอ่อนแอกว่านี้อีก” เขาตอบ “หากใจเจ้าสั่นเพียงเพราะเลือดเล็กน้อย เจ้าจะไม่อาจยืนต่อหน้าผู้มีอำนาจที่พรากตระกูลเจ้าไปได้”
ข้ากัดฟันแน่น มองกระต่ายที่ดิ้นอยู่ในตะกร้า น้ำตาร้อนเอ่อขึ้นมาใต้หน้ากาก ความเจ็บปวดกดทับหัวใจราวจะฉีกมันออกเป็นสองส่วน
“ข้า...” เสียงข้าสั่น แต่ยังพยายามฝืน “ข้าอยากแก้แค้นให้พวกเขา แต่ว่า...”
ม่อเฉินขัดขึ้นทันที “ไม่มีคำว่าแต่ มีเพียงคำว่า ทำได้ หรือ ทำไม่ได้”
ข้าหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก ภาพคืนเดือนเพ็ญกลับมาชัดเจนอีกครั้ง เลือดของพ่อแม่บนหิมะ เสียงกลองศึก และเสียงดาบที่ฟันร่างของตระกูลหลาน ทุกสิ่งทุกอย่างกรีดลึกเข้าไปในใจ ข้าลืมตาขึ้นมา น้ำตาไหลเงียบแต่แววตาแข็งกร้าว ข้าชักดาบขึ้นเหนือหัว กระต่ายร้องเสียงแหลมครั้งสุดท้าย ก่อนที่เสียงฉับจะดังขึ้น ความเงียบงันปกคลุมเพิงหิน เหลือเพียงเสียงลมหายใจหนัก ๆ ของข้า
เลือดเล็กน้อยซึมเปื้อนคมดาบ สีแดงสดตัดกับหิมะขาวสะอาด มันไม่ใช่เลือดของศัตรูแต่เป็นก้าวแรกที่ทำให้มือข้าไม่สั่นอีกต่อไป ม่อเฉินมองนิ่ง ก่อนพยักหน้าเล็กน้อย
“ดี เจ้ากำลังทิ้งความลังเลได้แล้ว”
หัวใจข้าราวถูกฉีกขาด แต่ในขณะเดียวกันก็แข็งกระด้างขึ้นกว่าที่เคย ข้ากำดาบแน่นแล้วสาบานกับตัวเองอีกครั้ง สักวันหนึ่ง เลือดที่เปื้อนดาบนี้ จะไม่ใช่เลือดของสัตว์ไร้เดียงสา แต่เป็นเลือดของศัตรูที่พรากทุกสิ่งทุกอย่างจากตระกูลหลานไป
ข้าทรุดตัวลงนั่ง มือยังคงกำดาบแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นชัด ใบมีดเย็นเฉียบเพราะสายลมหนาวพัดลอดเข้ามา แต่ความอุ่นจากเลือดกระต่ายยังติดอยู่ที่ปลายคม มันทำให้ข้ารู้สึกแสบแปลบเหมือนมีไฟลุกเผาอยู่กลางฝ่ามือ ม่อเฉินหยิบผ้าแถบสีดำออกจากแขนเสื้อ แล้วโยนมาให้
“เช็ดดาบซะ เขากล่าวเสียงเรียบ “ศัตรูจะหัวเราะเยาะ หากเจ้าแบกคมดาบเปื้อนเลือดโดยไม่รู้จักรักษามัน”
ข้ารับผ้ามาเช็ดช้า ๆ ทุกครั้งที่ปลายผ้าไล้ผ่านคมดาบ ราวกับข้ากำลังเช็ดคราบความอ่อนแอของตัวเองออกไปด้วย เลือดหยดสุดท้ายถูกลบหายไป เหลือเพียงเงาเงินสะท้อนภาพใบหน้าหลังหน้ากากของข้า
“ดาบเล่มนี้ จะเป็นดาบของเจ้า”
ม่อเฉินเอ่ย พลางหันหลังเดินออกไปยืนตรงปากเพิง มองทิวเขาที่คลุมด้วยหิมะ
“ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าต้องฝึกมันจนเป็นเหมือนลมหายใจ หากเจ้าทิ้งมัน ก็เท่ากับทิ้งชีวิตตนเอง”
ข้าลุกขึ้นช้า ๆ ดาบยังอยู่ในมือ น้ำหนักของมันไม่เบาลงเลย แต่กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของแขนที่ข้าไม่อาจแยกออกได้อีก ม่อเฉินหันมามอง ขอบหน้ากากเงินสะท้อนแสงเช้า
“หลานซูเหยา” เขาเรียกชื่อเต็มของข้าเป็นครั้งแรกตั้งแต่เราพบกัน
“เจ้าจะต้องไม่ลืม คืนเดือนเพ็ญที่เจ้ารอดมาได้ ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่เพราะโลกต้องการให้เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อแก้แค้น!”
