สายลมอ่อนพัดพาใบเหมยปลิดปลิวกลางลานกว้างของตำหนักบรรณาการ รุ่งอรุณวันใหม่ค่อย ๆ เคลื่อนมาถึง แต่ภายในใจของข้ากลับยังว้าวุ่นไม่คลาย หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ที่องค์ชายเหยียนเจิ้งเดินเข้ามาใกล้เกินกว่าที่ควรจะเป็น
ข้าในนามอวี้เหยากำลังก้มหน้ากวาดพื้นด้วยท่าทีเรียบง่ายเหมือนนางกำนัลทั่วไป แต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับถูกพันธนาการด้วยความคิดมากมายที่วนเวียนอยู่ในใจ
“ทำไมเขาจึงจำทำนองเพลงนั้นได้? หรือว่าเขาเกี่ยวข้องกับตระกูลหลานของข้ากันนะ?”
คำถามนี้กัดกินหัวใจจนแทบไม่อาจหายใจเต็มปอด ข้าไม่ควรหวั่นไหว ไม่ควรตั้งคำถาม แต่แววตาที่เขามองมาเมื่อคืน มันไม่ใช่สายตาของศัตรูเลย
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ข้าหยุดกวาดกะทันหัน ก่อนจะเงยหน้าช้า ๆ องค์ชายเหยียนเจิ้งปรากฏกายอยู่ตรงนั้นในชุดคลุมยาวสีดำปักลายมังกรเงิน ความสง่างามและอำนาจแผ่ซ่านจนแม้แต่ลมก็หยุดนิ่ง
“นางกำนัลอวี้เหยา”
เขาเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาคมจับจ้องข้าไม่คลาด หัวใจข้าสะท้าน ทำไมทุกครั้งที่เขาเรียกชื่อ ข้าถึงรู้สึกเหมือนเสียงนั้นแทงทะลุถึงวิญญาณ?
“เพคะ องค์ชายมีสิ่งใดให้รับใช้หรือไม่เพคะ”
ข้าคุกเข่าลง แสร้งทำเป็นนางกำนัลต่ำต้อยไร้พิษสง องค์ชายเหยียนเจิ้งก้าวเข้ามาใกล้ จนเงาของเขาโอบล้อมร่างข้า
“เมื่อคืน เพลงนั้นที่เจ้าเล่น เจ้าไปเรียนจากที่ใด?”
เลือดในกายข้าแทบหยุดไหลทันที ดวงตาหลุบต่ำ ไม่กล้าสบสายตาที่แหลมคมราวกับจะทะลุความลับในใจ ข้าได้แต่กัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะตอบเสียงสั่น
“เป็นเพลงที่หม่อมฉันเคยได้ยินจากคนเฒ่าในหมู่บ้าน ไม่ได้สำคัญอันใดเพคะ”
องค์ชายเหยียนเจิ้งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะย่อตัวลงจนสายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับข้า แววตาคู่นั้นสะท้อนเงาของข้าเต็มดวง ราวกับจะสะกดไม่ให้หนีไปไหนได้อีก
“นางกำนัลเช่นเจ้า เหตุใดถึงเล่นเพลงที่สูญหายไปพร้อมกับตระกูลหลานได้กันเล่า?”
หัวใจข้าสะดุดวูบใหญ่ เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มแผ่นหลัง ความลับที่เก็บงำมานานกำลังถูกฉีกเปิดออกทีละน้อย โดยคนที่ไม่ควรเกี่ยวข้อง แต่เหตุใดสายตาของเขาที่จ้องมองข้า ถึงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนปนเจ็บปวดนัก?
ข้าพยายามเตือนตนเองในใจว่า “เขาคือศัตรู... เขาคือศัตรู!”
แต่พันธนาการในหัวใจ กลับเริ่มหนาแน่นขึ้นทุกขณะ...
