เสียงฆ้องย่ำเช้าในวังดังสะท้อนก้องไปทั่วท้องพระราชวัง ข้าก้าวเท้าเข้าไปยังท้องพระโรงรองในฐานะนางกำนัลฝ่ายใน เงียบงันราวกับเงาไร้ตัวตน ทว่าสายตากลับกวาดมองรอบกายอย่างระมัดระวัง วันนี้เป็นวันที่เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊จะมาถวายเครื่องบรรณาการแด่องค์จักรพรรดิ เป็นพิธีที่ทุกคนจับตามอง เพราะเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างอำนาจและชื่อเสียงแก่ตระกูลของตน ในหมู่ขุนนางมากหน้าหลายตา ข้ารู้ดีว่าคนเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างตระกูลหลานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“ทุกใบหน้า ข้าจะจารึกไว้ในความทรงจำ”
พลันเสียงขันทีก็ประกาศก้อง “องค์ชายเหยียนเจิ้ง เสด็จ!”
หัวใจข้าสะดุ้งวาบโดยไม่รู้ตัว สายตาเบนไปตามเสียงประกาศ ประตูบานใหญ่เปิดออกช้า ๆ ภายใต้แสงทองอ่อนยามเช้า เงาร่างสูงสง่างามก้าวเข้ามาในท้องพระโรง ใบหน้าขององค์ชายเหยียนเจิ้งประดับด้วยความสงบเยือกเย็น ริมฝีปากบางไม่เผยยิ้ม แต่แววตาคมลึกนั้นกลับเหมือนกำลังมองทะลุสิ่งใดบางอย่าง ทุกสายตาของเหล่านางกำนัลและขันทีจับจ้องไปที่พระองค์ราวกับต้องมนต์สะกด ข้ากลับเป็นคนเดียวที่ยืนนิ่ง รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในหัวใจตนเอง
ดวงตานั้น ข้าช่างคุ้นเคยเหลือเกิน...
องค์ชายเหยียนเจิ้งทอดดวงตากวาดไปทั่วราวกับกำลังตรวจตรา แต่ในชั่วพริบตาหนึ่ง ข้ากลับสัมผัสได้ว่าสายตาของพระองค์หยุดลงที่ข้า เพียงเสี้ยววินาที แต่ข้าเหมือนถูกตรึงร่างไว้ในที่ตรงนั้น หายใจไม่ออก ความทรงจำในอดีตแล่นวาบเข้ามา
คืนหิมะตกในอดีต เด็กชายผู้หนึ่งยื่นมือมาช่วยดึงข้าลุกขึ้นจากพื้นโคลน กลิ่นหอมดอกท้ออ่อน ๆ แทรกผ่านลมหนาว เสียงอบอุ่นที่บอกว่า
“อย่ากลัว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
หัวใจข้าเต้นแรงขึ้นอย่างไม่อาจห้ามได้
“นางกำนัลน้อย เจ้า! มัวแต่เหม่อสิ่งใดอยู่ รีบนำเครื่องบรรณาการขึ้นมา!”
เสียงตำหนิของขันทีอาวุโสดึงข้าออกจากภวังค์ ข้าสะดุ้ง รีบก้มหน้าถือพานทองขึ้นไปส่งต่อให้นางกำนัลอีกคนตามลำดับ ขั้นตอนนี้ไร้ที่ติ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความปั่นป่วน เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง องค์ชายเหยียนเจิ้งยังคงประทับยืนอยู่ตรงนั้น เงียบสงบ แต่สายตาเหมือนมีบางสิ่งเก็บซ่อนเอาไว้
ข้าเม้มริมฝีปากแน่น ความรู้สึกหนึ่งไหลท่วมขึ้นมาในอก หากเขาเป็นคนเดียวกันกับในความทรงจำเหตุใดวันนี้จึงกลายเป็นศัตรูของข้าไปได้?
เสียงท้องพระโรงยังคงคึกคักด้วยเหล่าขุนนางที่ผลัดกันก้าวขึ้นมาถวายเครื่องบรรณาการ ข้าค่อย ๆ ถอยออกมาประจำตำแหน่งด้านข้าง เงียบงันราวเงาที่ไร้ผู้มองเห็น
แต่แล้ว...
