ยามเช้าของวังหลวงถูกโอบล้อมด้วยม่านหมอกจาง แสงอาทิตย์ลอดผ่านยอดหลังคามังกรทองระยับจับตา ข้าก้าวเดินไปตามระเบียงยาวของตำหนักรับใช้ พลางก้มหน้าถือพานชาอย่างระวัง แต่ใจกลับเต็มไปด้วยความว้าวุ่น ทุกฝีก้าวยังคงสะท้อนถ้อยคำขององค์ชายเหยียนเจิ้งเมื่อคืนวาน
“ข้าจะจับตาดูเจ้า”
คำพูดเรียบง่าย หากกลับหนักหน่วงยิ่งกว่าดาบคม ข้าไม่รู้เลยว่าเป็นเพียงการข่มขู่ หรือเป็นการเตือนลึก ๆ ที่ซ่อนความหมายบางอย่างเอาไว้
“อวี้เหยา เจ้าทำอะไรเหม่อ ๆ อีกแล้วหรือ”
เสียงกระซิบของนางกำนัลรุ่นพี่ดังขึ้นด้านหลัง
ข้าสะดุ้ง รีบยกยิ้มกลบเกลื่อน “เปล่าหรอก ก็เพียงแค่คิดเรื่องงานวันนี้เท่านั้น”
นางหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้า “เจ้าจะได้ไปตำหนักเยว่หยู วันนี้มีการจัดดนตรีถวายพระสนม ข้าได้ยินว่าองค์ชายห้าก็จะเสด็จไปร่วมด้วย”
หัวใจข้าสะดุ้งวาบแทบตกพานชา แต่ริมฝีปากกลับฝืนตอบรับสั้น ๆ
“จริงหรือ”
ยามบ่าย เสียงพิณขับกล่อมดังคลอไปทั่วตำหนักเยว่หยู พระสนมเอกกับเหล่าขุนนางผู้ใหญ่พากันนั่งเรียงราย ข้าเป็นเพียงนางกำนัลเล็ก ๆ คอยเดินยกน้ำชาอยู่ข้างหลัง แต่ในทุกย่างก้าว ความรู้สึกแปลกประหลาดกลับกดทับอยู่กลางอก และแล้วเสียงทุ้มเย็นของผู้ใดผู้หนึ่งก็ดังขึ้นจากมุมสูงของห้องโถง
“เพลงนี้ ข้าจำได้ว่ามีคนเคยเล่นให้ฟังเมื่อสิบปีก่อน”
ข้าชะงัก หันไปตามเสียงนั้นอย่างไม่ตั้งใจ ดวงตาคมลึกที่สะท้อนแสงพิณหันมาสบตาข้าอีกครั้ง องค์ชายเหยียนเจิ้ง ข้าเผลอกำชายเสื้อแน่น รู้สึกว่าความลับในอดีตของตนกำลังถูกดึงขึ้นมาจากเงามืดทีละน้อย เสียงพิณยังดำเนินต่อ แต่หัวใจของข้ากลับเต้นแรงเสียยิ่งกว่าเสียงดนตรี
ข้ารู้แล้วว่า ต่อให้พยายามปกปิดเพียงใด ก็ไม่อาจหลบหนีเงานี้ไปได้อีก ข้ายืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างหลังแถวของนางกำนัล ร่างกายแข็งเกร็งจนแทบไม่กล้าขยับ ดวงตาคมขององค์ชายเหยียนเจิ้งทอดมามิใช่เพียงผ่าน ๆ หากแต่ตรึงแนบแน่น ราวกับต้องการล้วงลึกเข้าไปในความลับที่ข้าซ่อนเอาไว้ เสียงพิณยังดำเนินไปอย่างงดงาม พระสนมเอกหัวเราะเบา ๆ พลางยกถ้วยสุราขึ้นจิบ
“องค์ชายทรงมีหูทิพย์แท้ ถึงจำได้ว่าทำนองนี้เคยมีคนบรรเลง”
องค์ชายเหยียนเจิ้งเพียงยกยิ้มมุมปาก ดวงตายังไม่ละจากข้า
“บางครั้งเสียงดนตรีก็มิได้หายไปจากความทรงจำง่าย ๆ หากผู้ที่บรรเลงมีความหมายต่อหัวใจ”
คำพูดของเขาเหมือนจะกล่าวกว้าง ๆ แต่ทุกถ้อยกลับกระแทกตรงเข้ากลางอกข้า หัวใจสั่นสะท้าน ราวกับเขากำลังพูดถึงข้าเพียงผู้เดียว