สายตาคมกริบราวดาบที่ส่องตรงเข้ามาไม่ให้ข้าหลบเลี่ยงได้ องค์ชายเหยียนเจิ้งโน้มตัวเข้ามาใกล้เสียจนได้ยินเสียงลมหายใจชัดถ้อยชัดคำ ความเย็นเยียบจากแววตาเขาปะปนกับแรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างสูงสง่า ข้ารู้สึกเหมือนถูกตรึงเอาไว้กับพื้น ไม่ต่างอะไรจากเหยื่อที่ติดอยู่ในกับดักของผู้ล่า
“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือว่าเพลงนั้นเจ้าฟังมาโดยบังเอิญ?”
เสียงของเขาทุ้มต่ำและเต็มไปด้วยการกดดัน ริมฝีปากข้าแห้งผาก ข้าพยายามบังคับเสียงตนเองให้นิ่งที่สุด
“หม่อมฉันเป็นเพียงนางกำนัลต่ำต้อยผู้หนึ่ง จะไปรู้เรื่องราวใหญ่โตอันใดได้เล่าเพคะ เพลงนั้นเพียงติดหูมาตั้งแต่เยาว์วัยก็เท่านั้น”
ดวงตาคมยังคงจับจ้องมาที่ข้าไม่ละแม้เพียงชั่วกะพริบตา ราวกับจะค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องลึก ข้าสะกดใจไม่ให้สั่นสะท้าน แต่มือที่กำชายเสื้อกลับเผลอสั่นไหวจนเห็นได้ชัด องค์ชายเหยียนเจิ้งยื่นมือออกมาอย่างกะทันหัน ปลายนิ้วเรียวยาวแตะลงบนคางของข้า บังคับให้เงยหน้าขึ้นสบสายตา หัวใจข้าเต้นกระหน่ำ ดวงตาทั้งคู่สอดประสานกัน และข้าเห็นเงาสะท้อนของตนเองในนัยน์ตาของเขาอย่างชัดเจน
“นางกำนัลอวี้เหยา” เขาเอ่ยช้า ๆ “เจ้ามีสิ่งใดซ่อนเร้นอยู่ใช่หรือไม่”
ข้าอยากจะตะโกนปฏิเสธ อยากจะปัดมือเขาออก แต่แรงที่กดตรึงกลับหนักแน่นเกินไป และความใกล้ชิดเกินควรนี้ก็ทำให้ข้ารู้สึกถึงความร้อนวาบที่แล่นขึ้นสองข้างแก้ม
“หม่อมฉันไม่เคยมีสิ่งใดต้องปกปิดเพคะ” ข้าฝืนตอบเสียงสั่นเครือ
องค์ชายเหยียนเจิ้งเพียงแค่นยิ้มเล็กน้อย มุมปากโค้งขึ้นแต่สายตากลับเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและนัยยะที่อ่านไม่ออก เขาละปลายนิ้วออกช้า ๆ แต่แววตายังคงตรึงอยู่ที่ใบหน้าของข้า
“เจ้าจะโกหกข้าได้สักกี่ครั้งกัน” เขาพึมพำเบา ๆ แต่ชัดพอให้ได้ยิน
ข้าสะท้านไปทั้งร่าง ความลับที่เก็บซ่อนไว้ราวกับกำลังถูกคลี่ออกทีละชั้น และทุกคำพูดของเขาก็เหมือนพันธนาการที่กระชับแน่นรอบหัวใจ
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าของขันทีดังแทรกขึ้นจากหน้าตำหนัก
“องค์ชาย! ถึงเวลาทรงเข้าร่วมประชุมพระราชสำนักแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายเหยียนเจิ้งผละสายตาไปเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเหลือบมองข้าอีกครั้งอย่างแฝงความหมาย