“นางกำนัลผู้นั้นน่ะ” เสียงทุ้มนิ่งขององค์ชายเหยียนเจิ้งดังขึ้นท่ามกลางความสงบ
หัวใจข้ากระตุกวูบ ดวงตาของทุกคนหันขวับมาทางข้าทันที ข้าก้มศีรษะต่ำ รีบทรุดกายคำนับ
“เพคะ หม่อมฉัน...”
“เจ้าชื่ออะไร”
น้ำเสียงเยือกเย็น หากแฝงด้วยแรงกดดันที่มิอาจปฏิเสธ ข้ากำชายกระโปรงแน่น ก่อนตอบเสียงเรียบที่สุดเท่าที่ทำได้
“หม่อมฉันชื่ออวี้เหยาเพคะ”
องค์ชายเหยียนเจิ้งจ้องมองข้าเนิ่นนาน สายตาคมลึกประหนึ่งกำลังค้นหาบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ แล้วพระองค์ก็เอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้เลือดในกายข้าเย็นเฉียบ
“ข้ามั่นใจว่า ข้าเคยพบเจ้ามาก่อน”
หัวใจข้าแทบหยุดเต้น เสียงกระซิบซุบซิบดังขึ้นจากเหล่านางกำนัลและขันที
“หา? องค์ชายตรัสว่าเคยพบนางมาก่อนหรือ”
“นางกำนัลต่ำต้อยเช่นนั้นหรือจะเคยใกล้ชิดเบื้องสูงได้”
ข้ากัดฟันแน่น ก้มหน้าลงต่ำจนแทบจะซ่อนใบหน้าในเงาแขนเสื้อ เขาจำได้จริงหรือ หรือเพียงแต่สงสัย? ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องไม่ให้ใครจับพิรุธได้เด็ดขาด
“องค์ชายเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงนางกำนัลที่เพิ่งเข้าวัง ยังไม่เคยได้รับใช้เบื้องสูงมาก่อน พระองค์คงจำผิดไปแล้วเพคะ”
คำตอบของข้าสงบเยือกเย็น ทว่าฝ่ามือกลับสั่นไหวภายใต้แขนเสื้อ องค์ชายเหยียนเจิ้งเลิกคิ้วเล็กน้อย ใบหน้ายังคงเรียบนิ่ง แต่สายตาไม่ยอมละไปแม้แต่น้อย
“งั้นหรือ...” เพียงสองคำสั้น ๆ ทว่ากลับทำให้บรรยากาศรอบกายตึงเครียดหนักขึ้น
ทันใดนั้น เสียงขันทีผู้ดูแลพิธีก็รีบแทรกขึ้น
“องค์ชาย โปรดเสด็จด้านหน้า เครื่องบรรณาการยังเหลืออีกมากพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายเหยียนเจิ้งเพียงปรายดวงตาไปยังข้าอีกครั้ง แล้วจึงหมุนพระวรกายก้าวไปด้านหน้า ข้าหลบตาทันควัน หัวใจเต้นโครมคราม เขาจำได้จริงหรือไม่ หรือเพียงแค่ทดสอบข้าเท่านั้น? ไม่ว่าจะอย่างไร การปกปิดตัวตนย่อมสำคัญที่สุด หากถูกเปิดโปง ณ ที่นี้ ทุกสิ่งที่วางแผนมาก็จะพังทลายลงทันที ในห้วงความคิดของข้า มีเสียงหนึ่งดังแว่วขึ้นอย่างเย้ยหยัน
“เจ้าแน่ใจหรือว่า จะต้านทานได้ตลอดไป?”
ข้าเม้มริมฝีปากแน่น ตอบกลับในใจ “แน่นอน ต่อให้เป็นองค์ชายเหยียนเจิ้ง ข้าก็จะไม่ลืมว่าเป้าหมายของข้าคือการแก้แค้น!”