หัวใจข้าสั่นสะท้าน แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความกลัว หากเป็นเพราะคำสาบานที่แน่นหนักขึ้นในอก ข้ายกดาบขึ้นสูง ปล่อยลมหายใจแรงครั้งหนึ่ง แล้วพูดชัดถ้อยชัดคำ
“ข้าจะไม่ลืม ข้าจะฝึก จนกว่าดาบนี้ของข้าจะได้ชิมเลือดของศัตรูที่แท้จริง”
หิมะโปรยลงมาหนักขึ้น ราวกับสวรรค์กำลังประทับตราให้คำสาบานนี้ของข้าเอาไว้...
ฤดูใบไม้ผลิย่างกรายเข้าสู่หุบเขาเล็ก ๆ ทางทิศใต้ กลีบดอกท้อโปรยปรายไปทั่วราวหิมะสีชมพู ฟ้าสีครามแจ่มชัด ราวกับธรรมชาติชดเชยให้ผู้คนที่เคยผ่านความทุกข์ยากได้ลิ้มรสความสงบสุขที่โหยหามาชั่วชีวิตเรือนเล็กที่ปลูกติดริมลำธาร มีเสียงน้ำใสไหลเอื่อย ๆ ขับกล่อมไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของหญิงสาวที่ก้มหน้าอยู่ตรงแปลงผัก“เหยียนเจิ้ง เจ้ามาช่วยข้าเด็ดผักทีสิ นี่มันจะเย็นแล้วนะ”ซูเหยาใส่เสื้อผ้าธรรมดาสีอ่อน มือเล็ก ๆ ยกตะกร้าไม้ขึ้นอย่างระมัดระวัง ผมยาวถูกเกล้าอย่างเรียบง่าย ไม่มีรัดเกล้า ไม่มีหยกงดงามดังเช่นตอนอยู่ในวัง แต่แววตากลับสดใสกว่าที่เคยเป็นเหยียนเจิ้ง บัดนี้ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอำนาจใด ๆ เดินออกมาจากเรือนด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยากในอดีต มือชายหนุ่มหยิบมีดสั้นเล็ก ๆ มาก้มลงช่วยนางตัดผัก“เจ้าสั่งให้ข้าเด็ดผักเหมือนชาวนาเสียจริง” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า แต่สายตาที่ทอดมองนางกลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู“แล้วเจ้าไม่อยากเป็นชาวนาหรือไร” ซูเหยาหัวเราะเบา ๆ ดวงตาเปล่งประกาย“อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่มีเสียงดาบ ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีเพียงเสียงนกกับน้ำไหล ไม่มีเสียงใดมารบกวน”เหยียนเจิ้งหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อ
ข้า ม่ออี้ หากเจ้าอ่านบันทึกนี้ แปลว่าหิมะได้ปิดรอยเท้าของข้าไปแล้ว เสียงโลหะของหน้ากากยังคงเย็น แต่หัวใจที่อยู่ข้างใต้ได้หยุดไหว คืนแรกที่ข้าได้สวมหน้ากากเงิน อาจารย์ใหญ่ถามข้าสั้นนัก“เจ้าชื่ออะไร”ข้าตอบ “ม่ออี้”“ตั้งแต่นี้ชื่อไม่สำคัญ หน้าที่สำคัญกว่า”เสียงโลหะแตะโหนกแก้ม เย็นจนฟันข้ากระทบกัน แต่ความเย็นนั้นกลับทำให้เลือดสงบ ข้าพูดได้เพียงในใจเท่านั้นข้าเติบโตในสำนักอาญาแบบเด็กที่ไม่มีบ้าน ชื่อม่ออี้เป็นเพียงอักษรเดียวที่แม่ปักลงในผ้าเก่าน้อยชิ้นก่อนทิ้งข้าไว้หน้าประตูโบสถ์ที่ท้ายเมือง อาจารย์เก็บข้าขึ้นมา ปล่อยให้เติบโตในเงาของกฎหมายที่ไม่เคยมองหน้าใครในยามลงดาบข้าจึงรู้จักก่อนว่าความเงียบขูดกระดูกอย่างไร คำสั่งหนักกว่าดาบกี่เท่า และชัยชนะของแผ่นดินมักจะเรียกเก็บค่าจากหัวใจของบุคคลเสมอวันนั้น อาจารย์ยื่นหน้ากากให้ข้า ครึ่งใบที่พรากเสี้ยวหน้าไป เสี้ยวหนึ่งที่เหลือของข้าไม่ใช่ของข้าอีกต่อไปข้าเห็นนางครั้งแรกในลานหิมะของเมืองหลวง หลานซูเหยา เด็กหญิงที่ถือพิณใหญ่เกินแขนเล็ก ๆ ของตนเอง เงยหน้ามองควันจากโรงตีเหล็ก ลมหายใจฟุ้งเป็นไอขาว นางยิ้มให้ชายแก่ที่ขายหมั่นโถวนึ่ง แม้ตัวเองจ