“ไว้ข้าจะหาคำตอบจากเจ้าให้ได้”
แล้วร่างสูงก็หันหลัง ก้าวยาว ๆ ออกไป ทิ้งข้าไว้กับหัวใจที่สั่นไหวและความลับที่ใกล้แตกหักเต็มที ข้ายกมือกุมอก รู้สึกได้ว่าความหวาดหวั่นนั้น ไม่ได้เกิดจากความกลัวว่าจะถูกเปิดเผยเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ยากจะยอมรับกำลังเติบโตขึ้นในใจของข้าเองด้วย เสียงฝีเท้าขององค์ชายเหยียนเจิ้งเลือนหายไปพร้อมกับเหล่าขันที ข้าได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตนเองที่ยังเต้นรัวสะท้อนอยู่ในหู คล้ายกลองศึกที่ไม่อาจสงบลงได้ง่าย ๆ
ข้าทรุดนั่งลงช้า ๆ บนเก้าอี้ไม้ ดวงตายังจ้องไปที่ประตูใหญ่ราวกับเฝ้ารอให้เขาหันกลับมาอีกครั้ง แต่สิ่งที่เหลือไว้กลับมีเพียงเงาว่างเปล่า
“เหตุใดหัวใจถึงได้วุ่นวายเช่นนี้”
ข้าพึมพำเสียงสั่น ก่อนยกมือกุมอกตนเอง ความรู้สึกที่ผสมปนเปกันระหว่างความหวาดกลัว ความกังวล และบางสิ่งที่ไม่อาจเอ่ยออกมา ยามนั้น เสียงฝีเท้าแผ่วเบาของสตรีดังเข้ามาแทนที่
“คุณหนู”
นั่นเป็นเสียงของ ซิ่วอวิ๋น นางสาวใช้คนสนิทที่ติดตามข้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ซึ่งเป็นอีกคนที่หนีรอดมาได้จากเหตุการณ์ฆ่าล้างตระกูลหลาน นางเองก็ปลอมตัวมาเป็นนางกำนัลเช่นเดียวกันกับข้า
“เหตุใดหน้าคุณหนูจึงซีดเผือดถึงเพียงนี้เจ้าคะ เกิดอะไรขึ้นหรือไม่?”
นางถาม พลางรีบเข้ามาประคองแขน ข้าสะดุ้งเฮือก รีบฝืนยิ้ม
“ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่รู้สึกอากาศในห้องอึดอัดไปหน่อยเท่านั้น”
ซิ่วอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ข้าเห็นเมื่อครู่ องค์ชายเหยียนเจิ้งเสด็จมาทรงสนทนากับคุณหนูมิใช่หรือเจ้าคะ”
ถ้อยคำที่ไม่ทันระวังของนางเหมือนคมมีดทิ่มแทงเข้าในใจ ข้ารีบส่ายศีรษะ
“อย่าเอ่ยถึงเลย ข้าไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าเราได้สนทนากัน”
นางเม้มริมฝีปาก สีหน้าลังเล แต่ก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“ข้าจะไม่ปริปากเรื่องนี้แก่ผู้ใดเจ้าค่ะ”
แต่อย่างไรเสีย ความจริงก็คือยิ่งข้าพยายามจะหลีกเลี่ยง เขากลับยิ่งรุกล้ำเข้ามาไม่หยุด ราวกับเงาดำที่ไม่อาจสลัดทิ้งได้ คืนนั้นข้านอนไม่หลับเลย ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางฟากฟ้า แสงเงินสาดเข้ามาในห้อง เงาไม้ที่โยกไหวบนผนังดูประหนึ่งพันธนาการที่พันรัดหัวใจเอาไว้แน่นหนา
“องค์ชายเหยียนเจิ้ง...”
