เสียงพัดลมเก่า ๆ หมุนเอื่อยเหนือยศีรษะ เสียงแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้าและเสียงเหล็กกระทบกระทะดังสนั่นทั้งตลาดในตอนเช้า ยายสมพรกำลังจัดผักหน้าร้านเหมือนทุกวัน ดวงตาแม้จะมีรอยย่น แต่แววตาอบอุ่นนั้นยังไม่เคยหายไป
“ขอโทษครับ ขออนุญาตรบกวนเวลาสักครู่”
ชายในสูทเรียบหรูเดินเข้ามาพร้อมผู้ติดตามสองคนและแฟ้มเอกสารในมือ ยายสมพรหยุดมือมองชายคนนั้นอย่างระแวดระวัง คนในตลาดเริ่มชะโงกหน้าออกมามองเป็นแถว
“ผมเป็นตัวแทนจากบริษัทตึกสูง ๆ ตึกนั้นครับ”ชายในสูทเรียบหรูชี้นิ้วไปยันตึกสูงหลายสิบชั้นที่ตั้งตะหง่านอยู่ไม่ไกลจากตลาด ซึ่งเป็นตึกสำนักงานรองบริษัทหลงเฟยกรุ๊ป
“ทางบริษัทมีโครงการพัฒนาตลาดเชิงพาณิชย์ที่จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ และเราอยากเชิญชวนพ่อค้าแม่ขายพี่น้องในชุมชนทุกท่านมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครับ”
คำว่า ‘เปลี่ยนแปลง’ ดังชัดแต่แฝงความหมายบางอย่างไว้ข้างใน
“ถ้าทุกท่านยินดีร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เราจะจ่ายค่าชดเชยให้… คนละสามเท่าของราคาประเมินที่ดิไม่มีใครเสียเปล่าแน่นอนครับ”
สิ้นเสียงชายสูทดำ เสียงซุบซิบของพ่อค้าแม่ขายและคนในชุมชนก็เริ่มดังระงมขึ้นทันทีในตลาด
“สามเท่าเลยนะ”
“ได้เงินก้อนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยจะดี ได้เงินก้อนคงจะดี”
“อายุเยอะแล้ว ถ้าได้เงินก้อนมาก็ไปอยู่บ้านลูกบ้านหลานสบาย”
“เอ่อ..คุณยายครับ…หากคุณยายเซ็นเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เงินก้อนนี้จะเข้าบัญชีพรุ่งนี้เช้าเลยนะครับ”
เสียงของชายชุดสูทเรียบสะอาดพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ ไม่เพียงแค่นั้นเขายังยื่นปากกาสีดำสวยดูมีราคามาให้ มืออีกข้างถือเอกสารสัญญาหนาเตอะที่ปิดตราประทับบริษัทชัดเจน
“มันเยอะเกินไป” ยายสมพรพูดเสียงเบา
“ฉันไม่เคยจับเงินขนาดนี้มาก่อนเลย”
“มันเป็นเพียงเงินขวัญถุงหลังเซ็นสนใจเข้าร่วมเท่านั้นครับคุณยาย” เขาพูดเรียบชัดและใจเย็นแบบคนที่เจรจาธุรกิจเป็นงานประจำ
“แค่เซ็นเอกสารเข้าร่วมโครงการ คุณยายกับหลานสาวก็ไม่ต้องแบกภาระอะไรอีก ขึ้นโครงการใหม่เมื่อไหร่ ก็จะได้สิทธิ์ตั้งแผงในที่ใหม่เหมือนเดิมและได้เงินเพิ่มอีกด้วย”
“แล้วถ้า…ฉันไม่เซ็นล่ะ”เสียงของยายสมพรเบาแต่หนัก
“ก็ไม่เป็นไรครับ” ชายคนนั้นยิ้มมุมปากบาง ๆ
“แต่ว่า...เงินนั่นมากพอจะส่งคะน้าเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนดี ๆ ได้สี่ปีเต็ม เงินนี่อาจเป็นใบเบิกทางให้คะน้าไม่ต้องจมอยู่ในตลาดเก่า ๆ เล็ก ๆ ไปตลอดชีวิต” ยายสมพรคิดคนเดียวใจใน
