ยามเช้าวันใหม่ ฟ้ายังหม่นด้วยหมอกขาวที่ปกคลุมทั่วเขตวัง ข้า “อวี้เหยา” หรือ “หลานซูเหยา” ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้นามปลอม ค่อย ๆ เดินเข้าสู่ตำหนักฝ่ายในพร้อมกับนางกำนัลคนอื่น ๆ เพื่อจัดเตรียมเครื่องหอมแต่หัวใจข้า ยังไม่อาจสงบลงได้เลย ภาพเมื่อคืนที่องค์ชายเหยียนเจิ้งเอื้อนเอ่ยถามข้าเรื่องบทเพลงยังตรึงแน่นอยู่ในใจ น้ำเสียงเขาแฝงทั้งความสงสัยและความอ่อนโยนที่ไม่ควรมีต่อข้า
“เจ้ามิใช่คนธรรมดา บทเพลงนั้นมิใช่ผู้ใดก็เล่นได้”
ถ้อยคำนั้นราวกับพันธนาการที่กักขังหัวใจของข้าให้ดิ้นรนไม่หลุดพ้น ขณะกำลังจะวางเครื่องหอมลงบนโต๊ะ ข้ากลับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง
“อวี้เหยา เจ้ามากับข้า”
เป็นเสียงของขันทีผู้รับใช้ใกล้ชิดองค์ชายเหยียนเจิ้ง!
เหล่านางกำนัลหันมามองข้าด้วยแววตาประหลาด มีทั้งความอิจฉาและสงสัย แต่ข้าเพียงก้มหน้าน้อมรับ แล้วเดินตามขันทีไปโดยไม่กล้าปริปากถาม ทางเดินทอดยาวไปยังตำหนักจงซิ่วที่สงบเงียบ บรรยากาศราวกับถูกแช่แข็ง ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดจึงถูกเรียกตัว แต่ยิ่งใกล้ถึงหัวใจยิ่งเต้นแรง
เมื่อก้าวเข้าสู่ตำหนัก ข้าเห็นเขา องค์ชายเหยียนเจิ้ง ยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านบานหน้าต่าง ร่างสูงสง่าในชุดคลุมสีดำปักลายมังกรเงิน ใบหน้าคมคายของเขามีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ สายตาคมเข้มนั้นจับจ้องมายังข้าโดยตรง ราวกับจะมองทะลุทุกความลับที่ข้าซ่อนเร้น
“เข้ามาใกล้ ๆ ข้า”
เขากล่าวเสียงเรียบ แต่กลับทำให้หัวใจข้าหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม ข้าเดินเข้าไปใกล้ทีละก้าว ความรู้สึกในใจทั้งหวาดกลัวและหวั่นไหวปะปนกันอย่างห้ามไม่อยู่ เขาเอื้อมมือขึ้น หยิบกลีบดอกเหมยที่ติดอยู่บนไหล่ข้าออก แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า
“เจ้าช่างคล้ายกับใครบางคนที่ข้าไม่เคยลืมได้”
หัวใจข้าร่วงวูบ สายตาพร่ามัวด้วยหมอกน้ำตา แต่ข้ากัดฟันแน่น เพราะเขาคือศัตรู ศัตรูที่ข้าไม่ควรรัก!และนี่คือจุดเริ่มต้นของสายใยที่มิอาจตัดขาดที่แม้จะปฏิเสธเพียงใด ก็ไม่อาจตัดให้ขาดลงได้จริง ๆ ข้ายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าของเขา ความใกล้ชิดนี้ทำให้ลมหายใจของข้าไม่เป็นปกติ แม้พยายามกดความรู้สึกเอาไว้ แต่ยิ่งใกล้ ความจริงก็ยิ่งชัดเจนว่าหัวใจข้าสั่นคลอน
องค์ชายเหยียนเจิ้งก้าวเข้ามาใกล้อีกเพียงครึ่งก้าว กลิ่นอายเย็นเยียบผสมกับกลิ่นสมุนไพรจากอาภรณ์ของเขาลอยมาแตะจมูก ร่างสูงสง่าโน้มตัวลงเล็กน้อย พลางจ้องเข้ามาในดวงตาของข้า
“นางกำนัลอวี้เหยา เจ้าเรียนพิณมาจากที่ใดกันแน่”
