หนึ่งปีต่อมา… (ปัจจุบัน)
เสียงแตรรถหรูดังแทรกเข้ามาท่ามกลางความวุ่นวายของตลาดในตอนเช้า กลิ่นผักสดปะปนกับกลิ่นปลาอบคละคลุ้งทั่ว พ่อค้าแม่ค้าต่างรีบเก็บของกันให้วุ่นเมื่อขบวนรถสีดำเงาวับคันยาวแล่นเข้าจอดด้านหน้า
คะน้าเช็ดเหงื่อบนหน้าผากด้วยหลังมือน้อย ๆ เธอก้มลงยกตะกร้าผักที่เหลือขายมาตั้งขึ้นแผงช่วยยายสมพร ขณะดวงตาเธอก็พลางจับจ้องไปยังรองเท้าหนังราคาแพงที่ก้าวลงจากรถก่อนใคร
ชายร่างสูงในสูทสีดำยืนอยู่กลางตลาดราวกับเป็นเจ้าของตลาดทุกตารางนิ้ว ดวงตาคมเรียบเย็นกรามชัดเจน ผมดำแกรมเทาที่ถูกเซ็ตอย่างประณีตสะท้อนแสงแดดในยามเช้า และทุกสายตาก็จ้องมองไปที่เขาราวกับคนมองราชา
“นายทุนใหญ่มาแล้ว..”เสียงแม่ค้าแผงข้างกันกระซิบเบา ๆ คะน้าไม่ได้สนใจคำกระซิบเหล่านั้น เธอเชิ่ดใบหน้าเรียวใสขึ้นสูดกลิ่นผักที่คุ้นเคย แล้วมองตรงไปยังผู้ชายที่เดินตรงเข้ามาเหมือนที่นี่เป็นสนามของเขา
“ที่ตรงนี้.. จะต้องถูกรื้อในอีกสามเดือน” เสียงทุ้มเข้มฟังแล้วเยือกเย็นดังชัดทุกถ้อยคำราวกับประกาศคำสั่งตัดสินชะตาคนในตลาด
ตลาดที่เธอเติบโตมาเกือบทั้งชีวิต เพียงประโยคเดียวกลับเหมือนโลกทั้งใบของเธอกำลังถูกบดขยี้
“รื้อ ? คุณเป็นใครถึงมาพูดแบบนี้ ?” คะน้าเอ่ยเสียงดังในขณะที่แม่ค้าพ่อค้าคนอื่น ๆ กำลังหลบสายตาชายสูทดำ จากนั้น…
“ใหญ่มาจากไหนกัน?” สิ้นคำถามครั้งที่สองของคะน้าจบลง คนตัวสูงสวมสูทดำจึงหันใบหน้าช้า ๆ ดวงตาคมกริบตวัดมามองเธอเต็ม ๆ เพราะไม่เคยมีใครในที่แห่งนี้เคยถามเขาแบบนี้มาก่อนและไม่มีใครกล้าเผชิญหน้าเขาในที่แบบนี้
“หลงเฟย เจ้าของที่นี่… และเป็นคนที่จะทำให้ตลาดเก่า ๆ นี้... เปลี่ยนไป” เขาตอบเรียบ ๆ แต่คำตอบเรียบ ๆ ของเขานั้นกลับเหมือนมีดบาดใจใครหลายคนที่ไม่มีทางเลือก แต่ไม่ใช่กับคะน้า
ใช่.. เธอกลับยกคางขึ้นนิด ๆ ดวงตากลมใสของเธอมีประกายดื้อรั้นไม่สนคำพูดของหลงเฟย
“ฉันคือเจ้าของที่นี่ได้ยินรึเปล่า”
“เหรอ ฉันไม่เห็นเคยรู้มาก่อน แต่ก็ดีคุณมาที่นี่ก็ดีฉันจะได้สู้ถูกคน ฉันได้ยินคนลือเรื่องคุณมาหลายครั้งแล้ว”
บรรยากาศรอบตลาดเงียบลงชั่วขณะ ไม่มีใครกล้าแม้แต่หายใจแรง หลงเฟยมองใบหน้าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา เธอไม่มีความกลัวในแววตานั่นเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความท้าทายแบบที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน
“สู้เหรอ...เธอสู้ไม่ได้หรอก” หลงเฟยพูดช้า ๆ
“อย่าลืมว่า ตอนนี้ฉันคือคนถือสิทธิ์แทบทุกอย่างของตลาดนี่”
“แล้วยังไง” เสียงคะน้าดังสะท้อนอยู่กลางตลาด ทุกคนหันมองบางคนเบิกตากว้าง บางคนรีบหลบสายตาไม่กล้าสบกับชายสูทดำอีกสามสี่คนที่ยืนอยู่อีกฟาก
“คะน้า! คะน้า! คะแคก” เสียงยายสมพรสั่น ๆ ปนเสียงไอ ดังแทรกขึ้นมาอย่างร้อนรน หญิงชราก้าวออกมาจากแผงผักสดที่ตั้งอยู่ข้างหลังจับแขนหลานสาวแน่น
“อย่าพูดแบบนี้ลูก… อย่าไปเถียงกับเขาเลย” สิ้นเสียงของคนเป็นยาย คะน้าหันไปมองยายสมพร ดวงตาเธอยังแข็งกร้าว
ยายสมพรไม่ได้กลัวเพราะรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ยายสมพรรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาดแห่งนี้..