หิมะปลายฤดูตกแน่นจนพื้นหินกลายเป็นผ้าขาว เย็นกระทั่งลมหายใจแปรเป็นควันสีจาง ข้าคือ เหยียนเจิ้ง พระโอรสลำดับที่ห้า เด็กชายผู้คุ้นชินกับความเงียบของตำหนักและกฎเกณฑ์ที่ยาวเท่ากำแพงเมืองคืนนั้น ข้าหลบยามออกจากตำหนักเพียงลำพัง ไม่ใช่เพราะใจกล้า หากเพราะเสียงหนึ่งที่ลอดผ่านช่องกำแพงมา เสียงสะอื้นเล็ก ๆ คล้ายลูกนกตกจากรัง ใต้ศาลาร้างตรงแนวพุ่มสน ข้าเห็นร่างเด็กหญิงตัวน้อยนั่งกอดเข่า เสื้อผ้าเปียกน้ำหิมะจนสั่นงัน ริมฝีปากซีดแต่ดวงตายังสว่าง“เจ้าเป็นใคร” ข้าเอ่ยถาม เสียงต่ำเท่าที่เด็กวัยอย่างข้าจะทำได้นางช้อนตาขึ้น “ข้าชื่อ หลานซูเหยา” เสียงแหบพร่า “ข้าหลงทางมาพร้อมกับคนรับใช้ ระหว่างตามขบวนของท่านพ่อเข้ามาในเมืองหลวง”แซ่หลาน แค่ได้ยินก็ทำให้หัวใจข้ากระตุก บิดาของนางคือแม่ทัพหลานที่ผู้คนเอ่ยถึงด้วยความศรัทธา ข้าถอดผ้าคลุมไหล่คลุมให้นางโดยไม่คิด“ตามข้ามา หากเจ้ายังอยู่ที่นี่ คงจะถูกทหารยามลากไป”นางลังเลเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนยกมือเล็ก ๆ เกาะแขนเสื้อข้าแน่น มือเย็นจัดจนข้ารู้สึกเหมือนถูกหิมะจับปลายนิ้ว เราเดินผ่านช่องระบายน้ำเก่าที่คนงานไม่ค่อยใช้ ข้ารู้จักทางเหล่านี้ดีกว่าตำราเรียน เพราะม
องครักษ์ในวังกับทหารหน่วยเงาปะทะกันกลางหิมะ เสียงเหล็กปะทะเหล็กสั้น คม และไม่ยืดยาวตามนิสัยของผู้ล่าที่มาเพื่อฆ่า ไม่ใช่จับ ซูเหยาชักดาบไร้นามออกมา โลหะเย็นแตะฝ่ามือดังชีพจรของผู้ตาย นางเฉือนเส้นเอ็นมือของศัตรูคนหนึ่ง ลากตัวออกจากเส้นยิง เงาหน้ากากเงินก้าวลงจากระเบียง เขาเคลื่อนตัวดุจเงาดาบ คม รวดเร็ว และไร้เสียง“ถอย ซูเหยา ถอย!” เสียงของม่ออี้ลอดผ่านโลหะ “ศัตรูที่แท้จริงอยู่เหนือหัวเรา!”“เจ้าเรียกทุกคนว่าศัตรูมาตลอด” นางสวนกลับ “คืนนี้ข้าจะเลือกเองว่าใครคือผู้ที่ต้องชดใช้กันแน่ ไม่ต้องให้เจ้ามากำกับ!”ลูกศรหัวดำอีกระลอกสาดลง แนวยิงไขว้รูปซวงเหอของสำนักลับทางเหนือ ไม่ใช่กองทัพหลวง ซูเหยาจับจังหวะได้ในครึ่งใจ มีผู้ที่ต้องการให้เราเชือดกันเอง เพื่อปิดปาก เหยียนเจิ้งสะบัดแขนผลักซูเหยาออกให้พ้นวิถี ขณะม่ออี้กระโจนตวัดดาบเฉียง“ฉัวะ!”ลูกศรถูกปัดแตกกลางอากาศ แต่ดอกหนึ่งเฉือนสีข้างเหยียนเจิ้งไป เลือดไหลแทรกผ้าขาวเป็นดอกท้อแดงเพลิง“เหยียนเจิ้ง!” ซูเหยาตะโกน เงื้อมดาบชิดคอศัตรูตรงหน้า ฟันสั้นเดียวหลุดหิมะม่ออี้เสยดาบรับระลอกใหม่ พลางคำรามผ่านหน้ากาก“ตัวล่อไม่ใช่เจ้า แต่คือข้า เขาต้องการใ