“นางกำนัลนั่น ชื่ออวี้เหยาหรือ” เสียงองค์ชายเอ่ยขึ้นกะทันหัน ข้าเผลอเงยหน้าอย่างตื่นตระหนก
“เจ้า เข้ามายกสุราให้ข้า”
ทุกสายตาในตำหนักหันมามองเป็นตาเดียว ข้าก้าวเท้าออกไปด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย ยกถาดสุราขึ้นสูงประหนึ่งแบกรับภูเขาลูกใหญ่
“ถวายสุราเพคะ” ข้าก้มหน้ากล่าวเสียงเบา
องค์ชายรับถ้วยไปช้า ๆ ปลายนิ้วเขาเฉียดกับหลังมือข้าเพียงนิด แต่กลับเหมือนแผดเผาผิวเนื้อจนร้อนลามทั้งแขน
“อวี้เหยา...” เขาเอ่ยชื่อข้าอย่างชัดถ้อย ก่อนจะจิบสุราเพียงครึ่ง
“ชื่อช่างไพเราะราวหยกขาว ข้าเคยได้ยินนานแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสได้เห็นตัวจริงในวันนี้”
เสียงหัวใจข้าดังก้องจนกลบทุกทำนองพิณ หญิงสาวนางหนึ่งในหมู่สนมแอบหัวเราะพลางเอ่ยเย้า
“หรือว่าองค์ชายกำลังหมายตานางกำนัลน้อยผู้นี้อยู่หรือ?”
ข้าแทบอยากจมหายไปกับพื้นหินอ่อนตรงนั้น แต่ใบหน้าคมเข้มกลับเพียงโค้งยิ้มบาง รอยยิ้มที่อ่านไม่ออกว่าแท้จริงแล้วแฝงด้วยอะไร เงาขององค์ชายเหยียนเจิ้งกำลังโอบล้อมเข้ามาทีละน้อย และต่อให้ใจข้าพยายามดิ้นรนเพียงใด ก็ดูเหมือนจะไม่อาจหลบหนีได้อีกแล้ว
เสียงหัวเราะแผ่วเบาจากเหล่าสนมดังสะท้อนทั่วโถงดนตรี แต่สำหรับข้า มันกลับเป็นเพียงเสียงเลือนรางที่ห่างไกล สิ่งที่ข้าได้ยินชัดเจนที่สุดคือเสียงหัวใจตนเองที่เต้นกระหน่ำไม่หยุด ข้าก้มหน้าลงต่ำ พยายามปิดบังความหวั่นไหวในดวงตา ก่อนจะถอยกลับไปยืนในตำแหน่งเดิมอย่างเงียบงัน หากแต่สายตาคมคู่นั้นยังคงติดตามมาจนถึงปลายเส้นผม ราวกับจะบังคับให้ข้าสารภาพบางสิ่งออกมา ยามงานเลิกรา ข้ากำลังเก็บพานเครื่องชาอยู่อย่างระมัดระวัง จู่ ๆ เงาร่างสูงก้าวมาหยุดตรงหน้า
“อวี้เหยา” เสียงทุ้มก้องต่ำดังขึ้นในความเงียบของระเบียง
ข้าเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ ดวงตาขององค์ชายเหยียนเจิ้งใกล้เสียจนเห็นเงาตนเองสะท้อนในนั้น เขายื่นมือมาเหมือนจะช่วยรับพานจากข้า แต่กลับหยุดกลางอากาศ ริมฝีปากโค้งยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เจ้ายังบรรเลงพิณได้อยู่หรือไม่”
หัวใจข้าสะท้านอย่างแรง นิ้วแทบปล่อยพานหล่น เสียงนั้นช่างเหมือนการรื้อฟื้นอดีตที่ข้าซ่อนไว้ไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้
“หม่อมฉันไม่เคยเรียนพิณเพคะ” ข้าตอบพลางก้มต่ำ ใช้เสียงเรียบปิดบังความปั่นป่วน
องค์ชายก้าวเข้ามาใกล้อีก ริมฝีปากของเขาโน้มลงมาข้างหูข้า เสียงพร่ำเบาราวกับสายลมแต่หนักแน่นพอให้หัวใจแทบหลุดออกมา