พิธีถวายเครื่องบรรณาการดำเนินไปจนล่วงเข้าสู่ยามสาย เหล่าขุนนางเริ่มทยอยกลับ แต่พระราชวังยังคงคลาคล่ำด้วยเหล่าขันทีและนางกำนัลที่เร่งจัดเก็บเครื่องของมีค่า ข้าเองก็ก้มหน้าก้มตาขนหีบเล็กหีบน้อยไปตามคำสั่ง ไม่ต่างจากเงาไร้ตัวตน แต่ยามที่คิดว่าทุกอย่างจะผ่านไปโดยไร้สิ่งผิดแผก เสียงทุ้มนุ่มทว่าทรงอำนาจกลับดังขึ้นเบื้องหลัง
“นางกำนัลคนนั้นน่ะ หยุดก่อน”
ข้าชะงักเท้าทันที หัวใจสั่นวูบ หันไปก้มหน้าคำนับ “เพคะ”
องค์ชายเหยียนเจิ้งก้าวเข้ามาใกล้ ใบหน้าสงบนิ่ง หากแต่สายตาคมกริบราวคมดาบกำลังจ้องตรงมาที่ข้า
“เจ้าบอกว่าเพิ่งเข้าวังมาไม่นาน แต่ท่วงท่าที่ทำเมื่อครู่ กลับไม่เหมือนผู้ไร้ประสบการณ์เลย”
น้ำเสียงนั้นราบเรียบ แต่กลับดังก้องอยู่ในอกข้า ข้าสูดลมหายใจลึก กัดฟันตอบเสียงสงบ
“เพคะ หม่อมฉันเคยอยู่ในเรือนสกุลใหญ่ก่อนเข้าวัง จึงอาจติดท่วงท่ามาบ้าง หากเป็นการล่วงเกินก็ขอทรงอภัยด้วยเพคะ”
องค์ชายเหยียนเจิ้งเพียงยกคิ้วเล็กน้อย ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักคำพูด แต่ก็ไม่ทรงซักไซ้ต่อ เพียงก้าวเข้ามาอีกหนึ่งก้าว ระยะห่างระหว่างเราถูกลดเหลือเพียงลมหายใจ
“ชื่อของเจ้าคืออวี้เหยาใช่หรือไม่”
ข้าก้มศีรษะต่ำจนแทบแนบพื้น “เพคะ”
“เหยา หมายถึงยา” พระองค์เอื้อนเอ่ยช้า ๆ สายตาทอดต่ำ “น่าสนใจนัก เป็นยาที่จะเยียวยาหรือพิษร้ายที่จะทำลายกันแน่”
หัวใจข้าแทบหยุดเต้น ริมฝีปากแห้งผาก ข้าฝืนตอบเสียงคงที่
“หม่อมฉันมีเพียงร่างกายและชีวิตถวายแด่เบื้องสูง จะเป็นยาที่ใช้เยียวยาหรือเป็นพิษทำลาย ย่อมมิใช่สิ่งที่หม่อมฉันเลือกเองได้เพคะ”
ถ้อยคำของข้าทำให้ดวงตาขององค์ชายฉายแววบางอย่างที่ยากจะอ่านออก อาจเป็นความพอใจ หรือบางทีอาจเป็นเพียงความระแวงที่ลึกขึ้น
“เจ้ามีคำพูดเกินกว่านางกำนัลทั่วไปนัก” พระองค์ตรัสช้า ๆ ก่อนหมุนพระวรกายหันหลัง
“ข้าจะจับตาดูเจ้า”
เงาของพระองค์ค่อย ๆ ห่างออกไป แต่ในอกข้ากลับเต้นระส่ำราวจะทะลุอก เขาจะจับตาดูข้า?