เสียงของเขาทุ้มต่ำ แฝงด้วยแรงกดดันที่ทำให้ข้าแทบลืมหายใจ ข้ากัดริมฝีปากแน่น ก่อนตอบเสียงสั่น
“เป็น...เอ่อ...เป็นเพลงที่ได้ยินจากท่านอาจารย์ที่บ้านเกิดเพคะ ไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษ”
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวกับไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้ไล่ถามต่อ ทว่าแววตาที่มองข้ากลับคมลึก ราวกับจะเก็บทุกอากัปกิริยาไว้ในใจ
“งั้นหรือ”
เขาเอ่ยเพียงเท่านั้น แล้วหมุนกายกลับไปนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวที่ปูด้วยพรมสีเข้ม มือเรียวยาวของเขาเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะเบา ๆ
“เช่นนั้นก็เล่นให้ข้าฟังอีกครั้งเถิด ข้าอยากแน่ใจว่าเจ้ายังจำได้ดีแค่ไหน”
หัวใจข้ากระตุกวูบ เหตุใดเขาต้องการให้ข้าเล่นเพลงนั้นอีก เพลงที่เป็นสายใยผูกพันกับตระกูลหลาน เพลงที่ข้าไม่ควรให้ผู้ใดล่วงรู้! แต่เมื่อเห็นแววตาคมเข้มที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ ข้าก็ไม่อาจทำอย่างอื่นได้นอกจากก้มศีรษะรับคำ
ข้าค่อย ๆ นั่งลงตรงพิณที่ถูกเตรียมไว้ มือสั่นเล็กน้อยเมื่อปลายนิ้วแตะสายพิณ ทว่าทันทีที่เสียงดนตรีบรรเลงขึ้น ท่วงทำนองโศกเศร้าก็พรั่งพรูออกมาราวกับหัวใจข้ากำลังร่ำไห้ เสียงพิณก้องกังวานสะท้อนก้องไปทั่วตำหนัก บทเพลงนั้นมิใช่เพียงเสียงดนตรี แต่เป็นเสียงสะท้อนแห่งอดีต ที่ย้ำเตือนถึงความแค้นที่ไม่เคยจางหาย
องค์ชายเหยียนเจิ้งหลับตาลงช้า ๆ ราวกับกำลังปล่อยใจไปกับท่วงทำนองนั้น สีหน้าของเขานิ่งสงบ แต่ข้ากลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดบางอย่างที่เขาซ่อนเอาไว้ เมื่อเสียงสุดท้ายจางหาย เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาคมเข้มสั่นไหวเพียงเล็กน้อย
“อวี้เหยา เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพลงนี้เคยถูกห้ามบรรเลงในวังหลวง”
หัวใจข้าสะดุ้งเฮือก มือแทบปล่อยสายพิณตก
เขารู้!
คำพูดขององค์ชายเหยียนเจิ้งดังสะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาท ข้าแทบหยุดหายใจในวินาทีนั้น
“ถะ...ถูกห้ามหรือ?”
ข้าทวนคำเสียงแผ่ว พยายามทำสีหน้าโง่เขลาเพื่อกลบเกลื่อนความจริงที่ซ่อนเร้น เขาพยักหน้า ดวงตาคมลึกจับจ้องใบหน้าของข้าไม่วาง
“ใช่ เพลงนี้เกี่ยวพันกับตระกูลหลานที่ครั้งหนึ่งเคยคิดกบฏ ตระกูลนั้นสูญสิ้นไปแล้ว แต่บทเพลงกลับยังหลงเหลืออยู่ในโลกนี้ ช่างน่าแปลกยิ่งนัก”
หัวใจของข้าแทบแตกสลาย ทั่วทั้งร่างเหมือนถูกแรงกดมหาศาลกดทับจนแทบหายใจไม่ออก ตระกูลที่เขาพูดถึงก็คือตระกูลหลานของข้านั่นเอง! แต่ในเวลานี้ ข้าต้องฝืนยิ้ม พลางก้มศีรษะลง
“หม่อมฉันไม่รู้เรื่องนี้เลยเพคะ เพียงแต่ท่านอาจารย์สอนให้และบอกว่าเป็นบทเพลงโบราณ ไม่เคยบอกเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลย”