“โกหกเก่งไม่เบาเลยนะ อวี้เหยา ข้าจำได้ดี เสียงนั้นเป็นของเจ้าแน่นอน”
ข้าเม้มริมฝีปากแน่นจนแทบเจ็บ เลือดในกายไหลเวียนรวดเร็ว ความลับที่ข้าพยายามซุกซ่อนมาหลายปี กำลังจะถูกเขาเปิดโปงโดยง่ายดายเช่นนั้นหรือ? ก่อนที่ข้าจะหาคำแก้ตัว องค์ชายกลับหัวเราะเบา ๆ พลางถอยก้าวออกไป
“ช่างเถิด สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องเล่นให้ข้าฟังอีกครั้งไม่มีทางเลี่ยงได้”
เงาร่างสูงเดินลับไป ทิ้งข้าไว้กับความสั่นไหวและความกลัวที่ถาโถมราวคลื่นทะเลใจ ลมยามราตรีพัดผ่านระเบียง เสียงกระดิ่งลมดังแผ่วเหมือนจะตอกย้ำความว้าวุ่นในใจ ข้ายืนแน่นิ่ง มือที่จับพานชาแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว ดวงตาสั่นระริก ราวกับกำลังยืนอยู่กลางหุบเหวแห่งความลับที่ไม่มีวันปลอดภัยอีกต่อไป
“วันหนึ่งเจ้าจะต้องเล่นให้ข้าฟังอีกครั้ง”
ถ้อยคำขององค์ชายเหยียนเจิ้งยังดังก้องอยู่ในโสตประสาท ราวกับตรวนที่พันธนาการหัวใจ ข้าอยากตะโกนปฏิเสธ อยากบอกเขาให้เลิกข้องเกี่ยวกับข้าเสียที แต่ริมฝีปากกลับปิดแน่นอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรง ข้าค่อย ๆ ยกสายตาขึ้นมองฟากฟ้า ดวงจันทร์กลมโค้งส่องแสงอาบเรือนร่างทั้งหมด แสงนั้นเย็นเยียบ แต่กลับทำให้หัวใจข้าเร่าร้อนยิ่งนัก เพราะมันทำให้ข้านึกถึงค่ำคืนเมื่อหลายปีก่อน คืนนั้นที่ดนตรีจากพิณของข้าพาเงาแห่งความตายเข้ามากลืนกินชีวิตผู้เป็นที่รัก
“ไม่ ข้าไม่อาจให้เขารื้อฟื้นเรื่องนั้นขึ้นมาได้อีก”
ข้าพึมพำในลำคอ ความตั้งใจแน่วแน่เริ่มผลิบานขึ้นท่ามกลางความหวาดหวั่น แต่แล้วเงาสูงขององค์ชายเหยียนเจิ้งที่ทอดผ่านระเบียงเมื่อครู่ กลับยังติดตาไม่เลือน รอยยิ้มที่มุมปากของเขาช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก ราวกับคนที่มั่นใจว่าจะล่าเหยื่อได้ไม่ช้าก็เร็ว
หัวใจข้าเต้นถี่ระรัว และแม้พยายามปฏิเสธเพียงใด แต่ในความลึกซึ้งของดวงใจ ข้ารู้ดีว่าตนกำลังถูกโอบล้อมทีละน้อย ไม่มีทางหนีไปจากเงานั้นได้เลย ภายใต้เงาของศัตรู ข้าเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ที่หวาดกลัวที่สุดคือความลับที่ถูกเปิดเผย หรือหัวใจของข้าเองกันแน่ที่กำลังสั่นไหวต่อบุรุษผู้นี้