“ขอเวลาคิดหน่อยได้ไหมพ่อหนุ่ม” ยายถามเสียงสั่นด้วยความลังเล
“ได้เลยครับคุณยาย” หนุ่มสูทดำยิ้มสุภาพ แต่สายตาคมเรียบนั้นไม่แม้แต่จะไหววูบ
“อื้ม… แต่ผมแนะนำว่า…คุณยายอย่าคิดนานเกินไปนะครับ เงินก้อนจากที่ได้เยอะอาจจะลดลงนะครับคุณยาย” พูดจบชายสูทดำก็เก็บเอกสารไว้ในซอง วางไว้หน้าแผงผักตรงหน้าไม่ได้เอากลับ ยายสมพรมองมันราวกับมันเป็นตะปูร้อนที่กำลังจี้หัวใจด้วยความลังเล
เพราะอนาคตและความฝันของหลานสาวรออยู่อีกไม่ถึงปี…
และในเอกสารยังเขียนอีกไว้ว่า…
‘ราคาชดเชยสามเท่าจากราคาประเมิน พร้อมโบนัสเพิ่มสำหรับผู้เซ็นสัญญาภายใน 60 วัน รับเงินก่อน เซ็นทีหลังได้สบายใจ’
ไม่กี่วันต่อมา…
บริษัทส่งเจ้าหน้าที่มาเจรจารอบที่สองแม่ค้าในตลาดหลายคนเริ่มยิ้ม บางคนรับปาก บางคนถึงขั้นฝันถึงชีวิตใหม่หลังได้เงินก้อนใหญ่หลังเซ็นเอกสาร และแม่ค้าพ่อค้าในตลาดก็ค่อย ๆ แตกเสียงกันเป็นสองฝั่ง
ฝั่งที่อยากขายเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
ฝั่งที่ยังลังเลเพราะที่นี่เปรียบเสมือนบ้านที่อยู่มาทั้งชีวิต
ยายสมพรยืนอยู่ตรงกลางเหมือนถูกดึงออกเป็นสองด้านและในขณะเดียวกันก็มีซองเอกสารสัญญาเบื้องต้นวางอยู่ในมือเหี่ยวของเธอ
และวันนี้แหละ... คือวันที่หมากตัวแรกถูกวางบนกระดาน คะน้าสาววัยสิบแปดปลาย ยังไม่รู้เลยว่าการตันสินใจของยายสมพรในที่เซ็นเอกสาร… จะเป็นจุดเริ่มต้นของแรงกดดันในชีวิตของเธออย่างมหาศาล
“ก้อนแรกหลังเซ็นเข้าร่วมโครงการสี่แสนบาท…”ยายสมพรพึมพำเสียงเบา มันคือเงินจำนานมหาศาลสำหรับคนหาเช้ากินค่ำ เงินนี้มากพอจะเปลี่ยนชีวิตของคะน้าหลานสาวคนเดียวของหญิงชราให้ได้เรียนมหาวิทยาลัยตามฝัน แต่ก็เป็นเงินที่แลกมากับที่ดินผืนเดียวที่พวกเขามี
เสียงเข็มนาฬิกาดัง ติ๊ก…ต๊อก เป็นจังหวะเดียวที่ดังในห้องเล็ก ๆ นี้
น้ำตาหยดแรกของยายสมพรก็ไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว
ยายสมพรรู้ดีว่าโครงการนี้ไม่ได้เป็นแค่ข้อเสนอ แต่มันคือแรงกดดันบางอย่างเกินจะขัดขืนได้ ไม่ยอมวันนี้วันหน้าก็ต้องยอม แม่ค้าหลายคนในตลาดเซ็นไปแล้ว เหลือแค่ไม่กี่คนที่ยังลังเล
ยายสมพรหยิบกระดาษในซองขึ้นมาอ่านอีกครั้งพร้อมกับเสียงไอแห้ง ๆ แม้จะอ่านไม่ค่อยเข้าใจถ้อยคำกฎหมายทั้งหมดแต่บรรทัดสุดท้ายของเอกสารก็ง่ายเกินจะไม่เข้าใจ
“หากท่านยินยอมเข้าร่วมโครงการและพร้อมเซ็นภายใน 60 วัน บริษัทยินดีดำเนินการจ่ายเงินส่วนที่เหลือภายใน 15 วันหลังโอนกรรมสิทธิ์”
และในตอนนี้ชื่อยายสมพรไม่ได้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งหมด แต่เจ้าหน้าที่บริษัทบอกว่า…