ความเย็นเยียบแผ่ซ่านไปทั้งร่าง นี่ไม่ใช่เพียงแค่การถูกสังเกต แต่เป็นการถูกล่อลวงเข้าสู่สายตาของเหยี่ยวที่ไม่เคยพลาดเป้าหมาย
“ซูเหยา เจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นคมดาบแล้ว”
เสียงภายในใจดังสะท้อน ข้าหลับตาลงแน่น ใช่ หากไม่ระวังเพียงก้าวเดียว แผนการทั้งมวลอาจพังทลาย แต่ข้าไม่มีสิทธิ์ถอยอีกต่อไป เมื่อเงาร่างสูงสง่าขององค์ชายเหยียนเจิ้งลับสายตาไปแล้ว ข้าก็ยังยืนนิ่งอยู่ ณ ที่เดิม ราวกับร่างถูกตรึงไว้ด้วยคมมีดที่มองไม่เห็น หัวใจสั่นสะท้านรุนแรงจนไม่กล้าขยับแม้เพียงปลายนิ้ว
คืนนั้น ข้านั่งอยู่เพียงลำพังในเรือนพักเล็ก ๆ ที่จัดไว้ให้นางกำนัลใหม่ เสียงจิ้งหรีดดังแว่วมาแต่ไกล แต่กลับไม่ช่วยให้ใจสงบลงได้เลย ข้าลูบไปบนขอบหีบไม้ที่ซ่อนของสำคัญเอาไว้ จดหมายลับที่ม่ออี้ส่งมา มันบอกชัดเจนว่า องค์ชายเหยียนเจิ้งคือศัตรูผู้หนึ่งที่เจ้าต้องระวังให้ถึงที่สุด แต่ภาพดวงตาคมลึกที่มองตรงมาอย่างไม่ลดละในวันนี้ กลับผุดขึ้นมาในความคิดครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตานั้นหาใช่เพียงเย็นชา หากยังเต็มไปด้วยบางสิ่งที่ทำให้ใจของข้าเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้
“ไม่! ห้ามสับสนเด็ดขาด” ข้าพึมพำเสียงสั่น ดวงตาหลุบต่ำ พยายามบอกตัวเองซ้ำ ๆ
ข้ามาที่นี่เพื่อแก้แค้น มิใช่เพื่อหวั่นไหวต่อผู้ใด แม้เขาจะเป็นศัตรู แม้เขาจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับความตายของตระกูลหลาน ข้าก็ต้องเด็ดเดี่ยวกว่าที่เป็น แต่หัวใจกลับดื้อดึงไม่ยอมเชื่อฟัง สมองกับความรู้สึกกำลังต่อต้านกันอย่างรุนแรง
ลมหนาวพัดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดแง้ม ผ้าม่านบางพลิ้วไหว ข้าสูดลมหายใจลึกเพื่อกดเสียงเต้นของหัวใจให้สงบลง ดวงตาค่อย ๆ หลับลงบนหมอนแข็งกระด้าง ถึงกระนั้น ประโยคสุดท้ายขององค์ชายกลับดังสะท้อนขึ้นมาในหูอีกครั้ง
“ข้าจะจับตาดูเจ้า”
และในความมืดมิด ข้ากลับไม่แน่ใจอีกแล้ว ว่าการถูกจับตานั้นเป็นเพียงภัยคุกคามหรือคือพันธนาการแห่งโชคชะตาที่กำลังดึงข้าเข้าไปสู่เงารักอันตรายกันแน่