“ยาย เขาบอกจะมารื้อที่นี่นะ! ถ้าเป็นงั้นจริงแล้วเราจะอยู่ยังไง? ที่นี่คือที่เราไม่ใช่เหรอ จะรื้อง่าย ๆ ได้ยังไงกัน”คะน้าเถียงกลับยายสมพรเสียงเบา
“แต่เราไม่ควรไปต่อปากกับเขา” ยายสมพรพูดเสียงสั่น
“คนอย่างนั้น เขาไม่ใช่คนที่เราจะปากดีใส่ได้นะลูก”
สายหลงเฟยมองภาพยายที่ดึงแขนหลานไว้ แล้วมองกลับมาที่คะน้าที่ยังไม่ยอมลดสายตาลง หลงเฟยไม่พูดอะไรแต่รอบยิ้มบางเบาที่มุมปากคือคำตอบทั้งหมด…
“หนูไม่ยอมนะยาย” คะน้ากระซิบกับยายเบา ๆ แต่เสียงนั้น… ดังพอให้หลงเฟยได้ยิน
“ถ้าเธอไม่ยอม…” รองเท้าหนังก้าวเข้ามาอีกก้าว ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เธอก็ต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเองให้ได้”
บรรยายกาศรอบตลาดเงียบกริบ เสียงลมหายใจของคนทั้งตลาดเหมือนหยุดไปชั่วขณะ ด้านยายสมพรเองก็พลางหลบตาลงแต่คะน้ายังคงยกคางเชิ่ดขึ้นอีกครั้ง แม้ภายในใจจะสั่นแต่ก็ไม่ถอย
หลงเฟยยื่นมือข้างหนึ่งออกจากกระเป๋าสูทสีดำที่สะท้อนแสงแดดยามเช้าอย่างเรียบหรูแล้วก้าวขาเข้ามาใกล้คะน้าอีกก้าว ใกล้จนเงาของเขาทาบร่างของคะน้าและยายสมพรจนมิด
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาปากดีใส่ฉัน” หลงเฟยเอ่ยช้า ๆ น้ำเสียงเรียบแต่กดอากาศรอบตัวให้หนักขึ้น ยายสมพรสะดุ้ง รีบดึงแขนหลานแน่นกว่าเดิม
“ขอโทษนะคะคุณ… เด็กมันไม่รู้เรื่อง อย่าถือสาเลย” ยายสมพรพูดเสียงสั่นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่เพราะไม่รักคะน้าแต่เพราะใจในของยายรู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร
หลงเฟยมองยายสมพรแค่เพียงแวบเดียว ก่อนจะเลื่อนสายตาคมกริบกลับไปที่คะน้า
“ไม่ต้องขอโทษ… คนที่ต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเองคือเด็กนี่”
“ทำไมต้องรับผิดชอบ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด” คะน้าสวนกลับทั้งที่ใจสั่น ด้านยายสมพรเองเมื่อได้เสียงหลานสาวตัวเองสวนกลับหลงเฟยทันควันก็สะดุ้งรีบส่ายหน้าเบา ๆ แต่คะน้าก็ยังไม่ถอย
“หึ…”หลงเฟยยิ้มมุมปากนิด ๆ ดวงตาคมลึกจนเหมือนอ่านใจคนตรงหน้าออก พลางมองคะน้าจากหัวจรดเท้าเหมือนประเมินราคา
“ง่ายมาก…” เขาพูดช้า ๆ แล้วโน้มตัวเข้าใกล้
“ทำให้ฉันพอใจ”
“หมายความว่ายังไง”
คำว่า ทำให้ฉันพอใจ ดังชัดเจนท่ามกลางความเงียบ ทุกสายตาในตลาดจับจ้องไปยันคะน้าและหลงเฟย ไม่ใช่เพราะเข้าใจในคำพูดของหลงเฟย แต่อารมณ์ของคำพูดนั้นเพียงพอจะทำให้ใครต่อใครหนาวสั่นไปทั้งตัว
ด้านคะน้าเมื่อได้ยินคำพูดของหลงเฟยเธอจึงกำมือแน่น แล้วนิ่งเงียบ คะน้าไม่ใช่คนโง่ ข้อเสนอของนายทุนแบบนี้ไม่มีทางเป็นเรื่องอื่นได้เลย
“ว่ายังไง”
“คะน้าอย่าเลย” เสียงยายสมพรเรียกหลานสาวคนเดียวของเขาแทบบจะร้องไห้ออกมา
“…”
“เตรียมตัวรับผิดชอบกับคำพูดของเธอให้ดีก็แล้วกัน”
พูดจบหลงเฟยก็หมุนตัวเดินกลับไปยังรถหรูประตูรถหรูปิดดัง ปั๊ง! และเสียงเครื่องยนต์หรูคำรามเบา ๆ ก่อนรถจะแล่นออกจากตลาดเก่า ทิ้งไว้เพียงงกลิ่นควันและความเงียบงันที่ยังไม่คลาย
“ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม…ฉันจะไม่ยอมให้คุณมารื้ออย่างที่ทุกคนในตลาดเขาลือแน่”