ข้ากัดริมฝีปากแน่น เสียงเรียกขานนี้แม้ไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมาดัง ๆ แต่กลับก้องสะท้อนอยู่ภายในจิตใจอย่างไม่อาจห้ามได้ ข้ากำลังติดอยู่ในเงามืดของเขา เงาที่มิใช่เพียงเพราะความลับ หากแต่เป็นพันธนาการในหัวใจที่นับวันยิ่งฝังลึก
รุ่งอรุณวันถัดมา เสียงกลองประจำยามดังขึ้นทั่ววังหลวง ข้าลุกขึ้นจากที่นอนทั้งที่ยังไม่ได้นอนหลับเต็มตา ร่างกายเหนื่อยล้า แต่ในหัวใจกลับว้าวุ่นยิ่งนัก
ข้าสวมชุดนางกำนัลอย่างเรียบง่าย ก่อนจะออกไปยังลานใหญ่เพื่อเข้าหน้าที่ตามปกติ ทว่าไม่ว่าข้าจะก้าวเท้าไปที่ใด ภาพเงาขององค์ชายเหยียนเจิ้งกลับตามหลอกหลอนอยู่เสมอ เสียงของเขาเมื่อคืนยังคงก้องในใจ
“นางกำนัลเช่นเจ้า เหตุใดถึงเล่นเพลงที่สูญหายไปพร้อมกับตระกูลหลานได้กันเล่า?”
หัวใจข้าหวั่นไหวหนักหนา แม้พยายามบอกตนเองซ้ำ ๆ ว่าเขาคือศัตรู แต่สายตาที่เขามองมา กลับทำให้ข้าไม่อาจเชื่อในคำพูดของตัวเองได้อีก
คืนนั้น ข้าเดินกลับเรือนพักอย่างเงียบเชียบ ผ่านสวนดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่ง กลีบดอกบางร่วงโรยลงมาบนเส้นผม กลับทำให้ข้านึกถึงแววตาอ่อนโยนที่เขามีต่อข้าโดยไม่รู้ตัว
“เหตุใดเงารักนี้ จึงผูกมัดข้าแน่นหนาขนาดนี้”
ข้ากัดฟันสะกดกลั้นไม่ให้หยดน้ำตาร่วง แต่ยิ่งห้ามเท่าใด หัวใจก็ยิ่งเต้นแรงไม่หยุด ซิ่วอวิ๋นซึ่งคอยตามอยู่ด้านหลังก้าวเข้ามาใกล้ เอ่ยเบา ๆ ว่า
“คุณหนู หากท่านยังว้าวุ่นเพียงนี้ เกรงว่าหัวใจท่านจะไม่เป็นของท่านอีกต่อไปแล้วนะเจ้าคะ”
ถ้อยคำนั้นเหมือนสะกิดให้ข้าต้องยอมรับความจริง ใช่แล้ว หัวใจของข้า กำลังถูกพันธนาการโดยศัตรูที่ข้าไม่ควรรัก และนี่เอง คือพันธนาการในหัวใจ ที่กำลังจะนำข้าเข้าสู่หนทางที่ยากจะหวนกลับ...
ฤดูใบไม้ผลิย่างกรายเข้าสู่หุบเขาเล็ก ๆ ทางทิศใต้ กลีบดอกท้อโปรยปรายไปทั่วราวหิมะสีชมพู ฟ้าสีครามแจ่มชัด ราวกับธรรมชาติชดเชยให้ผู้คนที่เคยผ่านความทุกข์ยากได้ลิ้มรสความสงบสุขที่โหยหามาชั่วชีวิตเรือนเล็กที่ปลูกติดริมลำธาร มีเสียงน้ำใสไหลเอื่อย ๆ ขับกล่อมไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของหญิงสาวที่ก้มหน้าอยู่ตรงแปลงผัก“เหยียนเจิ้ง เจ้ามาช่วยข้าเด็ดผักทีสิ นี่มันจะเย็นแล้วนะ”ซูเหยาใส่เสื้อผ้าธรรมดาสีอ่อน มือเล็ก ๆ ยกตะกร้าไม้ขึ้นอย่างระมัดระวัง ผมยาวถูกเกล้าอย่างเรียบง่าย ไม่มีรัดเกล้า