ฤดูใบไม้ผลิย่างกรายเข้าสู่หุบเขาเล็ก ๆ ทางทิศใต้ กลีบดอกท้อโปรยปรายไปทั่วราวหิมะสีชมพู ฟ้าสีครามแจ่มชัด ราวกับธรรมชาติชดเชยให้ผู้คนที่เคยผ่านความทุกข์ยากได้ลิ้มรสความสงบสุขที่โหยหามาชั่วชีวิตเรือนเล็กที่ปลูกติดริมลำธาร มีเสียงน้ำใสไหลเอื่อย ๆ ขับกล่อมไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของหญิงสาวที่ก้มหน้าอยู่ตรงแปลงผัก“เหยียนเจิ้ง เจ้ามาช่วยข้าเด็ดผักทีสิ นี่มันจะเย็นแล้วนะ”ซูเหยาใส่เสื้อผ้าธรรมดาสีอ่อน มือเล็ก ๆ ยกตะกร้าไม้ขึ้นอย่างระมัดระวัง ผมยาวถูกเกล้าอย่างเรียบง่าย ไม่มีรัดเกล้า ไม่มีหยกงดงามดังเช่นตอนอยู่ในวัง แต่แววตากลับสดใสกว่าที่เคยเป็นเหยียนเจิ้ง บัดนี้ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอำนาจใด ๆ เดินออกมาจากเรือนด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยากในอดีต มือชายหนุ่มหยิบมีดสั้นเล็ก ๆ มาก้มลงช่วยนางตัดผัก“เจ้าสั่งให้ข้าเด็ดผักเหมือนชาวนาเสียจริง” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า แต่สายตาที่ทอดมองนางกลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู“แล้วเจ้าไม่อยากเป็นชาวนาหรือไร” ซูเหยาหัวเราะเบา ๆ ดวงตาเปล่งประกาย“อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่มีเสียงดาบ ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีเพียงเสียงนกกับน้ำไหล ไม่มีเสียงใดมารบกวน”เหยียนเจิ้งหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อ
ข้า ม่ออี้ หากเจ้าอ่านบันทึกนี้ แปลว่าหิมะได้ปิดรอยเท้าของข้าไปแล้ว เสียงโลหะของหน้ากากยังคงเย็น แต่หัวใจที่อยู่ข้างใต้ได้หยุดไหว คืนแรกที่ข้าได้สวมหน้ากากเงิน อาจารย์ใหญ่ถามข้าสั้นนัก“เจ้าชื่ออะไร”ข้าตอบ “ม่ออี้”“ตั้งแต่นี้ชื่อไม่สำคัญ หน้าที่สำคัญกว่า”เสียงโลหะแตะโหนกแก้ม เย็นจนฟันข้ากระทบกัน แต่ความเย็นนั้นกลับทำให้เลือดสงบ ข้าพูดได้เพียงในใจเท่านั้นข้าเติบโตในสำนักอาญาแบบเด็กที่ไม่มีบ้าน ชื่อม่ออี้เป็นเพียงอักษรเดียวที่แม่ปักลงในผ้าเก่าน้อยชิ้นก่อนทิ้งข้าไว้หน้าประตูโบสถ์ที่ท้ายเมือง อาจารย์เก็บข้าขึ้นมา ปล่อยให้เติบโตในเงาของกฎหมายที่ไม่เคยมองหน้าใครในยามลงดาบข้าจึงรู้จักก่อนว่าความเงียบขูดกระดูกอย่างไร คำสั่งหนักกว่าดาบกี่เท่า และชัยชนะของแผ่นดินมักจะเรียกเก็บค่าจากหัวใจของบุคคลเสมอวันนั้น อาจารย์ยื่นหน้ากากให้ข้า ครึ่งใบที่พรากเสี้ยวหน้าไป เสี้ยวหนึ่งที่เหลือของข้าไม่ใช่ของข้าอีกต่อไปข้าเห็นนางครั้งแรกในลานหิมะของเมืองหลวง หลานซูเหยา เด็กหญิงที่ถือพิณใหญ่เกินแขนเล็ก ๆ ของตนเอง เงยหน้ามองควันจากโรงตีเหล็ก ลมหายใจฟุ้งเป็นไอขาว นางยิ้มให้ชายแก่ที่ขายหมั่นโถวนึ่ง แม้ตัวเองจ