“แค่รับเงินก้อนไว้ก่อนก็พอครับ เดี๋ยวเรื่องเซ็นโอนทางบริษัทเราสามารถจัดการต่อได้ครับ” น้ำเสียงสุภาพของชายสูทดำ แต่คำพูดเหมือนกับมัดเชือกรอบตัวยายสมพรไว้เงียบ ๆ
“ยายจ๋า” เสียง คะน้า เด็กสาววัยสิบแปดขวบปลาย ดังมาจากประตูทางเข้าของบ้านเช่าหลังเล็ก ๆ เด็กสาวเพิ่งกลับมาจากเรียนพิเศษ
“ยายยังไม่นอนอีกเหรอ”
“อืม… ยายแค่คิดอะไรนิดหน่อย” ยายสมพรรีบเก็บซองเอกสารไว้ข้างตัว
“คิดอะไรเหรอ?” คะน้าเลิกคิ้ว เธอยังไม่รู้เลยว่าคำถามธรรมดาวันนี้ อีกหนึ่งปีข้างหน้ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิต
“คิดว่าถ้าถึงวันที่หลานยายได้เรียนมหาลัยจริง ๆ จะดีแค่ไหน” ยายสมพรฝืนยิ้มบาง ๆ ด้านคะน้าเมื่อได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะน้อย ๆ แล้วเดินเข้ามากอดคนเป็นยาย
“หนูต้องทำตามความฝันให้ได้อยู่แล้ว สอบเข้ามหาลัยดี ๆ พอเรียนจบหนูจะไม่ให้ยายขายผักอีก แล้วก็จะพายายไปอยู่บ้านหลังใหญ่ ๆ ไม่ต้องเช่าบ้านให้ลำบาก”
คำพูดของเด็กกำพร้าตัวน้อย ๆ ที่โดนแม่คลอดแล้วทิ้งไว้ให้ยายสมพรเลี้ยงดูเหมือนกำลังเป็นมีดกรีดใจยายสมพรช้า ๆ เพราะภายในใจยายสมพรรู้ดีว่า อนาคตที่คะน้าฝันถึง อาจต้องเสียงที่ดินผืนที่ใช้ทำมาหากินไป...
…
กลางดึกที่ฝนโปรยยายสมพรยื่นมือไปแตะซองเอกสารอีกครั้ง นิ้วเรียงที่หยาบกร้านลูบไล้มุมซองสีน้ำตาลเบา ๆ เหมือนจะถามมันว่า ที่คือทางที่จะทำให้คะน้ามีอนาคตที่สวยงามได้จริง ๆ ใช่ไหม
และในที่สุด…
“ยายขอโทษนะคะน้าที่ต้องตัดสินใจแบบนี้ แต่ยายอยากให้หนูมีอนาคตจะได้เรียนจบสูง ๆ มีงานทำดี ๆ ไม่ต้องมาขายของกลางตลาดร้อน ๆ ลำบากเหมือนยาย”
เสียงขูดของปลายปากกาเสียดสีกับกระดาษดังยาวกว่าปกติในความรู้สึกของยายสมพร
มันไม่ใช่เพียงเสียงของปลายปากกาที่กำลังลงบนกระดาษ แต่มันเหมือนเสียงกุญแจที่กำลังล็อกชีวิตบางอย่างไว้ตลอดกาล
ยายสมพรหลับตาชั่วขณะ มือที่สั่นเพราะแรงกดดันไม่ใช่เพราะความชรา เธอไม่ได้เซ็นเพราะเชื่อบริษัท…แต่เพราะเธอเชื่อว่า นี่จะเป็นทางเดียวที่จะทำให้คะน้าได้เรียนมหาลัยดี ๆ และมีอนาคตที่ดีตามความฝัน
“ขอให้มันเป็นทางที่ดีนะ” เสียงที่ไม่มีใครได้ยินเล็ดลอดจากริมฝีปากเหี่ยวย่น
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ในสูทเรียบเดินเข้ามาพร้อมซองเงินก้อนใหญ่ ใบหน้าของเขายิ้ม แต่ในดวงตากลับเยือกเย็น
เงินในมือซองนั่นไม่ใช่เงินขวัญถุง ไม่ใช่รางวัล อย่างที่เขาเคยบอกแต่มันคือ โซ่ทองที่ผูกพันธนาการ
และไม่มีใครรู้เลยว่า…
ลายเซ็นของหญิงชราคืนนั้นจะเป็นประตูเปิดสู่กรงมังกร ที่ไม่มีใครออกมาได้ง่าย ๆ