ไม่มีหยกงดงามดังเช่นตอนอยู่ในวัง แต่แววตากลับสดใสกว่าที่เคยเป็นเหยียนเจิ้ง บัดนี้ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอำนาจใด ๆ เดินออกมาจากเรือนด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยากในอดีต มือชายหนุ่มหยิบมีดสั้นเล็ก ๆ มาก้มลงช่วยนางตัดผัก“เจ้าสั่งให้ข้าเด็ดผักเหมือนชาวนาเสียจริง” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า แต่สายตาที่ทอดมองนางกลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู“แล้วเจ้าไม่อยากเป็นชาวนาหรือไร” ซูเหยาหัวเราะเบา ๆ ดวงตาเปล่งประกาย“อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่มีเสียงดาบ ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีเพียงเสียงนกกับน้ำไหล ไม่มีเสียงใดมารบกวน”เหยียนเจิ้งหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อ
ข้า ม่ออี้ หากเจ้าอ่านบันทึกนี้ แปลว่าหิมะได้ปิดรอยเท้าของข้าไปแล้ว เสียงโลหะของหน้ากากยังคงเย็น แต่หัวใจที่อยู่ข้างใต้ได้หยุดไหว คืนแรกที่ข้าได้สวมหน้ากากเงิน อาจารย์ใหญ่ถามข้าสั้นนัก“เจ้าชื่ออะไร”ข้าตอบ “ม่ออี้”“ตั้งแต่นี้ชื่อไม่สำคัญ หน้าที่สำคัญกว่า”เสียงโลหะแตะโหนกแก้ม เย็นจนฟันข้ากระทบกัน แต่ความเย็นนั้นกลับทำให้เลือดสงบ ข้าพูดได้เพียงในใจเท่านั้นข้าเติบโตในสำนักอาญาแบบเด็กที่ไม่มีบ้าน ชื่อม่ออี้เป็นเพียงอักษรเดียวที่แม่ปักลงในผ้าเก่าน้อยชิ้นก่อนทิ้งข้าไว้หน้าประตูโบสถ์ที่ท้ายเมือง อาจารย์เก็บข้าขึ้นมา ปล่อยให้เติบโตในเงาของกฎหมายที่ไม่เคยมองหน้าใครในยามลงดาบข้าจึงรู้จักก่อนว่าความเงียบขูดกระดูกอย่างไร คำสั่งหนักกว่าดาบกี่เท่า และชัยชนะของแผ่นดินมักจะเรียกเก็บค่าจากหัวใจของบุคคลเสมอวันนั้น อาจารย์ยื่นหน้ากากให้ข้า ครึ่งใบที่พรากเสี้ยวหน้าไป เสี้ยวหนึ่งที่เหลือของข้าไม่ใช่ของข้าอีกต่อไปข้าเห็นนางครั้งแรกในลานหิมะของเมืองหลวง หลานซูเหยา เด็กหญิงที่ถือพิณใหญ่เกินแขนเล็ก ๆ ของตนเอง เงยหน้ามองควันจากโรงตีเหล็ก ลมหายใจฟุ้งเป็นไอขาว นางยิ้มให้ชายแก่ที่ขายหมั่นโถวนึ่ง แม้ตัวเองจ
