ช่วงสายของวัน แสงแดดยามสายสาดลงกระทบหลังคาสังกะสีของตลาดจนร้อนผ่าว เสียงแม่ค้ารอบ ๆ เริ่มกลับมาคึกคักแบบฝืน ๆ หลังจากเหตุการณ์เมื่อเช้า แต่บรรยากาศในตลาดก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“เมื่อเช้านายทุนใหญ่ที่จะสั่งรื้อตลาด…เสียเวลานั่งรถหรูมาลงพื้นที่เองจริง ๆ เหรอ?”
“เออนะสิ ฉันเห็นแต่ในข่าว ไม่คิดว่าจะมาเหยียบที่นี่จริง ๆ”
“เฮ้อ ฉันว่านะรอบนี้ตลาดเราคงไม่รอดแล้วล่ะ ฉันยังไม่รู้เลยว่าฉันตัดสินใจถูกไหมที่เซ็นขายที่ดิน”
เสียงซุบซิบของแม่ค้าดังกระซิบทั่วตลาด คะน้านั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ มือเธอยังคงกำชายผ้ากันเปื้อนแน่นเหมือนตอนเช้า ภาพรถหรู คำพูดและสายตาเย็นเฉียบของหลงเฟยยังติดอยู่ในหัวเธอไม่จาง
“ลงพื้นที่เองเหรอ”
“คะน้า…” เสียงยายสมพรเรียกเบา ๆ พลางยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลเก่า ๆ มาให้
“มีคนเอามาส่งเมื่อกี้… บอกว่าของบริษัทอะไรสักอย่าง” ยายสมพรแกล้งถามคะน้าทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าคือเอกสารจากที่ไหน แต่ไม่ใช่แกล้งถามเพราะไม่รู้ความจริงหรอก แต่เพราะกลัวและรู้สึกผิดกับหลานสาวเท่านั้น
ด้านคะน้าเองเมื่อได้ยินยายสมพรพูดเช่นนั้นจึงยื่นมือเรียวบางไปรับเอกสารมา แล้วเปิดออกอย่างระมัดระวัง เอกสารขาวสะอาดกลิ่นกระดาษใหม่ชัดเจน โลโก้บริษัทใหญ่ด้านบนทำให้คะน้าขมวดคิ้วเรียงสวยเข้าหากันทันที
“หนังสือเชิญเข้าร่วมเจรจาซื้อขายพื้นที่ตลาดเก่า”
“ข่าวลือนี่คือเรื่องจริงใช่ไหมยาย?”
“…” ด้านยายสมพรเองก็พลางมองหลานสาวคนเดียวของเขาที่กำลังอ่านเอกสารด้วยสายตากังวลโดยไม่เอ่ยตอบอะไร จากนั้น…
“พวกคนรวยนี่…เล่นเร็วเหมือนกันนะ” คะน้าพึมพำกับตัวเอง
“คะน้าอย่าเข้าไปยุ่งกับคนแบบนั้นเลยคะน้าถือว่ายายขอนะ ยายไม่อยากให้ไปถึงสำนักงานเขา”
“แต่ถ้าหนูไม่ไปเจรจา เขาก็จะรื้อที่นี่ไม่ใช่เหรอยาย” คะน้าเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมใสสะท้อนแสงแดด
“ยายก็รู้ว่าหนูไม่ใช่คนยอมอะไรง่าย ๆ”
“แต่คนพวกนั้น ไม่เหมือนคนที่คะน้าเคยเจอนะ พวกเขาไม่ใช่คนธรรมดา” น้ำเสียงของยายสมพรสั่นสะท้านจนทำให้คะน้าที่นั่งฟังใจสั่นหวิว
“…” คะน้าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพับเอกสารอย่างตั้งใจแล้วสอดใส่กระเป๋ากางเกงด้านใน
“ยิ่งไม่ใช่คนธรรมดา หนูก็ยิ่งอยากรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกับเราถ้าเราไม่ยอม จะจับเราต้มแกงเหมือนหมูเหมือนหมางี้เหรอ?” คะน้าพูดพลางลุกขึ้นยืน ท่ามกลางเสียงรอบข้างที่เริ่มจางลง ความรู้สึกในใจของคะน้าเธอรู้ดีว่า การเดินเข้าไปนั่นอาจไม่ต่างจากเดินเข้ากรงมังกร แต่ถ้าไม่เดิน…เธอก็จะไม่มีวันได้สู้เลยแม้แต่นิดเดียว
“คะน้า” เสียงแม่ค้าขายข้าวแกงดังมาจากข้างหลัง คะน้าหันไปตามเสียงเรียกนั้น หญิงวัยกลางคนที่เธอเรียกป้าเหมือนคนในครอบครัว ยืนเท้าเอวมองตรงมาใบหน้าเต็มไปด้วยความอึดอัด
“เอ็งรู้เรื่องหมดแล้วใช่ไหม ? ป้ารู้ว่าเอ็งเก่ง ดื้อไม่ยอมใคร… แต่เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องเอ็งรู้ไหม” น้ำเสียงของแม่ค้าร้านข้าวแกงลดต่ำลง แต่ความาดหวังกลับชัด
“พวกป้าทั้งตลาดรอเงินชดเชยอยู่ จะได้ไปตั้งหลักใหม่ อีกอย่างเขาก็จะมาพัฒนาที่ทำมาหากินเราให้ดูทันสมัยขึ้น”