ฤดูใบไม้ผลิย่างกรายเข้าสู่หุบเขาเล็ก ๆ ทางทิศใต้ กลีบดอกท้อโปรยปรายไปทั่วราวหิมะสีชมพู ฟ้าสีครามแจ่มชัด ราวกับธรรมชาติชดเชยให้ผู้คนที่เคยผ่านความทุกข์ยากได้ลิ้มรสความสงบสุขที่โหยหามาชั่วชีวิตเรือนเล็กที่ปลูกติดริมลำธาร มีเสียงน้ำใสไหลเอื่อย ๆ ขับกล่อมไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของหญิงสาวที่ก้มหน้าอยู่ตรงแปลงผัก“เหยียนเจิ้ง เจ้ามาช่วยข้าเด็ดผักทีสิ นี่มันจะเย็นแล้วนะ”ซูเหยาใส่เสื้อผ้าธรรมดาสีอ่อน มือเล็ก ๆ ยกตะกร้าไม้ขึ้นอย่างระมัดระวัง ผมยาวถูกเกล้าอย่างเรียบง่าย ไม่มีรัดเกล้า ไม่มีหยกงดงามดังเช่นตอนอยู่ในวัง แต่แววตากลับสดใสกว่าที่เคยเป็นเหยียนเจิ้ง บัดนี้ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอำนาจใด ๆ เดินออกมาจากเรือนด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยากในอดีต มือชายหนุ่มหยิบมีดสั้นเล็ก ๆ มาก้มลงช่วยนางตัดผัก“เจ้าสั่งให้ข้าเด็ดผักเหมือนชาวนาเสียจริง” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า แต่สายตาที่ทอดมองนางกลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู“แล้วเจ้าไม่อยากเป็นชาวนาหรือไร” ซูเหยาหัวเราะเบา ๆ ดวงตาเปล่งประกาย“อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่มีเสียงดาบ ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีเพียงเสียงนกกับน้ำไหล ไม่มีเสียงใดมารบกวน”เหยียนเจิ้งหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อ
ข้า ม่ออี้ หากเจ้าอ่านบันทึกนี้ แปลว่าหิมะได้ปิดรอยเท้าของข้าไปแล้ว เสียงโลหะของหน้ากากยังคงเย็น แต่หัวใจที่อยู่ข้างใต้ได้หยุดไหว คืนแรกที่ข้าได้สวมหน้ากากเงิน อาจารย์ใหญ่ถามข้าสั้นนัก“เจ้าชื่ออะไร”ข้าตอบ “ม่ออี้”“ตั้งแต่นี้ชื่อไม่สำคัญ หน้าที่สำคัญกว่า”เสียงโลหะแตะโหนกแก้ม เย็นจนฟันข้ากระทบกัน แต่ความเย็นนั้นกลับทำให้เลือดสงบ ข้าพูดได้เพียงในใจเท่านั้นข้าเติบโตในสำนักอาญาแบบเด็กที่ไม่มีบ้าน ชื่อม่ออี้เป็นเพียงอักษรเดียวที่แม่ปักลงในผ้าเก่าน้อยชิ้นก่อนทิ้งข้าไว้หน้าประตูโบสถ์ที่ท้ายเมือง อาจารย์เก็บข้าขึ้นมา ปล่อยให้เติบโตในเงาของกฎหมายที่ไม่เคยมองหน้าใครในยามลงดาบข้าจึงรู้จักก่อนว่าความเงียบขูดกระดูกอย่างไร คำสั่งหนักกว่าดาบกี่เท่า และชัยชนะของแผ่นดินมักจะเรียกเก็บค่าจากหัวใจของบุคคลเสมอวันนั้น อาจารย์ยื่นหน้ากากให้ข้า ครึ่งใบที่พรากเสี้ยวหน้าไป เสี้ยวหนึ่งที่เหลือของข้าไม่ใช่ของข้าอีกต่อไปข้าเห็นนางครั้งแรกในลานหิมะของเมืองหลวง หลานซูเหยา เด็กหญิงที่ถือพิณใหญ่เกินแขนเล็ก ๆ ของตนเอง เงยหน้ามองควันจากโรงตีเหล็ก ลมหายใจฟุ้งเป็นไอขาว นางยิ้มให้ชายแก่ที่ขายหมั่นโถวนึ่ง แม้ตัวเองจ