หิมะปลายฤดูตกแน่นจนพื้นหินกลายเป็นผ้าขาว เย็นกระทั่งลมหายใจแปรเป็นควันสีจาง ข้าคือ เหยียนเจิ้ง พระโอรสลำดับที่ห้า เด็กชายผู้คุ้นชินกับความเงียบของตำหนักและกฎเกณฑ์ที่ยาวเท่ากำแพงเมืองคืนนั้น ข้าหลบยามออกจากตำหนักเพียงลำพัง ไม่ใช่เพราะใจกล้า หากเพราะเสียงหนึ่งที่ลอดผ่านช่องกำแพงมา เสียงสะอื้นเล็ก ๆ คล้ายลูกนกตกจากรัง ใต้ศาลาร้างตรงแนวพุ่มสน ข้าเห็นร่างเด็กหญิงตัวน้อยนั่งกอดเข่า เสื้อผ้าเปียกน้ำหิมะจนสั่นงัน ริมฝีปากซีดแต่ดวงตายังสว่าง“เจ้าเป็นใคร” ข้าเอ่ยถาม เสียงต่ำเท่าที่เด็กวัยอย่างข้าจะทำได้นางช้อนตาขึ้น “ข้าชื่อ หลานซูเหยา” เสียงแหบพร่า “ข้าหลงทางมาพร้อมกับคนรับใช้ ระหว่างตามขบวนของท่านพ่อเข้ามาในเมืองหลวง”แซ่หลาน แค่ได้ยินก็ทำให้หัวใจข้ากระตุก บิดาของนางคือแม่ทัพหลานที่ผู้คนเอ่ยถึงด้วยความศรัทธา ข้าถอดผ้าคลุมไหล่คลุมให้นางโดยไม่คิด“ตามข้ามา หากเจ้ายังอยู่ที่นี่ คงจะถูกทหารยามลากไป”นางลังเลเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนยกมือเล็ก ๆ เกาะแขนเสื้อข้าแน่น มือเย็นจัดจนข้ารู้สึกเหมือนถูกหิมะจับปลายนิ้ว เราเดินผ่านช่องระบายน้ำเก่าที่คนงานไม่ค่อยใช้ ข้ารู้จักทางเหล่านี้ดีกว่าตำราเรียน เพราะม
องครักษ์ในวังกับทหารหน่วยเงาปะทะกันกลางหิมะ เสียงเหล็กปะทะเหล็กสั้น คม และไม่ยืดยาวตามนิสัยของผู้ล่าที่มาเพื่อฆ่า ไม่ใช่จับ ซูเหยาชักดาบไร้นามออกมา โลหะเย็นแตะฝ่ามือดังชีพจรของผู้ตาย นางเฉือนเส้นเอ็นมือของศัตรูคนหนึ่ง ลากตัวออกจากเส้นยิง เงาหน้ากากเงินก้าวลงจากระเบียง เขาเคลื่อนตัวดุจเงาดาบ คม รวดเร็ว และไร้เสียง“ถอย ซูเหยา ถอย!” เสียงของม่ออี้ลอดผ่านโลหะ “ศัตรูที่แท้จริงอยู่เหนือหัวเรา!”“เจ้าเรียกทุกคนว่าศัตรูมาตลอด” นางสวนกลับ “คืนนี้ข้าจะเลือกเองว่าใครคือผู้ที่ต้องชดใช้กันแน่ ไม่ต้องให้เจ้ามากำกับ!”ลูกศรหัวดำอีกระลอกสาดลง แนวยิงไขว้รูปซวงเหอของสำนักลับทางเหนือ ไม่ใช่กองทัพหลวง ซูเหยาจับจังหวะได้ในครึ่งใจ มีผู้ที่ต้องการให้เราเชือดกันเอง เพื่อปิดปาก เหยียนเจิ้งสะบัดแขนผลักซูเหยาออกให้พ้นวิถี ขณะม่ออี้กระโจนตวัดดาบเฉียง“ฉัวะ!”ลูกศรถูกปัดแตกกลางอากาศ แต่ดอกหนึ่งเฉือนสีข้างเหยียนเจิ้งไป เลือดไหลแทรกผ้าขาวเป็นดอกท้อแดงเพลิง“เหยียนเจิ้ง!” ซูเหยาตะโกน เงื้อมดาบชิดคอศัตรูตรงหน้า ฟันสั้นเดียวหลุดหิมะม่ออี้เสยดาบรับระลอกใหม่ พลางคำรามผ่านหน้ากาก“ตัวล่อไม่ใช่เจ้า แต่คือข้า เขาต้องการใ