องค์ชายเหยียนเจิ้งจ้องมองข้าเนิ่นนานราวกับจะอ่านความจริงจากแววตา ทว่าไม่นานเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอนหลังลงกับพนักเก้าอี้
“เจ้าดูไม่เหมือนคนโกหก”
เขาพึมพำเสียงแผ่ว แต่สายตายังจับจ้องไม่ปล่อย ความเงียบปกคลุมอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ข้าอยากรู้ว่าเจ้ามีตัวตนเช่นไร บางสิ่งในตัวเจ้าทำให้ข้าไม่อาจละสายตาได้”
ถ้อยคำตรงไปตรงมาเช่นนั้น ทำให้หัวใจข้าแทบหยุดเต้น ไม่ว่าเหตุผลของเขาคืออะไร การที่ถูกจ้องเช่นนี้ก็ทำให้ความลับที่ข้าซ่อนเร้นสั่นคลอน ข้ากัดฟันแน่น บังคับเสียงให้สงบ
“หม่อมฉันเป็นเพียงนางกำนัลเล็ก ๆ หาได้มีสิ่งใดน่าจับตามองไม่เพคะ”
เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายบางอย่างที่ข้าไม่อาจอ่านได้
“บางทีเจ้าอาจยังไม่รู้ตัวก็เป็นได้”
หัวใจข้าสั่นไหวอย่างรุนแรง ใช่แล้ว ความสัมพันธ์นี้ช่างอันตรายเกินไป ทั้งข้าและเขาต่างอยู่บนเส้นทางที่ไม่ควรไขว้ชน แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งผูกพัน และนี่คือสายใยที่ไม่อาจตัดขาดที่เริ่มรัดแน่นขึ้นทุกที
หลังคำพูดขององค์ชายเหยียนเจิ้ง ข้าก็ได้แต่นั่งนิ่ง ลมหายใจติดขัดในอก ความลับที่ข้าปกปิดไว้เหมือนถูกคมดาบจ่อเข้ามาใกล้ทุกที หากพลาดเพียงก้าวเดียว ชีวิตข้าย่อมดับสิ้น
“เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”
เสียงทุ้มของเขาเอ่ยขึ้นในที่สุด น้ำเสียงนั้นมิใช่คำสั่งแข็งกร้าวเช่นเคย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนบางเบา ราวกับเขาไม่ต้องการกดดันข้าไปมากกว่านี้
ข้าก้มศีรษะคำนับ “เพคะ”
เมื่อก้าวออกจากห้อง ทว่าหัวใจกลับยังสั่นไม่หยุด ลมยามค่ำพัดผ่านระเบียงยาว กลิ่นดอกเหมยปลิดปลิวตามสายลม ข้าเงยหน้ามองท้องฟ้าอันมืดมิด สายตาพร่าเลือนด้วยน้ำตาที่ไม่รู้ตัวว่าหยดลงมาเมื่อใด
ทำไมกัน... ทำไมข้าถึงหวั่นไหวได้เพียงนี้?
ทั้งที่เขาคือศัตรู ทั้งที่สายเลือดของตระกูลข้า ถูกคำสั่งของราชวงศ์กำจัดสิ้น แต่เพียงได้สบตา เพียงได้ยินน้ำเสียงที่แฝงความห่วงใย หัวใจข้าก็แทบไม่อาจต้านทานได้
เบื้องหลังในเงามืด นางกำนัลคนสนิทขององค์ชายเหยียนเจิ้งก้าวออกมาอย่างเงียบงัน นางเพียงก้มศีรษะให้ข้า มิได้เอ่ยสิ่งใด แต่สายตาที่มองตามข้ากลับเต็มไปด้วยความสงสัย
ในห้องโถง องค์ชายเหยียนเจิ้งยังคงนั่งนิ่ง เขายกมือขึ้นแตะริมฝีปากเบา ๆ สายตาจับจ้องไปยังพิณที่เพิ่งถูกบรรเลง เสียงเพลงนั้นยังคงก้องอยู่ในใจของเขา
“อวี้เหยา เจ้ามีความลับใดซ่อนอยู่กันแน่” น้ำเสียงแผ่วเบาราวกับคำถามที่เอ่ยกับตนเอง
ค่ำคืนนี้ทั้งเขาและข้าต่างจมอยู่ในความคิดลึกซึ้งที่มิอาจเอื้อนเอ่ยเป็นถ้อยคำ สายใยที่ผูกพัน ไม่อาจตัดขาดได้อีกต่อไป...