หิมะปลายฤดูตกแน่นจนพื้นหินกลายเป็นผ้าขาว เย็นกระทั่งลมหายใจแปรเป็นควันสีจาง ข้าคือ เหยียนเจิ้ง พระโอรสลำดับที่ห้า เด็กชายผู้คุ้นชินกับความเงียบของตำหนักและกฎเกณฑ์ที่ยาวเท่ากำแพงเมืองคืนนั้น ข้าหลบยามออกจากตำหนักเพียงลำพัง ไม่ใช่เพราะใจกล้า หากเพราะเสียงหนึ่งที่ลอดผ่านช่องกำแพงมา เสียงสะอื้นเล็ก ๆ คล้ายลูกนกตกจากรัง ใต้ศาลาร้างตรงแนวพุ่มสน ข้าเห็นร่างเด็กหญิงตัวน้อยนั่งกอดเข่า เสื้อผ้าเปียกน้ำหิมะจนสั่นงัน ริมฝีปากซีดแต่ดวงตายังสว่าง“เจ้าเป็นใคร” ข้าเอ่ยถาม เสียงต่ำเท่าที่เด็กวัยอย่างข้าจะทำได้นางช้อนตาขึ้น “ข้าชื่อ หลานซูเหยา” เสียงแหบพร่า “ข้าหลงทางมาพร้อมกับคนรับใช้ ระหว่างตามขบวนของท่านพ่อเข้ามาในเมืองหลวง”แซ่หลาน แค่ได้ยินก็ทำให้หัวใจข้ากระตุก บิดาของนางคือแม่ทัพหลานที่ผู้คนเอ่ยถึงด้วยความศรัทธา ข้าถอดผ้าคลุมไหล่คลุมให้นางโดยไม่คิด“ตามข้ามา หากเจ้ายังอยู่ที่นี่ คงจะถูกทหารยามลากไป”นางลังเลเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนยกมือเล็ก ๆ เกาะแขนเสื้อข้าแน่น มือเย็นจัดจนข้ารู้สึกเหมือนถูกหิมะจับปลายนิ้ว เราเดินผ่านช่องระบายน้ำเก่าที่คนงานไม่ค่อยใช้ ข้ารู้จักทางเหล่านี้ดีกว่าตำราเรียน เพราะม
องครักษ์ในวังกับทหารหน่วยเงาปะทะกันกลางหิมะ เสียงเหล็กปะทะเหล็กสั้น คม และไม่ยืดยาวตามนิสัยของผู้ล่าที่มาเพื่อฆ่า ไม่ใช่จับ ซูเหยาชักดาบไร้นามออกมา โลหะเย็นแตะฝ่ามือดังชีพจรของผู้ตาย นางเฉือนเส้นเอ็นมือของศัตรูคนหนึ่ง ลากตัวออกจากเส้นยิง เงาหน้ากากเงินก้าวลงจากระเบียง เขาเคลื่อนตัวดุจเงาดาบ คม รวดเร็ว และไร้เสียง“ถอย ซูเหยา ถอย!” เสียงของม่ออี้ลอดผ่านโลหะ “ศัตรูที่แท้จริงอยู่เหนือหัวเรา!”“เจ้าเรียกทุกคนว่าศัตรูมาตลอด” นางสวนกลับ “คืนนี้ข้าจะเลือกเองว่าใครคือผู้ที่ต้องชดใช้กันแน่ ไม่ต้องให้เจ้ามากำกับ!”ลูกศรหัวดำอีกระลอกสาดลง แนวยิงไขว้รูปซวงเหอของสำนักลับทางเหนือ ไม่ใช่กองทัพหลวง ซูเหยาจับจังหวะได้ในครึ่งใจ มีผู้ที่ต้องการให้เราเชือดกันเอง เพื่อปิดปาก เหยียนเจิ้งสะบัดแขนผลักซูเหยาออกให้พ้นวิถี ขณะม่ออี้กระโจนตวัดดาบเฉียง“ฉัวะ!”ลูกศรถูกปัดแตกกลางอากาศ แต่ดอกหนึ่งเฉือนสีข้างเหยียนเจิ้งไป เลือดไหลแทรกผ้าขาวเป็นดอกท้อแดงเพลิง“เหยียนเจิ้ง!” ซูเหยาตะโกน เงื้อมดาบชิดคอศัตรูตรงหน้า ฟันสั้นเดียวหลุดหิมะม่ออี้เสยดาบรับระลอกใหม่ พลางคำรามผ่านหน้ากาก“ตัวล่อไม่ใช่เจ้า แต่คือข้า เขาต้องการใ