หิมะปลายฤดูตกแน่นจนพื้นหินกลายเป็นผ้าขาว เย็นกระทั่งลมหายใจแปรเป็นควันสีจาง ข้าคือ เหยียนเจิ้ง พระโอรสลำดับที่ห้า เด็กชายผู้คุ้นชินกับความเงียบของตำหนักและกฎเกณฑ์ที่ยาวเท่ากำแพงเมืองคืนนั้น ข้าหลบยามออกจากตำหนักเพียงลำพัง ไม่ใช่เพราะใจกล้า หากเพราะเสียงหนึ่งที่ลอดผ่านช่องกำแพงมา เสียงสะอื้นเล็ก ๆ คล้ายลูกนกตกจากรัง ใต้ศาลาร้างตรงแนวพุ่มสน ข้าเห็นร่างเด็กหญิงตัวน้อยนั่งกอดเข่า เสื้อผ้าเปียกน้ำหิมะจนสั่นงัน ริมฝีปากซีดแต่ดวงตายังสว่าง“เจ้าเป็นใคร” ข้าเอ่ยถาม เสียงต่ำเท่าที่เด็กวัยอย่างข้าจะทำได้นางช้อนตาขึ้น “ข้าชื่อ หลานซูเหยา” เสียงแหบพร่า “ข้าหลงทางมาพร้อมกับคนรับใช้ ระหว่างตามขบวนของท่านพ่อเข้ามาในเมืองหลวง”แซ่หลาน แค่ได้ยินก็ทำให้หัวใจข้ากระตุก บิดาของนางคือแม่ทัพหลานที่ผู้คนเอ่ยถึงด้วยความศรัทธา ข้าถอดผ้าคลุมไหล่คลุมให้นางโดยไม่คิด“ตามข้ามา หากเจ้ายังอยู่ที่นี่ คงจะถูกทหารยามลากไป”นางลังเลเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนยกมือเล็ก ๆ เกาะแขนเสื้อข้าแน่น มือเย็นจัดจนข้ารู้สึกเหมือนถูกหิมะจับปลายนิ้ว เราเดินผ่านช่องระบายน้ำเก่าที่คนงานไม่ค่อยใช้ ข้ารู้จักทางเหล่านี้ดีกว่าตำราเรียน เพราะม
องครักษ์ในวังกับทหารหน่วยเงาปะทะกันกลางหิมะ เสียงเหล็กปะทะเหล็กสั้น คม และไม่ยืดยาวตามนิสัยของผู้ล่าที่มาเพื่อฆ่า ไม่ใช่จับ ซูเหยาชักดาบไร้นามออกมา โลหะเย็นแตะฝ่ามือดังชีพจรของผู้ตาย นางเฉือนเส้นเอ็นมือของศัตรูคนหนึ่ง ลากตัวออกจากเส้นยิง เงาหน้ากากเงินก้าวลงจากระเบียง เขาเคลื่อนตัวดุจเงาดาบ คม รวดเร็ว และไร้เสียง“ถอย ซูเหยา ถอย!” เสียงของม่ออี้ลอดผ่านโลหะ “ศัตรูที่แท้จริงอยู่เหนือหัวเรา!”“เจ้าเรียกทุกคนว่าศัตรูมาตลอด” นางสวนกลับ “คืนนี้ข้าจะเลือกเองว่าใครคือผู้ที่ต้องชดใช้กันแน่ ไม่ต้องให้เจ้ามากำกับ!”ลูกศรหัวดำอีกระลอกสาดลง แนวยิงไขว้รูปซวงเหอของสำนักลับทางเหนือ ไม่ใช่กองทัพหลวง ซูเหยาจับจังหวะได้ในครึ่งใจ มีผู้ที่ต้องการให้เราเชือดกันเอง เพื่อปิดปาก เหยียนเจิ้งสะบัดแขนผลักซูเหยาออกให้พ้นวิถี ขณะม่ออี้กระโจนตวัดดาบเฉียง“ฉัวะ!”ลูกศรถูกปัดแตกกลางอากาศ แต่ดอกหนึ่งเฉือนสีข้างเหยียนเจิ้งไป เลือดไหลแทรกผ้าขาวเป็นดอกท้อแดงเพลิง“เหยียนเจิ้ง!” ซูเหยาตะโกน เงื้อมดาบชิดคอศัตรูตรงหน้า ฟันสั้นเดียวหลุดหิมะม่ออี้เสยดาบรับระลอกใหม่ พลางคำรามผ่านหน้ากาก“ตัวล่อไม่ใช่เจ้า แต่คือข้า เขาต้องการใ