ฤดูใบไม้ผลิย่างกรายเข้าสู่หุบเขาเล็ก ๆ ทางทิศใต้ กลีบดอกท้อโปรยปรายไปทั่วราวหิมะสีชมพู ฟ้าสีครามแจ่มชัด ราวกับธรรมชาติชดเชยให้ผู้คนที่เคยผ่านความทุกข์ยากได้ลิ้มรสความสงบสุขที่โหยหามาชั่วชีวิตเรือนเล็กที่ปลูกติดริมลำธาร มีเสียงน้ำใสไหลเอื่อย ๆ ขับกล่อมไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของหญิงสาวที่ก้มหน้าอยู่ตรงแปลงผัก“เหยียนเจิ้ง เจ้ามาช่วยข้าเด็ดผักทีสิ นี่มันจะเย็นแล้วนะ”ซูเหยาใส่เสื้อผ้าธรรมดาสีอ่อน มือเล็ก ๆ ยกตะกร้าไม้ขึ้นอย่างระมัดระวัง ผมยาวถูกเกล้าอย่างเรียบง่าย ไม่มีรัดเกล้า ไม่มีหยกงดงามดังเช่นตอนอยู่ในวัง แต่แววตากลับสดใสกว่าที่เคยเป็นเหยียนเจิ้ง บัดนี้ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอำนาจใด ๆ เดินออกมาจากเรือนด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยากในอดีต มือชายหนุ่มหยิบมีดสั้นเล็ก ๆ มาก้มลงช่วยนางตัดผัก“เจ้าสั่งให้ข้าเด็ดผักเหมือนชาวนาเสียจริง” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า แต่สายตาที่ทอดมองนางกลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู“แล้วเจ้าไม่อยากเป็นชาวนาหรือไร” ซูเหยาหัวเราะเบา ๆ ดวงตาเปล่งประกาย“อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่มีเสียงดาบ ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีเพียงเสียงนกกับน้ำไหล ไม่มีเสียงใดมารบกวน”เหยียนเจิ้งหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อ
ข้า ม่ออี้ หากเจ้าอ่านบันทึกนี้ แปลว่าหิมะได้ปิดรอยเท้าของข้าไปแล้ว เสียงโลหะของหน้ากากยังคงเย็น แต่หัวใจที่อยู่ข้างใต้ได้หยุดไหว คืนแรกที่ข้าได้สวมหน้ากากเงิน อาจารย์ใหญ่ถามข้าสั้นนัก“เจ้าชื่ออะไร”ข้าตอบ “ม่ออี้”“ตั้งแต่นี้ชื่อไม่สำคัญ หน้าที่สำคัญกว่า”เสียงโลหะแตะโหนกแก้ม เย็นจนฟันข้ากระทบกัน แต่ความเย็นนั้นกลับทำให้เลือดสงบ ข้าพูดได้เพียงในใจเท่านั้นข้าเติบโตในสำนักอาญาแบบเด็กที่ไม่มีบ้าน ชื่อม่ออี้เป็นเพียงอักษรเดียวที่แม่ปักลงในผ้าเก่าน้อยชิ้นก่อนทิ้งข้าไว้หน้าประตูโบสถ์ที่ท้ายเมือง อาจารย์เก็บข้าขึ้นมา ปล่อยให้เติบโตในเงาของกฎหมายที่ไม่เคยมองหน้าใครในยามลงดาบข้าจึงรู้จักก่อนว่าความเงียบขูดกระดูกอย่างไร คำสั่งหนักกว่าดาบกี่เท่า และชัยชนะของแผ่นดินมักจะเรียกเก็บค่าจากหัวใจของบุคคลเสมอวันนั้น อาจารย์ยื่นหน้ากากให้ข้า ครึ่งใบที่พรากเสี้ยวหน้าไป เสี้ยวหนึ่งที่เหลือของข้าไม่ใช่ของข้าอีกต่อไปข้าเห็นนางครั้งแรกในลานหิมะของเมืองหลวง หลานซูเหยา เด็กหญิงที่ถือพิณใหญ่เกินแขนเล็ก ๆ ของตนเอง เงยหน้ามองควันจากโรงตีเหล็ก ลมหายใจฟุ้งเป็นไอขาว นางยิ้มให้ชายแก่ที่ขายหมั่นโถวนึ่ง แม้ตัวเองจ