เสียงหิมะโปรยปรายกลางคืนหนาวเหน็บ คล้ายสวรรค์จงใจซ้ำเติมหัวใจที่ปริร้าว หลานซูเหยาในชุดสีขาวบริสุทธิ์เปื้อนเลือด ยืนตัวสั่นกลางลานกว้าง ดวงตาที่เคยทอประกายอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่สั่นสะท้านหัวใจผู้มองเบื้องหน้าคือองค์ชายเหยียนเจิ้ง ผู้ที่นางเคยเฝ้าคิดถึงทุกลมหายใจ เขาก้าวออกมาท่ามกลางม่านหิมะ ใบหน้าเย็นสงบ แต่แววตาแฝงความสั่นไหวที่พยายามเก็บซ่อน“ซูเหยา…”เสียงเขาเรียกขานชื่อนาง แผ่วเบาราวกับกลัวว่า หากดังเกินไป ความฝันนี้จะสลายไปในหิมะ ซูเหยากัดริมฝีปาก เลือดซึมออกมา นางสั่นสะท้านทั้งร่าง น้ำตารินลงพร้อมกับเกล็ดหิมะ“องค์ชาย ท่านจำได้หรือไม่ ว่าครั้งหนึ่ง ข้าเคยรักท่าน” เสียงของนางพร่าแผ่ว แต่ทุกคำคือคมดาบที่ฝังลึกลงกลางใจองค์ชายเหยียนเจิ้งหลับตาแน่น ราวกับถูกแทงกลางอก เขาเอื้อมมือออกมาแต่ถูกซูเหยาปัดออก“แต่วันนี้ ” ซูเหยาก้าวถอย ดวงตาแข็งกร้าว “ท่านคือศัตรูของข้า ไม่เพียงในความจริง หากแม้แต่ในหัวใจก็ใช่!”เลือดในอดีต ความตายของตระกูลหลานทั้งตระกูล ความทรยศซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกสิ่งตะโกนบอกนางว่า ความรักคือพิษร้าย องค์ชายเหยียนเจิ้งกัดฟัน ดวงตาสั่นระริกเต็มไปด้วยความเจ็
สายลมหนาวพัดผ่านท้องพระโรงที่ว่างเปล่า เงาเปลวคบเพลิงสั่นไหวราวจะดับลงทุกขณะ หลังเหตุการณ์ที่เหล่าทหารบุกเข้ามาแล้วถอยไป ความเงียบสงัดกลับปกคลุม ทว่าในอกของหลานซูเหยากลับเต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึง นางยังคงจ้ององค์ชายเหยียนเจิ้งด้วยดวงตาสั่นระริก ไม่รู้ว่าควรเชื่อถ้อยคำของเขาหรือไม่องค์ชายเหยียนเจิ้งเดินเข้าใกล้ช้า ๆ ดวงตาคมปลาบทอประกายที่ต่างไปจากทุกครั้ง“เจ้ารู้หรือไม่อาเหยา ว่าข้ารู้ตัวตนเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าเป็นใคร”ซูเหยาชะงักราวถูกตบกลางใบหน้า “ทะ...ท่านรู้หรือ?”“ใช่” เสียงของเขาแผ่วแต่หนักแน่น“คืนที่เจ้าถูกส่งเข้าวังในนามนางกำนัล ข้ารู้ตั้งแต่นาทีแรกว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ดวงตาคู่นั้น เจ้าคิดหรือว่าข้าจะลืมหรือ?”ความทรงจำเก่า ๆ พุ่งวาบขึ้นมา ราวกับบาดแผลที่ถูกกระชากปิดผ้าพันแผลออก ซูเหยากำหมัดแน่น เลือดแทบจะไหลออกจากฝ่ามือ“หากท่านรู้ เหตุใดจึงไม่เปิดโปงข้าเสียแต่แรก?”องค์ชายเหยียนเจิ้งยิ้มบาง แต่เต็มไปด้วยความขมขื่น“เพราะหากข้าเปิดโปง เจ้าจะตายทันที แต่ถ้าข้าเงียบ อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีลมหายใจอยู่ตรงนี้”เสียงนางสั่นเครือ “แล้วทั้งหมดที่ผ่านมา ท่านเฝ้ามองข้าเงียบ ๆ อย่าง