เสียงหิมะโปรยปรายกลางคืนหนาวเหน็บ คล้ายสวรรค์จงใจซ้ำเติมหัวใจที่ปริร้าว หลานซูเหยาในชุดสีขาวบริสุทธิ์เปื้อนเลือด ยืนตัวสั่นกลางลานกว้าง ดวงตาที่เคยทอประกายอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่สั่นสะท้านหัวใจผู้มองเบื้องหน้าคือองค์ชายเหยียนเจิ้ง ผู้ที่นางเคยเฝ้าคิดถึงทุกลมหายใจ เขาก้าวออกมาท่ามกลางม่านหิมะ ใบหน้าเย็นสงบ แต่แววตาแฝงความสั่นไหวที่พยายามเก็บซ่อน“ซูเหยา…”เสียงเขาเรียกขานชื่อนาง แผ่วเบาราวกับกลัวว่า หากดังเกินไป ความฝันนี้จะสลายไปในหิมะ ซูเหยากัดริมฝีปาก เลือดซึมออกมา นางสั่นสะท้านทั้งร่าง น้ำตารินลงพร้อมกับเกล็ดหิมะ“องค์ชาย ท่านจำได้หรือไม่ ว่าครั้งหนึ่ง ข้าเคยรักท่าน” เสียงของนางพร่าแผ่ว แต่ทุกคำคือคมดาบที่ฝังลึกลงกลางใจองค์ชายเหยียนเจิ้งหลับตาแน่น ราวกับถูกแทงกลางอก เขาเอื้อมมือออกมาแต่ถูกซูเหยาปัดออก“แต่วันนี้ ” ซูเหยาก้าวถอย ดวงตาแข็งกร้าว “ท่านคือศัตรูของข้า ไม่เพียงในความจริง หากแม้แต่ในหัวใจก็ใช่!”เลือดในอดีต ความตายของตระกูลหลานทั้งตระกูล ความทรยศซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกสิ่งตะโกนบอกนางว่า ความรักคือพิษร้าย องค์ชายเหยียนเจิ้งกัดฟัน ดวงตาสั่นระริกเต็มไปด้วยความเจ็
สายลมหนาวพัดผ่านท้องพระโรงที่ว่างเปล่า เงาเปลวคบเพลิงสั่นไหวราวจะดับลงทุกขณะ หลังเหตุการณ์ที่เหล่าทหารบุกเข้ามาแล้วถอยไป ความเงียบสงัดกลับปกคลุม ทว่าในอกของหลานซูเหยากลับเต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึง นางยังคงจ้ององค์ชายเหยียนเจิ้งด้วยดวงตาสั่นระริก ไม่รู้ว่าควรเชื่อถ้อยคำของเขาหรือไม่องค์ชายเหยียนเจิ้งเดินเข้าใกล้ช้า ๆ ดวงตาคมปลาบทอประกายที่ต่างไปจากทุกครั้ง“เจ้ารู้หรือไม่อาเหยา ว่าข้ารู้ตัวตนเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าเป็นใคร”ซูเหยาชะงักราวถูกตบกลางใบหน้า “ทะ...ท่านรู้หรือ?”“ใช่” เสียงของเขาแผ่วแต่หนักแน่น“คืนที่เจ้าถูกส่งเข้าวังในนามนางกำนัล ข้ารู้ตั้งแต่นาทีแรกว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ดวงตาคู่นั้น เจ้าคิดหรือว่าข้าจะลืมหรือ?”ความทรงจำเก่า ๆ พุ่งวาบขึ้นมา ราวกับบาดแผลที่ถูกกระชากปิดผ้าพันแผลออก ซูเหยากำหมัดแน่น เลือดแทบจะไหลออกจากฝ่ามือ“หากท่านรู้ เหตุใดจึงไม่เปิดโปงข้าเสียแต่แรก?”องค์ชายเหยียนเจิ้งยิ้มบาง แต่เต็มไปด้วยความขมขื่น“เพราะหากข้าเปิดโปง เจ้าจะตายทันที แต่ถ้าข้าเงียบ อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีลมหายใจอยู่ตรงนี้”เสียงนางสั่นเครือ “แล้วทั้งหมดที่ผ่านมา ท่านเฝ้ามองข้าเงียบ ๆ อย่าง