เสียงหิมะโปรยปรายกลางคืนหนาวเหน็บ คล้ายสวรรค์จงใจซ้ำเติมหัวใจที่ปริร้าว หลานซูเหยาในชุดสีขาวบริสุทธิ์เปื้อนเลือด ยืนตัวสั่นกลางลานกว้าง ดวงตาที่เคยทอประกายอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่สั่นสะท้านหัวใจผู้มองเบื้องหน้าคือองค์ชายเหยียนเจิ้ง ผู้ที่นางเคยเฝ้าคิดถึงทุกลมหายใจ เขาก้าวออกมาท่ามกลางม่านหิมะ ใบหน้าเย็นสงบ แต่แววตาแฝงความสั่นไหวที่พยายามเก็บซ่อน“ซูเหยา…”เสียงเขาเรียกขานชื่อนาง แผ่วเบาราวกับกลัวว่า หากดังเกินไป ความฝันนี้จะสลายไปในหิมะ ซูเหยากัดริมฝีปาก เลือดซึมออกมา นางสั่นสะท้านทั้งร่าง น้ำตารินลงพร้อมกับเกล็ดหิมะ“องค์ชาย ท่านจำได้หรือไม่ ว่าครั้งหนึ่ง ข้าเคยรักท่าน” เสียงของนางพร่าแผ่ว แต่ทุกคำคือคมดาบที่ฝังลึกลงกลางใจองค์ชายเหยียนเจิ้งหลับตาแน่น ราวกับถูกแทงกลางอก เขาเอื้อมมือออกมาแต่ถูกซูเหยาปัดออก“แต่วันนี้ ” ซูเหยาก้าวถอย ดวงตาแข็งกร้าว “ท่านคือศัตรูของข้า ไม่เพียงในความจริง หากแม้แต่ในหัวใจก็ใช่!”เลือดในอดีต ความตายของตระกูลหลานทั้งตระกูล ความทรยศซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกสิ่งตะโกนบอกนางว่า ความรักคือพิษร้าย องค์ชายเหยียนเจิ้งกัดฟัน ดวงตาสั่นระริกเต็มไปด้วยความเจ็
สายลมหนาวพัดผ่านท้องพระโรงที่ว่างเปล่า เงาเปลวคบเพลิงสั่นไหวราวจะดับลงทุกขณะ หลังเหตุการณ์ที่เหล่าทหารบุกเข้ามาแล้วถอยไป ความเงียบสงัดกลับปกคลุม ทว่าในอกของหลานซูเหยากลับเต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึง นางยังคงจ้ององค์ชายเหยียนเจิ้งด้วยดวงตาสั่นระริก ไม่รู้ว่าควรเชื่อถ้อยคำของเขาหรือไม่องค์ชายเหยียนเจิ้งเดินเข้าใกล้ช้า ๆ ดวงตาคมปลาบทอประกายที่ต่างไปจากทุกครั้ง“เจ้ารู้หรือไม่อาเหยา ว่าข้ารู้ตัวตนเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าเป็นใคร”ซูเหยาชะงักราวถูกตบกลางใบหน้า “ทะ...ท่านรู้หรือ?”“ใช่” เสียงของเขาแผ่วแต่หนักแน่น“คืนที่เจ้าถูกส่งเข้าวังในนามนางกำนัล ข้ารู้ตั้งแต่นาทีแรกว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ดวงตาคู่นั้น เจ้าคิดหรือว่าข้าจะลืมหรือ?”ความทรงจำเก่า ๆ พุ่งวาบขึ้นมา ราวกับบาดแผลที่ถูกกระชากปิดผ้าพันแผลออก ซูเหยากำหมัดแน่น เลือดแทบจะไหลออกจากฝ่ามือ“หากท่านรู้ เหตุใดจึงไม่เปิดโปงข้าเสียแต่แรก?”องค์ชายเหยียนเจิ้งยิ้มบาง แต่เต็มไปด้วยความขมขื่น“เพราะหากข้าเปิดโปง เจ้าจะตายทันที แต่ถ้าข้าเงียบ อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีลมหายใจอยู่ตรงนี้”เสียงนางสั่นเครือ “แล้วทั้งหมดที่ผ่านมา ท่านเฝ้ามองข้าเงียบ ๆ อย่าง