เสียงหิมะโปรยปรายกลางคืนหนาวเหน็บ คล้ายสวรรค์จงใจซ้ำเติมหัวใจที่ปริร้าว หลานซูเหยาในชุดสีขาวบริสุทธิ์เปื้อนเลือด ยืนตัวสั่นกลางลานกว้าง ดวงตาที่เคยทอประกายอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่สั่นสะท้านหัวใจผู้มองเบื้องหน้าคือองค์ชายเหยียนเจิ้ง ผู้ที่นางเคยเฝ้าคิดถึงทุกลมหายใจ เขาก้าวออกมาท่ามกลางม่านหิมะ ใบหน้าเย็นสงบ แต่แววตาแฝงความสั่นไหวที่พยายามเก็บซ่อน“ซูเหยา…”เสียงเขาเรียกขานชื่อนาง แผ่วเบาราวกับกลัวว่า หากดังเกินไป ความฝันนี้จะสลายไปในหิมะ ซูเหยากัดริมฝีปาก เลือดซึมออกมา นางสั่นสะท้านทั้งร่าง น้ำตารินลงพร้อมกับเกล็ดหิมะ“องค์ชาย ท่านจำได้หรือไม่ ว่าครั้งหนึ่ง ข้าเคยรักท่าน” เสียงของนางพร่าแผ่ว แต่ทุกคำคือคมดาบที่ฝังลึกลงกลางใจองค์ชายเหยียนเจิ้งหลับตาแน่น ราวกับถูกแทงกลางอก เขาเอื้อมมือออกมาแต่ถูกซูเหยาปัดออก“แต่วันนี้ ” ซูเหยาก้าวถอย ดวงตาแข็งกร้าว “ท่านคือศัตรูของข้า ไม่เพียงในความจริง หากแม้แต่ในหัวใจก็ใช่!”เลือดในอดีต ความตายของตระกูลหลานทั้งตระกูล ความทรยศซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกสิ่งตะโกนบอกนางว่า ความรักคือพิษร้าย องค์ชายเหยียนเจิ้งกัดฟัน ดวงตาสั่นระริกเต็มไปด้วยความเจ็
สายลมหนาวพัดผ่านท้องพระโรงที่ว่างเปล่า เงาเปลวคบเพลิงสั่นไหวราวจะดับลงทุกขณะ หลังเหตุการณ์ที่เหล่าทหารบุกเข้ามาแล้วถอยไป ความเงียบสงัดกลับปกคลุม ทว่าในอกของหลานซูเหยากลับเต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึง นางยังคงจ้ององค์ชายเหยียนเจิ้งด้วยดวงตาสั่นระริก ไม่รู้ว่าควรเชื่อถ้อยคำของเขาหรือไม่องค์ชายเหยียนเจิ้งเดินเข้าใกล้ช้า ๆ ดวงตาคมปลาบทอประกายที่ต่างไปจากทุกครั้ง“เจ้ารู้หรือไม่อาเหยา ว่าข้ารู้ตัวตนเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าเป็นใคร”ซูเหยาชะงักราวถูกตบกลางใบหน้า “ทะ...ท่านรู้หรือ?”“ใช่” เสียงของเขาแผ่วแต่หนักแน่น“คืนที่เจ้าถูกส่งเข้าวังในนามนางกำนัล ข้ารู้ตั้งแต่นาทีแรกว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ดวงตาคู่นั้น เจ้าคิดหรือว่าข้าจะลืมหรือ?”ความทรงจำเก่า ๆ พุ่งวาบขึ้นมา ราวกับบาดแผลที่ถูกกระชากปิดผ้าพันแผลออก ซูเหยากำหมัดแน่น เลือดแทบจะไหลออกจากฝ่ามือ“หากท่านรู้ เหตุใดจึงไม่เปิดโปงข้าเสียแต่แรก?”องค์ชายเหยียนเจิ้งยิ้มบาง แต่เต็มไปด้วยความขมขื่น“เพราะหากข้าเปิดโปง เจ้าจะตายทันที แต่ถ้าข้าเงียบ อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีลมหายใจอยู่ตรงนี้”เสียงนางสั่นเครือ “แล้วทั้งหมดที่ผ่านมา ท่านเฝ้ามองข้าเงียบ ๆ อย่าง