หิมะปลายฤดูตกแน่นจนพื้นหินกลายเป็นผ้าขาว เย็นกระทั่งลมหายใจแปรเป็นควันสีจาง ข้าคือ เหยียนเจิ้ง พระโอรสลำดับที่ห้า เด็กชายผู้คุ้นชินกับความเงียบของตำหนักและกฎเกณฑ์ที่ยาวเท่ากำแพงเมืองคืนนั้น ข้าหลบยามออกจากตำหนักเพียงลำพัง ไม่ใช่เพราะใจกล้า หากเพราะเสียงหนึ่งที่ลอดผ่านช่องกำแพงมา เสียงสะอื้นเล็ก ๆ คล้ายลูกนกตกจากรัง ใต้ศาลาร้างตรงแนวพุ่มสน ข้าเห็นร่างเด็กหญิงตัวน้อยนั่งกอดเข่า เสื้อผ้าเปียกน้ำหิมะจนสั่นงัน ริมฝีปากซีดแต่ดวงตายังสว่าง“เจ้าเป็นใคร” ข้าเอ่ยถาม เสียงต่ำเท่าที่เด็กวัยอย่างข้าจะทำได้นางช้อนตาขึ้น “ข้าชื่อ หลานซูเหยา” เสียงแหบพร่า “ข้าหลงทางมาพร้อมกับคนรับใช้ ระหว่างตามขบวนของท่านพ่อเข้ามาในเมืองหลวง”แซ่หลาน แค่ได้ยินก็ทำให้หัวใจข้ากระตุก บิดาของนางคือแม่ทัพหลานที่ผู้คนเอ่ยถึงด้วยความศรัทธา ข้าถอดผ้าคลุมไหล่คลุมให้นางโดยไม่คิด“ตามข้ามา หากเจ้ายังอยู่ที่นี่ คงจะถูกทหารยามลากไป”นางลังเลเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนยกมือเล็ก ๆ เกาะแขนเสื้อข้าแน่น มือเย็นจัดจนข้ารู้สึกเหมือนถูกหิมะจับปลายนิ้ว เราเดินผ่านช่องระบายน้ำเก่าที่คนงานไม่ค่อยใช้ ข้ารู้จักทางเหล่านี้ดีกว่าตำราเรียน เพราะม
องครักษ์ในวังกับทหารหน่วยเงาปะทะกันกลางหิมะ เสียงเหล็กปะทะเหล็กสั้น คม และไม่ยืดยาวตามนิสัยของผู้ล่าที่มาเพื่อฆ่า ไม่ใช่จับ ซูเหยาชักดาบไร้นามออกมา โลหะเย็นแตะฝ่ามือดังชีพจรของผู้ตาย นางเฉือนเส้นเอ็นมือของศัตรูคนหนึ่ง ลากตัวออกจากเส้นยิง เงาหน้ากากเงินก้าวลงจากระเบียง เขาเคลื่อนตัวดุจเงาดาบ คม รวดเร็ว และไร้เสียง“ถอย ซูเหยา ถอย!” เสียงของม่ออี้ลอดผ่านโลหะ “ศัตรูที่แท้จริงอยู่เหนือหัวเรา!”“เจ้าเรียกทุกคนว่าศัตรูมาตลอด” นางสวนกลับ “คืนนี้ข้าจะเลือกเองว่าใครคือผู้ที่ต้องชดใช้กันแน่ ไม่ต้องให้เจ้ามากำกับ!”ลูกศรหัวดำอีกระลอกสาดลง แนวยิงไขว้รูปซวงเหอของสำนักลับทางเหนือ ไม่ใช่กองทัพหลวง ซูเหยาจับจังหวะได้ในครึ่งใจ มีผู้ที่ต้องการให้เราเชือดกันเอง เพื่อปิดปาก เหยียนเจิ้งสะบัดแขนผลักซูเหยาออกให้พ้นวิถี ขณะม่ออี้กระโจนตวัดดาบเฉียง“ฉัวะ!”ลูกศรถูกปัดแตกกลางอากาศ แต่ดอกหนึ่งเฉือนสีข้างเหยียนเจิ้งไป เลือดไหลแทรกผ้าขาวเป็นดอกท้อแดงเพลิง“เหยียนเจิ้ง!” ซูเหยาตะโกน เงื้อมดาบชิดคอศัตรูตรงหน้า ฟันสั้นเดียวหลุดหิมะม่ออี้เสยดาบรับระลอกใหม่ พลางคำรามผ่านหน้ากาก“ตัวล่อไม่ใช่เจ้า แต่คือข้า เขาต้องการใ