คะน้านิ่งไปกับคำพูดของป้าร้านขายข้าวแกงขณะในหัวก็พลางคิดอะไรบางอย่าง
“ที่พากันกลัวหัวหดคือกลัวไม่ได้เงินชดเชยสินะ” คะน้าคิดในใจ
“ป้าเงินไม่กี่บาทมันสำคัญกว่าที่ทำมาหากินของเราในระยะยาวเหรอ” คะน้าเอ่ยถามเสียงเรียบ ขณะดวงตากลมๆ คู่สวย ก็พลางมองแม่ค้าร้านข้าวแกงที่ยืนเท้าเอวอยู่ตรงหน้า อีกด้านเมื่อได้ยินคำถามของคะน้าก็เม้มปากแน่นก่อนตอบ
“ก็เพราะมันไม่มีทางอื่นแล้วไงลูก ใครจะไปสู้กับนายทุนแบบนั้นได้… มันเหลือแค่เอ็งคนเดียวนี้แหละ”
“ใช่มันเหลือแค่ฉัน” คะน้าพึมพำเบา ๆ แล้วเสียงคนอื่น ๆ ก็แทรกเข้ามา
“จะดื้อทำไมก็ไม่รู้ เซ็นไปก็จบแล้ว”
“จะให้พวกเรารอเงินก้อนอีกนานเท่าไหร่”
“ศึกที่ไม่มีทางชนะ ยังไม่พวกรากหญ้าแบบเราก็ไม่ชนะพวกนายทุน”
“ที่ก็ไม่ใช่ที่ของเอ็งคนเดียวสักหน่อย”
คำพูดเหล่านั้นไหลมาเรื่อย ๆ ไม่ต่างจากคลื่นที่ถาโถมใส่คนคนเดียวไม่หยุด ไม่ใช่เพราะพวกเขาเกลียด แต่เพราะพวกเขากลัว คะน้าเงยหน้าขึ้นมองฟ้า เม้มปากแน่น เธอรู้ดีว่าตอนนี้ทั้งตลาดกำลังถ่วงน้ำหนักชีวิตไว้ที่ปลายปากกาของเธอ
“คะน้ากลับบ้านเถอะลูก” เสียงของยายสมพรเรียกจากท้ายแผงผักสดเบา ๆ คะน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันไปตามเสียงของยายสมพร หัวใจของคะน้าเหมือนถูกดึงออกเป็นสองทาง ฝั่งหนึ่งคือคนตลาดที่อยากเธอยอม ส่วนอีกฝั่งคือยายที่กำลังยืนแววตาขุ่นมัวปนความกลัวราวกับกำลังซ่อนอะไรบางอย่างไว้ข้างใน
และตรงกลางคือเธอ…
คนที่เหลือเพียง ‘ลายเซ็น’ เดียวที่สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตทุกคน
“เหนื่อยไหมยาย” คะน้าหันไปถามพร้อมเอื้อมมือไปจับเข็นตะกร้าผักแทน ยายสมพรเมื่อได้ยินคะน้าเอ่ยถามก็ฉายรอยยิ้มบางจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าแม้ข้างในยังไม่คลายความอึดอัดจากเหตุการณ์เมื่อครู่
“ไม่เหนื่อยหรอกลูก” เสียงของยายสมพรพูดเบากว่าทุกครั้ง..ก่อนที่จะมีเสียงไอเบา ๆ แทรกเข้ามา
“ยายช่วงนี้ยายไอบ่อยนะ” คะน้าหยุดชะงักดวงตากลมจ้องไปยังคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ ที่เธอรักมากที่สุด
“อากาศมันเย็นตอนเช้า ยายแก่แล้วไอนิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก” ยายสมพรฝืนยิ้มแห้ง ๆ เหมือนทุกครั้ง พูดเหมือนเรื่องเจ็บป่วยเป็นเรื่องเล็ก แต่เสียงไอเมื่อครู่ยังคงสะกิดใจคะน้าไม่หาย
“ยายพูดแบบนี้ทุกที…” คะน้าพึมพำเบา ๆ กัดริมฝีปากแน่น ก่อนรับเข็นของแทนยายทั้งหมด
“อย่าฝืนเลยนะยาย ถ้ายังไอแบบนี้ หนูจะพาไปหาหมอจริง ๆ ด้วย”
น้ำเสียงดื้อ ๆ ที่แฝงความเป็นห่วง ทำให้ยายหัวเราะกลั้วเบา ๆ
“จ้า ๆ ยายรู้แล้ว แม่คะน้าคนดื้อ”
“ยายต่างหากที่ดื้อ” คะน้าเถียงกลับเบา ๆ
สายลมพัดผ่าน เสียงใบไม้แห้งไหวกรอบแกรบ ข้างทางมีเสียงนกร้องสั้น ๆ พอดีกับจังหวะที่ยายไอเบา ๆ อีกครั้ง ทำให้หัวใจของคะน้าบีบรัดเล็กน้อย
เธอเหลือบมองไปยังเงาตึกสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลนัก แสงแดดยามสายสะท้อนเงาตึกสูงยาวทอดทับเงาร่างเล็ก ๆ ของเธอกับยายไว้ตรงกลาง
ตึกของนายทุนที่เพิ่งประกาศจะรื้อตลาด…
ดวงตากลมใสของคะน้าแข็งขึ้นเล็กน้อย ความมุ่งมั่นที่ซัดเข้ามาทันที
“ยาย..คอยดูนะหนูจะสู้ ที่ของเราต้องไม่ถูกรื้อ”