เสียงหิมะโปรยปรายกลางคืนหนาวเหน็บ คล้ายสวรรค์จงใจซ้ำเติมหัวใจที่ปริร้าว หลานซูเหยาในชุดสีขาวบริสุทธิ์เปื้อนเลือด ยืนตัวสั่นกลางลานกว้าง ดวงตาที่เคยทอประกายอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่สั่นสะท้านหัวใจผู้มองเบื้องหน้าคือองค์ชายเหยียนเจิ้ง ผู้ที่นางเคยเฝ้าคิดถึงทุกลมหายใจ เขาก้าวออกมาท่ามกลางม่านหิมะ ใบหน้าเย็นสงบ แต่แววตาแฝงความสั่นไหวที่พยายามเก็บซ่อน“ซูเหยา…”เสียงเขาเรียกขานชื่อนาง แผ่วเบาราวกับกลัวว่า หากดังเกินไป ความฝันนี้จะสลายไปในหิมะ ซูเหยากัดริมฝีปาก เลือดซึมออกมา นางสั่นสะท้านทั้งร่าง น้ำตารินลงพร้อมกับเกล็ดหิมะ“องค์ชาย ท่านจำได้หรือไม่ ว่าครั้งหนึ่ง ข้าเคยรักท่าน” เสียงของนางพร่าแผ่ว แต่ทุกคำคือคมดาบที่ฝังลึกลงกลางใจองค์ชายเหยียนเจิ้งหลับตาแน่น ราวกับถูกแทงกลางอก เขาเอื้อมมือออกมาแต่ถูกซูเหยาปัดออก“แต่วันนี้ ” ซูเหยาก้าวถอย ดวงตาแข็งกร้าว “ท่านคือศัตรูของข้า ไม่เพียงในความจริง หากแม้แต่ในหัวใจก็ใช่!”เลือดในอดีต ความตายของตระกูลหลานทั้งตระกูล ความทรยศซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกสิ่งตะโกนบอกนางว่า ความรักคือพิษร้าย องค์ชายเหยียนเจิ้งกัดฟัน ดวงตาสั่นระริกเต็มไปด้วยความเจ็
สายลมหนาวพัดผ่านท้องพระโรงที่ว่างเปล่า เงาเปลวคบเพลิงสั่นไหวราวจะดับลงทุกขณะ หลังเหตุการณ์ที่เหล่าทหารบุกเข้ามาแล้วถอยไป ความเงียบสงัดกลับปกคลุม ทว่าในอกของหลานซูเหยากลับเต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึง นางยังคงจ้ององค์ชายเหยียนเจิ้งด้วยดวงตาสั่นระริก ไม่รู้ว่าควรเชื่อถ้อยคำของเขาหรือไม่องค์ชายเหยียนเจิ้งเดินเข้าใกล้ช้า ๆ ดวงตาคมปลาบทอประกายที่ต่างไปจากทุกครั้ง“เจ้ารู้หรือไม่อาเหยา ว่าข้ารู้ตัวตนเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าเป็นใคร”ซูเหยาชะงักราวถูกตบกลางใบหน้า “ทะ...ท่านรู้หรือ?”“ใช่” เสียงของเขาแผ่วแต่หนักแน่น“คืนที่เจ้าถูกส่งเข้าวังในนามนางกำนัล ข้ารู้ตั้งแต่นาทีแรกว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ดวงตาคู่นั้น เจ้าคิดหรือว่าข้าจะลืมหรือ?”ความทรงจำเก่า ๆ พุ่งวาบขึ้นมา ราวกับบาดแผลที่ถูกกระชากปิดผ้าพันแผลออก ซูเหยากำหมัดแน่น เลือดแทบจะไหลออกจากฝ่ามือ“หากท่านรู้ เหตุใดจึงไม่เปิดโปงข้าเสียแต่แรก?”องค์ชายเหยียนเจิ้งยิ้มบาง แต่เต็มไปด้วยความขมขื่น“เพราะหากข้าเปิดโปง เจ้าจะตายทันที แต่ถ้าข้าเงียบ อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีลมหายใจอยู่ตรงนี้”เสียงนางสั่นเครือ “แล้วทั้งหมดที่ผ่านมา ท่านเฝ้ามองข้าเงียบ ๆ อย่าง